เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    ท่านที่สนใจ จิตเกาะพระสามารถดูได้ จาก youtube เป็นอีกช่องทางหนึ่ง
    สำหรับท่านที่จะศึกษา

    <iframe src="//www.youtube.com/embed/wxVabWXEVzo?feature=player_detailpage" allowfullscreen="" frameborder="0" height="360" width="640"></iframe>
    การสัมมนา จิตเกาะพระสัญจร (รุ่นพิเศษ)
    และ รวมรุ่น จิตบุญสัมพันธ์ ครั้งที่1
    วันที่อบรม 17 พ.ย. 2555
    ผู้โพ้ส :: wanapadaw
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ขอร่วมอนุโมทนาและ ขอขอบพระคุณที่ ท่านสุชีโว ได้นำวีดีโอการอบรมจิตเกาะพระ มาให้ชม เป็นข้อมูลความรู้เบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางครับ


    ขอบคุณครับ สาธุ
     
  3. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217
    ดิฉันก็เป็นนักปฏิบัติธรรมเหมือนกันแต่ยังไม่แก่กล้าทำมาเป็น 20 กว่าปีแล้วได้แต่สวดมนต์ภาวนาอย่างเดียว และจะขอรบกวนช่วยแนะนำด้วย และไม่กี่วันนี้ฝันว่ามีชายคนแก่แกมาเกรี้ยวกราดกับดิฉันและขังดิฉันไว้ในที่แห่งหนึ่งไม่ยอมให้ออกมา ไม่ทราบเป็นเพราะอะไรเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาจากไหนของคุณช่วยเหลือแนะนำดิฉันด้วย และการสวดมนต์ของดิฉันถ้าคุณสมารถรู้ได้ด้วยญาณก็ช่วยแนะนำด้วยว่าผิดพลาดตรงไหนช่วยดิฉันด้วยเถิดค่ะ ดิฉันคงจะมีวิบากกรรมมากชีวิตจึงมีแต่อุปสรรค แต่เมื่อถึงตาจนมันก็ผ่านไปอย่างเฉียดฉิว ขอความกรุณาด้วยนะคะ ขอบคุณคะ
     
  4. wan_winny

    wan_winny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +216
    คุณก้องคะ ส่ง PM ไปคะ รบกวนด้วยนะคะ ขอบคุณคะ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ============

    ตอบให้แล้วครับ สาธุ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ============

    ขออนุโมทนาครับ ทำมา20กว่าปีแล้ว เยี่ยมครับ อย่าคิดว่าเราไม่ได้อะไร ความจริง เราได้แต่เรามองไม่เห็นสิ่งที่เราได้ แน่ๆๆคือได้ทำ เมื่อได้ทำผลบุญย่อมเป็นของเราจักให้ผลแก่เราไม่เป็นอื่น

    ส่วนสิ่งที่คิดว่าไม่ได้อะไร ความจริงหากตอบแบบพระสุปฏิ ท่านตอบว่า ก็เราปฏิบัติเพื่อไม่ได้เอาออะไรนิ เราปฏิบัติเพื่อปล่อยวาง รัก โลภ โกรธ หลง กามราคะ แล้วเธอจะไปกังวลอะไร

    ปัญหาคือเรามีสติปัญญาเข้าใจแยกแยะได้หรือยัง

    เรามีสติปัญญา รู้แจ้งหรือยัง

    เรามีสติปัญญารู้ทันอารมร์นึกคิดปรุงแต่งจิตของตนหรือยัง

    เรามีสติปัญญา ละปล่อยวาง การปรุงแต่งที่เกิดกับจิตหรือยัง ปล่อยวางขันธ์ รูปนามได้หรือยัง เพราะแท้จริงไม่มีอะไรเป็นของเราของใครทั้งนั้น

