ู^^หลงในอัตตา ^^

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย DR-NOTH, 9 เมษายน 2014.

  1. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    หลงในอัตตาเป็นเช่นไร ในมุมมองของท่าน
    และท่านคิดว่ายังหลงอยู่มากน้อย
    หรือละอัตตาได้แล้วประการใด เชิญมาร่วม สนทนา สาธยายธรรม
    แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ ครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • fgdfgr.jpg
      fgdfgr.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.6 KB
      เปิดดู:
      132
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2014
  2. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ยังไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน งงมากเลย
     
  3. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    มันคืออะไร รอผู้รู้มาตอบ
     
  4. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    การยึดติดในตัวตนแห่งรูป-นามทั้งหลาย จนจิตไม่สามารถปล่อยวางสิ่งพันธนาการที่ร้อยรัดใจ นั้นได้ ...
     
  5. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +143
    อนุโมทนาในคำถาม ท่านผู้เจริญ
    เราเห็น ตัวเรามีอัตตา หลงอยู่ตลอดเวลานั้นแหละ
    แม้กระทั่งตอนตอบคำถามนี้ ก็เห็นความอยากได้อยากดีของมัน
     
  6. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    หลงในอัตตาโดยเคร่าๆอีกมุมมองหนึ่งคือการติดใจหลงในรูปธรรม-นามธรรม
    เพราะจิตนี้ขาดการใคร่ครวญด้วยปัญญา หลงคิดว่าสิ่งนี้คือกาย สิ่งนี้คือใจคือความคิดของเรา ซึ่งถ้ามองให้ทะลุเข้าไปข้างในนั้นแล้ว ล้วนไม่มีอะไรให้น่าติดใจประทับใจ และไม่มีสาระแก่นสารใดๆเลย สักแต่ว่าเกิดจากองค์ประกอบต่างๆมารวมกันทำให้เกิดเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ สักแต่ว่าเห็นเป็นรูปเป็นร่างของมันอย่างนั้น และย่อมแตกสลายหายไปในที่สุด ซึ่งถ้าไม่ใช้ปัญญามองสิ่งต่างๆโดยรอบคอบแล้วมักจะหลงเป็นอัตตาได้....อย่างนี้เป็นต้น.
     
  7. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,946
    อย่ายึดดี อย่าถือดี อย่าติดดี อย่ารู้ดี อย่าอวดดี ความดีนั้นก็จะประจักษ์เอง นิละ อัตตา

    เจริญธรรม
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เพราะปฏิบัติไม่ถึง จึงไม่เห็นว่า การใช้ "ปัญญา" ในลักษณะการคิดแบบที่พูดมานั้น คือการเข้าไปยึดทิฎฐิ ชนิดหนึ่ง
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อุปาทานสี่---พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย อุปาทานมีสี่อย่างเหล่านี้ สี่อย่างเหล่าใหนเล่า สี่อย่างคือ---- 1 กามุปาทาน ความถือมั่นในกาม 2 ทิฎฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฎฐิ 3 สิลัพตุปาทาน ความถือมั่นในศิลพรต 4 อัตวาทุปาทาน ความถือมั่นในวาทะว่าตน ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้คือ อุปาทานสี่อย่าง---มหาวาร.สํ.19/88/337..:cool:
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานขันธิ์ มีแต่เพียงห้าอย่าง คือ รูปขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน1 เวทนาขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน 1 สัญญาขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน 1 สังขารขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน1 และวิญญานขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน1 เหล่านี้เท่านี้หรือ? ....................................ภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธิ์ มีแต่เพียงห้าอย่าง คือ รูปขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน 1 เวทนาขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน1 สัญญาขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน1 สังขารขันะิ์ที่ยังมีอุปาทาน1และวิญญานขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน1 เหล่านี้เท่านั้น -----"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อุปาทานขันธิ์ห้าเหล่านี้ มีอะไรเป็นรากเง่าเล่าพระเจ้าข้า" ภิกษุทั้งหลาย ขันธิ์ห้าเหล่านี้ มีฉันทะเป็นรากเง่าแล--อุปริ.ม.14/101/121..:cool:
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ......................พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใหนเล่า ควรกำหนดรอบรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง คำตอบคือ อุปาทานขันธิ์ห้า ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ รูปเป็นอุปาทานขันธิ์ เวทนาเป็นอุปาทานขันธิ์ สัญญาเป็นอุปาทานขันะิ์ สัญญาเป็นอุปาทานขันธิ์ สังขารเป็นอุปาทานขันธิ์ และ วิญญานเป็นอุปาทานขันธิ์ ภิกาุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใหนเล่า ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง คำตอบคือ อวิชชาและภวตัณหา ภิกษุทั้งหลายธรรมเหล่าใหนเล่า ควรทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง คำตอบคือวิชชาและวิมุติ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใหนเล่า ควรทำให้เจรญด้วยปัญญาอันยิ่ง คำตอบคือ สมถะและวิปัสนา---อุปริ.ม.14/524/829..:cool:
     
