จิตต่อจิต ธรรมต่อธรรม ค้ำจุนพุทธศาสน์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย queenie, 21 มกราคม 2008.

  1. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    (*) สวัสดีทุกท่านที่แวะเข้ามาในกระทู้นี้ค่ะ ตั้งใจทำให้กระทู้นี้ไว้เป็นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการฝึกปฏิบัติจิตใจ การเจริญกรรมฐาน ในแง่มุมที่พวกเราได้ทำได้ทดลองได้พิสูจน์จริง อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็เอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ เพื่อยังประโยชน์ต่อกัน อาทิ บางท่านนำกรรมฐานกองนี้ไปใช้ หรือบางท่านเอาคำแนะนำของครูบาอาจารย์ไปใช้แบบนี้ แล้วได้ผลเช่นนี้ เป็นต้น

    เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ในยามใดที่เราฟังธรรมหรืออ่านหนังสือ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเดียวกันก็ตาม ทว่าแต่ละรอบเราจะมีความเข้าใจชัดเจนมากน้อยแตกต่างกันตามสติปัญญาและกำลังใจของเราในเวลานั้น บางขณะเราเคยมองข้ามคำบางคำไป แต่คราวนี้คำคำนั้นแหละคือคำตอบที่เราหามานานแสนนาน หรือจู่ๆ ก็เกิดรู้สึกลึกซึ้งในคำๆนั้นมากขึ้นมา ทั้งๆ ที่เคยผ่านหูผ่านตามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็มี แต่ถ้าเราได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน จะช่วยทำให้เราได้มองเห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ได้เห็นสิ่งที่เราก้าวข้ามไป หรือแม้แต่ได้เข้าใจในสิ่งที่เราคิดว่าเราเข้าใจ (ผิด) มากขึ้น ได้ เห็นข้อคิดต่างๆ ของกันและกัน แล้วนำมาปรับใช้ในการปฏิบัติของเรา

    ที่สำคัญยิ่งสำหรับผู้ที่ขาดโอกาสได้พบหรือใกล้ชิดครูบาอาจารย์ (เพราะครูบาอาจารย์ท่านที่ดีจริงๆ ก็มีผู้คนห้อมล้อม หรืออยู่ไกลแสนไกล ยากที่เราจะมีโอกาสให้ท่านชี้แนะอย่างใกล้ชิดได้ แม้บางครั้งได้มีโอกาสใกล้ชิดท่าน แต่เอาเข้าจริงก็ถามไม่ออกก็มี มัวแต่ปิติดีใจ ลืมหมดเลย !) เมื่อเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งจากการปฏิบัติของตน ก็จำเป็นต้องพิจารณาใคร่ครวญว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้อง ตรง ตามแนวทางของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ จึงจำเป็นต้องมีผู้ช่วยชี้แนะ ช่วยแก้ไขข้อผิดพลาด ช่วยบอกทางที่ถูกที่ตรงให้ ในลักษณะของ “จิตต่อจิต ธรรมะต่อธรรมะ” เพื่อเราจะได้ข้ามสิ่งที่ติดขัดนั้นไปได้ มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติในขั้นต่อไป จนเกิดปัญญาเข้าถึงธรรมอันสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้ในที่สุด

    queenie จึงขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยดลบันดาลให้มีผู้รู้ ผู้เป็นสัมมาทิฐิ ที่มีประสบการณ์จากการปฏิบัติตามพระธรรมของพระพุทธศาสดาจริง แล้วได้รู้แจ้งแล้วในธรรมที่ตนได้ปฏิบัตินั้น มีจิตเมตตาสงเคราะห์ ช่วยชี้แนะแนวทางให้เราได้อย่างเหมาะสมตามแนวทางของพระพุทธองค์ สิ่งใดที่ติดขัดก็จะได้ผ่านพ้นไปได้ สิ่งที่เฉไฉใหลหลง ก็จักได้แก้ไขปรับปรุงให้ถูก ให้ตรง ตามหนทางไปสู่มรรคผลที่ตนพึงปรารถนาสืบไป

    (ตอนหลัง queenie อธิษฐานจิตเพิ่มเติมว่า หากข้อคิด ข้อปฏิบัติ ข้อธรรม ในกระทู้นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อนักปฏิบัติทั้งหลายต่อไป ยังประโยชน์แก่พุทธศาสนาและประเทศชาติ ก็ขอบารมีท่านทั้งหลาย ช่วยดลบันดาลให้สมาชิกใหม่ได้เข้ามาในกระทู้นี้ ขอให้มีผู้ทรงภูมิปัญญาทางธรรมโดยชอบแล้ว เมตตาสงเคราะห์ในธรรมทานแก่พวกเรา และขอให้ผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ทุกท่านมีสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา มีความเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ...แหมตอนอธิษฐานขนลุกซู่เลยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ)(*)

    อันที่จริงก็มีกระทู้ลักษณะเช่นนี้อยู่เยอะในเว็บค่ะ แต่บางครั้งก็กระจัดกระจายไปตามกระทู้ต่างๆ จน queenie มึนหัว คิดจะกลับมาอ่านอีกทีก็หาไม่เจอซะแล้ว หรือจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน เลยคิดว่าถ้าคำแนะนำของท่านใดตามกระทู้ต่างๆ ที่เห็นว่าน่าสนใจและมีประโยชน์ queenie ก็จะขออนุญาตเก็บมาโพสต์ไว้แบ่งปันกันในนี้ด้วยจึงขอกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในธรรมทานของทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ และขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ
    (*) (*) (*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  2. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    เมื่อแรกเริ่ม...