    หากสร้างสติปัญญา มันก็ต้องวิปัสสนาให้มากทำบ่อยๆ อย่าแค่วิปัสสนึก นึกเอา อย่างนี้ไม่เกิดผลแต่ แต่ต้องทำวิปัสสนาจริงๆ เพื่อเข้าไปรู้อุปนิสัยสันดารของตนเพื่อจะได้รู้ทันและละปล่อยวางได้เป็น ลองฝึกสติปัฏฐาน4 ให้ชำนาญรับรองแตกฉานในธรรมครับ สาธุ

    ส่วนการสวดมนต์ก็มีพลาดบ้างเล็กน้อย แบบไม่พร้อมหรือไม่สะดวกในบางครั้ง แต่หลักๆ ต้องตั้งนโม 3จบ บูชาพระรัตนตรัย พระคุณพระรัตนตรัย บทขอขมาพระรัตนตรัย บทยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ บท อื่นๆตามใจชอบ ค่อยๆเพิ่ม ทุกบทนอกจากฝึกสมาธิแล้ว ยังมีคุณเอกอนันท์แก่เราครับ ขอให้พยายามทำไปต่อเนื่องครับ ผลบุญอันยิ่งใหญ่จะให้ผลแก่เราสมปราถนาตามที่ตั้งไว้ในทางที่ดีงามครับ สาธุ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2014
  7. kenjiro001

    kenjiro001 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +89
    รบกวนคุณก้องช่วยเหลือหน่อยครับ ส่งคำถามให้ ทาง พีเอ็ม แล้วครับ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    กระผม มีความถนัดในการตรวจดูดวงชะตาราศรี ก็จริง และมีสหายธรรมท่านหนึ่งสอบถามว่า ทำไมถึงชอบดูดวง

    กระผมตอบว่า ความจริงไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบ หากแต่ความจริง ที่จำเป็นต้องดูดวงตรวจชะตา เพราะปราถนาช่วยเหลือแก้ไขให้เขาเหล่านั้นพ้นทุกข์ มีกำลังใจ แก้ไขปัญหา ให้หลุดพ้นทุกข์ ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร

    ความจริงจึงปราถนากว่าการเป็นหมอดูคือ การเป็นหมอรักษาจิตใจคน เป็นสำคัญ
    การเจ็บป่วยทางกาย ก็ให้คุณหมอแผนปัจจุบันท่านรักษา แต่สำหรับผู้ป่วยทางจิต รักษาได้ยาก ผู้ที่จะเป็นหมอรักษาจิต จึงต้องผ่านการอบรมจิตตน ด้วยธรรมโอสถรักษาตนได้แล้ว อันหมายถึงว่าการที่เราจะรักษาจิตใจผู้อื่นได้ เราเองก็ต้องรักษาจิตใจเราเองให้ได้ก่อน ให้เอาชนะใจเราให้ได้ก่อน เข้าใจสภาพแท้จริงหรือธรรมชาติแท้จริงของจิต ควบคุมจิตใจตนเองให้ได้ก่อน รักษาจิตใจตนให้พ้นทุกข์ให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยช่วยสงเคราะห์รักษาจิตใจผู้อื่นต่อไป

    ดังนั้น หลายๆครั้งสิ่งที่ผมช่วยเหลือผู้อื่นนั้น เขาเหล่านั้นอาจไม่ทราบว่าแท้จริง ผมกำลังช่วยเยียวยารักษาจิตใจ สภาพจิตใจของเขาให้ดีขึ้นนั่นเอง

    เพราะเมื่อไหร่ที่เขาเหล่านั้น มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นแล้ว การแก้ไขปัญหาอื่นๆต่างๆที่เหลือจึงสามารถทำได้โดยง่าย จะสามารถแก้ไขผ่านพ้นปัญหาต่างๆเหล่านั้น ไปได้ด้วยดีในที่สุดครับ สาธุ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    อะไรคือ สุข ทุกข์ที่แท้จริง สภาพความจริง คืออะไร

    สภาพแห่งความปรุงแต่ง วัตถุนิยม หรือมายา คืออะไร
    หรือเรา รู้ทั้งรู้แต่เราก็ยังเลือกเดินบนเส้นทางมายา อย่างนั้นหรือ

