เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,077
    มีก็ดีไปอย่างครับสายวิชาสาม อภิญญา6 ปฏิสัมภิทาญาณสมาบัติ8รออยู่
    ถ้าไม่มีก็ดีไปอย่างครับสายสุขวิปัสโกรออยู่

    ผมถึงว่าไงครับทุกอย่างต้องเริ่มจากศีลคือพื้นฐานที่สุด ถ้าพื้นฐานแน่นแล้ว จริตบุญวาสนา
    บารมีจะให้ไปด้านไหนก็ไปเถอะครับ วินัยคือศีล ศีลคือธรรม ถ้าทำศีลเป็นปรมัตแล้ว ถึง
    ออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่ยังไงก็ไม่เลยกรอบของศีลแน่นอนครับ มีศีลย่อมเข้าใจใน
    กฏของกรรมมากขึ้น ศีลนี่แหละคือทุกสิ่งทุกอย่างของผู้เริ่มต้นทางสายพระนิพพาน เพราะ
    ศีลมาจาก พระพุทธเจ้าทรงตรัส ศีลคือธรรมของพระพุทธเจ้า และศีลนี่เองก็ถูกสอนโดย
    พระอริยสงฆ์เจ้าสาวกของพระพุทธเจ้า ให้เราปฏิบัติตาม ดังนั้นการรักษาศีลได้หมดจด ก็
    เป็นการยอมรับนับถือพระรัตนตรัยไปในตัวครับ ทำลายวิจิกิจฉาไปด้วยเลยครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กุมภาพันธ์ 2015
  2. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,077
    บางคนหรือคนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติธรรมอาจคิดว่า การบอกว่ารักษาศีลเป็นการยึดมั่นถือมั่นยึด
    ติดในศีล แต่ขอบอกไว้ว่า ถ้าคนเราไม่เชื่อไม่เคารพในพระพุทธเจ้าจริงๆเราจะรักษาศีลให้
    บริสุทธิ์ได้ไหม ถ้าคนเราไม่เคารพพระธรรมจริงๆเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ไหมเพราะศีล
    คือธรรมะ ถ้าคนเราไม่เคารพพระอริยสงฆ์ผู้สอนเราให้รักษาศีลจริงๆเราจะรักษาศีลให้
    บริสุทธิ์ได้ไหม คำตอบคือ บริสุทธิ์ไม่ได้เลย เพราะคนที่รักษาศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว
    จริงๆย่อมเป็นคนที่เคารพรักใน พระพุทธเจ้าจริงๆ พระธรรมจริงๆ พระอริยสงฆ์จริงๆ เท่านั้น
    ถึงรักษาศีลไว้ได้ เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องศีลจึงไม่ใช่เรื่องเด็กๆที่หลายคนที่กำลังปฏิบัติธรรม
    อยู่มองข้ามหรือกองไว้ข้างๆได้เลย ถ้าศีลพร้อมแล้ว สมาธิถึงไม่ต้องการก็จะมีขึ้นได้เอง
    เมื่อมีสมาธิ สติก็ย่อมดีตามมาด้วย สติก็ย่อมจะย้อนไปคุมศีลไว้อีกทีหนึ่ง เมื่อมีศีลมีสติมี
    สมาธิอย่างน้อยๆขั้นปฐมฌานแล้ว ปัญญาญาณที่สามารถฟาดฟันกิเลสในสังโยชน์เบื้องต่ำ
    ก็ย่อมมีขึ้นได้ และเมื่อฟาดฟันกิเลสเบื้องต่ำออกไปจากจิตใจได้สำเร็จ พูดง่ายๆว่าจิตกับ
    ปัญญาญาณรวมกันเป็นหนึ่งเห็นตรงกันไม่มีเปลี่ยนแปลงตลอดไปแล้ว ปัญญาญาณนั้นเอง
    ก็จะหวนกลับมาควบคุมดูแลศีลของเราอีกชั้นหนึ่ง จึงทำให้ศีลนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่าง
    อัตโนมัติ โดยไม่ต้องมาพะว้าพะวงเหมือนดังเริ่มต้นรักษาศีลใหม่ๆอีกแล้ว ทุกสิ่งย่อมเป็น
    ไปจากการอบรมของจิตใจและกำลังใจกำลังบารมียิ่งขึ้นเรื่อยๆไป ไม่ใช่มาจากการอ่านการ
    ฟังหรือการจำเอาเท่านั้น ทุกสิ่งของจิตย่อมมาจากการสั่งสมอบรมปฏิบัติเป็นปรกติของชีวิต
    จิตใจเหมือนเราหายใจอยู่เสมอๆนั่นเอง สาธุ ขอให้โชคดีในธรรมทุกท่านครับ ขอให้ผู้ปฏิบัติ
    ธรรมทุกท่านรักษาศีลธรรม 5 ประการให้ได้ภายในชาตินี้ครับ อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราทำได้
    ครอบครัวของเรามีสุขแล้วครับ เรื่องมรรคผลนิพพานย่อมติดตามมาแน่นอนสำหรับคนมีศีลธรรม
    บริสุทธิ์ครบถ้วนบริบูรณ์ครับ เพราะศีลคือองค์ประกอบหลักของพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน
    ขึ้นไปครับ รักษาศีลธรรมให้ได้ครบถ้วนคุณไม่เกิดมาเสียชาติเปล่าแน่นอนครับ สาธุ