    (*) เมื่อแรกเริ่ม...
    Queenie เปรียบตัวเองในยามนี้เหมือนไก่อ่อน แต่เริ่มเดิมทีนั้น queenie ก็เปรียบเสมือนตัวตนที่ยังอยู่ในไข่อันคับแคบและมืดมน ที่ต่อมาก็ถูกหลวงพ่อเคาะดังโป๊กให้เปลือกมันแตก (ด้วยความเหลือเชื่อที่ไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้วของหนังสือเพียง 2 เล่ม เล่มแรกเกี่ยวพันกับลูกศิษย์เอกอันดับต้นๆ ของท่าน จนทำให้เราต้องมาตามหาเล่มที่ 2 ของหลวงพ่อที่วัดท่าซุง...ว่าไปแล้วเรื่องมันยาวน้อ ช่างมันเถอะ) ทำให้แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาตามรอยแตกนั้น แล้วด้วยเดชะบุญช่วยบันดาลให้เจ้าลูกเจี๊ยบน้อย ตัดสินใจก้าวออกมาจากที่มืดที่ตนเคยคิดว่าเป็นที่อันสุขสงบและปลอดภัยดีแล้ว ออกมาสู่แสงสว่างภายนอก จนได้มาพบเจอกับโลกอันกว้างใหญ่
    (^)
    บนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นเต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนใจมากมาย หากไม่ได้แม่ไก่และเพื่อนพี่น้องช่วยนำทางแล้วไซร้ เจ้าลูกเจี๊ยบน้อยหน้าใหม่นี้ ก็คงเดินเตาะแตะสะเปะสะปะ หลงใหลไปกับแสงสีสิ่งยั่วเย้านานา จนตกเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายไปในที่สุด คงจะไม่ได้ผุดได้เกิดมาเป็นลูกเจี๊ยบเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน
    : bat:
    ลูกเจี๊ยบในวันนั้นเติบโตขึ้นท่ามกลางหมู่มิตรสหายมากมาย ที่มีเมตตาช่วยประคับประคอง สั่งสมกำลังจนเติบใหญ่ เป็นลูกไก่ที่เริ่มจะรู้ทิศรู้ทาง พอจะตีปีกหากินเองได้บ้าง แต่ก็ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะโก่งคอขัน สยายปีกช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้น จากสารพัดสัตว์ร้ายอันมีอยู่มากมายในโลก หรือช่วยเหลือพวกพ้องได้

    วันนี้ลูกไก่น้อยตัวนี้ จึงต้องมาเปิดกระทู้นี้ เพื่อสั่งสมบ่มเพาะสรรพาวุธทางปัญญา สร้างกำลังใจ เสาะหาผู้เป็นเลิศทั้งหลาย กับทั้งมิตรสหายในทั่วหล้า จักได้เติบโตเป็นขุนไก่ผู้เก่งกล้าในกาลข้างหน้าสืบไป
    (*) : bat: (*) ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  3. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ในกาลปัจุบัน...

    ในกาลปัจุบัน (เลยดีกว่าน้อ!)...
    (*)
    หลังจากมะงุมมะงาหราเมื่อตอนออกจากไข่มาใหม่ๆ ก็ไม่รู้เหนือรู้ใต้หรอกค่ะ จะเริ่มตรงไหนก่อน เห็นปลาตัวนั้นดีก็จะเอา อุ๊ยตัวนั้นอ้วน อุ๊ยตัวนั้นโต อุ๊ยตัวนั้นสวย อุ๊ยๆๆๆ ซะจนหนังสือ ซีดีกองท่วมหัว แต่ก็จับปล่อยจับปล่อยอยู่อย่างนั้น เพราะกะกินตัวอ้วนๆ ใหญ่ๆ ทีเดียว แล้วจะเหาะไปคุยกับเทวดา ไปนอนยิ้มหวานอยู่บนพระนิพพานได้เลย สรุปก็คือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  4. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ต่อมา...

    ถ้าจะถามหายาแก้กันมันก็ว่ากันตายตัวเลยไม่ได้หรอกค่ะ คงต้องเอาสูตรที่ queenie เคยลองไปปรับใช้กันเอาเอง เพราะด้วยเดชะบุญของเจ้าไก่อ่อนตัวนี้ หลังจากที่มันวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่ จับปลาตัวนั้นตัวนี้จนเหนื่อยอ่อน แต่ไฟก็ยังเผาผลาญตัวมันไม่ได้หยุด กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนคนทักว่าทำไมไปวัดมาแล้วดูโทรมจังเลย เขามีแต่ทำสมาธิแล้วจะนอนหลับสบาย แต่ไอ้ไก่ตัวนี้ทำสมาธิจนนอนไม่หลับยันเช้า ตาโหลไปทำงานเป็นอาทิตย์เลย ในที่สุดก็อ่อนล้าทั้งกายใจหมดเรี่ยวหมดแรง นั่นแหละสติมันจึงเกิด สติมันบอกว่าเอ็งต้องทำอะไรผิดหรือเข้าใจอะไรพลาดอย่างแน่นอน ตอนนั้นเจ้าไก่อ่อนมันหมดแรงแล้วนี่ มันก็ยอมรับ แล้วมันก็ตั้งสติใหม่ ค่อยๆ คิด ค่อยพิจารณา ตามลำดับ มันเริ่มจับได้ว่า มีปลาสวยงามอยู่ตัวหนึ่งที่เราเคยจับไว้ ปลาตัวนั้นบอกอะไรพูดอะไรเราก็เชื่อหมดทำตามหมด เรียกว่าเชื่อหมดใจไม่เคยสงสัยแม้สักถ้อยคำ และแม้ว่าเราจะไปจับปลาตัวใดก็ตาม ไม่ว่าปลาตัวไหนจะพูดจะบอกอะไรก็ตาม เราจะต้องกลับไปถามเจ้าปลาแสนงามนั้นเสมอว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าถูกต้องตรงกันแล้วไซร้เราจึงเชื่อ เมื่อคิดได้เช่นนั้น มันก็คิดได้ว่า เอ๊ะแล้วนี้เรามานั่งโง่จับปลาให้เหนื่อยอยู่ทำไม ในเมื่อเรามีเพียงปลาแสนงามนั้นเพียงตัวเดียว เราก็อิ่มเราก็พอแล้วนี่
    (tm-love)
    ปลาทั้งหลายนั้น ก็คือหนังสือและซีดี ต่างๆ ที่กองท่วมหัว queenie นี่เอง แล้วเราก็ไปฝึกทุกสิ่งอย่าง ทั้งยุบทั้งพอง พุทโธ เดินช้าเดินเร็ว ตั้งแต่หนึ่งถึงหกเสต็ปจากสำนักต่างๆ เดี๋ยวจับลม เบื่อก็จับพระ เบื่อก็จับกรรมฐานกองโน้นกองนี้ แล้วแต่เล่มไหนเขาว่าไง ก็หลับหูหลับตาทำ ใครเขาว่าทำแบบนั้นจะได้อย่างนี้ ทำแบบนี้จะเห็นแบบนั้น ก็ทำไป โดยไม่ได้ดู ไม่ได้พิจารณาตัวเอง ในที่สุดก็ต้องซมซานกลับมาหาตำราหลวงพ่อ เปิดซีดีที่ฟังทุกเช้าเย็นในรถ แต่คราวนี้ ตั้งสติฟังใหม่
    (*) (*) (*) (*) (*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  5. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ตัวใหญ่ๆหนาๆหน่อยแบบนี้ใครจะอ่านไหว
     