    หรือเรามีสติปัญญามากพอที่จะเลือกเดินบนเส้นทางสายใหม่ แม้จะไม่ใช่สายหลุดพ้นสะทีเดียว แต่มันก็เป็นถนนสายที่มีสติปัญญาอยู่เหนือมายา ฉลาดมากพอที่จะเป็นนายของมายา ไม่ใช่เป็นทาสของมายา เครื่องปรุงแต่ง

    บัดนี้เราท่านได้พิจารณาบทบาทและหน้าที่ วาระของตนหรือยัง เพื่อการชำระจิตของตน ก้าวเดินต่อไปในอนาคตอย่างมีความสุข และอยู่บนโลกอย่างเข้าใจโลก เข้าใจทุกข์และสุข อันเป็นสภาพธรรมดา มีสติปัญญาเข้าถึงสัจจะธรรม สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ของโลกได้อย่างแท้จริง ครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sesadsada.jpg
      sesadsada.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188.2 KB
      เปิดดู:
      42
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    มีสหายสอบถามเรื่องการเกิดดับของจิต ว่าเป็นอย่างไร จิตคืออะไร มีสภาพเป็นอย่างไร
    จึงช่วยอธิบายว่า แท้จริง
    จิตไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ขันธ์ และไม่ใช่เจตสิก
    จิตก็คือจิต จิตคือสภาพรู้ หรือตัวรู้ หรือตัวผู้รู้
    แต่จิตหรือสภาพรู้ที่เกิดดับ เพราะเหล่าเจตสิกก็ดี ขันธ์5ก็ดี อวิชา ตัณหา อุปาทานก็ดี รวมๆคือเครื่องปรุงแต่งไปปรุงแต่งจิตคือ สภาพรู้ให้ เกิดดับ นั่นเอง
    วิญญาณขันธ์ไม่ใช่จิต แต่วิญญาณขันธ์คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วส่งไปยังจิต เพื่อให้จิตรับรู้และปรุงแต่งจิต
    จิตจึงหมายถึงสภาพรู้ อันเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ รู้ ไม่เป็นอื่น สภาพรู้ หรือจิต ว่าไปแล้วจึงมีสภาพ ที่เป็นกลาง คือ รู้เฉยๆ รู้กลางๆเป็นต้น แต่สภาพที่รู้แล้ว เปลี่ยนไปยึดติดโน่นนี่นั่น เพราะมีอวิชา หรือเครื่องปรุงแต่ง ปรุงแต่งสภาพรู้ ให้ไม่มีความเป็นกลาง และขาดสติ ขาดปัญญา สภาพรู้จึงมีการเกิดดับ นั่นแหละเพราะมีสภาพการปรุงแต่งจิตนั่นเอง
    เจตสิกก็เป็นธรรมดาอย่างหนึ่งที่ฝังแน่นติดอยู่กับจิต เจตสิกจึงทำหน้าที่ของมัน ทั้งฝ่ายดีและไม่ดี ทั้งฝ่ายปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่ง ฉนั้น เจตสิกก็เป็นธรรมดาสิ่งหนึ่งที่ประกอบอยู่กับจิตและบางสภาวะก็ทำหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดการปรุงแต่งจิต เป็นอนุสัยที่มีเป็นต้น
    อรหันตนิพพาน แบ่งเป็นสามสภาวะคือ
    1จิตนิพพาน หรือกิเลสนิพพาน เพราะอาศัยการตรัสรู้หรือบรรลุธรรมหลุดพ้นทุกข์ได้สำเร็จแล้วในกาลนั้น
    2ขันธนิพพาน การนิพพานแห่งขันธ์,หมายถึงตายสิ้นลมหายใจ ขันธ์แตกดับ
    3ธาตุนิพพาน การนิพพานแห่งธาตุ หมายถึงการประชุมเพลิงก็ดี หรือการเสื่อมสลายไปของธาตุจะด้วยวิธีใดก็ดีตามธรรมชาติของมันซึ่งจะต้องเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาอยู่แล้วครับ
    ทีนี้หามาพิจารณาดูคำว่าจิตนิพพานหรือกิเลสนิพพาน เมื่อเป็นอย่างนี้ คือเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว จิตอรหันต์ หรือจิตนิพพานแล้วนั้น ย่อมมีสภาพรู้ เป็นปกติทุกขณะจิต มีสติปัญญาประกอบอยู่กับจิตทุกขณะจิต เมื่อเป็นเช่นนี้ สภาพรู้จึงสว่างแจ้งเป็นปกติ ไม่มีดับ อีกต่อไปแล้ว แม้เจตสิกยังทำงาน แม้ขันธ์ยังทำงานก็ตามเพราะยังมีชีวิตอยู่ แต่จิตนิพพาน ก็หาได้หวั่นไหว เคลื่อนตามไป กับอำนาจของขันธ์ที่ปรุงแต่ง มันเกิดสภาพแยกรูป นาม กิเลส จิตหรือสภาพรู้ ออกจากกันอย่างชัดเจน เป็นปกติครับ
