หลวงปู่วังสยบผีเปรตสุดเฮี้ยนตาโด ช่วยให้ไปเกิด

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย pokpok111, 14 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร เกิดที่บ้านหนองคู ตำบลกระจาย อำเภอลุมพุก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งบัดนี้ได้ขึ้นกับอำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร แล้ว ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีชวด บิดา-มารดาชื่อว่า นายหลวงลา และนางคำ ขันเงิน ภายหลังเพราะเหตุไรไม่อาจทราบได้ มีการเปลี่ยนนามสกุล ขันเงิน นี้มาเป็น สลับสี ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้

    ๑. นายอาน สลับสี
    ๒. พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร (สลับสี)
    ๓. นายลี สลับสี
    ๔. นายสุภีย์ สลับสี
    ๕. นางไพ สลับสี
    ๖. นางเงา สลับสี
    ๗. นายส่าน (เวียง) สลับสี


    ปฐมวัย

    ท่านได้เล่าว่าเรียนจบชั้น ป. ๔ ที่โรงเรียนบ้านหนองคูนั้นเอง ท่านเป็นคนสมองทึบ แม้จะเรียนจบชั้น ป. ๔ ก็เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก แต่ต่อมาเมื่อท่านบรรพชาอุปสมบทได้เล่าเรียนจากครูบาอาจารย์แล้ว ท่านจึงอ่านออกเขียนได้ ทั้งหนังสือไทย หนังสือธรรม กลับเป็นคนละคนคือสมองท่านกลับเป็นผู้จำง่ายขึ้น คงเป็นเพราะอำนาจของสมาธิภาวนานั่นเอง อุปนิสัยของท่านชอบเป็นนายหมู่ในหมู่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน มีเด็กเป็นฝูงห้อมล้อมท่าน บางทีก็สมมติท่านเป็นพระ แล้วหมู่เด็กทั้งหลายก็กราบท่าน อย่างนี้เป็นต้น


    ออกบรรพชา

    ท่านได้เล่าถึงการออกบวชของท่านเมื่ออายุ ๑๓ ปี ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ว่า เป็นเหตุการณ์พิเศษกว่าการออกบวชของท่านผู้อื่น จึงขอเล่าตามที่ท่านเล่าให้ฟังดังนี้

    นางคำ มารดาของท่านเป็นคนใจบุญ เข้าวัดจำศีลฟังธรรม และถวายอาหารแด่พระภิกษุสามเณรที่วัดบ้านหนองคูทุกวัน วันหนึ่ง ท่านพระอาจารย์ทองสา ที่อยู่ที่วัดนั้นถามถึง เด็กชายวัง สลับสี ว่า เขาทำอะไร บอกให้เขามาบวชด้วย หลังจากมารดาของท่านบอกให้ทราบว่า ท่านอาจารย์ที่วัดถามหา ขอให้ไปบวชด้วย เท่านั้นเองท่านก็บอกทันทีว่าไม่บวช แม้บิดามารดาจะขอร้องบอกกล่าวอย่างไร ท่านก็ยืนยันคำเดียวว่าไม่บวชอยู่นั้นเอง หลายวันต่อมา ท่านได้ออกไปเลี้ยงวัวควายกับบรรดาเด็กทั้งหลายเหมือนทุกวัน ท่านคิดว่า ถึงอย่างไรบิดามารดาคงจะนำเราไปบวชแน่นอน ดังนั้น จะไม่กลับเข้าบ้านอีก ได้ฝากวัวควายที่ไปเลี้ยงไล่กลับบ้านกับเพื่อนฝูง ตัวท่านเองอาศัยนอนที่บนเถียงนาซึ่งมีฟางข้าวใส่ไว้เกือบเต็ม ท่านก็นอนในระหว่างกองฟางเหล่านั้น เถียงนานี้ห่างจากบ้านประมาณ ๑ กิโลเมตรครึ่ง เมื่อเพื่อนเด็กเลี้ยงควายทั้งหลายออกไปในวันใหม่ ท่านก็ได้อาศัยกินข้าวน้ำจากเด็กเหล่านั้น ท่านอยู่ในสภาพนั้นประมาณ ๔-๕ คืน

    ส่วนทางวัด ท่านพระอาจารย์ทองสา ได้ถามถึงว่า เถียงนานั้นเป็นของใคร อยู่ในที่นาใคร เมื่อท่านทราบแล้ว ภายหลังจากฉันข้าวเสร็จวันหนึ่งได้พาเณรตัวโตๆ ๓ รูปออกไปด้วย เมื่อออกไปถึงเถียงนานั้นแล้ว ท่านจึงบอกให้เณร ๓ รูปยืนเป็นแถวกั้นอยู่ทางบันได แล้วท่านเรียกออกไปว่า “นายวัง” ๓-๔ ครั้ง ขณะนั้นท่านนอนอยู่ในนั้น พอได้ยินเสียงเรียกก็เข้าใจทันทีว่าคราวนี้คงมาตามเราไปบวชแน่ จึงคิดจะหนีไปให้พ้น เมื่อรู้ว่ามีเณรยืนอยู่ทางบันได ท่านจึงผลักเถียงนาทางด้านหลัง แล้วกระโจนลงจากเถียงนา วิ่งหนีสุดกำลัง สามเณรทั้ง ๓ รูปจึงวิ่งตามไปจับตัวไว้ กว่าจะทันก็วิ่งผ่านไปหลายไร่นา เมื่อจับได้แล้วจึงเอาผ้าอาบน้ำมัดที่ข้อมือแล้วท่านก็ตามกลับมาโดยดี เมื่อกลับถึงวัดแล้วพระอาจารย์ก็ให้โกนผมทันที แล้วนำไปบวชกับ ท่านพระครูวิจิตรวิโสธนาจารย์ ที่วัดบ้านหนองคูนั้นเอง หลังบวชแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาที่นั้น ๑ พรรษา


