ขอเชิญผู้วิเศษทั้งหลายค่ะ

อาจจะใช้คำผิด หมายถึง อย่าไปขัดเขา คิดว่าเขาเล่า เขาทำได้ ก็ดี
ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเอาไปพิจารณาอยู่ดี ไม่เข้าท่า ก็ไม่สนใจ
แค่นั้นเอง...อ่านแล้วก็เลยผ่านไป แปลกก็สักแต่ว่าแปลกค่ะ

 

(deejai)(deejai)(deejai)

(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)

 

..เพี้ยงงง.. !!!!!

 

ในเวบฯนี้เป็นเวบพระพุทธศาสนา
หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ครอบคลุมหลายๆด้าน เมื่อคนผู้หนึ่งได้เรียนรู้ได้ศึกษา ก็อาจมีความคิด ความเข้าใจ ต่างจากผู้อื่นที่ได้เรียนรู้ ได้ศึกษาในเรื่องเดียวกัน จึงเกิดการโต้แย้งกัน
การโต้แย้งกัน การบอกเล่าถึงลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ขณะพวกเขาปฏิบัติอยู่ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ตัวหนังสืออ่านแล้วดูเหมือนโกรธ อาฆาต แค้น แต่ตัวจริงเสียงจริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้
ถ้าผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน เข้ามาเรียนรู้ศึกษา นำเอาหลักหรือวิธีการที่พวกเขาเหล่านั้น โต้แย้งกัน ในสมองคิดพิจารณาให้เป็นไปตามหลักความจริง เป็นไปตามหลักวิชชาทางศาสนา ก็ย่อมเกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มพูนขึ้น
แต่ถ้าคิดแบบคุณ ก็ได้แต่อารมณ์ขุ่นมัว ได้แต่เสียความรู้สึก เหตุเพราะสมองสติปัญญาประสบการณ์ของคุณคิดแบบที่คุณเขียนมา ถ้าคุณมีทัศนะคติที่ดี บทความหรือกระทู้ หรือข้อแสดงความคิดเห็นในเวบฯนี้ มันก็เป็นแค่เพียงเรื่องธรรมดา เป็นเพียงตัวหนังสือ อ่านเองคิดเอง โกรธเอง ดีใจเอง ภูมิใจเอง ไม่ได้อะไรสักอย่างขอรับ

 

เอ่อ ข้อความแรกคุณบอกว่าที่เค้าโต้แย้งกัน เหมือนโกรธ อาฆาต แค้น แต่ตัวจริงเสียงจริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ (อาจจะอนุมานได้ว่าที่เค้าด่ากัน เถียงกัน หรือแช่งกัน เสียดสีกัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรยนี่ สรุปเค้าไม่ได้คิดอะไร ?)
แต่อีกข้อความนึงคุณบอกว่า จขกท คิดแบบที่พิมพ์ ก็ได้แต่อารมณ์ขุ่นมัว ได้แต่เสียความรู้สึก เหตุเพราะสมองสติปัญญาประสบการณ์ของ จขกท คิดแบบที่ จขกท เขียนมา แล้วรู้ได้ไงว่า จขกท คิดแบบที่พิมพ์(แต่คนที่เค้าด่ากัน เถียงกัน หรือแช่งกัน เสียดสีกัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย ไม่ได้คิดแบบที่เค้าพิมพ์)
ไม่ด่วนสรุปไปหน่อยหลอค่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จขกท ก็ขอโทษคุณ telwada นะคะที่อาจจะไปตั้งกระทู้ที่ทำให้คุณไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ และอีกอย่าง จขกท ยอมรับค่ะว่าสมองสติปัญญาประสบการณ์ของ จขกท น้อย พร้อมรับคำแนะนำเสมอค่ะ
มีอะไรแนะนำมาได้ค่ะ

 

ล้วนแต่สรรพสัตว์ไม่เหงจะมีใครวิเศษเลยทางกายภาพ กิน ขี้ อี้ นอน
ถ้าจะนับว่าวิเศษกว่าก็ต้องผู้ขัดเกลาจิตใจ หากวิเศษได้ฝุดๆก็ตรงไม่ทุกข์ใจแบบชาวบ้านเค้าหน่ะนะ