    แต่ก็ อาจจะมีบ้างที่จิตนิพพาน มีอนุสัยเดิม ที่ประกอบอยู่กับจิตมานาน ซึ่งเป็นเศษธุลีกิเลสเบาบาง ก็อาจจะมีบ้าง คือมันเกิดของมันเองปรากฏแสดงออกมาทางกายหรือวาจา แต่ไม่จิตไม่เกี่ยวข้องปรุงแต่งตาม เช่น การยิ้มก็ดี แต่ก็ปล่อยวางทันที การกล่าววาจาพอใจก็ดีแต่ก็วางทันที การฉันหมาก บุหรีก็ดี หรืออื่นๆ อันเป็นอนุสัยเดิม ครับ เรื่องอารมณ์พระอรหันต์หรือจิตนิพพาน กิเลสนิพพาน ที่ยังไม่มีการละสังขาร นั้น จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน กล่าวอธิบายได้ยากจริงๆครับ ก็จะพยายามอธิบายเท่าที่ทำได้ อีกอย่างเพราะเรายังไม่ใช่อรหันต์นั่นเอง แต่ที่อธิบายได้อย่างนี้เพราะว่าจากการปฏิบัติเจริญสมาธิ ที่เข้าไปทรงอารมณ์นี้ได้บ้าง บางขณะบางช่วงเท่านั้นเองครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2014
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    สภาพการเกิดดับของจิตเป็นอย่างไรขออธิบายตามความเข้าใจว่าแบ่งได้ดังนี้คือ
    1 เป็นสภาพรู้ ที่จิต มีการ รู้ หรือเข้าไปรู้เรื่องๆหนึ่งหรือสิ่งๆหนึ่งอยู่ในขณะนั้น แต่ในเวลานั้นก็มีสิ่งปรุงแต่ง วิ่งเข้ามากระทบจิต หรือส่งมายังจิต จิตที่กำลังรู้เรื่องเดิมอยู่นั้น ก็ดับลง แล้วจิตก็วิ่งเข้าไปรู้เรื่องใหม่สิ่งๆใหม่นั้น กลายเป็นว่าตอนนี้ ความรู้ในเรื่องเก่าที่จิตจับไว้นั้น ดับลงไปแล้ว ส่วนเรื่องใหม่สิ่งใหม่ จึงเกิดการรู้ใหม่ ในเรื่องใหม่ที่มีการปรุงแต่งส่งเข้ามา
    นั่นคือการเกิดดับของจิต แต่เป็นสภาวะการเกิดดับจากการ รู้ เรื่องที่1 แล้วพอผ่านไปก็ไปรู้เรื่องที่2 พอไปรู้เรื่องที่2 นั่นคือเรื่องที่1ก็ดับไป การรู้ใหม่ในเรื่องที่2จึงเกิดขึ้น จึงเป็นการดับแล้วเกิด พอมีเรื่องที่สามวิ่งเข้ามา สภาพการดับในเรื่องที่2จึงเป็นก่อน แล้วจึงเกิดรู้ ในเรื่องที่3 หมุนเวียนไปอย่างนี้ไม่จบสิ้นนั้น เพราะจิต สภาพรู้หรือตัวรู้นั้น รู้ได้ทีละเรื่องเท่านั้น แต่รวดเร็ว
    2การเกิดดับของจิตอาศัยสภาพ แห่งการมีสติหรือไม่มีสติ อันหมายถึง การมีสติ ตามระลึก สภาพรู้ หรือ สติตามดูจิต นั่นเอง
    เมื่อใดที่ขาดสติ หรือหมดสติ ย่อมหมายถึงสภาพรู้ดับลงไป หรือจิตดับไปชั่วขณะหนึ่ง อันหมายถึง การขาดสติก็ดี การวิสัญญีภาพสลบเหมือดไปก็ดี การละสังขารตายไป กายแตกดับไปก็ดี หรือการเปลี่ยนอัตภาพ ภพภูมิ ด้วย นี่คือสภาพที่จิตดับไปชั่วขณะ
    เพราะไม่มีสติ ไม่สามารถระลึกรู้ได้ ไม่สามารถ เข้าไปรู้ได้ สภาพรู้ หรือจิตจึงดับไปชั่วขณะ
    ส่วนในอีกด้าน หมายถึงสภาพที่จิตทรงสติได้ต่อเนื่องเป็นปกติ เมื่อใดที่ทรงสติได้ นั่นแสดงว่า จิตเกิดต่อเนื่องทำงานเป็นปกติ
    คือเอาสติเป็นเครื่องชี้วัดนั่นเอง
    ดังนั้นสรุปคือ การเกิดดับของจิต หรือการไม่เกิดดับของจิต นั้น อาศัยสภาวะต่างๆที่ได้กล่าวมา เมื่อท่านเข้าใจสภาวะและเข้าใจการทำงานของจิต แท้จริง อันเป็นธรรมชาติปกติ ท่านก็จะเข้าใจสิ่งที่ผมกล่าวมา ครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    หากจะอธิบายให้แจ่มชัดลงไปอีก อธิบายได้ว่า