  12. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ มันจะต่างไปจากเดิมมาก อุปทานบางอย่างเข้าไม่ถึงใจได้อีกแล้วแล้วก็รู้ ที่ยังเข้าถึงก็รู้
    เช่นเราก็ดูเรายังเสียดายไหม ยังกลัวไหม ยังราคะไหม ยังเบียดเบียนไหม
     
  13. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    อัตตา คือความยึดมั่น ที่ทำให้เป็นทุกข์
    ยึดมั่นว่าเขาต้องรักเรา เขาต้องช่วยเรา เขาต้องไม่จากเรา
    แต่เมื่อไม่เป็นอย่างใจต้องการ ความทุกข์จึงบังเกิด
    นี่แลคือหลงใจอัตตา
    แก้ไขดเวยการปล่อยวาง
    เลือกคาดหวังว่า ทุกสิ่งต้องได้ดั่งใจ เลิกคาดหวังว่าจะได้อะไรจากใคร
    เมื่อไม่คาดหวังอะไร มันก็ไม่มีโอกาสผิดหวัง
    เมื่อไม่ผิดหวังในเรื่องใดๆ ทุกข์มันก็ไม่มี
     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เวลาดูสิ่งต่างๆ แล้วมันเกิด "ความคิด" ขึ้นมาว่า สิ่งต่างๆ นั้นไม่มีตัวตน ดังนั้น "ตัวเรา" จะยึดถือในหลักการ "ความคิด" นี้ และ จักไม่เป็นผู้เข้าไปยึดในสิ่งต่างๆ นั่นแหละ คือ การมีอัตตา
     
  15. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ในความเห็นผม คือคนที่ไม่เชื่อเรื่อง บาป-บุญ มีจริง มีผล
    คิดว่าเกิดมายังมีเวลาอีกเยอะ ใช้ชีวิตประมาท มัวเที่ยว เล่น ดื่มสุรา
    ประกอบแต่กิจอันไม่เป็นกุศล

    คนที่ลดอัตตาได้แล้ว (ตามคุณนิลาการน)
    คือ คนที่เริ่มเห็นภัยของการเกิดว่า ชีวิตนี้มันไม่เที่ยง
    เราจะตายเมื่อไรไม่รู้วันเลย
    อีกอย่างเราเองนั้นก็ไม่ได้มีบุญมากมายอะไรเลย
    เพราะถ้าเรามีบุญเยอะ คงเกิดเป็นลูกเศรษฐี หรือเทวดาไปแล้ว
    แสดงว่า เราทำบุญมาน้อย
    ดังนั้นควรหมั่นทำบุญกุศล อย่าได้ขาด เว้นขาดจากกรรมชั่ว
    หมั่นให้ทานกับพระสงฆ์อันเป็นเนื้อนาบุญที่ยิ่งใหญ่

    การจะเห็นภัยได้แสดงว่าต้องประสบความทุกข์มาพอสมควร
    เพราะถ้ายังร่าเริง มีความสุข ทำแต่เรื่องไม่เป็นกุศลอยู่
    แสดงว่าไม่เห็นทุกข์อันเป็นภัยที่อยู่ข้างหน้า
    เหมือนโดนอวิชชาปิดตาเอาไว้