 

สวัสดีครับ ขอแสดงความคิดเห็นครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม ไม่ใช่การมีฤทธิ์ แต่หนทางที่สามารถทำลายกิเลสได้ นั่นแหละ คือสิ่งสำคัญ
ป.ล. ผมกำลังหากัลยาณมิตร ที่ไปในแนวทางโลกุตตระ หากลุ่มสนทนาอยู่ แต่หาไม่เจอ line ผม noang_th ครับ

 

ข้อแตกต่างของนักปฏิบัติและนักโม้

นักปฏิบัติจริง พูดกันแค่คำสองคำประโยคสองประโยคเพื่อไขข้อติดขัดข้องใจได้แล้ว เขาก็
ทางใครทางมัน กลับไปเพียรปฏิบัติตามทางธรรม ตามจริตนิสัยที่ตนพึงเลือกพึงกระทำแล้ว
ได้ผลดีต่อไป

นักโม้จริง พูดกันแค่คำสองคำประโยคสองประโยคไม่รู้เรื่อง พูดกันเช้ายันค่ำ มืดยันสว่าง ก็
ยังหาจุดจบจุดลงรอยกันไม่ได้ ต่างฝ่ายก็มีอาวุธลับเป็นของตนเอง ที่จะคอยโจมตีทำลายคู่
แข่งให้ราบคาบยอมรับความคิดของตนให้ได้ เมื่อกลับไปแล้วเขายังจะไปอ่านๆๆๆแล้ว
จำๆๆๆ สังสมคลังสะเบียงคลังอาวุธใหม่ เพื่อกลับมาประหัดประหาร คู่แข่งผู้คิดต่าง ในห้อง
อภิญญาสมาธินี้ อีกไม่จบไม่สิ้น จนสักวันหนึ่ง มีอะไรมาดลจิตแว๊บขึ้นในใจของเขา เขาถึง
จะตาสว่างเอง บอกไม่ได้ เตือนไม่ได้ แนะนำไม่ได้ ปล่อยให้ถึงทางตันเอง จึงจะรู้ตัว

 

https://www.facebook.com/pages/พุทธ...ณสมฺปนฺโน-ภูผาแดงฯ/453781947991908?fref=photo

 

ความขัดแย้งภายในเว็บบอร์ด
ข้อนี้ จขกท. ดูในกระทู้นี้เองก็ได้ครับ จากความเห็นของ จขกท.เอง
หรือความเห็นของท่านอื่น
ว่าตอบโต้กับผู้อื่นหรือไม่ เมื่อเค้าเห็นไม่ตรงกับเรา
จขกท. เห็นเอง ตอบกับตัวเอง

ฉะนั้นมันคือ "การเห็นต่างกัน"
จึงเห็น การโต้ตอบไปมา
มองให้เป็นเรื่องปกติครับ
ไม่ว่าเว็บบอร์ดนี้ หรือเว็บบอร์ดไหน
ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไร
เรื่องรถ เรื่องมือถือ
เรื่องบ้าน เรื่องการเมือง
หรือเรื่องซุปเปอร์ฮีโร่
ไม่เว้นแม้แต่ เรื่องธรรมะ

แต่ที่เห็นเค้าถกกันในเรื่องธรรมะ
จขกท. ลองมองให้ดีจิครับ
มันแฝงไปด้วยธรรมะ
ผู้ที่ถกกัน หรือ คนที่อ่าน
แล้วเอาประโยชน์ได้
มันจะเอ๊ะใจ ว่า "ทำไมคนนั้นพูดอย่างนั้น" "ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้"
แล้วเอาไปศึกษาและปฏิบัติต่อ
จนทราบความจริงเอง
และผมก็เห็นว่าทุกคนมีความเห็นที่ถูกต้อง
มากขึ้นเรื่อยๆ จากการถกเถียงกันนี่แหละครับ
เพราะธรรมทั้งหลายไม่เคยเปลี่ยนไป
เป็นจริงตามนั้น แต่ละคนต่างหากที่เข้ามาเห็น
สัจธรรมนี้ ตามสิ่งที่ตัวเองโดนสะกิด

