ต้องอ่านให้ได้!! "โรคที่เกิดจากน้ำมันพืช" (คำสารภาพของวงการแพทย์ระดับโลก)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ironman, 25 มกราคม 2015.

  1. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    คำสารภาพของวงการการแพทย์ระดับโลก ว่าด้วยข้อเท็จจริงของเรื่องโทษไขมันอิ่มตัว กับโรคต่าง ๆ

    ซึ่งเป็นการเผยแพร่ที่ดังระดับโลกในปัจจุบันอีกรอบก็ว่าได้ เป็นการพลิกวงการแพทย์แผนปัจจุบันเลยทีเดียว
    ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด
    และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra ,
    Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ

    ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก Main stream Medicine
    จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปี

    นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital ,
    Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า 25 ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000 ราย
    ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจ (bypass) มาหลายหมื่นเส้น
    ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

    “แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
    และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผม
    เกี่ยวกับสาเหตุตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง

    วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน
    งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตุโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง”

    “ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว
    ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว
    แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “

    “ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

    Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆ กันไปได้ง่ายขึ้น

    1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆ ดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ 60 ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด
    อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค
    สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

    2. ทั้งๆ ที่มีประชากร (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา) ประมาณ 25% ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ
    และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า
    มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา 60 ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์

    ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า 20 ล้านคน
    มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes) กว่า 57 ล้านคน
    ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายุน้อยลงๆ (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก)
    มีคำถามตัวโตๆ ว่าทำไม??

    3. คำตอบที่ง่ายๆ สั้นๆ ที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้
    หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

    4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ
    แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้
    จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

    5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats)
    ที่อยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆ ในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง
    ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมา

    6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
    แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆ โดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆ อันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆ บริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆ แดง เลือดซิบๆ
    นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆ เข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

    7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆ ไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า
    (ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน 6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย)
    ทันทีที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์
    ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป
    น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆ ชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ
    การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆ มื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า

    ผมอยากจะย้ำๆ กับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5,000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น
    ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ
    จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆ มื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆ ขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

    8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ
    โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆ ของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป
    เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3
    ที่ดีคือ ไม่เกิน 3:1

    แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว
    จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหมกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก

    เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลาย
    โดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง
    เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต์ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง
    เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช
    (โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ?
    ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย
    แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพท์ที่ว่า” "ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

    9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ
    ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง
    สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1
    ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

    10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก
    ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้น
    จนกลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ

    ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆ
    จากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 7,280 mg
    น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 6,940 mg
    ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6 ไม่เกิน 20%

    11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
    ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆ จึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

    ** แชร์บทความความรู้นี้ไปยังผู้ป่วย เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาต่อไป **

    ข้อความนี้เป็นฉบับย่อ
    แปลจากหนังสือ"The Great Cholesterol Lie"
    ถ้าต้องการฉบับเต็มขอมาได้คับ
    และต้องขอบคุณผุ้ที่นำฉบับเต็มไปย่อมาให้อ่านง่าย
    .....น้ำมันพืช
    อันตรายระดับชาติ !!!

    คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม
    อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว
    จู่ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข
    วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช

    ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา
    แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น … ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้…เป็นต้น

    วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมัน พืช
    สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ

    ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี
    โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”

    บันทึก #1 18 ก.พ. 2553 09:51:24

    http://gov.ca.gov/press-release/10291/

    รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553

    http://dallas.bizjournals.com/…/sto…/2009/05/04/daily72.html

    KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat

    Trans Fat Free and 'Finger-Licking Good' - ABC News

    McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขา

    McDonald’s finally picks trans-fat-free oil - Health - Diet and nutrition | NBC News

    Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืช ผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550

    https://www.dunkindonuts.com/about…/press/PressRelease.aspx…

    เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat

    Ban Trans Fats: The Campaign to Ban Partially Hydrogenated Oils

    โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบ เผาผลาญอาหารเสื่อม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2015
  2. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508

    แต่เดิมคนไทยทำอาหารด้วยน้ำมันหมู ซึ่งทำมาจากไขมันสัตว์ เรากินกันมาหลายชั่วอายุคน โรคภัยต่างๆ น้อยมาก