    เรียนคาถาอาคมจากปู่

    พระอาจารย์วังเกิดมาในตระกูลหมอปะกำช้าง ปู่ของท่านเป็นผู้มีวิชาคาถาอาคมขลัง ท่านจึงได้เรียนรู้คาถาอาคมจากปู่ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เมื่อครั้งเป็นสามเณรท่านอยากเห็นวิชาวัวธนูครูหน้าน้อย จึงขอร้องให้ปู่ทำให้ดู ปู่ของท่านก็เอาไม้ไผ่มาทำหน้าไม้เล็กๆ เหลาลูกให้พอดี จากนั้นก็พาหลานชายจัดทำขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ บูชาครู เมื่อถึงเวลากลางคืนจึงนำลูกหน้าไม้ไปทำพิธีลงคาถาอาคมใส่ ปู่ของท่านทำพิธีอยู่ ๗ คืน เมื่อครบพิธีแล้วจึงบอกให้หลานมาดู โดยให้คนเอามีดไปทำเครื่องหมายไว้ที่ต้นไม้ใหญ่กลางป่าต้นหนึ่ง จึงยิงหน้าไม้ออกไปโดยยิงทะลุหลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าคาในตอนกลางคืน ก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น รุ่งเช้าพระอาจารย์วังก็ได้ไปดูต้นไม้ที่ทำเครื่องหมายไว้ ก็ปรากฏว่าเห็นลูกหน้าไม้เสียบอยู่ตรงนั้นพอดี ซึ่งวิชาวัวธนูครูหน้าน้อยนั้นเป็นวิชาฆ่าคนที่แพร่หลายในแถบลุ่มแม่น้ำโขง คนโบราณสมัยก่อนชอบเรียนกันมาก


    ออกเดินธุดงค์กัมมัฏฐาน

    หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านพระอาจารย์ทองสา ได้พาเดินวิเวกหาที่สงบสงัดและแสวงหาครูบาอาจารย์ เดินไปเรื่อยๆ แถวจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม สกลนคร หนองคาย อุดรธานี เมืองเลย ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ นิสัยของท่านชอบอยู่ตามภูเขามากเป็นพิเศษ

    หลายปีต่อมา ท่านอาจารย์พาเที่ยววิเวกผ่านมาแถวจังหวัดสกลนคร หนองคาย ได้พบกับถิ่นฐานบ้านเมืองแถวนี้ยังมีที่รกร้างว่างเปล่า มีทุ่งว่างป่าดงหนาแน่น ยังเป็นสภาพป่าดงดิบอยู่ตามธรรมชาติเดิมมากมาย ไม่เหมือนกับทางจังหวัดอุบลฯ เป็นทุ่งว่าง แต่แห้งแล้ง มีหมู่ชนหนาแน่น ที่จะทำมาหากินก็คับแคบ จึงเป็นเหตุให้พระอาจารย์ทองสาและพระอาจารย์วัง คิดถึงสภาพความเป็นอยู่ของบิดามารดาและญาติซึ่งอัตคัดขัดสนด้านการครองชีพ จึงคิดจะโยกย้ายครอบครัวของบิดามารดาและญาติๆ ทั้งหลายขึ้นไปหาทำเลที่เหมาะกับการทำไร่ทำนาทางนี้

    เมื่อได้รับฟังการชักนำชี้ชวนของท่านแล้วจึงตกลงโยกย้าย ครอบครัวหลายครอบครัวจากบ้านหนองคู โดยเอาข้าวสารและสิ่งของบรรทุกใส่เกวียน ส่วนคนก็เดินตามไปเรื่อยๆ ได้ผ่านหมู่บ้านมาหลายแห่งจนถึงหมู่บ้านศรีชมชื่น ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย เห็นว่าเป็นที่เหมาะสมที่จะตั้งหลักฐานในที่นั้น ชาวบ้านที่นั้นเขาก็ยินดีต้อนรับให้อยู่ด้วย แล้วก็ได้แบ่งปันที่จะสร้างบ้านและที่จะทำไร่ทำนาให้จนเป็นที่พอใจ จึงได้ตั้งใจว่าจะสร้างหลักฐานครอบครัวต่อไปที่หมู่บ้านแห่งนี้

    เมื่อถึงหน้าฝนอันมีฝนตกชุกซึ่งเป็นของปกติของถิ่นนี้ พวกบิดามารดาและพี่น้อง ลูกเล็กเด็กแดง ซึ่งเป็นคนเคยอยู่แต่ที่ว่าง แต่คราวนี้มาอยู่ที่เป็นป่าดงดิบ มีความชุ่มชื้นและไข้ป่าชุกชุม จึงเป็นเหตุให้เป็นไข้ป่ากันเกือบทุกคน แทนที่จะได้ก่อร่างสร้างตัวตามความที่ตั้งใจไว้ กลับพากันเป็นไข้หนักบ้างเบาบ้าง ติดเชื้อไข้ป่า แต่ไม่มีหมอมียาเหมือนสมัยนี้ ดังนั้น จึงเป็นไข้เรื้อรังตลอด ในปีต่อมาจึงมีคนตายไปก็มี ผู้ไม่ตายก็ไม่มีกำลังแข็งแรงพอที่จะทำนาทำไร่ได้ จึงเป็นเหตุให้คณะที่มาด้วยกันแยกย้ายกันไป คือบางครอบครัวก็ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านหนองคูตามเดิม บางครอบครัวอยู่ได้ก็อยู่กันไป โดยเฉพาะครอบครัวพระอาจารย์วังไม่ยอมกลับ เมื่ออยู่มาได้ ๒-๓ ปีบิดาและน้องก็ตาย ยังเหลือมารดาและน้องชาย คือนายส่าน สลับสี ต่อมาให้เปลี่ยนชื่อว่า นายเวียง ให้ชื่อมีตัว ว เช่นเดียวกับชื่อของท่าน เพื่อคิดว่าจะไม่ให้ตายตามกันไป

    ต่อมามารดาและน้องสาว-น้องชายได้ย้ายจากบ้านนั้น ไปอยู่กับหมู่ที่เคยมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งไปอยู่ที่บ้านหนามแท่ง ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ปีต่อมามารดาและน้องสาวก็ได้ตายจากไปอีก ยังเหลือแต่เด็กชายเวียง สลับสี ซึ่งยังเล็กอยู่อายุ ๓-๔ ปี ท่านได้เอาน้องชายมาอยู่วัด ให้พวกแม่ชีช่วยเลี้ยงดูให้ ทำให้ท่านได้รับความกระเทือนใจเกิดความสังเวชสลดใจเป็นอย่างมาก ความหวังว่าจะช่วยเหลือพยุงฐานะการทำมาหากินให้ดีขึ้น จึงได้ย้ายครอบครัวของบิดามารดาญาติพี่น้องมาตั้งที่ใหม่ แต่กลับมาเป็นการโยกย้ายบิดามารดาญาติพี่น้องมาตาย ท่านจึงตั้งใจที่จะปฏิบัติพระธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่งขึ้นไป

    ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

    ต่อมาท่านพระอาจารย์ทองสา ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่พาท่านเดินธุดงค์กัมมัฏฐานมาด้วยกันหลายปี กลับมาลาสิกขาไปจากท่าน เหลือแต่ท่านเพียงผู้เดียว จึงเป็นโอกาสให้เป็นอิสระที่จะเดินกัมมัฏฐานตามใจชอบ ท่านจึงได้แสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือในสมัยนั้น เมื่อมีโอกาสอันเหมาะ ท่านได้เข้าไปกราบ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล กราบขอเป็นศิษย์ท่าน หลวงปู่เสาร์ก็รับเป็นศิษย์ แล้วก็ได้รับการอบรมจากท่านเป็นอย่างดี


    ปรารถนาพุทธภูมิ

    เมื่อท่านได้รับการอบรมแล้วก็เร่งบำเพ็ญสมาธิภาวนาให้ยิ่งขึ้นอย่างแรงกล้า และได้เกิดความรู้สึกปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้าหรือเรียก ปรารถนาพุทธภูมิ นั้นเอง ท่านจึงได้เข้ากราบเรียนเรื่องนี้ให้หลวงปู่เสาร์ทราบ หลวงปู่เสาร์ได้ชี้แจงว่าการปรารถนาพุทธภูมินี้ กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องใช้เวลาสร้างบารมีมาหลายกัป หลายภพหลายชาติ เนิ่นนานมาก ท่านได้แนะนำให้เลิกการปรารถนานี้เสีย

    แต่พระอาจารย์วังก็ได้กราบเรียนท่านหลวงปู่เสาร์ว่า มีความมุ่งมั่นรักในพุทธภูมินี้มาก แม้จะมีผู้มีอำนาจมาบังคับว่าถ้าไม่ยอมถอนจากความปรารถนานี้ จะฆ่าให้ตาย ก็ไม่ยอมถอน แม้จะฆ่าให้ตายก็ยอม เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านหลวงปู่เสาร์ก็พลอยอนุโมทนาด้วย และบอกว่าขอให้ตั้งใจต่อไป ในเวลาต่อมา ท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อการภาวนาของท่านก้าวหน้าไปจนชำนาญทางด้านสมถกัมมัฏฐานแล้ว เมื่อยกจิตพิจารณาวิปัสสนากัมมัฏฐานมากขึ้น จิตจะสะดุด แล้วประหวัดถึงความปรารถนาภูมิทันที ไม่สามารถไปต่อได้มากกว่านั้น แต่ท่านก็ยังคงมุ่งมั่นในพุทธภูมินี้เรื่อยไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_998.jpg
      _1_998.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.6 KB
      เปิดดู:
      2,971
    • _218_884.jpg
      _218_884.jpg
      ขนาดไฟล์:
      253.4 KB
      เปิดดู:
      3,589
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2015
  2. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ๏ ช่วยเปรตตาโดให้ไปเกิด

    พระเดชพระคุณพระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) เล่าให้ผู้เขียนบันทึกตอนนี้ (พระวินิต สุเมโธ) ฟังว่า ในหน้าแล้งปีหนึ่ง หลวงปู่วังได้ไปเที่ยวธุดงค์ภาวนาอยู่ที่วัดดงหม้อทอง มีครูบานู อยู่บ้านนาสิงห์ได้มาอยู่ภาวนาด้วย อยู่มาวันหนึ่งครูบานูก็ได้ขอกราบลาไปเยี่ยมบ้านเกิด ท่านก็อนุญาตให้ไป เมื่อครูบานูไปถึงบ้านก็ได้พักที่วัดร้างในหมู่บ้าน ชาวบ้านเมื่อรู้ว่าครูบานูกลับมา ก็ออกไปถามไถ่รับใช้ตามธรรมเนียมของคนอีสาน ก่อนกลับก็ได้บอกครูบานูว่า “ครูบ๋าวัดนี้มีเปรตได๋มันหลอกจนญาคูจั๋วน้อยอยู่บ่ได๋ วัดจั่งได้ฮ้าง คำญาคูย่านให้เข้าเมือนอนในบ้านเด้อ” ฝ่ายครูบานูก็เชื่อมั่นในตนเองว่าไม่กลัว ก็เลยบอกชาวบ้านว่า “ผีอยู่ใสเป็นจั๋งได๋บ่ย่านดอก พากันเมือโลด” ชาวบ้านเห็นครูบานูไม่กลัวก็พากันกลับบ้าน

    พอตะวันตกดินเหตุการณ์แปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นให้ครูบานูได้เห็น กลองเพลที่แขวนอยู่ใต้ถุนกุฏิที่ครูบานูใช้จำวัด ก็ดัง ตึง ตึง ขึ้น สิ้นเสียงกลองเพลก็มีเสียงเหมือนคนหว่านหินขึ้นไปบนหลังคาสังกะสี ซ่า ซ่า ซ่าไม่หยุด ฝ่ายครูบานูก็ข่มจิตข่มใจตัวเองเต็มที่อยู่ในห้องตามลำพัง ฉับพลันบานประตูทางเข้าก็ถูกผลักเสียงดังอี๊ด อี๊ดๆ อย่างช้าๆ เข้ามา ครูบานูก็ลุกขึ้นจะไปปิดไว้เช่นเดิม เดินไปถึงประตูๆ ก็ยังปิดสนิทอยู่ ก็กลับเข้ามาไม่นานประตูก็ถูกผลักเข้ามาอีก คราวนี้ครูบานูสติขาดเสียแล้วกระโจนออกทางหน้าต่างร้อง ผี ผี ผี ไม่หยุดปาก วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน วันนั้นครูบานูต้องอาศัยจำวัดที่บ้านญาติโยมในหมู่บ้าน