จขกท.หยิบประโยชน์มันไปให้ได้ครับ


ส่วนเรื่อง "ผู้วิเศษ" อันนี้ใช้วิจารณญาณเอาครับ
แต่ถึงเค้าจะยังไม่เข้ามาสู่ทางตรง
ที่ไปสู่การดับทุกข์ก็ตาม
แต่ทางที่เค้าเดินอยู่ก็ยังเป็น "ทางของกุศล"
ซึ่งวันไหนเค้าได้เห็น"อริยสัจ"
ก็จะรู้เองครับว่า ที่ทำอยู่นั้น "เสียเวลา"

อีกอย่างมีสมาชิกหลายท่าน ชอบกล่าวว่า
"ผู้อื่่นไม่ได้ปฏิบัติ เอาแต่ตำรามากล่าว"
ซึ่งจริงๆผมว่า ทุกคน ก็ล้วนปฏิบัติกันมาทั้งนั้น
ถ้าไม่ปฏิบัติ ไม่มีทางตอบกันอย่างนี้
กล่าวโต้ตอบกันในเชิงลึกได้

ผมแปลกใจคนที่กล่าวว่า "ผู้อื่นไม่ได้ปฏิบัติมา"นั้น
จะมองไม่ออก ถ้าปฏิบัติแน่นอนครับว่าต้องมองออก

ถ้าไม่ได้ปฏิบัติมา แล้วเก่งแต่ตำราจริงๆ
เค้าก็จะแค่ตัดแปะคำครูบาอาจารย์ หรือ ในพระไตรปิฏกเพียงอย่างเดียว
ไม่มีความเห็นของเค้าเอง
หรือถ้ามี ก็อธิบายได้แค่ในตำราที่อ่านมาเท่านั้น
พอพลิกมุมหน่อยก็ไปไม่ถูก อธิบายไม่ได้
อย่างนี้ ถึงเรียกว่าเก่งตำราอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติมา


สุดท้าย อย่างเพิ่งด่วนสรุปในสิ่งที่เห็นครับ
ผมเคยเป็นมาก่อน
เมื่อก่อนผมเห็นแล้วก็นึกในใจว่า
"ทำไมมันเถียงกันขนาดนี้ อย่างนี้หรือคนมีดีมีธรรมะ ลาก่อนล่ะกัน "

วันนั้นผมก็ไม่ได้อะไรไป
เพราะผมไม่เอ๊ะใจเองว่า "เค้าเถียงกันเรื่องอะไร"
วันนั้นผมเหมือนมีผ้าหนาๆปิดตาอยู่
เอาธรรมที่มันฉาบด้วยน้ำเน่า (ของคนที่เถียงกัน)
ธรรมนั้นมันมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มีอยู่
แต่ผมเอามาใคร่ครวญไม่ได้ แม้จะมีคนกระชากผ้าที่ปิดตาผมออกมา
ผมก็ยังตะโกนบอกเค้าว่า "เอาผ้าปิดตาออกทำไม"

 

อ่ออ ลุงแก่แล้ว ผ่านโลกมาเยอะแล้วหลานๆเอ้ย

 

catt3

ผ่านโลกมาเยอะสิค่ะ ดี มีประสบการณ์เยอะ มาแนะนำพวกหนูๆด้วยนะคะ


catt3catt3catt3

 

เล่าให้ฟังเฉยๆ

อยากจะบอกว่า

เคยอยู่ติด ครูบาอาจารย์ ช่วงนึง

รู้ไหมทุกๆวันนี่ จะมีพวกที่คิดว่า ตัวเองเก่ง เป็นผู้วิเศษ ดี อยากลองของ เข้าไปถกธรรมกับ ครูบาอาจารย์กันเลยครับ

ทุกครั้งที่มีคนเข้าไปลองของ นี่ ผมก็แอบไปอยู่ข้างหลังกำแพง ฟังคนมาลองดีกับครูบาอาจารย์ ^^

ผลก็ หงายเงิบ กันไปหมด 555+ พวกที่คิดว่าตัวเอง บรรลุธรรม อย่างโน้นอย่างนี้ พอเจอของจริงเข้าไป เรียบร้อย หุๆ

