ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    รูปที่ 4,5,6,7
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.9 KB
      เปิดดู:
      102
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ๑ และ ๒ ป้องกันเด่น หนาแน่นอฐิษฐาน หนุ่นส่งพลังงาน หนุ่นส่งดึงตาสามเชื่อมต่อข้างบน ช่วยเรื่องความคิดต่างๆ
    ๔ และ ๕ มีอฐิษฐาน มีป้องกัน แต่เชื่อมบนเชื่อมพลังงานยังไม่นิ่งและหมุนวน
    ๖ และ ๗ เอกรักษาปรับธาตุร่างกายตน เนื่องจากพลังเด่นพลังงานเชื่อมบนเชื่อมพลังงาน
    แม้ติดอฐิษฐานควบเข้ามา และมีป้องกัน. พลังงานรักษาเหมือนกับพ่อปู่เกี่ยวกับหมอ
    มีชื่อสมัยพุทกาล
    ทั้ง สามคู่ เหมือนกันในเรื่องพลังงานสามารถแยกได้ตามใจชอบ
    ๓ จะเน้นหนุนส่งเชื่อมบนและพลังงานแต่เน้นเชื่อมบนทุกส่วน
    ตั้งแต่เรื่องอฐิษฐาน เมตตา แอน ตาที่สาม
    ปล.คิดว่าคงจัดชุดได้ไม่ยากครับ นะคับ คริ คริ

    เลี่ยมพระเร็วจัง ผมรอคิวอีกเดือนกว่าจะได้
     
  3. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    โอ้ว. คุณนบตอบพี่เร็วจังขอบคุณมากๆค่ะ. แต่ว่ามีคำถามต่อเล็กน้อย
    - องค์ที่. 4,5 ที่ว่าพลังงานหมุนวนจะแก้ไขได้ยังไงคะ ต้องเปลี่ยนกรอบหรือว่าคนห้อยพระต้องปฏิบัติธรรมให้พลังเชื่อมกับข้างบนด้วยตนเอง (สององค์นี้ คุณยายให้มาใส่ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมจนอายุ 18 ปี ไม่เห็นอีก จนแม่เอาไปใส่กรอบแล้วมอบให้เมื่อปีก่อน)
    - พลังงานและอธิษฐาน เป็นยังไงคะ พลังงานแบบไหน ส่วนอธิษฐาน อธิษฐานขออะไรก็ได้ (ไม่เกินกรรม) ใช่มั้ยคะ
    - ตาที่สามดียังไง แบบผู้วิเศษในหนังจักรๆวงศ์ๆรึเปล่าคะ หรือแบบทิพยจักขุญาณ

    เรื่องป้องกัน ท่าจะจริงเพราะลื่นล้มในห้องน้ำหัวเกือบฟาดพื้น ก็หลายครั้งอยู่ ปีที่แล้วขับรถชนฝรั่งที่ใกล้ๆทางม้าลายต้นถนนสาทร. ฝรั่งคงหลงทิศ traffic ซ้ายขวา อีคนขับรถก็ประมาท ไม่ชินทาง ผลสรุป รถไม่เป็นไร ฝรั่งก็ไม่เป็นไร เปิดหน้าต่างรถยกมือไหว้ประหลกๆ say sorry เท่านั้นเอง
    ขอบคุณมากๆค่ะ และขอกราบขออภัยจขกท.ที่ทำให้ "ปุถุชน...คนช่างสงสัย" กลายเป็นมินิฟอรั่ม. วาระแทรกเรื่องพระเครื่องไปแว้บนึง

    ป.ล. เลี่ยมพระเสร็จตั้งแต่ก่อนสงกรานต์แล้วจ้ะ นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปซื้อกรอบพระ จากนั้นก็ไปยืนเฝ้ากดดันคนเลี่ยมพระ. รอเกือบๆชั่วโมงก็รับพระกลับบ้านเลย. นี่ถ้าคุณนบอยู่กท. พี่จะแนะนำร้านให้ ไม่ต้องทิ้งพระไว้ที่ร้านด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 เมษายน 2015
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ครับเมื่อวานสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งต่อปลายเชือกพระใหม่ครับ.
    เป็นเชือกของท่านที่สำเร็จจิตธาตุทำไว้ครับ มีเหตุให้ปลายหลุด
    แต่ท่านตอนทำท่านใช้นิ้วชี้ลนไฟแล้วต่อปลายเชือกเอาไว้.
    ส่วนตัวก็เลยลองใช้กสิณไฟแซ๊ค ๗ อีเลเว่น(ใช้นิ้วโป้กด)
    กับ.วิชาเข็มโหละ
    กับไหมดำ(เข็มกับด้ายดำ)ลองทำดูบ้างทำเป็นรอบที่ ๓ แล้วครับ..๕๕๕
    ยังดีว่าที่ยังพอห้อยรอบคอได้ ไม่กลายเป็นสร้อยข้อมือก่อน ๕๕๕
    พอดีว่าก่อนหน้านั้นทำออกมาแล้วไม่สวยครับ....