    วันรุ่งขึ้นหลังจากฉันอาหารเช้าเสร็จ ครูบานูก็ลาญาติโยมกลับมาหาหลวงปู่วังที่ดงหม้อทอง เล่าเรื่องเปรตตาโดให้ท่านฟังและขอร้องให้ท่านไปช่วยชาวบ้านด้วย เมื่อหลวงปู่วังท่านได้ฟังคำบอกเล่าเรื่องราวจากครูบานูแล้วท่านก็เก็บบริขาร ชวนครูบานูกลับไปที่บ้านนาสิงห์อีก ไปถึงเวลาใกล้ค่ำครูบานูก็จัดเก็บบริขาร จัดปูที่นอนให้ท่านในที่ๆ ท่านต้องการ ชาวบ้านเมื่อทราบข่าวว่าครูบานูพาครูบาอาจารย์กลับมาที่วัดอีก ก็ชวนกันออกไปอุปัฏฐากรับใช้ตามธรรมเนียมของคนอีสานที่เห็นพระสงฆ์องค์เจ้าเข้ามาพักในหมู่บ้านตน เมื่อได้สนทนากันสมควรแก่เวลาแล้ว ชาวบ้านก็ขอลากลับ ชาวบ้านก็ถามท่านว่า “บ่ย่านผีบ่ญาคู ผีมันฮ้ายได๋ มันหลอกจนพวกข้าน้อยบ่ได้นอน บางมื้อยามแลงพวกข้าน้อยตำพริก ฟักลาบ มันก๋าไปเคาะฮาวฮั้วแข่งปานวงดนตรี” หลวงปู่เมื่อท่านได้ฟังท่านก็หัวเราะ และบอกกับชาวบ้านว่า “ให้มันมาโลด มาจักร้อยผีนี่” ฝ่ายชาวบ้านได้ยินท่านพูดอย่างนั้นต่างก็หัวเราะพร้อมพูดเชิงเย้ยแบบไม่เชื่อ “ญาคูแล่นเข้าบ้านแบบญาคูนูเน้อ” “ฮ่วย ! ข้อยบ่แม่นครูบานูเน้อ !”

    เมื่อชาวบ้านกลับหมดแล้วท่านก็ลงเดินจงกรมที่ชาวบ้านเตรียมให้ เมื่อสิ้นแสงตะวันความมืดก็ปกคลุม ท่านก็จุดเทียนไขขึ้นที่ปลายทางจงกรม ท่านเดินไปรู้สึกเหมือนคนเดินตามหลังตลอดเวลา ไปสุดทางจงกรมหันหลังกลับ ก็มีแว๊บไปซ่อนอยู่ด้านหลัง เมื่อออกเดินมันก็เดินตาม เป็นอยู่อย่างนั้น ท่านไม่สนใจกับมัน เมื่อเลิกจงกรมแล้วเข้าที่นั่งภาวนา เสียงกลองเพลที่แขวนอยู่ใต้ถุนก็เริ่มดัง ตึง ตึง ตึง ขึ้น เลิกจากตีกลอง เสียงหว่านหินขึ้นหลังคาสังกะสีดัง ซ่า ซ่า ซ่า สลับกันอยู่อย่างนั้น รบกวนท่านอยู่ตลอดคืนจนกระทั่งไก่ขันตอนเช้ามันจึงเลิก

    วันที่สองเหตุการณ์ยังเป็นอยู่เช่นเดิม ท่านเดินจงกรมมันก็เดินตาม จนท่านรู้สึกรำคาญจึงบอกมันไปว่า “เซามึงเซาเด้อ” มันก็ไม่เชื่อ ท่านจึงแก้สายประคบที่เอวออกพร้อมตวาดว่า “กูสิเมี้ยนมึงมื้อนี้” เปรตตาโดตกใจหนีขึ้นต้นฝรั่ง หลวงปู่จึงเอาสายประคตผูกรอบๆ ต้นฝรั่งไว้ ทำให้เปรตตาโดลงมาหลอกหลอนรบกวนไม่ได้อยู่สองวัน ตอนกลางวันท่านไปสังเกตดู เห็นกิ่งฝรั่งไหวยวบไปยวบมาเหมือนมีคนอยู่บนนั้น เช้าวันที่สามท่านจึงแก้สายประคตออก เมื่อเปรตตาโดถูกปล่อยยิ่งอาละวาดหนัก จนชาวบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอน

    ท่านจึงเรียกชาวบ้านให้มาประชุมปรึกษา และสอบถามถึงต้นเหตุ ชาวบ้านจึงเล่าให้ท่านฟังว่า เดิมนายโดเป็นคนไม่มีหลักแหล่ง ติดยาฝิ่น เข้ามาอาศัยหลับนอนอยู่ในวัด เมื่อไม่มีเงินซื้อยาฝิ่นก็ขโมยเอาเสื่อ เอาหมอน ตลอดจนผ้าห่อคัมภีร์ นำไปขายเพื่อซื้อยาฝิ่น ต่อมาก็ลงแดงตายภายในวัดนี้

    หลังทราบสาเหตุ หลวงปู่วังก็ถามชาวบ้านว่า “ซุมหมู่เจ้าอยากให้ผีเปรตนายโดนั้นได้ไปผุดไปเกิดอยู่บ่” ชาวบ้านก็บอกกับท่านว่า “โอ๊ยอยากหันแหล่ว ขะน่อยซ่อยหมู่ขะน่อยแน่ ญาคูให้เฮ็ดแนวใด๋กะให้บอกมา” ท่านจึงแนะนำให้หาสิ่งของเท่าที่นายโดนำไปขายมา แล้วไปนิมนต์พระในละแวกนั้นมาเพื่อให้ครบองค์สงฆ์ ชาวบ้านก็พร้อมเพียงกันจัดหาสิ่งของมารวมกันที่หอแจก (ศาลาการเปรียญ) เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม ท่านพระอาจารย์วังเป็นผู้นำสวดชัยมงคลคาถา จากนั้นก็พากล่าวนำถวายสิ่งของคืนให้แก่สงฆ์ โดยท่านพระอาจารย์วังกล่าวนำว่า ของทุกอย่างที่นายโดเอาไป บัดนี้ได้นำมาชดใช้ให้แล้วไม่ให้มีโทษ ส่วนที่เอาไปแล้วก็ยกให้นายโด ถ้านายโดรับรู้แล้วจงได้มารับเอาส่วนบุญที่ได้กระทำให้แล้วในวันนี้ และขอให้อนุโมทนาด้วยเถิด

    ท่านพระอาจารย์วังกล่าวจบ ก็บังเกิดเสียงดังตูมขึ้น เงาดำทะมึนก็ผุดขึ้นสูงตระหง่านท่วมหลังคาศาลา เวลาในขณะนั้นยังไม่มืดสนิทนัก ความอลหม่านก็เกิดขึ้นในทันที ชาวบ้านหญิงชายแตกฮือเข้าไปหาพระ ไม่รู้ใครเป็นใคร จนท่านพระอาจารย์วังร้องบอกว่า “บ่ต้องย่าน อาตมาอยู่นี่บ่ต้องย่าน” ชาวบ้านจึงมีสติกลับมา เปรตตาโดปรากฏให้เห็นอยู่ชั่วขณะหนึ่งจึงอันตรธานหายไป ท่านพระอาจารย์วังพักอยู่ที่นั่นต่ออีกสามวัน เมื่อทุกอย่างกลับสู่ปกติท่านจึงลาชาวบ้านกลับมาบำเพ็ญภาวนาที่ดงหม้อทองตามเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2015
  3. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ถ้าสมาชิกท่านใดชอบในเรื่องราว ก็ขอกำลังใจด้วยนะครับ เดียวจะได้นำเรื่องราวของหลวงปู่มาลงอีกในเร็วๆนี้ครับ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ รับรองสนุกและได้ธรรมะไม่แพ้เรื่องเปรตแน่นอนครับ
     