  6. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    รู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการให้ธรรมทาน DVD ธรรมะ หลวงพ่อฯ กับพี่เอ๋ซึ่งได้ขอมานานแล้วได้ส่งไปเมื่อวันที่ 15/06/50
    จนวันนี้ได้แจกไปแล้วมากกว่า 600 ชุดทั่วโลก

    ธรรมะของหลวงพ่อฯนั้นเป็นธรรมะที่ครบสมบูรณ์ครอบคลุมมากที่สุดเลยก็ว่าได้
    จนถึงวันนี้ผมก็ยังฟังไม่หมด ซึ่งมีด้วยกันพันกว่าไฟล์ ก็ทะยอยฟังไปเรื่อยๆ ผมก็มีเทคนิคให้เวลาไม่มีเวลาฟังมากนัก ก็คือ ตั้งจิตอธิฐานขอหลวงพ่อฯให้รับฟังธรรมที่ตรงกับจริตของเรา ณ เวลานี้ด้วยเืทอญ แล้วก็ใช้โปรแกรมให้ random ไฟล์เสียง

    ธรรมะของหลวงพ่อฯนั้นช่วยให้เราหายโง่ ดังนี้

    ต่อตนเอง
    - ช่วยคลายความสงสัยในข้อธรรมต่างๆแ่ก่้เรา
    - ช่วยทิ่ิ่มแทงกิเลสที่ฝังอยู่ในจิตของเรา
    - ช่วยขัดเกลาจิตใจเรา
    - ช่วยให้เรารู้จักการปล่อยวาง โดยมีพระนิพพานเป็นเบื้องปลาย

    ต่อผู้อื่น
    - ช่วยให้เรามีจิตเมตตาต่อเหล่าสรรพสัตว์ ไม่มีที่ประมาณ
    - ช่วยให้เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น (เอาใจเขามาใส่ใจเรา)
    - ช่วยให้เรามองเพื่อนร่วมโลกให้เหมือนญาติ พี่น้องของเรา

    ผมเชื่อว่าถ้าฟังธรรมะของหลวงพ่ออย่างตั้งใจแล้วน้อมนำไปปฎิบัติอย่างจริงจังนั้นพระนิพพานก็อยู่ไม่ไกลจากใจของเรา

    _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2008
  7. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ปฏิบัติมาคล้ายๆกัน นักปฏิบัติแบบเราที่ทำด้วยใจรักและใจไม่ถึงพอที่จะไปหาครูบาอาจารย์ให้สั่งสอนอ่านแต่ตำราก็อย่างนี้แหละ ตอนแรกทำมาแบบนี้ดีๆ พอไปอ่านอีกเล่มหนึ่งเกิดศรัทธาก็เปลี่ยนวิธีอีก ก็เลยไม่สำเร็จซะที จากวิปัสสนาก็กลายเป็นวิปัสนึก นึกเอาเองแบบนี้ถูกแบบนี้ก็ถูกอีก เอาแบบไหนดี พอเวลานั่งก็ฟุ้งซ่าน เริ่มต้นด้วยพุทโธ ผ่านไปยุบหนอพองหนอ สักครู่สัมมาอรหังและพูทธัง สรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ก็เลยไปกันใหญ่ พอตอนหลังเริ่มกล้าเข้าหาครูบาอาจารย์ เลยเริ่มดีขึ้น แต่ตอนนี้ก็ฝึกเพื่อที่จะรู้ใจตัวเองอย่างเดียว พอแล้วล่ะ
    แต่ขอบอกว่าคงเหมือนกับใครหลายๆคนที่ขึ้นมายืนอยู่บนปากเหวนรกได้ก็เพราะหนังสือของหลวงพ่อฤาษีนั่นแหละ อ่านแล้วอ่านอีกอ่านหลายๆรอบแบบคุณว่านั่นแหละ บางทีก็โดนใจจนปีติเกิดให้ขนลุกซู่น้ำตาไหลไม่รู้ตัวว่าเรานี้โง่จริงหลงเวียนว่ายในสังสารวัฏอยู่ได้ เมื่อไหร่หนอถึงจะไม่ได้เกิด..มากแล้วขอหยุดพร่ามแค่นี้ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน
    ขออนุโมทนา
     
  8. Khundeaw

    Khundeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    339
    ค่าพลัง:
    +706
    (good) ดีนะครับทุกท่านที่เข้ามาแนะนำแนวทาง.....สำหรับมือใหม่อย่างผมก็อาศัยหน้ากระทู้ต่างๆนี่แหละครับในการศึกษาหาความรู้และแนวทางปฏิบัติธรรมของผม.....
     
  9. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ก็ขอให้กระทู้นี้เป็นกระทู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของคนที่ปฏิบัติตามความตั้งใจของคุณเอ๋ครับ
    แลกเปลี่ยนประสบการณ์นั้นก็คงได้เอาประสบการณ์ข้อผิดพลาดของแต่ละคนมาเขียนเอาไว้เป็นเครื่องนำทาง เป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆต่อไป
     
  10. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    คุยธรรมะกับแม่และญาติๆ

    แม่ผมเขาได้รักษาศีลห้า แบบขาดบ้างคือขาดข้อปาณา ได้ฆ่ามดแมงบ้าง ได้ทานเจมาเป็นเวลาเกือบปีแล้ว และก็เข้าวัดรักษาศีลมากว่า 20 ปี

    และไปทำอะไรที่เขาคิดว่าดีมาหลายอย่าง เช่นไปทางคิวเซเคียว หรือเขาเรียกว่าโยเร ก็ทำมาแล้ว ไปฟังธรรมจากเจ้าแม่กวนอิมเรื่องการกินเจ ก็ไปมาแล้ว แต่ด้านสมาธิก็ยังไม่ยอมเข้าใจ ยังบอกว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้ใจมันฟุ้ง
    ผมได้พยายามอธิบายให้แม่ฟังหลายครั้ง และได้แผ่เมตตาให้แม่เป็นปกติอยู่แล้ว พอมาถึงเช้าวันนี้ถึงได้เข้าใจ วิธีการจับลมหายใจแบบอาณาปานุสติ ก็เลยเชิญเทพ พรหมเทวดา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และทุกดวงจิต ร่วมอนุโมทนาด้วย
    เหตุที่ไม่ยอมเข้าใจเพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรเก่ายังขวางทางเอาไว้ ไม่ยอมให้เข้าใจ คนเรานี่จะพูดกรอกหูสักร้อยครั้งหากแต่ก็ยังไม่ยอมเข้าใจ เพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรขวางอยู่
    มาถึงวันนี้แม่ผมเขาเข้าใจดี คงเป็นบุญกุศลที่เคยเกื้อหนุนกันมาลูกทำแม่ได้ ด้วย พี่น้องก็จะได้ตามๆกันไป
    แม่บอกว่า นี่เพิ่งเข้าใจว่าเขาทำกันแบบนี้ วันนี้เอง ขนาดว่าเข้าวัดมากว่า 20 ปีแล้วนะ ไอ้เรานี่ไปนั่งหลับตาจะเอาให้ได้อยู่อย่างนั้นแหล่ะ