    ส่วนจะทำให้พลังงานเชื่อม ก็มีหลายวิธีครับ คือ อฐิษฐานให้พลังงาน
    ในกรอบพระกับองค์พระรวมเป็นหนึ่งแต่ถ้าพระกระแสดีอยู่แล้ว
    ก็ไม่ต้องครับ.. และทำการอฐิษฐานของเชื่อมพลังงานในองค์พระ
    กับต้นพลังงานท่านนั้นๆด้วยการขอเชื่อมจักระท่าน
    ด้วยการสวด นะโมฯ ๓ จบกับ พุทธัง สะระฯ ๓ จบ.ท่องวน
    ไปวนมาอยู่อย่างนั้นหละครับ
    คือถ้าเชื่อมได้ก็จะเชื่อมได้เลยตั้งแต่ครั้งแรก แล้วลองดูใหม่ครับ..
    แต่ง่ายสุดคือให้ผมทำให้ครับ ๕๕๕๕ ไม่เกินองค์ละ ๑๐ วินาทีครับ
    ขอให้บอกว่าจะเชื่อมกับท่านใดก็พอครับ(คือพอทำได้ครับ
    ปกติจะเชื่อมโดยใช้ธาตุทองที่มีในอากาศเป็นธาตุในการเชื่อมครับ
    คือพอที่จะเรียกธาตุพวกนี้ได้อยู่ครับทำได้มา ๒ ปีแล้วหละครับ..
    แต่อยากให้ทำเองดีกว่าครับ จะได้ฝึกตัวเองไปในตัว
    จะได้ประโยชน์แก่ตัวเองมากกว่าครับ ทั้งเรื่องสมาธิ การวางอารมย์
    การเข้าถึงข้างบน ด้วยจิตเราเอง ฯลฯ)อีกอย่างก็คือต้องพอจับ
    เรื่องกระแสพลังงานได้ด้วยครับ ถึงจะพอทราบว่าผลเป็นอย่างไร..
    เมื่อก่อนจะทำให้กลุ่มที่จิตเค้ามาทางสายพลังงานบ่อยครับ.
    ส่วนจะเปลี่ยนกรอบหรือเอาจากกรอบวางไว้ก็สุดแล้วแต่


    เรื่องอฐิษฐานเข้าใจถูกแล้วครับ แต่ที่ส่วนตัวชอบก็คือเรื่องความคิดที่หละครับ.
    คือไปช่วยขยายความคิดในเชิงที่ช่วยส่งเสริมเรื่องต่างๆในทางที่ดี..
    ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอะไรก็ตาม.เค้าเรียกว่าหนุนปัญญาทางธรรม
    นั่นหละครับ...

    ส่วนตาที่ ๓ นั้นไม่ได้หมายความว่า การเห็นในส่วนนามธรรมต่างๆ
    ที่ไม่เป็นไปเพื่อให้หลงแล้ว ยังหมายความว่าดึงให้ดวงตาเราน้อม
    เห็นไปในทางธรรมเนื่องจากมีกระแสกระชากตรงนี้เชื่อมข้างบนครับ.
    คือแม้ว่าเราจะไม่เห็นนามธรรมแต่จะดึงความเข้าใจเราให้ถูกทางนั่นหละครับ..
    ส่วนเรื่องป้องกันก็จะออกไปประมาณนั้นครับ


    เรื่องเลี่ยมพระที่นี้ก็มีหลายร้านครับ..แต่ว่าไม่ค่อยถูกใจเท่าไร คือความละเอียด
    ยังไม่พอครับ บางทีก็กาวเชื่อมถูกพระเราบ้าง(กายทิพย์ผมเนี่ยตีหลัง
    กากลับหลังเตะปากช่างไป ๓ รอบแล้วครับ ๕๕๕) ฟองอากาศเยอะไปบ้าง
    เลี่ยมมุมไม่ได้ส่วนบ้าง บางคนยังมาพูดอีกว่า ไม่รู้ว่าพระหายาก(คือเลขประมูล)
    พวกนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีตังค์แล้วจะได้ไงครับ
    มันอยู่ที่ดวงเราช่วงนั้นด้วยไงครับ อย่างเลขที่เล่าให้ฟัง
    เจ้าของตลาดที่ให้เช่าที่เค้ายังไม่มีเลยครับ
    แต่ว่าถ้าเนื้อทองคำอย่างนั้นเค้ามีแน่นอนเพราะว่า มันมีต้นทุนสูงไงครับ..
    แต่ก็ต้องจับฉลากเอาว่าจะได้เลขอะไรด้วยครับ
    แต่เรื่องดวงในการได้เลขหายากเนื้ออื่นๆเนี่ย.
    แล้วแต่จังหวะในการได้มาจริงๆครับ เรียกว่า เลขนี้อยู่กับใครบ้าง
    ในรุ่นนั้นๆกลุ่มผู้เล่นหาเค้าจะทราบดีครับ..แต่บางเลขถ้าไปอยู่
    กับมือเฒ่าแก่หรืออาเสี่ยทั้งหลายแล้ว เราก็หมดสิทธิ์เหมือนกันครับ..
    ช่างบอกถ้าผมรู้ไม่งั้นผมจะทำดีกว่านี้(ดูที่ช่างพูดแล้วกันครับ แทนที่ไม่ว่า
    องค์ไหนก็ต้องทำดีที่สุด พูดมาสุดบรรยาย)