    เมื่อเขาประสบทุกข์แล้ว ด้วยบุญกุศล ที่เขาเคยทำไว้ดีแล้ว
    ในอดีตชาตก็ดี ชาตนั้นของเขาก็ดี
    จะทำให้เขาดิ้นรน ค้นหาอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นหลักยึด
    เป็นที่พึ่งทางใจ อาจเริ่มจากเพลง จากคนที่เป็นไอดอล จากหนังสือ
    จนสุดท้าย ถ้าเขาโชคดี (หรือมีบุญ) ก็จะได้มาเจอกับพุทธศาสนา

    เมื่อเขาเจอพุทธศาสนาแล้ว ถ้าโชคดีขึ้นไปอีก
    เขาจะได้เห็นธรรมมะที่พระพุทธเจ้าเปิดไว้
    และถ้าทำบุญมาดีมาก เมื่อได้เห็น ธรรม คำสอน เขาก็จะเกิดความอัศจรรยใจ
    ว่าโอ้ช่างอัศจรรย์จริงหนอ คำสอนของพระศาสดาช่างเหมือนเปิดของที่ปิด
    หงายของที่คว่ำ บอกทางแก่คนหลงทาง เป็นแสงสว่างในที่มืด
    เขาก็จะขอถือพระพุทธเจ้าเป็นสรนณะของชีวิต ประกาศตนเป็นอุบาสก อุบาสิกา (ในใจ)
     
  16. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    พอเขาถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของชีวิิต ดขาจะเริ่มมีความสนใจ อยากรู้ ใฝ่หา
    คำสอนของพระพุทธศาสดา ว่ามีอะไรบ้างหนอ ท่านตรัสอะไรบ้างหนอ
    จึงเริ่มศึกษาไปเรื่อยๆ เขาก็จะยิ่งพบความอัศจรรย์ ขึ้นเรื่อยๆ

    หลังจากนั้นเขาก็จะรู้ว่า ทางมี 2 หนคือ ฆราวาส และบรรพชิต
    ก็ในสมัยก่อน เมื่อคนได้ฟังพระพุทธเจ้าแล้วก็จะเกิดศรัทธาขึ้นมาทันที
    ก็จะมีบวชบ้าง ประกาศตนเป็นเป็น อุบาสก อุบาสิกา บ้าง

    และเขาก็ต้องเลือกว่าจะเอาทางไหน
    เมื่อเขารู้ว่าตนยังไม่พร้อมเป็นบรรพชิต งั้นก็จะเป็นฆราวาสละกัน
    แต่เราจะปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดา

    ก็มาดูว่าฆราวาสควรทำอะไร
    ก็พบว่า เราต้องละกรรมกิเลศ 4 ไม่ทำบาปกรรมโดยฐาน 4
    กรรมกิเลศ มีอะไรบ้างคือ อานาติบาต 1 คือ ทำชีวิตสัตว์ให้ล่วงไป
    มุสาวาท 1 คือ กล่าวคำเท็จ อทินนาทาน 1 คือ พึงเอาของที่มีเจ้าของ
    กามเม 1 คือ ผิดประเวณีคู่คนครองคนอื่น
    ไม่ทำบาปกรรมโดยฐาน 4 คือ ไม่ทำบาปเพราะความรัก 1 เพราะความโกรธ 1
    เพราะความหลงงมงาย 1 เพราะความกลัวอีก 1

    เมื่อละกรรมกิเลศแล้วก็พึงไม่เสพทางเสื่อมโภคะ 6 ประการ
    ทางเสื่อมแห่งโภคะมีอะไรบ้างคือ การดื่มสุรา เมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท 1
    การเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ตอนกลางคืน 1 การเล่นการพนัน 1 การคบคนพาล 1
    การเที่ยวดูมหระสพ 1 (ดูหนัง ฟังเพลง ไปคอนเสริต ในสมัยนี้) การประกอบความเกียจคร้าน 1
    (รายละเอียดอ่านใน สิงคลกสูตร)

    ในส่วนนี้ เขาก็จะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ที่ทำมากจะค่อยๆ ลด ที่ทำน้อยก็จะค่อยๆ เลิก
    มาถึงตรงนี้ ถ้าถือแค่ศีล 5 เฉยๆ จะทำไม่ได้ เพราะกำลังศีลไม่แรงพอ
    ตรงนี้ต้องใช้อุโบสถ์ศีล เท่านั้นถึงจะมีกำลังพอ ลดทางเสื่อมทั้ง 6 ได้
    เขาก็จะเริ่มถืออุโบสถ์ศีลในวันพระบ้าง วันสำคัญบ้าง ตามความประสงค์ตัวเองบ้าง