    คนเรานี่เมื่อถึงวาระที่เจ้ากรรมนายเวรเปิดทางก็จะรู้ได้
    ตราบใดที่เขายังขวางทางก็ยังเข้าไม่ถึง จงแผ่เมตตาเป็นประจำเพื่อเราจะได้ปลดเขาออกไปและจะกลับกลายมาเป็นเพื่อนเราช่วยเกื้อหนุ่นเราภายหลัง

    http://palungjit.org/showthread.php?t=81557&page=73
     
  11. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    เพิ่งได้เข้าใจว่าอาณาปานุสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานกองใหญ่อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำบอกจริงๆ

    ด้วยความรู้แบบเพียงเล็กน้อยก็อยากจะบอกเพื่อนๆที่อาจจะยังไม่เข้าใจว่าอาณาปานุสติกรรมฐานนั้นสำคัญอย่างไร

    อาณาปานุสติกรรมฐานคือการตามดูลมหายใจ จะภาวนาก็ได้ไม่ภาวนาก็ได้แล้วแต่ความสะดวก สำคัญที่ดูลมหายใจว่าตอนนี้เข้า-ออก
    ดูว่ามีกระแสลมไหลผ่านจมูก ไหลเข้า-ออก

    คำถามที่เกิดขึ้นใจในหลายๆคนคือ ---ดูทำไมไม่เห็นจะมีอะไร ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทำไปก็น่าเบื่อ ไปเอากสิณเพื่อสร้างอิทธิฤทธิ์ดีกว่า
    หลายคนก็คงคิดแบบนั้น นั่นมันอาจจะโดดข้ามฐานหลักซึ่งจำเป็นมากกว่า หากไม่มีฐานแข็งแรงบ้านก็คงไม่แข็งแรงเช่นกัน

    การตามดูลมหายใจนั้นทำได้ทุกเวลา ทุกอริยาบท ไม่ว่าจะนอน นั่ง ยืน เดิน วิ่ง ขับรถ แม้ขณะหลับ จึงเหมือนการฝึกใจให้นิ่งๆอยู่อย่างนั้น
    ใจนิ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าไม่คิดนะ คิดแต่คิดในสมาธิ คิดได้แต่ให้ดูลมหายใจไปด้วย เหมือนทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ช่วงแรกๆก็ยากหน่อยสับสนว่าจะคุยหรือว่าดูลมในเวลาเดียวกันได้อย่างไร
    ถ้าให้คิดแบบง่ายๆ ลองนึกถึงตอนทีเราหัดจักรยานใหม่ๆ ตาจะต้องมองเท้าและมองข้างหน้า และกว่าจะคล่องก็ต้องใช้เวลา
    หรือไม่ก็ใครเคยหัดเล่นกีตาร์ก็คงพอจะเข้าใจว่าช่วงแรกนี่ดูนิ้วมือว่าจับถูกสายหรือเปล่า แต่พอคล่อง ก็แทบไม่ได้ดูมือมันไปเอง

    อันนี้แม่ผมท่านก็เพิ่งเข้าใจคำว่าทำได้ทุกขณะและทำได้ทุกอริยาบท ก็ตอนนี้เอง เพราะว่าท่านเคยได้ยินคำว่าทำได้ทุกอริยาบทมานานแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาทำกันอย่างไร นึกได้อยู่อย่างเดียวว่าสมาธิต้องหลับตา ลืมตาทำไม่ได้ แล้วทำทีไรก็ไปนั่งเพ่งไม่เห็นอะไร สักพักก็ง่วง หลับไป

    เชื่อหรือไม่ว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจว่าสมาธิตอนลืมตานี่เขาทำกันอย่างไร ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าต้องไปนั่งหลับตาที่วัดกันทั้งนั้น
    ก็อย่างที่บอกไป เจ้ากรรมนายเวรก็ยังไม่ยอมให้โอกาสเข้าใจสักที

    หากใจนิ่งแล้วทรงอาณาปานุสติได้บ้างแล้ว จะหลับตาหรือลืมตาก็นิ่งได้ทั้งนั้น อันนี้ก็เพิ่งเข้าใจตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านบอกไว้
    พวกเรานี่ก็เหมือนเอาตำรา คำสอน เทป ซีดี ของท่านมาต่อยอด ทำให้ได้ สบายดีไม่ต้องไปค้นคว้าให้เมื่อย ท่านเขียนเอาไว้ พูดเอาไว้เยอะแยะมากมาย เราก็แค่ทำตาม เดินตามท่าน แค่นั้นเอง

    ทราบซึ้งในพระคุณของพ่อยิ่งนัก ปราบปลื้มใจทุกลมหายใจเข้าออก

    http://palungjit.org/showthread.php?t=81557&page=73
     
  12. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    อยากได้ณานสุดๆ เค้าว่าดี ก็ลอง นั่งนิ่งๆ เป็นชั่วโมง อัดมันเข้าไป ยุบหนอ พองหนอ พุทโธ โอ๊ยยังไม่ดี เอ๊าไหนลองไปเดิน ย่างหนอ เหยียบหนอ อยู่ด้วย จนพระอาจารย์จะให้อยู่ถาวร อิอิ แต่สุดท้าย รัก โลภ โกรธ หลง มันไม่ได้น้อยลงไปเลย เหมือนเอาการปฏิบัตินั่งทับเอาไว้ กดมากๆ มันก็ระเบิดตูมขึ้นมา แรงไม่น้อย นี่หรือคนปฏิบัติธรรม