    จนเมื่อฝรั่งนำ น้ำมันพืช มาขายในประเทศไทย จึงออกข่าวว่า การทำอาหารด้วยน้ำมันจากสัตว์นั้น

    มีผลทำให้มีคลอเรสเตอรอลสูง และอะไรๆอย่างอื่นสูงไปหมด ทำให้เกิดโรคหัวใจ และโรคอื่นๆตามมา

    ฝรั่งมันหลอกเรา เพราะอยากจะขายของ อยากจะให้ชาวบ้านหันไปซื้อน้ำมันพืชของมัน
    มันจึงออกข่าวลวงพวกนี้จนคนไทยเชื่อ และคนทั้งโลกเชื่อ (รวมทั้งการขายยาลดไขมันแพงๆของมันด้วย)
    (มิหนำซ้ำ ยาลดไขมันบางตัว เป็นตัวการทำให้เกิดโรคหัวใจเสียเองซะด้วย)
    (ผมอ่านข่าวไทยรัฐหน้ากลางๆ ตัดภาพข่าวเก็บไว้เรื่องยาตัวนี้ แต่หาไม่เจอ)

    จนนายแพทย์หลายๆท่าน ออกมายอมรับแล้วว่า
    ความรู้เรื่องคลอเรสเตอรอล ที่เคยเข้าใจกันมาตลอดนั้น เป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
    และทำให้คนทั่วโลก เป็นโรคร้ายแรงเพิ่มขึ้นมากมาย

    เวลาเราทอดอะไรซักอย่าง ด้วยน้ำมันพืช ไอระเหยของน้ำมัน ที่ลอยไปจับกับข้างฝา หรือ ปล่องดูดควัน
    จะเป็นน้ำมันเยิ้มเหนียวๆ และล้างออกยากมาก เอามือไปปาด-ไปเช็ด ไม่ค่อยจะไป-ไม่ค่อยจะออก เหนียวหนึบ

    แต่ถ้าเราทอดอาหารด้วยน้ำมันหมู ไอระเหยของน้ำมันจะไปติดข้างฝา หรือ ปล่องดูดควัน เหมือนกัน
    แต่ล้างออกง่ายกว่า ถ้าเอามือไปลูบดูจะลื่นปาดออกง่าย เช็ดล้างง่ายกว่า

    ยิ่งถ้าเราเผลอลืมใส่น้ำมันพืช แล้วตั้งไฟแรง แล้วลืมทิ้งไว้ (อย่างเช่นการทอดไข่เจียว)
    ถ้ากระทะร้อนจัด น้ำมันจะแห้งกลายเป็นยางเหนียวไหม้ติดกระทะ และล้างออกยากมากๆ

    บางคนเห็นน้ำมันหมู วางไว้เฉยๆ ก็เห็นว่าเกิดเป็นไขฝ้าแข็งจับตัวกัน
    เลยนึกว่า ถ้ากินน้ำมันหมูบ่อยๆแล้ว ไขมันพวกนี้จะไปจับกับผนังหลอดเลือด
    หรือไปแข็งตัวเกาะติดตามอวัยวะต่างๆ ทำให้อุดตัน มีผลทำให้อวัยวะนั้นเสื่อม และเกิดโรค

    ความจริงแล้วน้ำมันหมูมันไม่สามารถจะจับตัวเป็นไขแข็งในร่างกายคนได้
    เพราะร่างกายคนเรา ในสภาวะปกติ จะมีอุณหภูมิคงที่ คือ 37 องศาเซลเซียส
    น้ำมันหมู จะไม่สามารถแข็งตัวเป็นไขแข็งเป็นก้อนในร่างกายคนได้

    เพราะฉนั้น การทอดอาหารด้วยน้ำมันหมู จึงไม่ได้อันตรายกว่าน้ำมันพืช หรือก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ อย่างที่เราเข้าใจกัน
    แต่ตัวการที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดจริงๆ นั้นก็คือ น้ำมันพืช นี่เอง (เราโดนฝรั่งหลอกขายของมานานนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2015
  3. gatkung

    gatkung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +51
    ผมเลิกใช้น้ำมันปาล์มมานานแล้วครับ ทุกวันนี้ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...