    "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กุมภาพันธ์ 2015
  3. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    จริงครับศีลคือการไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายเป็นการไม่สร้างภพอบายที่ต้องไปใช้หนี้กรรมคนมักมองข้ามเรื่องนี้บางคนศีลไม่ครบแต่ไปท่องนรกสวรรค์ได้ผมก็เลยงงๆต่อมาจึงรู้วาระจิตว่าอยากให้คนชมสรรเสริญว่าเก่งยังงั้นยังงี้สุดท้ายแพ้ภัยตัวเองไม่รู้ว่าจะทำทำไมไม่เกิดประโยชน์ใดๆแถมยังน่าอายเวลาเค้าจับได้ดวงผมนั้นเคยมีคนดูมาเยอะมากแต่ไม่เคยมีใครแน่จริงพูดได้ถูกซักคนยกเว้นครูบาอาจารณ์แต่ถามทีไรท่านไม่เคยบอกๆแต่เพียงอยากรู้ดูเองทำเองรู้เองกูไม่ใช่หมอดูกูเป็นพระสอนอริยสัจบอกทางพ้นทุกขตามที่พระพุทธองค์บอกไว้เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับกูไม่ใช่กิจกูเลยถอยออกมาแทบไม่ทัน ท่านเมตตาสอนธรรมตลอดแต่เราทำไม่ได้เองท่านก็ไม่สอนบทต่อไปจนกว่าเราทำได้ท่านถึงจะสอนต่อเองท่านรู้เองว่าเราทำได้หรือไม่ได้ ก็เลยต้องมาอาศัยคุณtisนี่แหละครับ.จริงๆแล้วศีลเมื่อปฏิบัติได้แล้วจะไม่ใช้คำว่ารักษาครับจะใช้คำว่าทรงศีลคือมีศีลเป็นปกติเป็นธรรมดาผมจึงบอกว่าผมไม่เคยรักษาศีลให้ท่านเข้าใจผิดนะครับเมื่อทรงศีลได้แล้วม้นก็จะไม่ต้องรักษาเมื่อมีอะไรเข้ามาทำให้เราศีลจะขาดเราจะยอมตายแต่ไม่ยอมศีลขาดเด็ดขาดเป็นเรื่องที่คนอยู่หรือจะเข้าสู่โลกุตระธรรมเท่านั้นที่รู้ส่วนคนที่อยู่ในโลกธรรมจะไม่รู้ไม่เข้าใจจึงมองไม่เห็นพื้นที่ต้องแข็งแรงมั่นคงเพื่อรองรับชั้นต่อไปนี่จึงเป็นข้อพิสูตรถึงภูมิธรรมขั้นพื้นฐานคุณเข้าใจได้ถูกต้องแล้วครับและอย่าไปว่าใครที้ไม่รักษาศีลนะครับเดียวเค้าไม่พอใจคนทรงศีลได้ก็มีข้อเสียนะครับถ้าเราเข้าวัดแล้วยกมือไหว้หรือกราบพระถ้าพระองค์นั้นศีลไม่ครบเราจะเป็นเหตุให้เค้ามีกรรมนะครับเพราะในพระพุทธศสนาเค้าใหว้ศีลกันครับเรทศีล5ไหว้ศีล8. ศีล10และพระสงฆ์ศีล227แต่ถ้าแค่ศีล5พระสงฆ์ยังไม่ครบส่วนเราครบคิดดูว่าเราใหว้เค้าๆจะมีกรรมแค่ไหนระวังนะครับสร้างกรรมให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัวนะครับ. สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2015
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ****************************
    ขอค้านตรงนี้นิดนะคะ ผ่านเข้ามาพอดี การที่เราจะกราบไหว้พระ เรากราบ"พระ"ค่ะ เป็น"สังฆานุสสติ" ให้นึกถึงสาวกของพระพุทธเจ้า เพราะเราไม่ มี"ญาน"ที่จะหยั่งรู้ได้ว่าใครดีมีคุณธรรมแค่ไหน สาธุค่ะ ขออภัยถ้าล่วงเกินจิตท่านค่ะ
     