    แต่ก็พอรับได้ถ้าต้องการในวันนั้น สุดท้ายก็เลยเอาไปให้ช่างชื่อ ย่อ
    เป็นสีทำให้ คนนี้ทำอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปเปิดร้านที่ไหน
    ได้รับการยอมรับว่าเป็นช่างเลี่ยมมือวางอันดับต้นๆของที่นี้..
    รอบก่อนไปเลี่ยม๑๐ องค์รอคิวเกือบ ๒ เดือน
    รอบนี้ก็ประมาณเดือนกว่า ช้าหน่อยแต่ว่าออก
    มาแล้วไม่เสียความรู้สึกครับ..เลยต้องเอาพระไปวางจองคิว
    ไว้ก่อน ส่วนจะเลี่ยมเพิ่มเติมอีก ก็รอวันที่ถึงคิวแล้วให้ช่าง
    โทรมาบอกจะได้เอาไปเลี่ยมเพิ่มในวันนั้นครับ..

    อืมๆ กระทู้นี้ ป๋า มิงค์ เปิดให้ผมปล่อยของอยู่แล้วครับ ไม่ต้องห่วง
    ครับ จะถามอะไรที่คิดว่าแปลกๆ ถ้าพอทราบ ก็จะเล่าแต่ในกระทู้นี้
    หละครับ...๕๕๕
     
  5. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    รบกวนดูให้บ้างนะครับ ขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    กะแสดีอยู่แล้วครับ ขออย่างเดียวเวลาใส่ อย่าลังเลสงสัยและกังวลนะครับ
    มันจะสร้างความคิดจากสมองมา
    ทำให้กะแสที่ออกจากวัถตุเหวี่ยง
    และทำให้วัถตุทั้งสองไม่นิ่งครับ.
    เวลาห้อยให้เสมือนว่าเราไม่ได้ห้อย
    คือให้เป็นเราไปเลยกะแสจะดีครับ
    ปล.ปกติไม่ค่อยรับดูครับ เน้นฝึกให้
    สัมผัสด้วยตัวเองมากกว่าครับ
    จะเกิดประโยชน์กับตัวเราเองด้วยครับ
    ถ้าแบบฮาๆไม่คิดไรมากพอได้ครับ
     
  7. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    เป็นFC ป๋าRaming ,Nopphakan และ Toplus พอเห็นชื่ออยู่ปากหลุมนี้จึงลงเข้ามาดู
    สุดท้ายเหมือนมีพลังงานบางอย่างดึงผมให้ตกหลุมดำนี้มาด้วย ของเขาแรงจริงๆ
    ตกลงมานึกว่าจะเจอคัมภีร์ย้ายเส้นเอ็น วิชาลมปราณ ที่ไหนได้มีแต่คัมภีร์เรื่องสติและการใช้สติ
    อ่านที่ป๋าRaming เขียนทีไรก็ทำให้นึกว่าหลวงพ่อฤๅษีท่านเทศน์ สำนวนภาษาและเนื้อหาดีจริงๆ
    ป๋าNopphakan สรุปประเด็นสำคัญ ว่าเมื่อไรที่สติจะสัมฤทธิ์ผลให้เกิดปัญญาได้
    ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีใครบอกสรุปตรงจุดนี้เป็นอักษร ได้แต่บอกว่าก็ทำต่อไปเดี๋ยวรู้เอง
    ซึ่งการทำอาตาปี ความเพียรเผากิเลสในช่วงขณะที่ทรงสติสัมปชัญญะต่อเนื่องนั้นมีความสำคัญมาก เพราะถ้าทำขณะยังไม่มีสติหรือยังไม่ต่อเนื่องมันก็เป็นวิปัสสนึกเท่านั้น
    มีโอกาสที่เอานามธรรมเข้าไปปรุงร่วม
    แต่ในทางปฏิบัติจริงๆก็อาศัยสัญญาในการทำวิปัสสนึกบ่อยๆนั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจทำแต่เฉพาะช่วงที่เกิดสติต่อเนื่องเท่านั้น เพียงแต่จะสำเร็จผลเกิดปัญญาขณะสติต่อเนื่อง
    บางท่านถ้าไม่รู้ความสำคัญตรงจุดนี้ ถ้าถอยฌานมาพิจจารณา แต่ตอนนั้นอาจจะไม่ทราบว่าขณะนั้นสติอาจจะไม่ต่อเนื่องไม่มีกำลัง การจะเกิดปัญญาละกิเลสจึงใช้เวลาปฏิบัติมาก จำเป็นต้องใช้ขันติควานเพียรมากเพื่อให้สติใช้งานได้จึงจะสัมฤทธิ์ผลให้เกิดปัญญาได้
    บางท่านก็เก่งสร้างสติ บางท่านสร้างสติต่อเนื่องเก่ง แต่ถ้าไม่ทราบหรือไม่ทำความเพียรเผากิเลส ณ ขณะสถาวะนี้ก็เป็นที่น่าเสียดาย
    นอกจากนี้ป๋าNopphakan แนะนำ การยกหัวข้อธรรมอย่างไรและเมื่อไหร่เพื่อที่จะทำความเพียรเผากิเลส ผู้ที่ปฏิบัติแบบทางสายพระป่า นำคำแนะนำของป๋าทั้งสองมาปฏิบัติน่าจะมีประโยชน์มาก
    แบบ สติปัฏฐาน การปฏิบัติแบบพิธีการในเบื้องต้นจะเป็นการกำหนดรู้ และบางช่วงเวลาที่สติต่อเนื่องก็ใช้แบบที่ป๋าNopphakan แนะนำได้เช่นกัน