  4. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    มาเร็วๆนะค่ะอย่าปล่อยให้รอจนลูกบวชน่า :)
     
  5. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    ลงโลด ม่วนขนาด
     
  6. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ๏ สยบนักเลง

    ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๙-๒๔๘๐ พระอาจารย์วังได้จำพรรษาอยู่วัดอรัญญิกาวาส บ้านม่วงไข่ อำเภอสว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็นอำเภอพังโคน) จังหวัดสกลนคร ที่หมู่บ้านนี้มีนักเลงโตประจำหมู่บ้านคนหนึ่ง ชื่อนายพุฒ เป็นคนไม่กลัวใคร วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่เคารพ ชอบต่อไก่ ไม่สนใจกับใครทั้งสิ้น ตอนเช้าออกบิณฑบาตพระอาจารย์วังจะเจอกับนายพุฒเสมอ ท่านต้องเป็นผู้หลบทางให้แก่นายพุฒตลอด เพราะถ้าไม่หลบ นายพุฒคนนี้ก็จะเดินชนจริงๆ เช้าวันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น พระอาจารย์วังกลับจากบิณฑบาต ก็พบนายพุฒระหว่างทาง พอนายพุฒเดินเข้ามาใกล้ท่านก็ส่งบาตรให้พระที่อยู่ด้านหลัง แล้วแย่งเอาไก่จากมือนายพุฒเดินเข้าวัดไปเฉย นายพุฒจึงจำเป็นต้องเดินตามพระอาจารย์วังเข้าไปในวัด เพื่อตามเอาไก่ต่อตัวเก่งคืน

    เช้าวันนั้นอาหารคาวหวานตลอดจนผลไม้มีมากเป็นพิเศษ เมื่อพระอาจารย์วังขึ้นบนศาลา ท่านก็นั่งอุ้มไก่ไม่ยอมปล่อย ส่วนนายพุฒเมื่อตามมาถึงก็ไม่ยอมกราบไหว้พระ พร้อมกับทวงเอาไก่ “ญาคู เอาไก่ข้อยมา” พระอาจารย์วังท่านก็ไม่ให้ แต่ได้พูดกับนายพุฒว่า “พ่อออกพุฒเอ้ย ลูกหลานมาอยู่นำก็เป็นเวลานานแล้ว ขอเว้าขอจานำแด่ถ่อน” ฝ่ายนายพุฒก็ตอบว่า “เซาๆ อย่ามาเว้า เอาไก่ข้อยมา” พระอาจารย์วังก็ไม่ให้ เมื่อชาวบ้านที่มาทำบุญในเช้าวันนั้นมาพร้อมทุกคนแล้ว นายพุฒก็มองเห็นอาหารมากมาย จึงพูดขึ้นว่า “โอ้โฮ้ ! แนวกินคือหลายแท้” พระอาจารย์วังที่นั่งยิ้มๆ อยู่ตรงนั้นจึงพูดว่า “ซำนี้บ่หลายดอก อาตมากินบ่พอครึ่งท้อง” นายพุฒชักโกรธที่พระอาจารย์วังคุยอย่างนั้น จึงท้าท่านพระอาจารย์วังว่า “เอาตี้ ถ้าญาคูกินเบิ๊ดนี่ ข้อยสิยอมบวช ๓ ปี ถ้าญาคูกินบ่เบิ๊ด ต้องสึกไปเฮ็ดนาให้ข้อยกิน ๓ ปี คือกัน เอาบ่” เมื่อพระอาจารย์วังเห็นโอกาสทองมาถึง ท่านก็รับคำท้า พร้อมบอกให้ชาวบ้านที่อยู่บนศาลาช่วยเป็นสักขีพยาน

    อาหารในเช้าวันนั้นมีกับข้าว ๗ สำรับ ต้มบวชมัน ๑ ปิ่นโต มะละกอสุก ๓ ลูก กล้วย ๓ หวี ข้าวเหนียวเต็มบาตร หลังจากนั้นท่านก็ลงมือฉันไปเรื่อยๆ ชาวบ้านหลายคนต่างก็คิดว่าคราวนี้เห็นทีอาจารย์ต้องได้สึกไปทำนาให้นายพุฒกินแน่ๆ ส่วนนายพุฒก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่จะได้คนช่วยทำนา ฝ่ายพระอาจารย์วังก็ก้มหน้าฉันอาหารไปเรื่อยๆ ไม่นานทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็หมด พร้อมกับคว่ำบาตรให้ทุกคนดู

    นายพุฒเห็นเช่นนั้นก็เดินลงจากศาลา ไม่ยอมพูดจากับใคร จนตะวันบ่ายนายพุฒจึงกลับมาพบกับพระอาจารย์วังพร้อมบริขารที่จะบวช เมื่อบวชแล้ว พระพุฒก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระอาจารย์วังพร่ำสอนอย่างเคร่งครัด ไม่นานเมียที่บ้านก็ตามมาบวชชีอีกคน
     
  7. ร้อนแรง

    ร้อนแรง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +716
    ดีมากๆ ได้ทั้งเนื้อหา และสาระ โมทนาด้วยครับ
    มีอะไรดีๆ แปลกๆ เอาเล่าสู่กันนะครับ***ธรรมทาน**สะสมเอาไว้--ทุนในการเดินทางครับผม
     
  8. วิจิตร

    วิจิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +514
    ขอบคุณครับที่นำสิ่งดีดีมาให้อ่านกัน
     
  9. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    ต่อๆๆๆๆมาเล่าให้ฟังต่อนะค่ะ xx
     