  5. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ถูกต้องครับเรากราบท่านด้วยสังฆานุสติมิผิดครับ แต่ที่ผมบอกคือตัวพระท่าน ไม่ใช่เราถ้าท่านเป็นสมมุติสงฆ์หรือพระอริยสงฆ์ท่านไม่มีกรรมเราไหว้และกราบได้แต่ถ้าคนนั้นปลอมบวชคือเข้ามาหาศัยผ้าเหลืองหากินใครกราบเค้าก็บาปทั้งนั้นยิ่งถ้าเราทรงศีลแล้ว/ปไหว้ไปกราบเค้ายิ่งมีกรรมหนักเข้าไปอีก เป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับเราเองนั้นไม่มีทางรู้หรอกครับว่าใครเป็นพระแบบไหนมีศีลบริบูรณ์หรือไม่เพียงแต่ผมไม่ต้องการไปเพิ่มกรรมให้คนทุศีลที่อาศัยผ้าเหลืองหากินเท่านั้นไม่ก่อเวรก่อกรรมให้ใครต้องชดใช้โดยมีเราเป็นเหตุจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตามคิดถึงประโยชน์ตนและผู้อื่นหากทำแล้วจะก่อทุกขให้ผู้อื่นโดยรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ทำแต่ถ้ามีประโยชน์ต่อตนแลเผู้อื่นจะลำบากบ้างก็จะทำเช่นที่คุณtis ทำอยู่นี้ครับผมมีหน้าที่นำตนให้ขึ้นจากหลุมที่ตกอยู่ให้ได้ก็แค่นั้นครับ. ผมแค่กล่าวเตือนผู้ทรงศีลเมื่อทรงศีลได้แล้วเค้าจะเข้าใจสิ่งที่ผมบอกเพราะเค้าก็ไม่ต้องการก่อเวรก่อกรรมก่อทุกขก่อภัยให้กับใครทั้งตนเองและผู้อื่นเพราะกลัวเภทภัยของการก่อกรรมที่ต้องชดใช้แล้วไม่พ้นเกิดเสียทีครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2015
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ขอขอบคุณและ ขออนุโมทนากับทั้งสองท่าน คือท่านนิพพานสุขและท่านVEREJAK มากครับ

    สิ่งที่ท่านทั้งสองกล่าวสนทนากันนั้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีจิตใจสูง

    ธรรมที่เรากล่าวก็เรา หรือที่ท่านทั้งสองกล่าวมาก็ดี แล้วกล่าวด้วยจิตที่ดี มีความสะอาด ไม่เปื้อนไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีเจตนาอันดีงามเพื่อการสร้างปัญญา สงเคราะห์ตนเองและผู้อื่นครับ

    สำหรับ คุณVEREJAK ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีปัญญาฉลาด รอบรู้ในทางโลก ดีพร้อมแล้ว
    แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวว่า สำหรับทางธรรมนั้น คือต้องฝึกอบรมในด้านวิปัสสนา ให้มากขึ้น และทำต่อเนื่อง

    จิตเราจะนิ่ง ทรงตัวได้นั้น ย่อมต้องอาศัย พื้นฐานสามตัว
    1 การละบาปกรรมทั้งปวงและทำความดีประกอบคือบุญทานตามสมควรแก่กำลัง
    2การรักษาศีลให้ดีงาม เป็นฐานกำลัง
    3การเจริญสมาธิสมถะและวิปัสสนา

    สำหรับข้อ1 คุณทำได้ดีแล้วครับ ขออนุโมทนาครับ
    ส่วนข้อ2ก็ทำได้ดีครับ แต่เรื่องศีล ต้องทำความเข้าใจให้มากให้ละเอียด ศีลเมื่อก่อนผมก็เข้าใจแบบคุณ ไม่ได้สนใจ เพราะเราคิดว่าเรามีคุณธรรมในจิตใจอยู่แล้ว การรักษาศีลจึงเป็นเรื่องเล็ก เพราะเราคิดก่อนทำอยู่แล้วที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

    จนครั้งหนึ่งกระผมได้เจริญสมาธิและได้เจอ พระอินเดียรูปหนึ่ง ไม่ขอกล่าวว่าท่านคือใคร เพราะไม่เป็นสิ่งที่บังควรกล่าว และผมขออนุญาตินำเรื่องนี้มากล่าวว่า
    ขณะนั้น ท่านประทับนั่งใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ พระวรกายเหลืองอร่ามสง่าม มีฉรรพรรณรังสี ท่านยื่นพระหัตถ์ และกล่าวว่า แสดงธรรมว่า
    สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุอนุตระธรรม การจะมีภูมิธรรมจนรู้แจ้งอนุตระธรรม ย่อมต้องอาศัยศีลเป็นพื้นฐาน เหตุที่อาตมาแสดงศีลวินัยไว้ ก็เพราะเห็นว่า ศีลวินัยนี้เอง จะเป็นกรอบหรือเครื่องกำกับควมคุม กาย วาจ จิต ให้อยู่ในกรอบแห่งความดีงาม ให้อยู่ในกรอบแห่งความขาวสะอาด เพื่อการชำระจิตให้บริสุทธิ์โดยแท้จริงนั้นเอง

    เพราะศีลวินัยทั้งหลายทั้งหมด เป็นเครื่องควบคุมกาย วาจา จิต ให้ไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส เป็นเครื่องระงับกิเลสที่ฟุ้งอยู่ให้ตกตะกอน เมื่อศีลวินัยเราดีงามแล้ว อุปกิเลสย่อมตกตะกอน เมื่อนั้น เมื่อเราเจริญกรรมฐานสมถะและวิปัสสนาชำระจิต อุปกิเลสที่ตกตะกอน เราก็มองเห็นก็รู้ทัน เมื่อนั้นเราก็ย่อมสามารถชำระตะกอนแห่งกิเลสออกไปได้โดยง่ายและหมดสิ้น

