คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์ The Communist Manifesto

<img src="http://img338.imageshack.us/img338/9236/comzw5ab2.jpg"
21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2391 คาร์ล มาร์กซ (Karl Heinrich Marx) และฟรีดริช เองเกิลส์ (Friedrich Engels) นักทฤษฎีคอมมิวนิสต์ ได้ทำการตีพิมพ์หนังสือ "คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์" (The Communist Manifesto หรือจากชื่อต้นฉบับ ภาษาเยอรมัน Manifest der Kommunistischen Partei) โดยหนังสือเล่มนี้ ถือได้ว่าเป็นหนังสือ ที่มีอิทธิพลสูงที่สุด ในประวัติศาสตร์โลก

คาร์ล มาร์กซ (Karl Heinrich Marx) และฟรีดริช เองเกิลส์ (Friedrich Engels) นักทฤษฎีคอมมิวนิสต์ ที่มิใช่แค่นักทฤษฎีทางสังคม และการเมือง แต่พวกเขายังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ในการจัดตั้ง "กลุ่มกรรมกรนานาชาติ" (International Workingmen's Association)


และผลงานหลักของเขาคือ บทวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ ที่มองผ่านทางการปะทะกัน ระหว่างชนชั้น โดยกล่าวสั้น ๆ ได้ดังคำนำในหนังสือ "คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์" (The Communist Manifesto) ว่า "ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ ระหว่างชนชั้น" ซึ่งผลงานชิ้นนี้ นับได้ว่าเป็นงานเขียน ที่เป็นแกนหลักของการเคลื่อนไหว ในแนวทางลัทธิคอมมิวนิสต์, สังคมนิยม, ลัทธิเลนิน และลัทธิมาร์กซ

ก่อนที่จะเป็น "คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์" นั้น พวกเขาได้ร่วมกัน เขียนบทความชื่อ "อุดมการณ์เยอรมัน" (The German Ideology) ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ ปรัชญาของเฮเกิล และกลุ่มนิยมเฮเกิลรุ่นใหม่ หลังจากนั้นมากร์ซ เขียน "ความอับจนของปรัชญา" (The Poverty of Philosophy) ซึ่งวิพากษ์ความคิด สังคมนิยมสายฝรั่งเศส โดยบทความทั้งสอง วางรากฐานให้กับ "คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์" (The Communist Manifesto) อันเป็นผลงาน ที่กลุ่มสมาพันธ์คอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้อพยพ ชาวเยอรมันที่มาร์กซ ได้พบที่ลอนดอน (London) ได้ร้องขอให้เขียน ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2391

หนังสือเล่มนี้ ได้วางเป้าหมายของสหพันธ์และโปรแกรม สำหรับการดำเนินการหนังสือ "คำประกาศ" ได้แนะนำแนวทางของกิจกรรม เพื่อการปฏิวัติของชนกรรมาชีพ ที่จะโค่นล้มระบบทุนนิยม และสร้างสังคม ที่ปราศจากชนชั้นในสุด


บทนำเริ่มต้นด้วยการเรียกระดมพล : "วิญญาณตนหนึ่งกำลังหลอกหลอนยุโรป

 

ภาวะชนชั้น ไม่ใช่การแบ่งแยกโดยมีตัวบทกฏหมายรองรับ

ภาวะชนชั้น คือ ภาวะของกรรมที่แต่ละคนทำกัน และรับวิบากที่ตนกระทำนั้น

การยกภาวะชนชั้นเป็นธงนำ ฤาแบ่งแยก เพื่อให้ได้มาซึ่งความเท่าเทียม จึงเป็นเรื่องไม่ใช่ฐานะที่เป็นได้

เพราะไม่ว่า จะทำให้การกระจายของสิ่งใดๆ ลงสู่มนุษย์ผู้ไม่รู้จักภาวะกรรมที่ควรกระทำ จะรักษาสิ่งที่ได้กระจายนั้นไว้ได้อย่างไร เขาย่อมไม่อาจรักษาไว้ได้ เพราะไม่ได้ก่อกรรมดี ให้มีวิบากผลดีแก่ตัวเลย