อยากจะบอกว่า ยิ่งกว่าในบอร์ดนี่อีก ครับ เรื่องบางเรื่อง หุๆ


บางคนก็ติดขัดในการปฏิบัติ ก็เข้าไปเรียนสอบถาม วิธีแก้ไข ขอคำแนะนำก็มีครับ

บางคน ปฏิบัติไปติดนั้น ติดนี่ ก็ขอคำแนะนำแก้ไขจากครูบาอาจารย์ ก็มีเยอะแยะ

ละก็มีบ้างที่เค้าว่าเป็นพระอรหันต์ บรรลุนั้นนี้กัน ก็มีการเรียกว่า พามาพิสูจน์ คุยธรรมสนทนา พาตัวมาตอนดึกๆ ก็มี

คนที่บรรลุจริง ก็มีอยู่ คนที่หลงว่าบรรลุ หรือคนอื่นอ้างว่าบรรลุ ก็มีมาครับ

บางคนก็ลองดี คิดว่าตัวเองเก่ง ไปถึงวัด ก็ไปนั่งเพ่งในใจ อย่างโน้นอย่างนี้ ละก็หาว่า ถ้าหลวงพ่อ เก่งจริง ต้องรู้ว่าในใจ คิดอะไร ก็มี 55555+

มีหลากหลายมากมาย

เล่าแค่นี่ละครับ ^^

.

 

-

 

มองให้เป็นสิ่งอื่นเสียสิจะได้ไม่รู้สึกว่า ใครๆจะวิเศษอะไร เขาพูดกันก็พิจารณาว่าเขาพูดกัน เขาเอาคำพูดมาถกเถียงกันก็พิจารณาว่าเขาเอาคำพูดมาถกเถียงกัน

 

+++ สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นอาการของ "สัตว์ในกามาวจร" ที่ยังต้องอาศัย "จิตส่งออก เพื่อแสวงหา ธรรมารมณ์ มาเสพ" ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สัตว์เหล่านั้น ต้องการ สิ่งที่ชอบใจใน โลกธรรม 8 ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับสรรเสริญ สุข ก็เป็นสิ่งที่พอใจ ถ้าผลออกมาเป็นตรงกันข้าม ก็เป็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ

+++ จริง ๆ แล้ว "ผู้วิเศษ" เหล่านั้น ยังไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ได้ว่า เรื่องของ โลกธรรม 8 นั้น เป็นเรื่องที่ "จิตอื่น" ให้มา ไม่ใช่ "ผู้วิเศษ" ต้องทำเอาเอง แต่เพราะ "ความหลง" จึงทำให้ "ออกอาการ" ประหลาดต่าง ๆ นา ๆ ที่ยิ่งมาก็ยิ่งผิดธรรมชาติไปเรื่อย ๆ

+++ และ "ผู้วิเศษ" หรือ "ตัวประหลาด" เหล่านั้น มักจะลงท้ายไปที่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับ พรหมวิหาร 4 กลายตัวออกมาเป็น อิจฉา ริษยา อาฆาต พยาบาท ซึ่งเป็นหนทางตัดตรงลงสู่ "อบายภูมิ" ดังนั้นจึงดูได้ไม่ยาก ไม่ต้องใช้ ชาน หรือ ยานโทงเทง ใด ๆ ก็ดูออกได้ง่าย ๆ และตรงนี้ชี้ระบุได้ชัดเจนว่า "ตัวประหลาดเหล่านั้น ไม่สามารถทรง ฌาน ได้เลย"

+++ เพราะจิตของท่านเหล่านั้น "พ้นกามาวจร" ไปแล้ว และอยู่ใน "อพรหมะจริยา" ซึ่งไม่เกี่ยวกับ "จิตส่งออก มาหาธรรมารมณ์ จากภายนอก" จิตของท่านเหล่านั้น "เสพสุข จากภายใน" ซึ่งตรงนี้ เป็นอาการของ ฌาน และ ญาณ ตัวจริง

+++ กระทู้พวกนั้น ตั้งขึ้นมาเพื่อ "ล่าโลกธรรม 8" อันเป็นธรรมดาของสัตว์ใน "กามาวจร"