    ฉะนั้น ศีลวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ฉนั้นจึงมิควรลูบคลำศีล หากแต่ควรทำความเข้าใจและศึกษาศีลวินัย ให้มีความรู้แจ้ง เพราะเจตนาที่แท้จริงของศีลวินัย คือความเข้าถึงความรู้แจ้ง ในอุปกิเลสนั้นเอง จึงพิจารณาให้ดีเถิด ศีลวินัย แท้จริงมรประโยชน์อย่างยิ่งต่อการชำระกิเลสอย่างยิ่ง ฉนั้นนี่แหละจึงเป็นเหตุที่เธอควรรักษาศีล นั่นเอง

    กระผมจึงกล่าวสาธุและกราบท่าน

    นิมิตครั้งนี้ปรากฏในเวลาไม่นานและก็ตรงกับจิตของผมที่อยากจะทราบเรื่องนี้ และเคยคิดว่าศีลไม่มีความสำคัญ แต่เมื่อได้รับฟังอย่างนี้ เมื่อนำมาคิดทบทวนและได้ศึกษาศีลวินัย มากขึ้น ทำให้เข้าใจอะไรมากมาย ศีลปาฏิโมกข์ ที่มี227ข้อนั้น แบ่งเป็นหมวดๆ ตั้งแต่ปราชิกสังฆาทิเสส ไปจนเสขิยวัตรศีล
    แท้จริงแล้วเป็นไปเพื่อการชำระกิเลของตนทั้งสิ้น

    ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่วันนี้ผมจึงให้ความสำคัญกับศีลวินัยมาก และอีกอย่างหนึ่งคือ พระพุทธองค์ทรงมีพระมหาปัญญาธิคุณ มากที่สุดแล้ว การที่ท่านกำหนดให้เราต้องรักษาศีลนั่นแสดงว่า ท่านต้องมีปัญญารู้แจ้ง ในเหตุ และผลที่จะได้รับ และย่อมต้องมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงได้กำหนดขึ่้นมาเช่นนี้ แล้วเราที่เป็นผู้ด้อยปัญญา เหตุใดจึงไม่เชื่อพระองค์ วันนั้นกระผมจึงเกิดดวงตาสว่างในพระธรรมวินัย จึงขออธิฐานตั้งใจในการพยายามรักษาศีลของตนให้ดี จะ5จะ8จะ10หรือมากกว่าก็ตามกำลังตามวาระตามกิจอันควรตามเวลาที่เอื้อำนวยครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2015
  7. wukecheng

    wukecheng Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2013
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +46
    คุณ tjs ครับ รบกวนตอบคำถามให้ด้วยนะครับ ผมได้ส่งไปทาง PM ให้เเล้วครับผม

    ขอบพระคุณมากครับ :cool:
     
  8. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขอกราบขอบพระคุณท่านTjsที่เมตตากรุณาชี้แนะผมจะปฏิบัติตามคำชี้แนะครับขอเมตตาแนะกุศโลบายในการทำจิตให้ไม่มีความคิดปรุงแต่งแห่งอารมณ์อันมีวิญญาณสัญญาเป็นเชื้อให้อารมณ์อันมีราคะความเพลิดเพลินเป็นเหตุให้ไม่สามารถทำจิตให้เฉยๆไม่กระเพื่อมใหวได้คือมันกระเพื่อมแล้วถึงระงับได้แต่ที่ผมจะทำคือไม่ให้กระเพื่อมตามสัญญาขันธุ์ได้นะครับเมตตาบอกหน่อยนะครับ สาธุ
     
  9. จวนเพ็ญ

    จวนเพ็ญ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอรบกวนคุณ tjs ถามอีกหนึ่งข้อนะคะ ว่าพี่สาวชื่อนางสุนีย์ โพธิสรรค์(บิชอป)ที่เสียชีวิตไปวันที่ 13 เมษายน ประมาณ พ.ศ.2553 คะว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าน อยู่ตรงไหนและต้องการอะไรหรือเปล่า รบกวนคุณ tjs ช่วยดูให้หน่อยนะคะ (คำถามประมาณ 2 อาทิตย์แล้วคะ ขอบคุณล่วงหน้ามาก มาก คะ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    =============

    เราไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า พระสงฆ์รูปใดมีศีลครบไม่ครบ บาปกรรมจะตกอยู่กับใคร หากท่านถือศีลไม่ครบแล้วมีคนที่เป็นคนดีมีศีล มาทำบุญด้วย

    คำตอบคือ
    เรื่องของกรรมเป็นเรื่องของเฉพาะบุคคล กรรมใครทำไว้อย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น

    พระสงฆ์ที่ท่านทำผิดศีล ต้องดูว่าผิดข้อไหน หนักหรือเบา เจตนาหรือไม่เจตนา เวลาวันพระเข้าโบถส์ต้องกล่าวแสดงอาบัติ เมื่อแสดงแล้วรับแล้วก็แก้ไขปรับปรุงตน ความบริสุทธิ์ก็เกิดใหม่ เป็นธรรมดาเช่นนี้