    สติมีความสำคัญ ประเด็นคำถามคือ
    ในทางปฏิบัติท่านสร้างสติด้วยวิธีใด
    แบบรูปแบบพิธีการ ก็อาจจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งได้กำลังดีที่สุด
    สร้างสติในชีวิตประจำวันท่านทำอย่างไร ขณะทำงาน ขับรถ ขณะใช้ประสาทสัมผัสเยอะๆ
    จับความรู้สึกตรงไหน ตรงไหนดี วางจิตที่ใด จับความรู้สึกบางส่วนหรือ100%
    วางจิตตรงนั้นเบาๆหรือทั้งหมด จะใช้คำภาวนาหรือไม่ใช้ดี
    หลังทำสติได้แล้ว ทำอย่างไรให้สติทรงได้ต่อเนื่อง
    ทำแบบพิธีการซักวันละ1-2รอบ สร้างสติประจำวัน ของจริงทำยากนะ
    เคยทรงสติได้อีกสองวันหลังจากหยุดทำแบบพิธีการต่อเนื่องมาเจ็ดวัน สองวันนั้นอาศัยสำรวมอินทรีย์เป็นหลักบวกกับการกำหนดรู้ซึ่งน้อยมาก

    พวกคุณใช้วิธีไหนทำให้มีสติต่อเนื่อง
    ขออนุโมทนาบุญกับความรู้เรื่องสติและความรู้อื่นที่ป๋าๆแนะนำ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขอบคุณที่ให้เกียริต์ครับ..
    วิธีสร้างสติมีมากมายหลายๆวิธีการหลายหลักๆคือให้มีฐานอยุ่ที่กาย.
    เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะจากห่มเหลืองหรือที่ไหนๆก็ตาม...
    ก็จะเกิดเป็นสติทางธรรมขึ้นมาได้ครับ..ตัวสติตัวนี้มีความสำคัญมาก
    ทำให้เราไปจับ การรับรู้ต่างๆ จากตัววิญญานไม่ว่าทางอายตนะไหนๆ
    ก็ตามได้..ที่นี้พอเราสร้างมันได้ เราก็มักจะเข้าใจว่า เราต้องทำให้มัน
    เกิดขึ้นตลอดเวลาและรักษามันไว้ให้นานที่สุดให้ต่อเนื่องทั้งวัน ซึ่งก็ไม่ผิดครับ..
    แต่สิ่งที่เราจะคาดไม่ถึงก็คือ สติทางธรรมตัวนี้ มันยังเป็นสติในลักษณะที่
    เป็นการตั้งท่า ยังไงๆมันก็เป็นสติที่เกิดจากการสร้าง..มันจึงไม่เป็นสติที่มัน
    เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ โดยเนื้อหาแท้ของจิตเราครับ...ยิ่งสติเราไปตั้งท่า
    ไว้นาน บางทีทำให้เรานอนไม่หลับไปเลยก็มี เพราะอะไรเข้ามามันจะจับ
    จะไปทันหมด ไอ้ที่มันไปจับไปรู้ นี่หละครับ มันการสร้างตัวไปรู้ไปเชื่อม
    จากตัววิญญานให้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ เป็นเหตุให้มันยังปกปิดตัว
    จิตเราอยู่อีกชั้นหนึ่ง ทำให้แม้ว่ามันจะใช้งานได้ แต่ว่ามันจะไม่ไหลลื่น
    ราบเรียบ ไม่อัตโนมัติ เพราะจากการตั้งท่าใช้งานนั้นเองครับ..