การยกคำว่า ชนชั้น จึงเป็นเลห์กระเทห์หลอกลวง ที่ใช้ศัพท์บัญญัติ มาแบ่งแยกกลุ่มชน มาบังตา มาบังจิตอกุศล มาบดบังกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากแสดงทิฏฐิในการจัดการอย่างสมมติเท่านั้น ไม่ได้พิจารณาปัจจัยที่แท้จริงให้ครบครอบรอบด้านแต่อย่างใด

กลุ่มชนใด จะเดินหน้า หรือหยัดยืนอย่างมั่นคง มิใช่เพราะเขามีโภคทรัพย์บริบูรณ์ เท่าเทียม เพราะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ เพราะผู้ละโมภ โลภมาก ตะกระ ย่อมไม่อาจรักษาสภาพบริบูรณ์เท่าเทียมให้เกิดขึ้นโดยตลอดได้เลย

กลุ่มขนใด จึงเดิน หรือหยัดยืนอย่างมั่นคงได้ ก็เพราะ ผู้นำที่มีคุณธรรมในการปกครอง ต่างหาก ที่สรรสร้างความเท่าเทียมให้เกิดได้ในดวงใจ เท่าเทียมเสมอกัน แม้ร่างกาย เพส ทรัพย์ อำนาจ และเกีรยติจะเหลื่อมล้ำกันก็ตาม

 

ดูท่าทางน่าจะมีขายอยู่นะ ถ้าผมซื้อมาผมจะกลายเป็นคอมมูนิสต์ัมั้ยเนี่ย

 

มาร์กซ์และแองเกิ้ล ถูกทุนนิยมแก้โดยให้สวัสดิการ ให้สหภาพเกิดขึ้นต่อรองได้ ต่างๆ
ทำให้ชนชั้นแคบลง และใช้กฏหมายมาเป็นเครื่องมือให้ทุกฝ่ายยอมรับ
คอมมิวนิสต์จึงเหลือประเทศน้อยลงทุกทีที่ใช้ลัทธินี้และก็ไม่มีหนทางบรรลุเป้าหมายคือการไร้รัฐ
ปัจจุบันรัสเซียก็แย่ทางเศรษฐกิจ จีนมาปรับใช้ทุนนิยมผสมจึงรอดได้
ยุโรปตะวันออกก็กลายเป็นทุนนิยมแทบจะหมดแล้ว
สรุปว่าคอมมิวนิสต์แพ้ก็ว่าได้
คนชนะคือทุนนิยมที่ครองโลกอยู่ในเวลานี้

 

ผมอยากให้โลกปกครอง โดย The NEOCommunism มากกว่าอ่า

 

ไม่แพ้ยังไงไหว

เอาง่ายๆ แค่เรื่องการปฏิรูปที่ดิน ที่เขาชอบชูประเด็น

ถ้าเป็นศักดินา ก็ยึดที่ดิน จากข้าหลวงมาแจก

ถ้าเป็นทุนนิยม ก็ยึดที่ดิน จากนายทุนมาแจก

แจกใคร ?

แจกตาสีตาสา ที่ทำนาไม่เป็นไม่คล่อง ให้ถือไว้
เพื่อความเท่าเทียมกันในการมีทรัพย์สิน
( ตอนหลังแก้เป็นของรัฐเป็นผู้ถือ แล้วมันต่างจากขุนนางถือไหมนี้ )

มองภาพออกไหมว่า ผืนนาถูกแบ่งเป็นแปลงย่อยๆ แบ่งหน้าที่ หรือ สิทธิ ตามแต่จะคิด

ใครขยัน ใครก็ทำ ใครไม่ขยัน ก็เน่า แมลงลง เสียหายหมด

ไปบังคับว่าต้องทำนะ ต้องขยันพร้อมกันหมด แรกๆก็หว่านล้อม

ไม่ทำก็เฆี่ยน ก็เริ่มละ ความไม่เท่าเทียม และยังไงๆ ก็เท่าเทียมไม่ได้

เพราะอะไร เพราะคนเรามีสังขาร จึงมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
( นี่ยังไม่รวมปัจจัยของครอบครัว - สังคมปฐมภูมิเลย ซับซ้อนกว่าอีก )

ใช่ว่าจะเอาเรี่ยวเอาแรงมาเค้นทำงานได้ตลอด

คนนะ ไม่ใช่เครื่องจักร ที่จะอยู่ยงคงกะพัน ไม่แปลผันตาม อุตุ อาหาร กิเลส และ ....