    พระสงฆ์ที่บวชใหม่หรือผู้มีกิเลสอยู่ หากท่านไม่เจตนาทำผิด หรือเจตนาแต่เล็กน้อย ก็ไม่ว่ากันครับพึงอนุโลมและยอมรับได้ ยังควรแก่การ อัญชลีกราบไหว้

    ส่วนพระสงฆ์ที่ทำผิดมาก ก็ความผิดเหล่านั้นแลคือบาปกรรมหนัก ที่ตนจะได้รับ
    ส่วนผู้กราบไหว้ กราบไหว้ด้วยความศรัทธา อันดีงาม ผลบุญย่อมเกิดแก่เขาเช่นกัน

    เราทำดีกับคนไม่ดี ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไม่ดีจะเลวลงหรือแย่ลงไป หากแต่คนไม่ดีเหล่านั้น จะเลวหรือแย่ลง ก็เป็นเพราะเขาเองที่ทำกรรมด้วยตัวเขาเอง

    สุดท้ายแล้ว การทำความดี เป็นสิ่งที่ควรมองที่ตนเองเป็นหลักและผู้อื่นเป็นรอง
    เมื่อใดที่ความดีของเราทรงตัวแล้ว ก็ให้มองที่ประโยชน์ของผู้อื่นเป็นหลักและตนเองเป็นรอง สลับกันนะครับ ในที่สุดย่อมเกิดปัญญารอบรู้ในการสร้างความดีอันเป็นยประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นครับ สาธุ
     
  11. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ท่านครับช่วยแนะหน่อยนะครับถือว่าเมตตาคนโง่สักคนนะครับผมใช้ปัญญาเท่าไรก็หมดทางผมผ่านมายาแห่งโลกมาได้ติดตรงนี้คือวิญญาณแห่งขันธุ์คืออารมณ์ยังตัิงอยู่ช่วยหน่อยนะครับ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ================

    การที่จะชำระวิญญาณแห่งขันธ์ ทำได้ยาก เพราะเป็นเจตสิกอาการของจิตที่ประกอบร่วมอยู่กับจิต ให้ผลกับจิตมาช้านานหลายภพชาติ

    การที่จะชำระได้ต้องอาศัยการปฏิบัติตามลำดับขั้นแบบทางลัดคือ

    1 การเจริญสมาธิ นำจิตเข้าสู่อุเบกขาญาณ คือวางกำลังจิตที่เป็นกลางไม่ยินดียินร้าย ไม่ส่ายเอนไปข้างใดข้างหนึ่ง จิตเหลือเพียงเอกคตาจิต ดวงเดียว ไม่สุขไม่ทุกข์ว่างๆกลางๆ สงบนิ่ง สภาวะนี้คือสภาวะของฌาณ4 นั่นเองครับ

    2 ดึงสมาธิก้าวไปสู่อรูปฌาณ ที่2 หรือฌาณ6 นั่นเอง ให้กำนหดสมาธิจิต จดจ่ออยู่ในความว่างมีเพียงสภาพของวิญญาณเท่านั้น คือการเข้าไปเพ่งอยู่กับความว่างที่เป็นความรู้สึกฝ่ายวิญญาณที่เกิดดับภายในจิต เพ่งอยุ่จุดเดียวอบ่างนี้

    3 เมื่อทำข้อสองชำนาญแล้ว ให้ถอยกำลังกลับมาที่ฌาณ4หรือข้อ1 แล้วให้เปลี่ยนเป็นเดินวิปัสสนา ตามดูธรรมชาติของวิญญาณขันธ์ที่ปรุงแต่งจิต และดูธรรมชาติของจิตที่ไหลตาม

    จากข้อ3เมื่อทำอย่างชำนาญ ย่อมเกิดสภาวะทีตัวสติและปัญญา รู้แจ้งในธรรมดาของวิญญาณขันธ์ที่เกิดขึ้น ปรุงแต่งและดับไป รู้ทันจิตที่ไหลไปตามไปยินดียินร้ายสุขทุกข์เกิดดับ เมื่อเห็นบ่อย รู้แจ้งธรรมดา เกิดปัญญาละปล่อยวางในวิญญาณขันธ์ที่ทำงาน อันความรู้สึกต่างๆที่เกิดดับ เมื่อจิตละปล่อยวาง ด้วยปัญญารู้แจ้งแล้ว อันวิญญาณขันธ์ ก็เกิดและดับของมันเอง ไม่สามารถปรุงแต่งจิตได้อีก จิตปล่อยวางได้แล้ว เพราะหาประโยชน์ไม่ได้ และหากไปยึดมั่นย่อมเป็นทุกข์ เมื่อเราชำระจิตเช่นนี้มากขึ้นๆๆๆๆๆ อันวิญญาณขันธ์ ก็จะอ่อนกำลังลง เพราะไม่มีการปรุงแต่งสืบเนื่องต่อไป ในที่สุดวิญญาณขันธ์ก็จะดับมอดลง จนที่สุดคือดับไปโดยสมบูรณ์ ครับ

    ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีขันธ์5
    ขันธ์5 ก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอันเป็นธรรมดาเช่นนี้เสมอ การชำระจิตจึงต้องเข้าไปรู้ธรรมดาธรรมชาติของขันธ์5 จนในที่สุดก็เกิดสติปัญญารู้แจ้งในความธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ก็ปล่อยวางไม่ยึดมั่น เมื่อจิตละปล่อยวางได้โดยสมบูรณ์ ก็นั่นแหละคือที่สุดปลายทางหลุดพ้นแห่งทุกข์ครับ

    แต่กระนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ขันธ์ทั้งหลายก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นมาได้เสมอ ตามแต่เหตุปัจจัย ที่ไปสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นมาปรุงแต่งจิต แต่ทว่า จิตที่ฝึกมาดีแล้ว ก็ไม่ได้รับเอาหรือเข้ามาร่วมปรุงแต่งสืบเนื่องไปกับขันธ์เหล่านั้นที่เกิดขึ้น นั่นเอง
    ตราบจนที่สุดคือดับขันธ์นิพพาน นั้นแหละถึงหมดสิ้นอย่างแท้จริงครับในรูปนามขันธ์ครับ สาธุ
     
  13. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขอขอบพระคุณมากครับที่เมตตาชี้แนะสั่งสอนเมื่อถึงเวลาจะไปกราบขอบพระคุณครับ. สาธุ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    =====================

    คุณสุนีย์ เธอไปสบายครับ เธอ ใช้วิบากกรรมในโลกหมดแล้ว ประกอบกับอายุไขก็ทำมาเท่านั้นครับ ตอนนี้เธออยู่ภูมิ จาตุมหาราชิกาครับ ที่อยู่ทางเหนือครับ สถานที่แห่งนั้นเป็นวิมานที่อยู่เหนือเทือกเขาแห่งหนึ่งครับ เธอสวมชุดไทยสวยงามครับ บางทีก็สวมชุดขาวครับ มีความสุขสบายดีครับ

    เธอไม่ได้ต้องการอะไร หากแต่บุญกุศลใดที่คุณหรือครอบครัวทำ เธอก็จะอนุโมทนาและยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ

     
  15. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,077
    สวัสดียามดึกครับคุณ tjs พี่ที่ผมเคารพเป็นอย่างสูง

    ผมจำได้ว่าพี่เคยเขียนบอกไว้ว่าจะให้กระทู้นี้มีไว้สำหรับเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของ
    พระพุทธเจ้า ทั้งทางด้านธรรมะ ฤทธิ์อภิญญา และช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก
    เรื่องกฎของกรรมต่างๆด้วย

    ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป ผมในฐานะน้องของพี่หรือผู้ที่ลาพุทธภูมิเพื่อเข้าสู่พระนิพพานเหมือนกัน
    ผมขออนุญาตถามคำถาม หัวข้อธรรมะต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของพระโสดาบันพระ
    อริยเจ้าขั้นเริ่มต้นโดยตรง เพราะเห็นว่าผู้ที่เข้ามาอ่านธรรมะในห้องกฏแห่งกรรมภพภูมินี้
    จะได้มีความรู้ที่เป็นจริง เกี่ยวกับเรื่องต่างๆของพระโสดาบันโดยตรง ซึ่งผมจะทยอยถาม
    คำถามในหัวข้อต่างๆที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อคนส่วนรวมที่เข้ามาอ่านธรรมะนี้ ให้มีความ
    กระจ่างแจ้งในเรื่องของพระโสดาบัน พระอริยเจ้าขั้นต้นที่สำคัญที่สุด ที่ปุถุชนทุกท่านจะ
    ต้องเข้าถึงให้ได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านได้มีกำลังใจภาคเพียรใน
    ธรรมเพื่อบรรลุธรรมะเข้าสู่กระแสของพระนิพพานขั้นพระโสดาบันนี้ให้ได้เยอะๆ