    เพราะฉนั้นถ้าเรามีแล้ว เราก็ไม่ต้องไปสร้าง ไปต้องไปอะไรทั้งนั้นครับ..
    แม้ว่าเราจะรู้หลักการที่ดี แต่มันก็ยังเป็นการสร้างเพื่อตั้งท่าจะใช้งาน..
    ให้ปล่อยวางซะ เอาสติทางธรรมที่มันคลุมจิตอยู่ออก เพื่อให้จิตมันเข้า
    สู่สภาวะโล่งโปร่ง คลายตัว และเข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตมันเองครับ
    ตัวสติก็จะเป็นไปแบบอัตโนมัติของมันเอง พอมันใช้เสร็จแล้วมันก็แล้วๆไป
    ใช้เสร็จมันก็วาง ถึงเวลาที่มันจะใช้งาน มันก็จะดำริขึ้นมาใช้งานของมันเองครับ..
    อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นสติอัตโนมัติครับ คือพร้อมใช้เมื่อพร้อม ใช้แล้วก็แล้วไป
    ไม่ใช่ไปสร้างให้มันค้างไว้เพื่อเตรียมไว้ใช้งานตลอด
    เพราะมันจะทำให้จิตเราไม่ว่าง ไม่คลาย ไปโปร่ง ไม่กว้างครับ..
    ..ทุกๆเรื่องก็เหมือนกันครับ..
    พอเข้าใจนัยยะนี้ไหมครับ..
    เหมือนผู้ทรงฌานไม่ได้หมายว่า เราอยู่ในฌานทั้งวันนะครับ
    แต่หมายความว่า เราจะใช้งานมันจะพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ
    ทุกเวลา ทุกวินาที ที่จะใช้ มันถึงจะเป็นอัตโนมัติ
    มันถึงจะเร็ว และไหลลื่น ครับประมาณนี้

    ปล.ในเวลาปกติ การที่จิตเข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้ได้
    คือโล่งโปร่งกว้าง เข้าสู่สภาวะว่าง ในระหว่างวัน
    จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะหนุนในทุกๆเรื่องครับ
    ไม่ว่าจะ สติ ปัญญา สมาธิ ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิตฯลฯ
    พอจะใช้ค่อยดำริใช้(ใช้เมื่อเหมาะสม) ใช้แล้วก็แล้วไป(ใช้แล้ววาง)
    เพื่อให้จิตมันคลายทุกสิ่งในสภาวะปกติ
    การใช้งานมันถึงจะเป็นอัตโนมัติได้ของมันเองครับ
     
  9. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ขอบคุณครับ พอเข้าใจที่คุณนพบอก เพราะเคยมีช่วงที่มีสติแบบนี้
    ลักษณะจะใช้และวางแม้แต่ตัวสติและปัญญา ตามที่คุณบอก
     
  10. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ป๋าRaming ,Nopphakan และ Toplus พร้อมปล่อยของเต็มที่ กระผมเองก็มีคำถามบ้าๆบอๆเยอะเหมือนกันตามประสาคนชอบฤทธิ์ คำถามบางอย่างก็คิดว่าในอนาคตเราน่าจะรู้เองเมื่อถึงเวลา แต่ก็นั่นแหละนะผู้มากประสบการณ์น่าจะให้คำแนะนำได้

    คำถามแรกคือ ขณะที่เรามีสติสัมปชัญญะต่อเนื่อง จนจิตแยกจากอารมณ์(แม้สังขารร่างกายจะมีอารมณ์ใดๆ จะมีปิติ ประหลาดใจ ร้องไห้ ฯลฯ จิตรู้เห็นอยู่เฉยๆไม่ประสมกับอารมณ์นั้น)
    ในขณะสภาวะนี้ ประกอบกับถ้ามีทิพจักษุแล้ว เราสามารถใช้สภาวะนี้แว๊ปไปฝึกอรูปฌาน
    โดยอาศัยทิพจักษุ ใช้อากาศ ,ดวงวิญญาญของขันธ์ห้า ,ไม่มีอากาศ ไม่มีดวงวิญญาญ,ไม่มีอะไรเลย ตามลำดับ เป็นอารมณ์กสิณ
    สามารถฝึกอรูปฌานแบบนี้ได้ไหม เนื่องจากไม่ได้ฝึกกสิณสิบมาก่อน ชาติก่อนไม่ทราบ
    แต่คงฝึกกันยาก หาอาจารย์เก่งๆยากยิ่งกว่า กสิณสิบคิดว่าน่าจะชอบกสิณแสงสว่างหรือไฟ

    การฝึกกสิณ ทางสายพระ กับ ฤๅษี ต่างกันไหม
    ทางสายพระที่ท่านฝึก อย่างหลวงพ่อเดิมเป็นต้น มหาฤๅษีที่เป็นต้นวิชาเป็นอาจารย์สอนพระท่านด้วยไหม
    มหาฤๅษีเป็นต้นวิชากสิณต้นกัปนี้ หรือต้นกัปจักรวาล น่าจะฝึกก่อนพระมั้งคิดเอง
    ที่ถามเพราะสงสัยกสิณที่พระท่านฝึกมีความสัมพันธ์กับทางสายฤๅษีไหม อย่างไร