    ก็สภาพรู้หรือจิต นั้น มีสภาวะได้ดังนี้
    สภาพรู้ ทำหน้าที่รู้ของมันไป อันเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่เกิดดับคือเครื่องปรุงแต่งจิตนั้นเองที่เกิดดับ หาใช่ที่จิตที่เกิดดับ อันนี้คือเป็นจิตอรหันต์
    แต่ถ้าเป็นจิตปุถุชน เครื่องปรุงแต่งเกิดดับ จิตก็เกิดดับตามไปด้วย เพราะจิตขาดสติปัญญาเป็นเครื่องควบคุมนั่นเอง ไหลสัมปยุตไปตามเครื่องปรุงแต่ง

    กรณีที่สภาพรู้ หรือจิต ดับลงเพราะขาดสติ จะด้วยเหตุใดก็ตาม หรือด้วยเหตุที่กระผมกล่าวมาเบื้องต้นนั้น เมื่อสติดับลง ขาดลงจะแบบไหนก็ตาม

    สัมปชัญญะก็ขาดไป ปัญญาก็ดับสนิท วงจรก็ดับหมด เช่นนี้ จิตหรือสภาพรู้จึงดับลงโดยทันที แต่ทว่าการดับนั้นก็เป็นเพียงการดับชั่วคราว เมื่อได้วาระ สภาพรู้หรือจิตก็จะทำงาน ทำหน้าที่ เกิดรู้ ขึ้นใหม่ อันเป็นธรรมดาปรกติเช่นนี้