    ดั่งเช่นพระอัครสาวกพระสารีบุตร ได้ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีที่ได้สั่งสอนธรรมะเพื่อเน้นให้
    ปุถุชนเข้าถึงซึ่งธรรมะกลายเป็นอริยชนหรือพระโสดาบันนี้ให้ได้ ท่านจึงได้เป็นอัครสาวก
    เบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีคำกล่าวที่ว่า สอนธรรมให้พระอนาคามีให้สำเร็จเป็นพระ
    อรหันต์ ยังจะง่ายกว่าสอนธรรมให้ปุถุชนให้กลายเป็นพระโสดาบันได้ ข้อนี้คงจะเป็นความจริง
    ดังนั้นผมจึงขออาสาขออนุญาตถามคำถามต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของพระโสดาบันทั้งหมด
    เพื่อให้คุณ tjs ได้เผยแผ่ธรรมะเกี่ยวกับพระโสดาบันจากจิตใจของคุณ tjs หรือจากความ
    จริงที่คุณ tjs รู้แจ้งเกี่ยวกับพระโสดาบันพระอริยเจ้าขั้นเบื้องต้นนี้แล้ว เพื่อจะได้เป็น
    ประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังตั้งหน้าปฏิบัติธรรมเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าอีกมากมาย ซึ่งคำถาม
    ต่างๆที่ผมจะขอถามคุณ tjs ผมขอถามเพื่อประโยชน์โดยรวม แก่ผู้ที่ต้องการรับรู้และรับ
    ทราบในเรื่องของพระโสดาบันทั้งหมด หวังว่าคุณ tjs จะเมตตาให้ความร่วมมือตอบคำถาม
    ธรรมะในขั้นของพระโสดาบัน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เพื่อส่งเสริมกำลังใจและแก้ไข
    ข้อผิดพลาดของผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมเพื่อหวังจะปลดความเป็นปุถุชนออกไปจากจิตใจได้
    ในเร็ววันของนักปฏิบัติธรรมทุกคนนะครับ สาธุ ขอขอบพระคุณมากๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2015
  16. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,077
    คำถามแรกเกี่ยวกับพระโสดาบันนะครับ

    ถ้าเราปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ แล้วเราจะรู้ตนเองได้อย่างไรว่าตอนนี้เราได้เข้าสู่โคตรภูญาณ
    ของพระโสดาบันปัติมรรคแล้ว คำว่าโคตรภูญาณนี้อาการของผู้ที่เข้าสู่โครภูญาณนี้จะมี
    อาการมีความรู้สึกอย่างไร แล้วมีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตอนนี้เราได้เข้าเขตโคตรภูญาณ
    ของพระโสดาบันแล้วครับ ขอคุณ tjs เมตตาตอบคำถามธรรมะเพื่อเป็นประโยชน์แก่นัก
    ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรค ผล นิพพาน ทุกท่านด้วยครับ สาธุ
     
  17. moonoiija

    moonoiija เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2014
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +198
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ============================

    ก่อนอื่น ต้องขอกล่าวชื่นชมในปฏิปทา อันเป็นสัมมาทิฏฐิที่ดีงาม ทั้งปวงที่ปรากฏมี นี่แหละคือสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ก้าวสู่ความเป็นพระโสดาบัน หรือ เป็นผู้มีจิตก้าว ล่วงสู่ โคตรภูญาณ นั้นเอง

    โคตรภูญาณ หมายถึง ญาณทัสนะ อันเป็นเครื่องก้าวข้าม พ้นจากความเป็นปุถุชน ไปสู่ความเป็นอริยะชน ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จนไปพระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันตมรรค เป็นลำดับ

    โคตรภูญาณ จะเกิดได้ ย่อมแสดงว่า ต้องอาศัยบารมี ธรรม ที่จะทำให้เกิด อันหมายถึง ดวงตาแห่งธรรม ที่เป็นเครื่องก้าวข้ามความเป็นปุถุชนไปสู่อริยะชน นั้นสามารถกล่าวเหตุปัจจัยได้ดังนี้
    1 อาศัย เป็นผู้ยึดมั่นในคำสอนสามประการคือ ละบาป ทำดี ชำระจิตให้ขาวสะอาดเป็นอุปนิสัย

    2 อาศัย บุญทาน ศีล และสมาธิเป็นพื้นฐานดีงามในระดับหนึ่งแล้ว และด้วยพื้นฐานส่วนนี้ ทำให้เกิดสติปัญญา เบื้องต้นในยกภูมิจิตให้ดีงามกว่าปุถุชน

    3 อาศัย สติปัญญาในสมถะสมาธิ อันประกอบด้วย ฌาณ8 เป็นเครื่องทรงสมาธิจิต ซึ่งเรียกว่า โคตรภูธรรม8 นั่นเอง เป็นเครื่องเข้าถึงความรู้แจ้งในสมาธิฌาณ

    4 อาศัย สติปัญญาในวิปัสสนาญาณ อันเป็นญาณทัสนะรอบรู้ใน วัฏฏะของการเกิดทุกข์ ตั้งแต่ อวิชา ไล่ไปจนถึง ชาติ ชรา มรณา ทุกขะโสกะปริเทวะ คือการปฏิสนธิและปัจจะยา เหตุเห่งการเกิดทุกข์ เหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    หรือเรียกว่า โคตรภูธรรม10

    ฉนั้น ความเข้าสู่โคตรภูญาณ นั้นเมื่ออาศัยพื้นฐานทั้งสี่ข้อที่กล่าวมา นั่นแสดงว่า
    บุคคลผู้นั้น ย่อมจะต้องมีทั้งบุญทาน ความดี มีสติปัญญาในธรรม ที่ฝึกฝนจนเกิดเป็นบารมี ในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยสิ่งเหล่านั้นที่สั่งสมจนเกิดตกผลึกเป็น ดวงตาที่เห็นธรรม ก้าวล่วงพ้นจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยะชน นั่นเอง

    จากเหตุปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้จิต ก้าวล่วงในธรรม ละ สังโยชน์สามข้อได้สำเร็จเบื้องต้นคือ