  10. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    ๏ พบถ้ำชัยมงคล

    อยู่มาปีหนึ่ง พ.ศ. ๒๔๘๘ ท่านได้ออกเที่ยววิเวกเหมือนทุกปีที่ผ่านมา โดยได้เดินธุดงค์ไปที่ภูลังกา บ้านโพธิ์หมากแข้ง บ้านโนนหนามแท่ง ได้ขึ้นไปที่หลังภูลังกาซึ่งเคยขึ้นเกือบทุกปี แต่ปีนั้นได้พบถ้ำๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นถ้ำกว้างพออยู่อาศัยได้สะดวก ถ้ำนี้แบ่งเป็นสองตอน ตรงกลางมีก้อนหินตับคั่นเป็นห้อง แต่เดินไปหากันได้ตลอด เป็นชะง่อนหินริมผา ลักษณะคล้ายถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร ด้านหน้าถ้ำอยู่ตรงทิศตะวันออก แสงอาทิตย์ส่องถึงภายในถ้ำได้ตลอด ถ้ำนี้ยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน เมื่อท่านได้พบแล้ว เป็นที่พอใจของท่านอย่างมาก ท่านพูดว่าต่อไปเราจะมาอยู่ที่นี่ ซึ่งตามปกติท่านก็ชอบภูเขาอยู่แล้ว ท่านจึงให้ชื่อถ้ำนี้ว่า “ถ้ำชัยมงคล”

    ระยะทางจากถ้ำนี้ลงไปถึงตีนเขาประมาณ ๑ กิโลเมตรกว่า ตีนเขาห่างจากหมู่บ้านโพธิ์หมากแข้ง บ้านโนนหนามแท่ง เดินผ่านดงไปอีกประมาณ ๘ กิโลเมตร บริเวณรอบภูลังกานี้เป็นป่าไม้ดงดิบที่อุดมสมบูรณ์มาก มีพวกสัตว์ป่าต่างๆ เช่น ช้าง เสือ ควายป่า กระทิง หมี เลียงผา อีเก้ง กระจง ชะมด ลิง ค่าง บ่าง กระรอก กระแต ไก่ป่า ไก่ขัว นกยูงเป็นฝูงๆ และนกอื่นๆ อีกมากมาย ในด้านทิศตะวันตกของภูลังกาคือบ้านโพธิ์หมากแข้ง มีถ้ำอยู่ตามเงื้อมเขา พอเป็นที่ผึ้งจะอาศัยทำเป็นรัง มีอยู่หลายถ้ำ เช่น ถ้ำพร้าว ถ้ำปอหู เป็นต้น โดยเฉพาะถ้ำพร้าวเป็นถ้ำสูง จึงมีผึ้งมาทำรังอยู่ปีละไม่น้อยกว่าหนึ่งรัง ชาวบ้านต้องประมูลจากทางอำเภอ เมื่อประมูลได้แล้ว ก็เฝ้ารักษาคอยเก็บเอาเฉพาะรังผึ้งมาทำเป็นขี้ผึ้งขาย ไม่ค่อยนำเอาน้ำผึ้งมาขาย เพราะถ้ำอยู่สูง ไม่สะดวกในการเก็บน้ำผึ้ง ไม่เหมือนที่ภูสิงห์ ภูวัว ซึ่งเป็นเป็นภูเขาที่มีถ้ำอยู่ต่ำ จึงเก็บเอาน้ำผึ้งมาขายได้ง่ายกว่า

    เมื่อท่านได้พบถ้ำนั้นแล้ว ในปีนั้นและปีต่อๆ มาจึงได้พาพระเณรขึ้นไปจำพรรษาอยู่ที่นั่นทุกปี แต่ละปีไม่ต่ำกว่า ๕-๖ รูป เพราะถ้ำชัยมงคลอยู่ไกลจากหมู่บ้านมากจะลงไปรับบาตรไม่ได้ ต้องอาศัยญาติโยมชาวบ้าน สามเณรและเด็กจัดทำอาหารถวาย สามเณรที่อยู่ประจำคือ สามเณรคำพันธ์ ปทุมมากร (ท่านเจ้าคุณพระจันโทปมาจารย์ - หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม), สามเณรสุบรรณ ชมพูพื้น, สามเณรใส ทิธรรมมา และสามเณรวันดี สอนโพธิ์


    สร้างวัดชัยมงคล อำเภอบ้านแพง

    ในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ นั้นเอง พระอาจารย์วังได้พาสามเณรคำพันธ์ ปทุมมากร ลงจากภูลังกา เพื่อไปเยี่ยมโยมอุปัฏฐากในอำเภอบ้านแพง คือ คุณแม่สาลี เมื่อไปถึงประตูเข้าบ้าน ก็พบกับลูกชายของคุณแม่สาลีชื่อเฉลิม ยืนคุยกับเพื่อน ๔ คน หนึ่งในนั้นเป็นคริสเตียน เมื่อนายเฉลิมและเพื่อนเห็นพระอาจารย์วังกับสามเณรคำพันธ์เดินมาก็หลีกทางให้ เพราะมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ส่วนคริสเตียนคนนั้นนอกจากไม่หลีกทางให้แล้ว ยังถลึงตาใส่เหมือนจะทำร้าย อำเภอบ้านแพงในสมัยนั้น ตระกูลของคริสเตียนคนนี้ร่ำรวยที่สุดในอำเภอ ทุกครั้งที่ญาติโยมนิมนต์ให้ลงจากภูลังกาเพื่อไปสงเคราะห์ พระอาจารย์วังได้ไปขอพักอยู่ในวัดที่อยู่ใกล้ๆ บ้านของคุณแม่สาลี แต่พระเจ้าถิ่นก็ไม่ค่อยเต็มใจให้พัก คอยกลั่นแกล้งต่างๆ นานา จนคุณแม่สาลีนิมนต์ให้ไปพักที่บ้านของท่านอีกหลังหนึ่ง ที่ปลูกอยู่ฟากบุ่งตรงข้ามกับวัดนั้น ซึ่งไม่มีคนอยู่ แต่ก็ไม่วายถูกพระเจ้าถิ่นตามไปรบกวน โดยให้คนแอบไปถอดเอาไม้ที่มุงหลังคาออกในตอนกลางคืน จนไม่สามารถบังแดดบังฝนได้ คุณแม่สาลีต้องหาที่พักแห่งใหม่ให้ท่าน โดยใช้เถียงนากลางทุ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก พอได้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว ตอนนี้พระเจ้าถิ่นได้ใช้วิธีทำบัตรสนเท่ห์หรือใบปลิวโจมตีท่านอีก โดยกล่าวหาว่าท่านชอบเที่ยวเตร่ในที่อโคจร คบแม่ร้าง แม่หม้าย หวังหลอกเอาทรัพย์สินเงินทอง และอีกต่างๆ นานา เท่าที่จะนำมากล่าวหาให้ท่านเสียหายได้ คุณแม่สาลีตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงหนึ่งกลางทุ่งนา อยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอบ้านแพง (ปัจจุบันเรียกบ้านโนนคะนึง) ถวายเป็นที่สร้างวัด พระอาจารย์วังก็ได้นำพาคุณแม่สาลีและญาติโยมบุกเบิกสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นจนแล้วเสร็จ และท่านก็ตั้งชื่อวัดว่า “วัดสาลีวัลย์” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของคุณแม่สาลีผู้มีศรัทธาสร้างวัดนี้