+++ กระทู้ของพวก "ตัวประหลาด" เหล่านั้น ไม่ใช่ทางไปนิพพาน ถึงแม้คำพูดจะสวยหรูยังไงก็ตาม แต่ลงท้ายมักจะชี้ไปที่ "อบายภูมิ" มากกว่า

+++ กระทู้ที่ให้ "ความช่วยเหลือกัน" และกระทู้ "ชี้ทางสว่างแก่ผู้ไม่รู้" นั้นมีอยู่ แต่ส่วนใหญ่มักจะถูกพวก "ตัวประหลาด" แวะเวียนมา เบียดเบียนและอวดรู้ อยู่เสมอ

+++ อีกประการหนึ่งคือ พวกแสวงหาความรู้ มักจะตกลงไปในกระทู้ของพวก "ตัวประหลาด" เป็นประจำ เพราะมันเต็มไปด้วย "นิยาย ตื่นเต้น" ต่าง ๆ จนหลงวนเวียนอยู่ภายใน "นิยายน้ำเน่า" และหาทางออกไม่ได้ก็มีถมไป

+++ มันย่อมไม่ถูกใจพวก "ตัวประหลาด" เป็นธรรมดา แต่เท่าที่สังเกตุดู หลังจากตั้งกระทู้ "ขอเชิญผู้วิเศษทั้งหลายค่ะ" นี้ขึ้นมาแล้ว รู้สึกว่าหลาย ๆ คน เริ่มจะมี "สติ" มากขึ้น แต่ "ตัวประหลาดในระดับ พิสดาร" น่าจะยังโงหัวไม่ขึ้นมากกว่า ก็ย่อมเป็นไปตามกรรมของ "ความงก ในโลกธรรม 8" ของสัตว์เหล่านั้น นะครับ

 

เราต้องทำความเข้าใจก่อนคะว่า เว็บพลังจิตเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร

อยากแรกเลยน่าจะเป็นการส่งเสริมศาสนา แลกเปลี่ยนสนทนาในการปฏิบัติ
หากไม่มีการบอกกล่าวการปฏิบัติของตน เพื่อมาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
เราไม่เอาสิ่งที่ตนเองปฏิบัติได้มาบอกกล่าว แล้วเราจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน
องค์ความรู้กัน โดยสิ่งที่ตนปฏิบัติได้ ก็อานเป็นข้อคิดสำหรับใครบางคน

หรือ......

สิ่งที่ตนปฏิบัติได้ อาจผิด หรือ หลงทาง ก็มีผู้รู้มาให้คำแนะนำ แล้วก็นำ
ไปปรับปรุงเปลี่ยแนวทางใหม่ ตามจริตนิสัยวาสนาของแต่ละคน

นี่น่าจะเป็นวัตถุประสงค์ของเว็บพลังจิต เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ให้ศาสนา
เจริญไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

การไปศึกษาหาความรู้ในเรื่องศาสนา แล้วนำมาบอกกล่าว มองให้ดี ๆ ก็ยัง
มีประโยชน์การไม่สนใจในศาสนาเลย อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าศาสนายังไม่สูญหาย
ไปจากใจคน การเรียนรู้ก็ยังเป็นประโยชน์แก่เขา ถึงแม้การปฏิบัติอาจจะยัง
ไม่ได้นิพพานในวันนี้ และวันข้างหน้าใครจะไปรู้ เรามิใช่สัพพัญญู จึงเคารพ
ในทุกความเห็นของคนอื่นคะ ความเข้าใจเรื่องศาสนานี่ ถ้าไม่มีบารมีสั่งสมมา
ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าสมองหรอกคะ

แล้วถ้าทุกคนไม่พูดอะไรกัยเลย ที่ออกมาจากการปฏิบัติของตน ก็คงไม่มี
ข้อความลงมากมายอย่างนี้หรอกคะ และมีคนดูเป็นแสน ๆ คนเช่นนี้

ก็คือ ตัวใครตัวมัน ปฏิบัติใครปฏิบัติมัน รู้ได้เฉพาะตน ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