 

ลัทธิคอมมิวนิสนั้นโดยความเป็นจริงเป็นลัทธิที่ต้องการให้ไม่เกิดช่องว่างในสังคม คือจนก็จนเหมือนกัน รวยก็รวยเหมือนกันหมด ส่วนลัทธิของชนชั้นและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้นเป็นลัทธิความเหนือกว่าทางเผ่าพันธุ์ ของชาล์น ดาวิน (หนังสือเรียนสังคมช่วงชั้นที่ 4 ได้อธิบายเชิงแบบนี้นะครับ ส่วนที่ไม่ต้องการให้เกิดช่องว่างนั้น อาจารย์ของผมเป็นคนพูด แต่สิ่งใดก็ตามที่ได้มาโดยการต้องเบียดเบียนใครสักคน ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสกปรก)

 

จะยกอุดมการณ์ ให้ดีอย่างไรก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติ มันไม่มีทางเป็นไปได้

เหมือนกับพระสัทธรรม อันนี้คิดเชิงอุดมการ์ก็ถือว่าเลิศ

มหายานเขาก็นิยมแล้วเอาไปนิยาม แต่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จ

เหตุนั้นเพราะอะไร

ศรัทธามันไม่เสอมกัน

ศีลมันไม่เสมอกัน

ปัญญามันไม่เสมอกัน

รวมเรียกว่า มีผ้าคคลุมตา

เรียกสั้นๆว่า ปุถุชน

* * * * * * *

ถ้าตอบโจทย์ได้

ก็ต้องทำให้ศรัทธาเสมอกัน .... ใช้อะไรนำละ

ก็ต้องทำให้ศีลเสมอกัน.... ใช้อะไร กำกับ ละ

ก็ต้องทำให้ปัญญาเสมอกัน.... ใช้อะไร รู้ชัด ละ

 

แบบนี้ดิ ก็เอาคอมมิวนิสต์ลูกผสมตามแบบข้างบนน่ะครับ เอาข้อดีมารวมๆกันสิ แต่ผมได้แนวคิดนี้มาจากคอมมิวนิสต์แบบผ่อนผันของจีน

 

The NEOCommunism

แปลว่าอารายคับ อธิบายหน่อย ติดใจกับคำนี้อ่ะ 55

 

คอมมิวนิสต์ผสมน่ะครับ คือว่าไม่ได้ดำรงอยู่ในแบบแผนแท้ซะทีเดียว แต่ได้นำระบอบอื่นมาผสมผสานไปด้วยเพื่อความยืดหยุ่น แต่ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์แบบเพียวๆ ล่ะก็ ประเทศพังแน่นอน ตัวอย่างเช่นประเทศในแถบอเมริกาใต้บางประเทศ (เอ... ถูกรึเปล่านะ) แต่ไม่ใช่กับจีนแน่ๆ ทางจีนกำลังผลิตของเขาสูง ดังเห็นได้จากตัวหนังสือครอบจักรวาลที่เห็นได้เกือบทุกที่ "Made in China" เพราะว่าคนเยอะ ค่าแรงถูก เรื่องความประณีตลืมไปได้เลย แต่บางอย่างเขาก็ทำคุณภาพดีนะ ทำให้พวกยุ่น แล้วไอ้ยุ่นก็เอาไปแปะ "Made in Japan" ให้เราหลงผิดไปซื้อมัน แต่บางอย่างมันก็ทำโดยพวกยุ่นจริงๆ อย่าไปเหมาซะทีเดียวว่าจีนทำหมด

 

Neo = New อ่ะครับ

ดังนั้น NEOcommunism = ลัทธิคอมมิวนิสสายพันธุ์ใหม่ นั่นเองครับ

 

สุดยอดคับ 55 (good) (good)

 

ยุคสมัยของการผัดวันประกันพุ่ง ไม่ยอมตัดสินใจเด็ดขาด ปลอบใจตนเอง คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการอ้อยอิ่ง ได้ปิดฉากลงแล้ว และ เรากำลังล่วงเข้าสู่ ยุคแห่งการรับผลจากสิ่งที่เราก่อไว้