    ถึงตรงนี้ อัตตา อะไรที่ว่า ก็จะลดๆๆๆๆๆ เรื่องตัวเอง หล่อ ตัวเองสวย อยากกินของแพง
    อยากรวย อยากมีตัง ก็จะลดๆๆๆๆๆ ความอยากลดๆๆๆ
    สังเกตุว่าความอยากทั้งหลาย ลดที่อุโบสถ์ศีล
    ศีล 5 ไม่ได้ลดความอยาก แต่ทำให้ไม่ทำบาปแค่นั้น
    แต่อุโบสถ์ศีลคือตัวตัดกามราคะ ชั้นเยี่ยม

    แล้วเริ่มทำบุญ สร้างกุศล เป็นงานหลัก แต่ถึงตรงนี้ก็จะยังมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
    มั่นใจในความรู้ของตัวเอง ก็คือคนอื่นถ้าไม่ได้รู้จริงทหรือรู้มากกว่าตัวเอง
    ก็จะไม่ยอมรับ ไม่ฟัง ฟังไปแต่ก็อาจไม่เห็นด้วย แต่ไม่โต้ตอบ

    หลังจากนั้นจะเริ่มหาคบที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน เพื่อเริ่มคบบัณฑิต
    เพราะคนพาล เลิกคบไปเรียบร้อยแล้ว เลิกคบคือไม่ค่อยไปยุ่ง สุงสิงมาก
    เพราะเป็นเหตุให้ตัสเองผิดศีลง่าย

    ถึงตรงนี้ก็จะเริ่มหาธรรมที่สูงขึ้นไป อยากมีอภิญญาบ้าง อยากมีฤทธิ์บ้าง
    แล้วเด่วก็จะพบว่า อภิญญามันไม่เที่ยง พอๆ กับ กายของตัวเอง
    มีก็ต้องรักษา รักษาก็ยากพอๆ กับ แชมป์มวยรักษาเข็มขัด
    ก็เริ่มคลายความอยากในเรื่องสมาธิ ฤทธิ เพื่อพบธรรมที่สูงขึ้นไป

    ผมก็มาถึงประมาณนี้แหละ
     
  17. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ในเรื่องของการเสพทางเสื่อมโภคะทั้ง 6 นั้น ก็ยังทำได้ไม่หมด เพราะยากมากกก
    ขอบอกว่ายากจริงๆ โดยเฉพาะสมัยนี้
    แต่พอเริ่มถืออุโบสถ์ศีลก็รู้สึกว่าปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น การเสพทางเสื่อมก็ลดได้เยอะมาก
    ถ้าวันไหนที่ถืออุโบสถ์ ทางเสืี่อม 5 ตัว ก็จะตัดได้หมดเลยในวันนั้น เพราะข้อบังคับของศีล
    ทำให้เราต้องจำใจตัด โดยทั้งๆ ที่ฝืนนี้แหละ (เหมือนจับเด็กอยากเล่น มานั่งเรียน)
    ตอนแรกๆ ก็ต้องไฟค์ มากเลย แต่เพราะถือศีล 5 มาได้ดีแล้ว จึงมีแรงถีบส่งต่ออุโบสถ์ได้
    เพราะฉะนั้น เกมเอย ฟังเพลงเอย ต้องเลิกหมด ขอบอกว่าทรมานมากตอนแรก
    มีอย่างว่าก็ไม่ได้ด้วย ขนาดจะช่วย.ยังไม่ได้เลย

    แต่จะเหลือตัวสุดท้ายที่ยังตัดไม่ได้คือ ความเกียจคร้าน ซึ่งมันมีอำนาจเหนืออุโบสถ์ขึ้นไปอีก
    คือบางทีเราก็ยังมีความขี้เกียจปนๆ บ้าง แสดงว่าอุโบสถ์มีอำนาจตัดทางเสื่อมโภคะได้ 5 ตัว
    แบบทันที แต่ตัวขี้เกียจ จะค่อยๆ ลด จากการที่เราค่อยๆ ปฏิบัติ เพราะเราจะเริ่มขยันมากขึ้น
    ทำอะไรมากขึ้น (แน่นอน ก็การละเล่นอื่น ทำไม่ได้ มันไม่มีอะไรจะทำมัน ในเมื่อวันหนึ่ง
    คนๆ หนึ่งไม่มีอะไรจะทำ จะให้นอนหลับทั้งวันก็คงไม่ได้ มันก็ทำได้อย่างเดียวคือ
    อ่านหนังสือ เข้าเวป ธรรมมะ นั่งสมาธิ วนไปวนมาอยู่แค่นี้)