    สมัยก่อน มีพวกโจรที่คงกระพัน แน่นอนว่าผิดศีล เขาใช้ฤทธิ์จากฌาน หรือ กสิณครับ
    มีแบบกรณีที่สามารถใช้กสิณใช้งานได้ทุกอย่าง แต่ไม่ผ่านการทดสอบจากอาจารย์ทางภพภูมิไหมครับ


    คำถามสองคือ เวลาเราได้ยินเจ้าที่ หรือเทวดา คุยกัน หรือท่านพูดกับเรา ซึ่งท่านอาจใช้ภาษาโบราณ โมยะ กลูโบส สันสกฤต ภาษาอะไรก็แล้วแต่ ทั้งตั้งใจให้เราได้ยิน หรือเราไปได้ยินเอง
    ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจแบบภาษาใจ ภาษาเดียวกันได้ครับ
    วิธีหนึ่งคิดเองว่าน่าจะทำได้คือ กำหนดรู้หนอที่ลิ้นปี่ ยังไม่คยได้ทำเพราะยังไม่มีรู้หนอตอนนี้ จึงยังไม่รู้จะได้ผลไหม
    มีวิธีใดบ้าง ฝึกอะไรเพิ่ม เกี่ยวกับเจโตปริยญาณไหมครับ

    คำถามสามคือ คล้ายคำถามสอง ต่างกันตรงเป็นภาษาสัตว์ทุกชนิด
    ถ้าเราสื่อสารพูดกับสัตว์ได้ (ไม่ใช่ที่สัตว์เข้าใจเราแบบที่เขาฝึกกันนะ)
    เป็นลักษณะที่ใช้ได้ขณะมีสัมปชัญญะต่อเนื่อง หรืออยู่ในอารมณ์ฌานใช้งาน ทำขณะลืมตาปกติ ทำได้ทันที่ที่อยู่สภาวะนี้ ขณะนั้นพรหมวิหารสี่แน่นปึ้ก
    ประเด็นคือสัตว์เข้าใจที่เราพูดทุกอย่าง มีการตอบการสื่อสารสองทางทันทีทุกๆครั้ง
    แต่เราไม่เข้าใจภาษาสัตว์นี่สิ เข้าใจได้แต่กริยาทางกายเขาเท่านั้น
    มีวิธีใดบ้างครับที่จะเข้าใจภาษาสัตว์ ฝึกอะไรเพิ่ม เกี่ยวกับนิรุตติปฏิสัมภิทา
    ในปฏิสัมภิทัปปัตโตไหมครับ หรือสามารถใช้วิธีเดียวกับเสียงทิพย์


    คำถามสี่คือเรื่อง การทำให้สิ่งของ คน หรือสัตว์ หยุดนิ่ง
    เคยอ่านที่หลวงปู่ท่านหนึ่งสั่งให้ชาวบ้านที่จะมาทำร้ายหยุดนิ่ง ชาวบ้านหยุดอยู่กับที่
    ไม่สามารถขยับร่างกายได้
    หรือกรณีหลวงพ่อท่านหนึ่งสั่งให้ช้างหยุดแล้วให้ช้างรับศีลห้า(แสดงว่าท่านพูดภาษาคน แต่ช้างเข้าใจได้ด้วย)

    ป๋าNopphakan เขียนไว้บางส่วนในกระทู้นี้ว่า “ดวงจิตพวกนี้ก็มีพลังงานที่แตกต่างกันออกไป ถ้าขนาดประมาณซักครึ่งเมตร จะมีความสามารถที่จะทำให้เรานิ่งๆแบบ
    ขยับไม่ได้..”

    ถ้าเป็นลักษณะที่ใช้ได้ขณะมีสัมปชัญญะต่อเนื่อง หรืออยู่ในอารมณ์ฌานใช้งาน ทำขณะลืมตาปกติ ทำให้สิ่งของ คน สัตว์ หยุดนิ่งได้ เป็นลักษณะเหมือนฤทธิ์ทางใจ คือคิดหรือพูดแล้วสัมฤทธิ์ผลได้เลย ไม่เหมือนมีกำลังจากกสิณใดๆ คิดว่าเหมือนเป็นลักษณะบุญฤทธิ์มากกว่า ไม่ทราบถูกต้องไหม
    ถ้าเป็นบุญฤทธิ์ เป็นบารมีสิบทัศใช่ไหม ต้องสะสมเด่นด้านใดมาเป็นพิเศษไหมครับ
    คิดว่าฤทธิ์ทางใจสามารถใช้ได้อย่างพิศดารตามแต่จริตนิสัยผู้ใช้เหมือนกัน แต่อยู่ในข่ายศีลธรรม

    การทำให้สิ่งของ คน สัตว์ หยุดนิ่งได้ ต้องมาทางสายไหนบ้างครับเช่น กสิณ เดินธาตุ
    วิญญาญธาตุ บุญฤทธิ์ พลังงาน ฯลฯ

    ป๋าทั้งสามคงไม่ว่านะครับที่ผมมีคำถามบ้าๆบอๆมากมาย ก็ตามประสา ปุถุชน คนช่างสงสัยครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตอบ ประมาณที่เล่าให้ฟังครับ
     