    1 สามารถ ละสักกายะมานะทิฏฐิในตนได้ คือไม่ยึดติดในตัวตนของตน เพราะมีสติปัญญาเข้าถึงแล้ว

    2 สามารถ ละ วิจิกิจฉา ได้ คือไม่มีความสงสัยใน คุณธรรม ความดี ใดๆทั้งสิ้นเพราะมีสติปัญญาเข้าถึงแล้ว

    3สามารถละ สีลัพพตปรามาส ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทในศีล จะไม่ลูบคลำศีลเหมือนเป็นของเล่น แต่จะยกเอาศีลเป็นเครื่องบูชา อันหมายถึง ความเป็นผู้มีศรัทธาปัญญาเชื่อมั่นกราบไหว้ยึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด ด้วย โดยมีศีลเป็นเครื่องปฏิบัติอันเป็นกรอบแห่งความดีงามที่ตนจะรักษาด้วยชีวิต

    ดังนั้น ความเข้าถึงโคตรภูญาณ จึงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ เช่นนี้แล้ว เมื่อโคตรภูญาณเกิดแล้ว นั่นย่อมแสดงว่า จิตท่านได้ยกแล้ว ได้ก้าวผ่านพ้นแล้วจากความเป็นปุถุชน ไปสู่ความเป็นอริยะชนแล้วด้วยประการนี้ครับ

    นี่จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก ของความก้าวพ้นจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยะบุคคลครับ สาธุ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  19. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,077
    สาธุ ธรรมะโลกุตรธรรมจากคุณ tjs เป็นอย่างยิ่งครับ สาธุ
    ขออนุญาตถามธรรมเกี่ยวกับพระโสดาบันต่อเลยนะครับ

    - ผู้ที่กำลังมีจิตเข้าสู่โคตรภูญาณของพระโสดาบันแต่เข้าได้แล้ว กับผู้ที่เป็นพระโสดาบัน
    ปฏิมรรคแล้ว มีข้อแตกต่างหรือความแตกต่างระหว่างสภาพจิตและตัวปัญญาวิมุติกันอย่างไรครับ?

    - แล้วผู้ที่เป็นพระโสดาบันปฏิมรรคแล้ว มีข้อแตกต่างหรือความแตกต่างระหว่างสภาพจิต
    และตัวปัญญาวิมุติกับผู้ที่เป็นพระโสดาบันผลแล้ว อย่างไรครับ?

    - จำเป็นหรือไม่ที่ผู้ที่เป็นพระโสดาบันปฏิมรรค เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันปฏิมรรค
    แล้วจะต้องกลายเป็นพระโสดาบันผลสืบเนื่องต่อกันเลย หรือว่าอาจจะมีช่วงเวลาของมรรค
    ผล เป็นตัวกำหนดไว้อีกที ว่าผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันปฏิมรรคแล้วจะยังไม่สามารถ
    กลายเป็นพระโสดาบันผลเลยทันที แต่จะต้องมีการอบรมจิตใจตนเองในธรรมยิ่งขึ้นไปอีก
    ครั้งหนึ่ง จิตถึงจะได้กลายเป็นพระโสดาบันผลอย่างเต็มภูมิในที่สุด หรือไม่อย่างไรครับ?

    ขอความกระจ่างในธรรมะโลกุตรธรรมจากคุณ tjs ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ สาธุ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    เนื่องจากช่วงตรุษจีน ที่ผ่านมา ผมและครอบครัวพร้อมด้วยเพื่อนๆ
    ได้ไปทำบุญ สักการะ รอยพระพุทธบาทพลวง เขาคิชกูฏมาครับ พร้อมด้วยได้ถวายปัจจัยทำบุญหลายอย่าง ตลอดจนผมได้นำพระพุทธรูป ปางสมาธิ เพื่อถวายไว้ที่นั่น ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้ ตรงจุดลึกสุดตรงผ้าแดงตรงหินก้อนใหญ่ครับ
    จึงแจ้งข่าวมาเพื่อร่วมอนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับ เป็นการทำบุญที่ยอดเยี่ยมมากครับ ทำให้สัมผัสได้ว่า เทือกเขาแห่งนี้ เป็นดินแดนแห่งนักบุญของผู้แสดงบุญจริงๆ ซึ่งเดิมเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับ พร้อมด้วยพระอานนท์และพระอัตรสาวกคือท่านพระโมคัลลาน์ และพระสารีบุตรครับ
    ทุกปีควรไปกราบสักการะปีละ1ครั้งเพื่อเป็นมหาศิริมงคลแก่ชีวิต ครับ
    ท่านว่า ให้อธิฐานขอได้เพียง1อย่างแล้วจะสมปราถนาครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.1 KB
      เปิดดู:
      86
    • GEDC0548.jpg
      GEDC0548.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.2 KB
      เปิดดู:
      58
    • GEDC0543.jpg
      GEDC0543.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.7 KB
      เปิดดู:
      52
    • GEDC0540.jpg
      GEDC0540.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80 KB
      เปิดดู:
      56

แชร์หน้านี้

Loading...