    เค้าบอกว่าไปทำบุญกัน ก็ตามเค้าไป เค้าว่าดีก็เอ๊า บางทีไปเจอ เออน่ะ เหมือนคนแก่ใจดี บางทีก็แย่กว่านั้น ใจก็รวนเรไปมา แต่ละทางก็ว่าดี ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เค้าให้กำหนดอศุภกรรมฐาน กับกายานุสติ ก็ทำจนเห็นคนเป็นกระดูกเดินได้ ดาราเป็นผีตาโบ๋ น้ำเลือด น้ำเหลืองนอง เนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ จนสลายกลายเป็นฝุ่นผง กลิ่นคนมันเหม็นคาวสกปรก แม้กระทั่งตัวเอง ไม่ว่าอาบน้ำแล้วหรือไม่ กลิ่นเครื่องหอม อาหาร มันสกปรกเหม็นคาวไปหมดกินอะไรไม่ลง มีความรู้สึกทนกิน กินไปก็คลื่นไส้ไป แม้กระทั่งน้ำเปล่า มองเห็นร่างกายตัวเองเป็นศพเน่าทรมานมากๆ อยู่หลายเดือน รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น ทรมาน ทรมาน

    วันหนึ่ง พี่พาไปทำบุญที่สายลม ซึ่งเราเคยมาหลายครั้ง ยายก็เคยเอาลูกแก้วมาให้ตอนเด็กๆ ไม่เคยสนใจ หายไปไหนก็ไม่รู้ น้าพามาอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยไปที่วัดเลย จนย้ายที่ทำงานหนีไม่ได้ เลยต้องมาทำบุญทุกเดือน ทำสังฆทานก็ได้หนังสือมา จำไม่ได้ว่าเล่มไหนเล่มแรกจำไม่ได้ แต่อ่านไปนี่เอง คำตอบชีวิต ทำไมนิพพานมันง่ายสุดๆ ทำไม ทำไม เราทำไม่ได้ ทำไมนิพพานมันดีอย่างนี้ ด้วยความที่เห็นความเน่าเหม็นมากก่อน พอหลวงพ่อสอนให้รู้จักนิพพานก็ยิ่งปลาบปลื้ม เออ ที่นี้แหละจะเป็นบ้านของเรา เราจะมีบ้านหลังนี้หลังเดียวและหลังสุดท้ายในชีวิต เป็นที่อยู่ในโลกหน้า(kiss)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  13. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    ฝึกมโนก็ได้ กลับมาบ้านก็ลืม แต่ก็เอาใหม่ เอาใหม่ นั่งสมาธิจนญาณวิ่งขึ้นวิ่งลงแต่บังคับไม่ได้ คุยๆอยู่ตัวแข็ง หายใจไม่ออก เอ๊า ต้องลดลงมา แต่พอตั้งใจทำจริงๆ ทำไมไม่ได้หวา

    ลองใหม่ ทำอารมณ์เดิม ตัวแข็งพูดไม่ได้ หายใจไม่ออกทั้งที่ลืมตา เอาหล่ะฟ่ะ นี่หล่ะ เค้าว่าญาณ 4 ไหนลองเปลี่ยนไฟแดงเป็นไฟเขียวซิ ปิ๊งๆๆๆ ใจนึกเสกทันที แป่ว! ก็ยังแดงอยู่เหมือนเดิม เลยติดไฟแดงแหง๊กๆอยู่ตรงนั้น

    พี่ที่เคารพ เอาmp3การฝึกกสิณมาให้เสียบหูแล้วฟังตอนนั่งรถหลับๆตื่นๆ ได้ยินหลวงพี่ท่านอธิบายอย่างละเอียด รู้แบบรู้ตัวหนังสือตลอด จำได้ แต่ ทำไม่ได้ 55555 เถรใบลานเปล่าแท้ๆ (น้าบอกว่ารู้แต่ปริยัติแต่ไม่แจ้งในปฏิบัติเลยไม่แจ้งในปริยัติด้วย)

    เริ่มแต่เมื่อไหร่หนอ อานาปานุสติ อืมอืม อ๋อ! เริ่มจากแอบฟังพี่ๆเพื่อนๆคุยกันเรื่องกรรมฐาน ไอ้ 40 กองนี่มีไรบ้างยังจำไม่หมดเลย แต่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่สุดๆ แหม ท่าจะเท่ จะเจ๋ง ลองดูหน่อยปะไรจะได้มีไรคุยกะเค้าบ้าง

    ในที่สุดก็ไม่ผิดหวัง ลืมก็ทำใหม่ ลมหายใจแรกตอนตื่นนอน ต้องจับให้ได้ว่าเข้าหรือออก ลมหายใจสุดท้ายที่สติรับรู้ก่อนหลับว่าเข้าหรือออก ปรากฎว่าสติตื่นไม่หลับไม่นอนทั้งคืน เช้ามาโทรมสนิท ครูสมาธิบอกว่า สติตื่น คือ มากเกินไปเกินพอดี ให้ปล่อยเบาๆสบายๆ เย้ๆๆ หลับลึกสนิทมากๆ ความสดใสเริ่มบังเกิด อิอิ แรงเหลือเลยลุยได้ทั้งวัน เริ่มมีสติมากขึ้น ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เพ้อเจ้อ จนเข้าสมาธิได้แบบลืมตา พอเราตั้งจิตว่าอยากได้อะไร แล้วมันอยู่ที่ไหน รูปของร้านและของที่เราอยากได้จะมาที่ใจทันที หรือแม้กระทั้งบนโต๊ะนั้นมีอะไรบ้างจิตก็จะจับภาพส่งมาให้รู้ที่ใจทันที เออหนอ แค่ลมหายใจเท่านั้น

    อานาปานุสติกรรมฐาน หลวงพ่อบอกว่า เป็นกรรมฐานกองใหญ่ ตั้งเวลาในมือถือ ชั่วโมงละครั้ง ให้ดังเตือนว่า "ลมหายใจ" จากวันละ 3-4 ลมหายใจ ก็กลายเป็น นาที เป็นชั่วโมง บางทีก็ได้ครึ่งวัน จิตใจก็จะผ่องใสสุดๆ

    จนพี่มาสอนลมสบาย เราก็ยังไม่เข้าใจ พอบอกว่าลมชายทุ่ง อ๋อ คนขี้เกียจก็เข้าใจ เหมือนเดินเล่นชายทุ่งผ้าขาวม้าคาดพุงนุ่งกางเกงขายาว สดใสสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนยอดเขา สบ๊ายสบาย อารมณ์ โกรธที่เคยมีหนักๆ แบบว่ารู้ตัวว่า เวลาโกรธน่ะ ฆ่าคนตายได้เลย แล้วอารมณ์มันหนักมันอึดอัด มันร้อนไปทั้งตัว มันจะเย็นเฉียบเหมือนใครเอาน้ำแข็งมาราดตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วร้อนเหมือนยืนอยู่บนกองไฟ ตั้งแต่เท้าถึงหัว ลุกพรึ่บ เผาไหม้ทั้งเราและรอบข้าง
    พอมารู้จักลมชายทุ่ง ก็ตั้งจิตจับอานาปานุสติและลมชายทุ่งไปเรื่อยๆ เออเนอะ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวเอง โกรธช้าขึ้น โกรธน้อยเลย โกรธสั้นขึ้น บางครั้งก็ลืมโกรธ จนหลายครั้งที่โดนเอาเปรียบหรือกลั่นแกล้ง เราก็ปุ๊ดๆในใจ โกรธบ้างน้อยใจบ้าง แต่เราก็จะไม่ให้ความชั่วออกมาทางวาจาและกาย คงขังไว้แค่ในใจ และให้ดับไป ตามที่หลวงพ่อเคยบอกว่าความชั่วอย่าให้ออกมา
     