  12. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ตอบไวมาก ไม่มีอะไรตอบแทน นอกจาก ขอบคุณมากนะครับ
    ช่วยได้มาก ขอบันทึกและจำไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาอันควรจะนำไปปฏิบัติ
    เสียดายเข้าไปกระทู้กสิณไม่ทัน หมดเวลาโปรตรวจกระแสซะก่อน แต่ที่ตอบมานี้ก็ช่วยได้มากแล้ว
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อืม ถ้าจะให้บอกทิ้งท้ายอีกหน่อยถือว่าเป็นเทคนิคที่
    เหมาะสมเฉพาะบุคคลนะครับ..เพื่อว่าคุณทำได้จะเกิดผล
    สำเร็จได้เร็วขึ้นนะครับ..
    แบบคุณ THE SEVEN มีฐานความสามารถทางจิตในระดับ
    พร้อมใช้งานได้แล้วครับ..ตัวกระแสเชื่อมข้างบนผ่านแนวจักระก็ดี
    ตัวกระแสพลังงานทางด้านหลังก็มีแล้วครับ.แต่ทั้ง ๒ กระแสนี้
    ในสภาวะปกติมันจะต้องนิ่งและวิ่งขึ้นข้างบนตรงๆครับ.
    เราจะสามารถใช้งานได้ตามเนื้อหาเดิมของจิตเรา..
    แต่กระแสเชื่อมข้างบน มันไปติดตรง
    ตัวรู้ หรือตัวปัญญาทางธรรมที่เข้าไปรู้ครับ.
    มันเลยสร้างให้เกิดความกังวล
    กลายเป็นตัววิตกให้เกิดขึ้นกับจิต
    เพราะมันจะไปรู้ขั้นตอนโน่นนี่ได้ของมันเอง
    ตัวรู้ตรงนี้.เลยทำให้จิตที่อยู่บริเวณหน้าอก
    มันเกิดขึ้นแบบมีตัวรู้คอยนำและส่งผลให้จิตเรา
    มันไม่นิ่งครับ..ไม่คลาย ไม่เข้าสู่สภาวะว่างเพื่อใช้งานได้ดี..

    อีกอย่างมันก็จะยังไปหน่วงกระแสพลังงานตรงช่วงหลัง
    ที่เหนือก้นขึ้นมาหน่อย(คือตรงที่ตรงกับท้องด้านหน้า)
    ให้มันหมุนวน ตรงนี้จะทำให้กระแสด้านพลังงานเรามัน
    ไปติดขัดขาดช่วงตรงบริเวณหลังที่ตำกว่าต้นคอลงมา เราอาจจะรู้สึกตึงๆได้
    ถ้าแก้หรือตัดตัวรู้ หรือวางตัวปัญญาทางธรรมได้ เพื่อตัดตัว
    วิญญานตรงนี้ออก จิตเรามันถึงจะนิ่งได้ ว่างได้ คลายได้
    และกระแสทั้งที่เชื่อมข้างบน และกระแสพลังงานมันถึงจะไหลลื่น.
    การใช้งานมันก็จะอัตโนมัติและไม่ตะกุกตะกักจากการ
    เข้าไปรู้ขั้นตอนต่างๆครับ..ต้องพัฒนาตรงนี้ก่อนครับ..
    ให้กระแสทั้ง ๒ สายตรงนี้มันไหลลื่นและนิ่งให้ได้ก่อนครับ.
    ส่วนความหนาแน่นของพลังงานเป็นขั้นตอนต่อไปครับ...
    ปล.แนะได้ประมาณนี้หละครับ..
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เรื่องผลของการฝึกนี้ ผมเห็นว่าเป็นไปตามวาสนาของแต่ละคนที่ทำกันมาครับ
    อย่างเวลาผมจะอธิบายเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติหรือปัญหาทางธรรมนั้น ปกติแล้วหลวงพ่อจะบอกให้ขอบารมีพระทุกครั้ง ซึ่งหลวงพ่อก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ ลีลาจึงออกไปในทางเดียวกันครับ เพราะที่มาแนะนำเป็นพระท่านมาแนะนำ (ลีลาส่วนตัวผมจะฮาๆต๊องๆไร้สาระ แต่พอเรื่องกรรมฐานจะดุมากๆ)

    ถ้าจะดูกันไปแล้ว ก็เห็นว่ามีเป็นเส้นแสงจากข้างบนลงมาเชื่อมต่อ จะมองไปข้างบนก็เห็นองค์ท่านได้ หรือจะมองมาตรงๆตัวเราก็ยังสามารถมองเห็นท่านได้ เส้นแสงสีซึ่งบางทีเห็นเป็นลำแสงสว่างลงมาแบบนี้ หลวงพ่อไม่เคยบอกรายละเอียดหรือกำหนดนิยามใดๆ ดังนั้นถึงรู้ได้ เห็นได้ ก็อธิบายไม่ถูก จนได้คุณนพฯอธิบายให้ฟังนี่แหละครับ ...