    เพราะฉะนั้นถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นผมในเวปบ่อย เพราะผมไปเวปไหนไม่ได้เลย
    ผมเข้าเวปอื่นไม่ได้ เข้าได้เวปนี้เวปเดียวนี้แหละ อ่านการตูนก็ไม่ได้ ก็วนเวียนไปมาอยู่แถวนี้แหละ
    แล้วดึกๆ พอมันเงียบก็นั่งสมาธิ ตามความสะดวกของเรา

    ผมถือถึงวันที่ 15 เด่วเลยวันที่ 15 ก็คงจะออกไปลันล้า บ้าง อะไรบ้าง lol
    ก็จะกลับมาถือศีล 5 เป็นปกติ จะว่าดีใจก็ดีใจ เสียดายก็เสียดาย
    คือดีใจ ที่จะได้ให้จิตตัวเองออกไปลันล้าบ้าง
    เสียดายก็เสียดาย เพราะอยากถือต่อ จะว่าไปยิ่งถือ ก็ยิ่งมันส์ (จะว่าชอบสาดิสก็ได้นะ ><)

    ทำบุญก็ทำทุกวัน ยกเว้นวันที่ติดจริงๆ พอทำบ่อยๆ มันก็ชิน
    มันจะออกไปลานตะเวนหาพระที่เดินบิณฑบาต บางวันเราก็เตรียมอาหาร มาอย่างดี
    ทำเองบ้าง ซื้อที่น่าทานมาบ้าง เพื่อรอลุ้นว่า วันนี้จะได้ถวายให้พระองค์ไหน
    บางทีก็เจอพระธุดงธ์ด้วย วันนั้นจะโชคดี เพราะนานๆ จะเจอ
    ล่าสุดจอพระธุดงธ์ ท่านก็ให้กำไลมือแก่เรา ก็เก็บไว้
    แต่ก็เอาไปให้น้องต่อ น้องมันยังถือศีล 5 ไม่ได้
    เอาไปให้มันใส่ จะได้เตือนสติมันบ้าง

    คือรอกระทู้แบบนี้มานานละ ยังไม่มีใครตั้ง
    อยู่ดีๆ มาตั้งกระทู้เล่าเรื่องตัวเอง มันคงแปลกๆ
    แต่บางทีเราทำอะไร เราก็อยากเล่า อยากแชร ให้คนอื่น (อยากเมาท์นั้นเอง)
    เป็นการดีเลย ที่ จขกท ตั้งกระทู้นี้มา

    ไหนๆ ก็เล่าเรื่องของผมเยอะแล้ว ขอฟังของ จขกท บ้าง
     
  18. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    เพราะบางที เราก็อยากฟังประสบการณ์ตรงบ้าง
    บางทีเราอ่าน โน้นนั้นนี้ มาเยอะแล้ว
    เราก็อยากฟังภาคปฏิบัติของคนนั้น คนนี้

    ผมนะแปลกใจมากเลย เวลาตั้งกระทู้ถาม
    แล้วชอบมีคนมาบอกให้ไปปฏิบัติ
    อะไร? เขาอยากคุยประสบการณ์กัน มาบอกให้ไปปฏิบัติ...

    ปฏิบัตินะ ปฏิบัติอยู่แล้ว ไม่งั้นไม่มาอยู่ในเวปนี้หรอก
    ก็อยากถามกลับนะ แล้วคุณละ ปฏิบัติอะไรบ้าง
    แต่ก็ไม่ถามเพราะมันเสียมารยาท...

    เค้าถามความเห็นก็มาบอกให้ไปปฏิบัติ
    ปฏิบัติอะไร?? ไม่ได้ถามสักหน่อยว่า ผมปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติดี....
    เฮ้อออ...
     
  19. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ..............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2014
  20. comxeoo

    comxeoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +214
    ถูกใจจังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...