  14. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    บททดสอบมีมาเสมอ และน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเอ๋ยปากว่า จะขอนิพพานชาตินี้

    ฝันเหมือนจริงสุดๆ ว่ามีผู้ชายน่ากลัวมาก มาบีบคอมันหายใจไม่ออก มันเหนื่อย จนสุดท้าย เอ๊า!บีบไปเลยบีบให้ตายน่ะ ตายแล้วชั้นจะได้ไปนิพพาน แล้วเค้าก็เลิกบีบคอเรามองหน้าเราแล้วหายไปเลย ตื่นมายังเจ๊บที่คออยู่เลย

    ครั้งที่ 2 ฝันว่าพระแก้วมรกตท่านมาบอกว่า ไปนิพพานไม่ได้หรอกชาตินี้ ก็สติแตกกรี๊ดๆๆ กับท่าน จนท่านมองหน้าเราเบื่อๆ เลยให้คาถามา 1 ข้อ บอกว่า ท่องไปซะ เราก็รีบท่องท่องท่องทั้งน้ำตา ด้วยความกลัวตกนิพพาน ทั้งทีใจตอนนั้นรู้ว่า ท่านให้ท่องเพื่อให้เราสงบเท่านั้น ตื่นมาความเศร้าหมองก็ยังคงอยู่ จิตตก หูตูบ หดหู่ไป 2 วัน จนความบ้ามันกำเริบ เออบอกว่าไปไม่ได้ก็จะไปให้ได้ เลยฮึดใหม่

    วันหนึ่งตอนเย็นไปกราบพระครูปลัดอนันต์ที่สายลม ท่านก็เมตตาเล่าเรื่องของหลวงพ่อให้ฟัง

    เมื่อวันหนึ่งตอนหลวงพ่อยังอยู่ ตอนนั้นเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ซึ่งปกติหลวงพ่อจะเข้าห้องเพื่อจำวัดแล้ว พระครูฯท่านก็นั่งอยู่หน้าห้องหลวงพ่อ สักพักมีโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาถึง ร้องห่มร้องไห้จะพบหลวงพ่อให้ได้ พระครูฯท่านก็เกรงใจหลวงพ่อจึงบอกไปว่าดึกแล้วค่อยมาใหม่แล้วกัน โยมก็จะพบให้ได้
    สักพัก หลวงพ่อก็ออกมายืนหน้าห้อง บอกว่ามีเรื่องอะไรมาคุยกันหน่อย (เหมือนหลวงพ่อรู้เรื่องก่อนแล้วจึงออกมาเรียกทั้งที่ประตูปิดไม่น่าจะได้ยินเสียงและจุดที่คุยกันไม่ได้อยู่ใกล้ๆประตู)

    โยมผู้หญิงก็กราบหลวงพ่อ บอกว่าเธอมาจากต่างจังหวัด เธอพบหลวงพ่อในฝันหลวงพ่อบอกเธอว่า อย่างเธอนี่ไปนิพพานไม่ได้ ตื่นมาเธอก็เสียใจ ร้องไห้มาตลอดทางจากบ้านจนมาถึงที่นี่ อย่างไรเสียก็ต้องพบหลวงพ่อให้ได้ ต้องได้ยินจากปากหลวงพ่อจริงจริงเท่านั้น พูดไปร้องไห้ไป

    หลวงพ่อ : ทำไมถึงร้องไห้?
    เธอบอก : ก็เสียใจที่จะไม่ได้ไปพระนิพพานสุด
    หลวงพ่อ :รักจึงเสียใจที่รู้สึกว่าจะเสียไปใช่ไม๊?
    เธอบอกว่า : ใช่เจ้าค่ะ รักพระนิพพานมาก
    หลวงพ่อ : จิตรักพระนิพพานอย่างนี้เรียกว่าจิตจับพระนิพพานแล้ว
    เมื่อจบคำหลวงพ่อเธอหยุดร้องไห้ทันที และก้มกราบหลวงพ่อด้วยความซึ้งใจในยาขนานนี้ที่หลวงพ่อเมตตาให้มา

    เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ เราก็น้ำตาคลอ อืม! หลวงพ่อไม่อยู่ท่านยังเมตตาให้คำสอนฝากพระครูฯไว้บอกเรา จึงส่งจิตไปกราบหลวงพ่อที่พระนิพพาน และกราบพระครูฯท่านตรงนั้นเลยทันที ดีน่ะที่เรามีลูกบ้าเยอะ จึงไม่ท้อถอยไปซะก่อนเกือบแล้วเราเกือบแล้วเกือบ เกือบสอบตกนิพพานซะแหล่ว 555
     
  15. ตั้งทองกูร

    ตั้งทองกูร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +1,556
    ขออภัยที่นอกประเด็นจากหัวข้อกระทู้ แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ออกมาจากใจและตรงใจที่สุดเท่ากับการกราบทั้ง 6 ครั้ง นี้

    กราบ ครั้งที่1
    กราบเบื้องพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์
    กราบ ครั้งที่ 2
    กราบพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    กราบ ครั้งที่ 3
    กราบพระอริยสงฆ์ สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์
    กราบ ครั้งที่ 4
    กราบแทบเท้าครูบาอาจารย์ทุก ๆ ท่าน ตั้งแต่
    สมเด็จพระบรมครูทุก ๆ พระองค์ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    กราบ ครั้งที่ 5
    ขอกราบแทบเท้าระลึกบุญคุณบิดา มารดร ผู้ให้กำเนิด
    กราบ ครั้งที่ 6
    ขอกราบเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พ่อหลวงของไทย)