ธรรมะก็คงไม่มีการเผยแพร่

และเว็บพลังจิต ก็คงไม่เป็นที่รู้จักของหมู่นักปฏิบัติมาจนทุกวันนี้

ความคิดที่แตกต่างก็เป็นสีสรร หากมองในแง่ดีก็ได้รู้เขารู้เรา

ภาษาก็ออกมาจากใจ ใครว่าเราอย่างไร เป็นไปตามอารมณ์คนอื่นไหม

เราก็สามารถย้อนกลับมามองตนเองได้คะ

เหมือนเรามีเพื่อน มีกัลยาณมิตร จะด่าว่ากันอย่างไร ใจที่มีธรรมะก็
มีความหวังดีอยู่ ก็แล้วแต่อัตตาตัวตนของแต่ละคนในขณะนั้น

ข้อโต้แย้งต่าง ๆ หากใจเราเป็นธรรมแล้ว ก็มองว่า

ความโกรธเป็นอย่างไร ปล่อยวางเป็นอย่างไร ให้อภัยเป็นอย่างไร
ก็เป็นประโยชน์มาก

และมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า คำว่าห้องอภิญญาสมาธิ

ลองสังเกตุดูนะคะ ถ้ามีกระทู้ไหนคุยเรื่อง ความสามารถพิเศษ คนจะสนใจ
กันมากเป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะว่าอะไรเนาะ

ถามว่าดีไหม ถ้านำไปปฏิบัติถูกทาง ก็คงจะดีกว่าเพราะว่า ไม่ใช่จะได้กันทุกคน
นอกจากได้แล้ว มีปัญญาร่วมด้วย จะเป็นประโยชน์กับตนเองแล้ว ก็ยังสามารถ
ช่วยคนอืนได้ รู้กว้างกว่า เช่น วิชชาสาม เป็นต้น แปลว่าบุคคลนั้นต้องมี
ความอดทน และ ขันติเป็นคุณสมบัติเฉพาะตนพิเศษกว่าคนอื่น นั่นเองจึง
จะได้ ไม่ใช่ได้กันมาแบบฟลุ๊ก ๆ เนาะ อย่างน้อยก็ต้องสั่งสมมาดีแหละ
ถ้าชาตินี้ไม่ไปทำเลว มีกรรมหนักขัดขวางเสียก่อนนะ

แต่อะไรจะเลิศเท่ากับอภิญญาปัญญาเนาะ อนุสาสนีย์ปาฏิหารย์นะ

และมองในแง่ดีแล้วทำให้เว็บพลังจิตมีความคิดอันหลากหลาย หลายรสชาด
กินอย่างเดียวเบื่อแย่ แล้วแต่จะถูกจริตใครนะคะ

ส่วนใครทำอย่างไร เราก็แค่เรียนรู้ เพราะผลนั้นไม่ใช่ของเรา

ปัญญา คือ ความจริง

คนที่มีปัญญาเขาย่อมพิจารณาหาความจริงด้วยเหตุด้วยผลของตนเอง

ทุกอย่างก็คือ โลกธรรม จะให้เอาสิ่งทีดีที่สุดอย่างเดียวไม่ได้หรอกคะ
ก็ต้องมีการถ่วงดุลกันไป

เรียนรู้ ถูก-ผิด
เรียนรู้ ดี-ชั่ว
เรียนรู้ บุญ-บาป
เรียนรู้ นินทา-สรรเสริญ

นี่คือเว็บแห่งการเรียนรู้คะ

หากไม่ยึดมั่นเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลยคะ


เชื่อใหมคะ ถ้าใครเชื่อเรื่องพลังงาน หรือ กระแสดึงดูด จะรู้ว่า สิ่งที่เหมือนกัน
จะดึงดูดกัน ข้อความใดจะเป็นจริงหรือไม่ มีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน ก็ดูได้คะ
เพราะความเป็นจริงจะดึงดูดคนที่สนใจให้เขาเข้ามาอยากรู้เอง ยกเว้น กระทู้
ที่คุยเรื่องชาวบ้านใครก็ชอบคะ แม้แต่ตัวเอง ถ้าไม่มีความจริงอยู่เลย เดี๋ยวก็
ตกม้าตายเองแหละคะ โดยเฉพาะข้าพเจ้า ยิ้มไว้คะ ปลอบใจตัวเอง