    จิตอรหันต์ นั้นแท้จริงหมดสิ้นกิเลส ด้วยจิตครองสติปัญญาเป็นปรกติ เพราะฝึกดีแล้ว แม้ยามหลับนอนก็ยังคงมีสติปัญญาควบคุม ความเกิดดับของจิต ของพระอรหันต์จึงอยู่นอกเหนือ กฏแห่งโลกิยะข้อนี้ คือหลุดพ้นการเกิดดับได้แล้วด้วย นั่นเอง

    ไม่ข้องแวะด้วยการเกิดดับ เพราะรู้ทันการเกิดดับของอวิชา เครื่องปรุงแต่ง แยกออกจากจิตได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตอรหันต์จึงเป็นสภาพว่างเป็นนิพพานไร้การปรุงแต่งและการเกิดดับอีกต่อไปนั่นเองครับ สาธุ


     

     

     

    จิตปุถุชน เกิดดับเพราะขาดสติปัญญา ไหลปรุงแต่งตามขันธ์อวิชา ที่เกิดดับ[ โลกิยะสภาวะ]

    จิตอรหันต์ไซร์ ไม่เกิดดับ เพราะสละหลุดพ้นแล้วด้วยสติปัญญา ทำลายสิ้นแล้วแม้ขันธ์อวิชา[โลกุตระสภาวะ]

    นั่นเองครับ สาธุ



    สิ่งที่เกิดดับคือเครื่องปรุงแต่งจิตนั้นเองที่เกิดดับ หาใช่ที่จิตที่เกิดดับ

    จิตใดที่ขาดสติปัญญา จิตนั่น ย่อมไหลไป เคลื่อนไป เกิดดับ ตามสิ่งที่ปรุงแต่งที่เกิดดับ

    จิตใดทรงสติปัญญาทุกขณะจิต จิตนั้น ย่อมไม่หลงไหลปรุงแต่ง ไปตามเครื่องปรุง เช่นนี้ จิต จึงอยู่เหนือสภาพการเกิดดับของเครื่องปรุงแต่ง หรืออวิชา นั่นเองครับ สาธุ
     
  13. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> [FONT=&quot]กราบขอบพระคุณครูก้องสำหรับสะพานสู่เส้นพระนิพพานค่ะ เรามักแสวงหาเส้นทางนอกกายโดยลืมไปว่าหนทางที่แท้จริิงคือ สติ กาย และจิตนี่เองที่เป้นครูที่ยิ่งใหญ่พาสรรพสัตว์เห็นไตรลักษณ์และข้ามพ้นแดนทุกข์ สาธุ[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยความเคารพ[/FONT]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ทุกข์ เกิดขึ้นหรือเกิดดับที่ใจเรา หาใช่จิตใจผู้อื่น
    ครั้นเมื่อจะดับทุกข์ ของตนก็ต้องดับที่ใจตน หาใช่ใจผู้อื่น
    ครั้นเมื่อจะดับทุกข์ในใจตน จึงต้องเริ่มต้นจากการเข้าไปรู้ใจตน หาใช่รู้ใจผู่อื่น
    ครั้นเมื่อรู้ใจตน รู้ธรรมชาติของจิตตนย่อมพ้นทุกข์ได้ หาใช่การไปรู้จิตใจผู้อื่น

    ครั้นเมื่อนำจิตตนพ้นทุกข์แล้ว ผลปฏิเวธ ความว่างบรมสุขย่อมเกิดแก่จิตตน หาใช่จิตใจผู้่อื่น เช่นกันครับ

    สาธุ
     
  15. shamankings

    shamankings เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +543
    คุณก้องครับ ผมส่ง PM ไปสอบถาม ถ้าคุณก้องว่างรบกวนด้วยนะครับ ถ้าไม่ได้รับ pm ช่วยแจ้งด้วยนะครับ ผมจะได้ส่งไปให้ใหม่

    ขอบคุณครับ
     
  16. kenjiro001

    kenjiro001 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +89
    ขอบคุณ คุณก้องมากๆ ครับ ที่ให้คำแนะนำ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ===========