    วัดสาลีวัลย์สร้างมาได้ ๓ เดือน เจ้าคุณปู่วัดศรีเทพ คือพระราชสุทธาจารย์ก็ได้ติติงมาว่า “สร้างวัดสร้างด้วยกันหลายคน แต่ใส่ชื่อคนๆ เดียว มันจะทำให้ทะเลาะกัน ให้เปลี่ยนชื่อวัดใหม่เสียเถิด” พระอาจารย์วังครุ่นคิดหาชื่อวัดอยู่นาน ในที่สุดท่านก็ใส่ชื่อใหม่ว่า “วัดชัยมงคล” ตามนามถ้ำชัยมงคลที่ท่านจำพรรษาอยู่จนถึงปัจจุบัน

    ขอเล่าย้อนถึงคริสเตียนคนนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ๓ วัน เขาก็จ้างคนติดยาฝิ่น ๓ คน หาบข้าวปลาอาหารขึ้นไปหาพระอาจารย์วังที่ถ้ำชัยมงคล เมื่อไปถึงก็เข้าไปกราบแทบตักของท่าน พร้อมกับกล่าวว่า “กระผมคิดเห็นแต่หน้าท่านอาจารย์ เหมือนกับคนรู้จักกันมาก่อน อยากมากราบมาไหว้” เขาได้สนทนากับพระอาจารย์วังอยู่เป็นเวลานาน เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วจึงได้ลากลับ

    ใน ๔-๕ วัน ถัดมา คุณแม่สาลี แม่จันมา แม่กำมา แม่จันมี แม่เบ็ง แม่ทา แม่บัวทอง ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากอยู่ในอำเภอบ้านแพง ก็นำเสบียงอาหารขึ้นไปทำบุญที่ถ้ำชัยมงคล พร้อมภรรยาของคริสเตียนคนนั้น เมื่อทุกคนกราบไหว้พระอาจารย์วังแล้ว ภรรยาของคริสเตียนก็เรียนถามว่า “เมื่อ ๔ วันก่อน ผัวขะน้อยมา เพิ่นกราบท่านอาจารย์อยู่บ่” พระอาจารย์วังก็บอกว่า “กราบเรียบร้อยดี” ทำให้ภรรยาของเขาไม่อยากเชื่อพร้อมกับบอกว่า “สามีนับถือศาสนาคริสต์ ไม่รู้จักกราบไหว้พระ รังเกียจพระ ช่างหน้าแปลกใจที่เขามากราบไหว้ท่านอาจารย์ถึงที่นี่” (ภายหลังได้ทราบจากท่านเจ้าคุณพระจันโทปมาจารย์ว่า เมื่อภาวนาจิตหยั่งลงถึงขั้นอัปฺปนาสมาธิแล้ว แผ่เมตตาไปถึงเขา ต้องการให้เขาทำอะไร เขาก็จะทำตามอย่างที่เราต้องการ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _100_133.jpg
      _100_133.jpg
      ขนาดไฟล์:
      218.7 KB
      เปิดดู:
      2,410
    • _666_126.jpg
      _666_126.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.1 KB
      เปิดดู:
      2,742
    • _51_688.jpg
      _51_688.jpg
      ขนาดไฟล์:
      168.8 KB
      เปิดดู:
      2,436
  11. singhol

    singhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +1,940
    รอติดตามผลงานครับ/เยี่ยมยอด
     
  12. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    สาธุ...ขอบคุณหลายเด้อ
     
  13. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    [​IMG]
    ๏ พญานาคมาขอส่วนบุญ

    เช้าวันหนึ่งพระอาจารย์วังได้เล่าให้สามเณรคำพันธ์ ปทุมมากร (ท่านเจ้าคุณพระจันโทปมาจารย์ - หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ฟังว่า เมื่อคืนมีพญานาคมาหาในนิมิตสมาธิ บอกว่ามาขอส่วนบุญ พอตกกลางวันวันนั้น มีงูตัวหนึ่งสีแดงทั้งตัว ขนาดไม่ใหญ่นัก ยาวประมาณสองศอก เลื้อยเข้ามาในถ้ำชัยมงคล แล้วหายเข้าไปในถ้ำ เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนจะทำการถวายภัตตาหาร พระอาจารย์วังได้กล่าวว่าบุญกุศลที่พวกเณรและผ้าขาว ถวายภัตตาหารแด่พระเณรให้อุทิศไปให้พญานาค แล้วท่านก็พาทำบุญอุทิศ ครั้นวันถัดมาท่านได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนพญานาคมาหาอีกครั้งบอกว่าเขาได้รับบุญกุศลแล้ว มาขอลาไปสู่สุคติภพที่ดีกว่า