    เพราะการกราบทั้ง 6 ครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ และช่วยให้ก้าวพ้นจากอบายภูมิได้ โดยเฉพาะ องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้น เปรียบเหมือนทั้ง บิดาและครูบาอาจารย์ ที่สะกิดและกะเทาะความเลวในใจ พร้อมทั้งแนะนำวิธี ที่จะขจัดความเลวออกอย่างไรให้ถูกจริตเราที่สุด

    ขอบพระคุณพี่เอ๋ ที่ส่งกระทู้ดี ๆ มาให้ และก็เก็บเป็นกระทู้ติดตามไว้แล้วคะ
    ขออนุโมทนาบุญนะคะ พี่สาวที่แสนดี
     
  16. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ขอขอบพระคุณพี่ๆและมิตรสหายในกำลังใจและมีเมตตาจิตช่วยเหลือประคับประคองกันมาตั้งแต่ออกจากไข่นะคะ
    และขออนุโมทนาในธรรมทานของทุกคนด้วยค่ะ
    (kiss)
    queenie ก็ได้มีโอกาสไปฝึกมโนมยิทธิทั้งครึ่งกำลังและเต็มกำลังหลายครั้งหลายหนเช่นกัน ก็ได้มั่งไม่ได้มั่ง ตามแต่กำลังใจในวันนั้นแหละค่ะ วันไหนบ้ามากอยากมากก็นั่งจมปลักอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ได้ไปไหน นั่งกอดกิเลสที่ตัวเองสร้างเอาไว้เสียให้สาสม แต่พอวันไหนมันเซ็ง มันเบื่อ ไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรแล้ว ได้ก็ช่างไม่ได้ก็ช่างเฮอะ แหมวันนั้นครูว่าอะไรก็วิบวับชะแว็บคล่องตัวไปซะหมด ทว่ามันก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ จนร้อนรุ่มกลุ้มใจอีกเช่นเคยตามประสาไก่อ่อน ร้องไห้โหยหวนโอดครวญไปต่างๆ นาๆ เรามันชั่ว เรามันเลว เรามันไม่เอาไหน เรามันเป็นเต่าหัวหด เราไม่ใช่ลูกหลวงพ่อไม่ใช่หลานหลวงปู่ คนเลวอย่างเรายังจะมีหน้าไปเสนอขอเป็นศิษย์ท่านอีกหรือ ...โฮโฮ...หลวงพ่อหลวงปู่ไม่เห็นมาช่วยเราบ้างเลย...โฮโฮ...อยากจะเอาดีคนสอนก็ไม่มี จะทำยังไงดีโว๊ย.
    (eek)
    อาการบ้าเช่นนี้...มีใครเป็นอีกไหมคะท่าน...ถ้ามีก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านมีพวกแล้ว ถ้าใครเป็นแต่หายแล้ว queenie ก็ขออนุโมทนาด้วยค่ะ แล้วอย่าลืมเอาสูตรยารักษาอาการของท่านมาแบ่งปันกันบ้างนะคะ ส่วนคนที่ยังไม่หายก็ลองมาดูเจ้าไก่อ่อนตัวนี้กันต่อค่ะ ว่ามันจะบ้าไปถึงไหน จะกู่กลับหรือไม่น๊อ...เฮ้อ! แต่ดูอาการแล้วคงอีกนานค่ะ
    (one-eye) ​
     
  17. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    อันที่จริง เมื่อก่อนนี้มันบ้ามาก หยิบประวัติหลวงพ่อมานั่งอ่าน หลวงพ่อบอกว่าท่านบวช 3 วันได้ฌาน 4 รวมทั้งพระท่านที่บวชด้วยกันได้ฌานสมาบัติหมด ก็เลยเอามั่ง หลับหูหลับตาทำ สามเดือนแล้วยังไม่รู้ว่าฌานเนี่ยรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงเลยอ่ะ ไหนเอามาอ่านอีกทีซิ คราวนี้อ่านจบเล่มเลยใช้เวลา 7 วัน น้ำหูน้ำตาไหล หนูทำไม่เห็นได้เลยล่ะหลวงพ่อ...ฮือๆๆ สงสัยจะต้องออกธุดงค์มั่งแล้วมั้ง แต่หนูบวชไม่ได้นี่...โฮโฮ เราอยากคุยกับเทวดา อยากเห็นนางฟ้า อยากให้พระมาสอนบ้าง...(เฮ้อ ! ยิ่งเขียนยิ่งสังเวชใจจริงๆ...ชั่วสุดๆ)
    (eek)
    ในระหว่างที่โลกธรรมของเจ้าไก่อ่อน ยังอึมครึมพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอยู่นั้น ด้วยเดชะบุญที่ได้มาพบเจอเว็บพลังจิตดอทคอม ได้มั่วนิ่มไปร่วมกิจกรรมกับคนโน้นคนนี้ ได้รู้จักกัลยาณมิตรมากมาย(แถมยังหลากหลายอีกต่างหาก...หุหุ) ได้เก็บตกแนวทางการปฏิบัติของคนโน้นบ้างคนนี้บ้างมาเรื่อย ชะรอยว่าพลังจิตที่เปี่ยมล้นด้วยพลังธรรมของเหล่ากัลยาณมิตรทั้งหลายเหล่านั้น รวมทั้งอานิสงส์ผลบุญที่ได้ทำมาตลอด จะช่วยเหนี่ยวรั้งความบ้าของเจ้าไก่อ่อนตัวนี้เอาไว้ก่อนที่จะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้
    (ping-love
    เจ้าไก่อ่อนเริ่มสำเหนียกรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วเราควรจะทำอะไรก่อนอะไรหลัง เริ่มค่อยๆ พิจารณาหัวข้อธรรมใหม่ เริ่มมองเห็นในสิ่งที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน นั่นก็คือ คำว่า "ทาน ศีล ภาวนา" หรือ "ศีล สมาธิ ปัญญา"
    (*)
    -- ทาน --
    ทานนั้น คือเราต้องรู้จักให้ ให้แล้วก็ต้องให้ให้เป็นและวางกำลังใจให้ถูก --นี่คือสิ่งที่ได้จากการเข้าสู่วงการเว็บพลังจิตนี้แหละ--
    (*)
    -- ศีล --
    หลวงพ่อบอกว่า ศีลคือคำสั่งของพระพุทธเจ้า เมื่อเราเคารพนับถือท่าน เป็นลูกท่าน เราต้องไม่ขัดคำสั่งพระพุทธเจ้า ดังนั้น เราต้องรักษาศีลไว้เท่าชีวิต (เจ้าไก่อ่อนสำนึกในความชั่วความเลวของตน จึงได้ขอปวารณาสมาทานศีล 8 ไปจนตราบชีวิตจะหาไม่ เพื่อชำระล้างขัดเกลากิเลสตัณหาที่มันเกาะกินใจมาหลายแสนชาติ อีกทั้งด้วยความเกลียดร่างกายนี้มาก มันกักขังเรามาแสนนานจึงไม่อยากให้มันสุขสบายเกินไป ก็เลยต้องทรมานมันเสียบ้าง ฉะนั้นแล้วนับแต่นี้ไป ข้าวเย็นเอ็งอย่ากินอีกเลย ดูหนังฟังเพลงของหอมเครื่องประดับก็ไม่ต้อง จงไปนอนพื้นเสียเถอะ ตายแล้วเอ็งกะข้า จะได้ไม่มีวันมาเจอะเจอกันอีกต่อไป)
    (*)
    -- สมาธิ --
    พอศีลมั่นคงดี ทานที่ให้บริสุทธิ์ ความอิ่มเอิบใจก็บังเกิด ความเข้าใจในธรรมเทศนาของหลวงพ่อก็ดีขึ้นโดยลำดับ คุยกับใครก็รู้เรื่อง ส่งผลให้ทรงสมาธิได้ดีขึ้นไปด้วย (จะมีรายละเอียดเรื่องนี้ ในภาคต่อไปค่ะ...หุหุ)
    (*)
    -- ปัญญา --
    แล้วจะเล่าต่อไปในภายหลังจ้า...เพราะยังไม่ใช่เวลานี้
    (sing) ​