    รบกวนส่งมาใหม่อีกทีนะครับ
     
  18. maewmaew2012

    maewmaew2012 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +35
    ส่ง pm ไปหาแล้วนะคะ รบกวนด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    มีสหายธรรมผู้เป็นกัลยานมิตร กล่าวถามว่า ดวงตาเห็นธรรมเป็นอย่างไร

    กระผมจึงขออธิบาย ณที่นี้ดังนี้คือ

    ดวงตาเห็นธรรม หมายความว่า การที่จิต เกิดการยอมรับ ซาบซึ้ง ซึมซับ รสแห่งพระธรรม แบบจิตเกิดปิติสุขเบื้องต้นทันที เป็นการเข้ามาเห้นเข้าไปรู้ ธรรม นั่นเอง แต่ไม่ใช่การเข้าไปเห็นหรือรู้ด้วยตาหรืออายตนะภายใน นอก แต่การรู้ด้วยจิต เป็นสภาพที่จิตเปิดกว้าง ไม่คว่ำอยู่ไม่ปิดอยู่

    ดังนั้นผู้ใดจะมีดวงตาเห็นธรรมได้ สิ่งแรกที่ต้องมีคือดวงตาที่เปิด หมายถึงจิตที่เปิดรับเปิดกว้าง เมื่อดวงตาเปิดจิตใจเปิด ได้แล้ว การเห็นธรรม จึงไม่ใช่เรื่องยากต่อไปครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2014
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ขอนำมาแสดงต่อครับเห็นว่าเป็นประโยชน์ครับ

    นิพพาน แท้จริง สภาพของนิพพานนั้น เที่ยง [มองที่ความเที่ยงและไม่เที่ยง ยังไม่ต้องไปมองที่อัตตาหรืออนัตตา] ทำไมนิพพาน จึงเที่ยง เพราะเป็นสภาพธรรมดาของมัน คือนิพพานมีสภาพว่าง นิพพานมีสภาพของความห่างไกลทุกข์ นิพพานมีสภาพบรมสุข นิพพานมีสภาพแห่งความหลุดพ้นทุกข์ เป็นนิรันดร์ จักไม่เสื่อมถอยกลับไปทุกข์อีก นี่คือความเที่ยงแห่งแดนพระนิพพาน

    ส่วนการที่จิตเข้าไปสู่สภาวะนิพพานนั้น ขอกล่าวย้ำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ว่า พึงวางกำลังใจให้ถูกต้องอย่างนี้คือ
    ขอให้วางกำลังจิตให้เป็นจิตอรหันต์คือ เป็นกำลังจิตที่ว่างเปล่าปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อกล่าวแบบนี้ อันความเอาจิตเข้าไปยึดมั่นในความเที่ยงของสภาวะแห่งแดนนิพพาน นี่ก็ไม่มี คือรู้ทั้งรู้ว่าสภาพแห่งแดนนิพพานมีสภาพเที่ยงอย่างไร แต่อารมณ์จิตของพระอรหันต์นี่ท่านไม่เอาจิตท่านเข้าไปยึดมั่นในความเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านปล่อยวางเป็นปรกติ ดังนั้น จิตทั้งหลาย ต้องแยกให้ออกนะครับ วางกำลังจิตให้ถูกต้องนะครับ

    หรือกล่าวแบบสรุปให้เหลือแก่นแท้แห่งพระสัทธรรมได้ว่า

    สรรพสิ่งใดๆทั้งฝ่ายโลกิยะก็ดี ฝ่ายโลกุตระก็ดี จะเที่ยงหรือไม่เที่ยงก็ดี ก็เรื่องของมัน
    จิตพรอรหันต์นั้นไซร้ ละปล่อยวางหมดสิ้นแล้ว ในความเที่ยงและไม่เที่ยงทั้งปวง
    ละปล่อยวางหมดสิ้นแล้วใน ความเป็นอัตตาและอนัตตาทั้งปวงครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...