    ๏ ภุมมเทวดาตักเตือน

    ขณะที่อยู่บนภูลังกา ปกติจะมีญาติโยมขึ้นไปกราบพระอาจารย์วังอยู่เสมอ เพราะขณะนั้นชื่อเสียงของท่านค่อนข้างจะโด่งดั่งพอสมควร เมื่อญาติโยมขึ้นมากราบท่านที่ถ้ำชัยมงคล ก็มักจะเดินเที่ยวชมป่าเขาด้วย ท่านจะคอยบอกญาติโยมว่า ห้ามโยนก้อนหินลงไปหน้าผาหน้าถ้ำ เพราะพวกภุมมเทวดาเขามาบอกว่าเขาไม่ชอบ มีโยมกลุ่มหนึ่ง แม้ท่านจะห้ามแล้วก็ยังแอบกระทำอยู่ในตอนกลางวัน พอตกค่ำ ๓ ทุ่มหลังจากทำวัตรเสร็จแล้ว กำลังฟังเทศน์กันอยู่ ก็มีเสียงดังสะท้อนลั่นมาจากลานหินหลังถ้ำ (ถ้ำนี้เป็นชะง่อนหินริมผา มีลานหินอยู่ด้านบน) เหมือนมีหินขนาดใหญ่สัก ๒ เมตร กลิ้งมาแล้วตกลงหน้าผาห่างจากถ้ำราว ๖ วา ญาติโยมก็แตกตื่นตกใจวิ่งไปจับกลุ่มอยู่ใกล้ๆ พระอาจารย์วัง ท่านจึงถามว่าเมื่อโยมขึ้นไปหลังถ้ำมีใครโยนก้อนหินลงหน้าผาหรือไม่ โยมตอบว่า มีเด็กมากันหลายคน และพากันโยนหินเล่น ท่านจึงบอกว่า พวกเจ้าที่เขาไม่พอใจที่ไปทำอย่างนั้น จึงเกิดเสียงอย่างนี้ขึ้น ขอโทษเขาก็ได้ ไม่เป็นไร แค่คราวต่อไปห้ามทำอย่างนี้อีก ครั้นตอนเช้ามาดูก้อนหินที่ตกลงมา ปรากฏว่าเป็นหินที่มีขนาดเท่าบาตรเท่านั้น ไม่สมกับเสียงที่ได้ยินเมื่อคืนเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _122_325.jpg
      _122_325.jpg
      ขนาดไฟล์:
      213.9 KB
      เปิดดู:
      2,192
  14. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    กราบ กราบ กราบ พระอาจารย์วัง ขอรับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนตัวมองว่าท่านบารมีมากครับ..ไม่ธรรมดาครับ..
    อย่างเรื่องเปรตไม่ใช่ว่าจะทำให้เปลี่ยนภูมิได้ง่ายๆด้วยครับ...
    เพราะเปรตเค้าจะมีวิบากอย่างหนึ่งก็คือ..ดวงจิตเค้าจะไม่
    สามารถเข้าสู่ความเป็นกลางได้.เป็นเหตุให้ไม่สามารถรับบุญ
    กุศลที่เราอุทิศส่วนกุศลให้ได้เหมือนดวงจิตที่ต้องการบุญทั่วๆไปครับ
    ประเด็นนี้ขออโหสิกรรมท่านนะครับ หากล่วงเกินหรือเผลอปรามาส..
    เหตุที่ท่านทำได้เนื่องจากท่านจะมีความสามารถทางจิตแล้ว
    ยังต้องรู้หลักในเรื่องของการคลายวิบากกรรมและมีความสามารถ
    เรื่องพลังงานในการที่จะดึงและช่วยเปลี่ยนภพภูมิด้วยครับ..
     
  16. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    วันนี้ทำไมเงียบๆไป นั่งรออ่านอยู่นะค่ะ xx
     
  17. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    เหล่าเทวดานิมนต์ไปสววรค์

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ใกล้จะเข้าพรรษา พระอาจารย์วังก็เริ่มอาพาธที่ถ้ำชัยมงคล ท่านได้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ต่อมาท่านเกิดมีโรคแทรกซ้อนขึ้นอีกคือเป็นโรคท้องมาน มีน้ำขังอยู่ในช่องท้องจำนวนมาก ทำให้ท้องโต มีความอึดอัด เดินไปมาลำบาก แต่สมัยนั้นการคมนาคมติดต่อกันยากลำบาก จึงไม่ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพราะอยู่ห่างไกลตัวจังหวัดมาก ท่านจึงรักษาตัวกับหมอชาวบ้านซึ่งทางการเรียกว่าหมอเถื่อนนั่นเอง แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงตัว วันหนึ่งพระอาจารย์วังทรุดหนักถึงกับสิ้นสติไม่ไหวติง จนสามเณรคำพันธ์ซึ่งนั่งเฝ้าไข้ท่านอยู่ข้างๆ คิดว่าท่านคงไม่รอดแน่แล้ว จึงได้จุดธูปเทียนไว้ที่หัวนอนท่าน พระอาจารย์วังสิ้นสติไปเกือบ ๒ วันจึงฟื้น เมื่อท่านลืมตาขึ้นมา ก็บอกให้สามเณรคำพันธ์รีบหากระดาษ ดินสอ มาเร็วๆ เดี๋ยวจะลืม เมื่อสามเณรคำพันธ์ได้กระดาษกับดินสอมาแล้ว ท่านก็สั่งให้จดตามที่ท่านบอกว่า

    “อุ อะ ยุ ยะ นะมะสัจเจ นะเมสัจจะ วะภะนะโม โหตุ”

    ภายหลังพระอาจารย์วังได้เล่าให้สามเณรที่อยู่กับท่านฟังว่า ตอนที่ท่านสิ้นสติไปนั้น ได้มีผู้ชาย ๒ คนมารับท่านขึ้นไปบนสวรรค์ ได้ผ่านวิมานปราสาทสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ กลิ่นธูปเทียนหอมตลบอบอวนเต็มไปหมด ผู้ชายทั้ง ๒ คนพาท่านไปที่ปราสาทหลังหนึ่ง เมื่อไปถึงก็พาเข้าไปในห้องโถงอันโอ่อ่า ได้พบกับเทวดาองค์หนึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูง และเชิญให้พระอาจารย์วังนั่งบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้ พร้อมกับแนะนำตัวว่า “เราคือพระศรีอาริยเมตไตรย เราให้บริวารไปรับท่านมาเพื่อจะบอกคาถาให้บทหนึ่ง หวังให้ท่านนำไปช่วยมนุษย์ เพราะในกาลข้างหน้ามนุษย์จะได้รับความเดือดร้อยจากภัยต่างๆ ท่านมีคาถาอะไรใช้บ้าง” พระอาจารย์วังก็ได้ตอบท่านว่า “กระผมมีคาถาแก้วสารพัดนึกอยู่บทหนึ่งคือ นะ มะ อะ ชะ อุรัง อังคุ มุนะ”

    พระศรีอาริยเมตไตรย ก็กล่าวกับท่านพระอาจารย์วังว่า “คาถาเดิมของท่านมันยังไม่เต็มบท ให้เอาคาถานี้เพิ่มเข้าไป ท่านจะใช้คาถาอะไรก็ตาม อย่าลืมเอาคาถานี้ต่อท้ายทุกครั้ง”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2015
  18. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    :cool::cool::cool:กราบอนุโมทนาสาธุๆๆครับ ขอบคุณจขกท.ที่ช่วยนำมาเผยแผ่ครับ:cool:(k)({):cool:(k)
     
  19. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    มาต่ออีกหน่อยเร็วๆนะค่ะ ยังไม่ได้กลืนเลยจบสาแล้ว xx
     
  20. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ขอบคุณครับที่ติดตามเรื่องหลวงปู่กำลังจะจบลงแต่จะได้นำเรื่องราวครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆที่สนุกตื่นเต้นได้ธรรมะไม่แพ้กันมาลงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...