 

จริงๆระบบนี้ คนคิดเขาคิดได้ดีแต่คนนำไปใช้ไม่ได้เรื่อง ก็เหมือนกับระบบที่เราใช้อยู่นี่แหละ มันดีแต่คนนำไปใช้ไม่ได้เรื่อง

 

โลกแห่งความเป็นจริงยังต้องมีสองชนชั้นเป็นพื้นฐานอยู่ดีคือชนชั้นปกครองกับชนชั้นถูกปกครอง คอมมิวนิตย์เองยังแบ่งเลย

 

ประเทศที่เจริญแล้วเขาอยู่บนพื้นฐานของสังคมนิยม คือ สะสมแต่พอเหมาะพอควร ไม่เบียดเบียนสังคม มีสำนึกต่อสังคมสูง ต่างจากประเทศเราคนไทยนักการเมืองไทยเอาประโยชน์แต่เฉพาะตน

ชาติยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น
เขามีกฎหมายมรดก คือ ใครที่รวยมากๆเมื่อถึงคราวโอนมรดกให้ลูกหลานก็ต้องแบ่งให้รัฐครึ่งนึง ลูกหลานครึ่งนึง
ทำให้ไม่รู้จะโกงชาติบ้านเมืองไปทำไม กอบโกยไปทำไม

บ้านเมืองไทยปัจจุบันนี้ก็เลยเปนลักษณะที่ผูกขาด
อำนาจรัฐมีแต่คนรวยมากๆๆเท่านั้นที่มีสิทธิถือครอง
พอมีอำนาจรัฐก็เอามาสร้างความรวยให้มากๆๆๆอีก
ด้วยวิธีการค้าแบบผูกขาด ไม่ใช่การค้าเสรี
ความรวยก็ไม่กระจายออกไป มากระจุกตัวที่กลุ่มที่ครองอำนาจรัฐ

 

มันลำบากนะสิเวลามองออกไปยังสังคมโลก

จริงอยู่ระบบอาจจะทำให้ดูดี สงบ พอเพียงแบบกำกับ

แต่ชาติมันไม่รวย คนในชาติก็ไม่ขวนขวาย เทคโนโลยีใหม่
มาก็ใช้ไม่เป็น ปืนใหม่ๆเข้ามายิง ยึดได้ก็ใช้ไม่เป็น นึกภาพออก
ไหมว่า โอกาสโดนรุรานด้วย เศรษฐกิจ(การค้า) สังคม(ภาพยนต์)
และการเมือง(ทหาร) มันจะปิดประตูแพ้เอา

เราก็เลยเห็นการตื่นของโลกสังคมนิยม ที่พยายามปรับตัว ปรับ
ทั้งองคาพยพ(ประชาชน สังคม การศึกษา ภาษาฯ) ที่ปรับตัวทัน
ก็มีจีน แต่ไม่ใช่เพราะปรับตัวทัน คือ ทุนหนา ส่วนรัสเซียก็แตก
เพราะหมดทุน เพราะไม่อาจรวมความเป็นรัฐสหได้อย่างเดิม

แต่จีนนี้อีกหน่อยก็ต้องเปลี่ยน เพราะไปสร้างความแตกต่างของมนุษย์ไว้เยอะ
คนเก่งก็เก่งสุดขั้วกระจุกหนึ่ง รออีก 20 ปี คนกลุ่มนี้จะมีอทธิพลในพรรค เมื่อ
ไหร่ก็เมื่อนั้น ต้องมีการก้าวกระโดดอีก

 

คือสังคมที่ทุกคนรู้เท่าทันทุนนิยม นักธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรเป็นอาชีพจะเปนดังกาฝากสังคม ในระบอบการปกครองนี้

และในทางตรงกันข้าม ชาวนาและศิลปินในแขนงต่างๆ จะเป้นอาชีพที่ได้รับการยกย่อง โดยเฉพาะชาวนา นั้นถือเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติและน่าภาคภูมิอันสูงสุด "เคียว"จะเป็นสัญลักษณ์อันสูงส่งมีค่าแก่การเชิดชู(good)