    (*)(*)(*)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  18. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้

    ศีลคือ ดิน สมาธิคือ ลำต้น ปัญญาคือ ดอก ผล ... เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่น รดน้ำ พรวนดิน และต้องคอยระมัด ระวังมิให้ตัวหนอนคือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน ... ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่างรับรองว่าต้องสำเร็จ ไม่ใช่จะสำเร็จ ... พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบเป็นตัวอย่างไว้ให้เราดู อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุกันหมด
    "ของดีอยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"


    ".........การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆมันก็ไม่เป็นหรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆกินไป มันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว แล้วเราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป....."


    "......ในทางโลก ก็อาศัยที่ครูเขาหลอกหัดให้เขียนโน่นอ่านนี่ ในทางธรรมก็เหมือนกัน ต้องตัดความลังเลสงสัย ปฏิบัติอย่างครูอาจารย์ท่านสอน มันถึงจะได้ดีในบั้นปลาย......"


    "......ครูอาจารย์มีอยู่มากก็จริง แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มาก นั่นแหละจึงจะดี....."


    ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนรสแกงส้ม

    ศีล เปรียบได้กับรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวทำหน้าที่กัดกร่อนความสกปรกออก ทำนองเดียวกัน ศีลจะช่วยขัดเกลาความอยาบออกจากทางกาย วาจา ใจ

    สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆไม่ให้เน่าเสีย สมาธิก็เหมือนกัน สามารถรัษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้

    ปัญญา เปรียบได้กับรสเผ็ด เพราะปัญญามีลักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแล่นไป เพื่อขจัออวิชชา ความหลง


    ".......รวยกับซวยมันใกล้กันนะ จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ กลัวคนมาจี้มาปล้น หมดไปก็เป็นทุกข์อีก ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอา ดี ดีกว่า......"

    “ อยากไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร”

    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม" เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้

    ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเองแก้ไขตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

    "ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี่ทั้งนั้น"

    "รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำเอาตอนเรือหรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์"

    ธรรมเทศนาจากหลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ

     
  19. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ขออนุญาตนำกระทู้คุณ Paang มาไว้ที่นี่ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไปนะคะ ขออนุโมทนาอย่างสูงค่ะ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=24126

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  20. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    การมุ่งหวังอยากเห็นอยากสำเร็จก็ยิ่งเผาตัวเอง

    คนที่ปฏิบัติธรรมหลายๆท่านก็ไปรับรู้มาว่าคนนั้นเขาเห็นนั่นคนนี้เขาได้อันนั้นเห็นชัดเจนแจ่มใส ไอ้เรานี่ไม่เห็นอะไร เลยเกิดความอยากเห็นขึ้นมาบ้าง อันนี้จริงๆแล้วก็เป็นการจุดไฟเผาตัวเองเหมือนที่คุณเอ๋Queenie เคยกล่าวเอาไว้ ในกระทู้ http://palungjit.org/showthrea...764#post930764
    ซึ่งก็เป็นการเตือนสติเพื่อนๆว่า ไอ้ที่เราไม่ได้เห็นอะไรนั่นไม่ได้หมายความว่าเราทำไม่สำเร็จ ลองมองย้อนกลับไปที่ตัวท่านเองว่า ตอนนี้ท่านได้ละกิเลสได้มากน้อยแค่ไหน ท่านมีอารมณ์เย็นสบายๆไม่โกรธไม่เคืองใครได้ตลอดเวลาหรือไม่ หากท่านทำอารมณ์เย็นสบายๆได้ก็เท่ากับว่าท่านก็ดีของท่านอยู่แล้วไม่ต้องโดนไฟลนว่าอยากเห็นกับเขาบ้างถึงเวลาจะเห็นก็คงจะเห็นเอง
    แล้วมองย้อนกลับไปว่า คนที่เขาเห็น คนที่เขาว่าเขาได้โน่นได้นี่ที่เขาว่าๆกันไปนั้นเขาดีแบบไหน หากเขายังโกรธ ยังเกลียดคน ไม่ให้อภัยคน
    ไม่ทรงอารมณ์เย็นสบายๆไว้ได้ ไม่ทรงสมาธิตลอดเวลา มีแต่ความอยากดีอยากได้ กิเลสยังคงมีอยู่เยอะอันนั้นก็ถือว่าดีแต่ตอนนั่งตอนใช้ชีวิตประจำวันยังไม่ดี ลองมองที่พรหมวิหารสี่ท่านดีไหมท่านมีครบไหม
    จะครบไม่ครบก็ลองมองตัวท่านเอง ท่านมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาได้ตลอดไหม ได้เผลอคิดในทางตรงข้ามกับ สี่ข้อไหม หากเผลอแล้วรู้ตัว ก็ถือว่าดีแต่ยังไม่ดีพอถ้าดีจริงก็ต้องอย่าเผลอ
    ฝากเอาไว้สำหรับท่านที่คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดีทำไมไม่เห็นได้ไม่เห็นจะเห็นอะไรกับเขา

    http://palungjit.org/showthread.php?t=81557&page=79
     

แชร์หน้านี้

Loading...