    ความถนัดของแต่ละคนจะมีมาแตกต่างกัน อย่างเรื่องเส้นสายพลังงานการเข้าถึงฤทธิ์ คุณนพฯทำได้ละเอียดมาก ผมก็ต้องเข้ามาตามอ่านครับหลายๆรอบ ต้องคอยจับสังเกต ซึ่งบางทีก็รู้สึกได้ไม่ชัดเจน อันนี้ผมว่าเป็นความสามารถเฉพาะตน เลียนแบบได้ แต่ไม่ค่อยเหมือน

    เวลาฝึกสติปัฎฐาน พระท่านจะไม่ให้ยุ่งกับเส้นแสงพลังงานต่างๆที่เป็นนิมิตใดๆทั้งสิ้น แต่ก็มีบ้างเวลาฝึกกันอยู่ในป่า หยูกยาไม่มี เจ็บป่วยขึ้นมา ที่ว่าธรรมโอสถ ก็อาศัยการดึงพลังด้านดีเข้าร่างกายและขับพลังงานด้านเสียออกไป ให้ร่างกายปรับสมดุล โรคก็หายได้ภายในชั่ว 10 นาทีเท่านั้นก็มี ขึ้นกับกำลังสมาธิ กำลังสติ ในระหว่างนั้น เพียงแต่การทำแบบนี้ ในแนวทางการเจริญสติท่านไม่ได้ให้ความสำคัญ จึงไม่มีนิยาม หรือรายละเอียดต่างๆมาอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ครับ...มันเลยเหมือนคนกินอาหารจนอิ่มแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าอาหารที่กินเข้าไปเรียกว่าอะไร จะถามก็เกรงจะโดนด่าว่านี่ไม่ใช่หนทางหลุดพ้น ท่านไม่ให้ไปสนใจ ผมก็เลยไม่ได้สนใจอะไร ... ก็พึ่งจะได้รู้นิยามและความหมายจากที่คุณนพฯอธิบายมานี่แหละครับ ทำให้รู้ทั้งชื่ออาหารและวิธีการปรุงรวมถึงวัตถุดิบ...เจาะลึกกันขนาดนั้น ไม่ธรรมดาจริงๆครับ...

    ผมเป็นคนจำพวกฝึกได้ยาก ช่างสงสัยมาก ครูบาอาจารย์ที่จะสอนจริงๆจังๆไม่ค่อยมี ผลของการฝึกจึงล่าช้าและผิดทิศผิดทางบ่อยๆ ผิดทีก็โดนด่าที เป็นแบบนี้ไป น่ารำคาญตัวเองเหมือนกันครับ แต่ก็มาเห็นประโยชน์ก็ตรงที่เวลาเจอนักปฏิบัติที่หลงทางอยู่ ก็จะทำให้รู้และเข้าใจถึงสิ่งที่เขาติดวนหลงอยู่นั้น เพราะเราเคยติดหลงวนอยู่แถวนั้นมาก่อน พอแนะนำให้ก็ไปได้เร็วมาก ดังนั้นที่ต้องผิดๆพลาดๆมานี้ก็คงเพื่อเอามาใช้ประโยชน์ด้านนี้ล่ะมังครับ...และการที่ผิดพลาดมามากๆเข้า มันก็ดีอีกอย่างนึงคือ มันไม่หลงตัวเอง อาจจะระแวงด้วยซ้ำว่า "ที่ฝึกอยู่เนี่ย กำลังทำอยู่ตอนนี้เนี่ย มันก็ไม่แน่หรอก ยังเชื่อใจอะไรไม่ได้ ยังไว้ใจอะไรมันไม่ได้สักอย่างเดียว"

    ดังนั้นการฝึกของผมจึงรู้สึกตัวเองไว้เสมอว่าเป็นเหมือนผู้ใหม่อยู่ คือทำแบบเดียวกับผู้ที่พึ่งเริ่มฝึก ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเก่งแล้ว ฝึกมานานแล้ว เก๋าแล้ว รู้ดีกว่า ฯลฯ ส่วนคนอื่นเขาจะเป็นยังไงนี่ มันก็เรื่องของเขา เขาอาจจะเก่งจริง เก๋าจริง อันนี้ก็โมทนากับเขาเหล่านั้นครับ ส่วนตัวเรามันก็ต้องก้มหน้าก้มตาฝึกไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2015
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เห็นตามป๋า มิงค์เลยครับ...

    เรื่องอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่เรื่องงานที่ทำ
    หรือหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองนะครับ...
    ถ้าเกิดเรานึกขึ้นได้ ระลึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้
    และปรุงแต่งร่วมได้.พูดง่ายๆไปต้องไปคิด ไปพยายามรู้
    ไปใช้ความเห็น ไปตีความใดๆทั้งสิ้น..ให้ไม่สนใจและเฉยๆทุกๆเรื่องครับ..
    ที่เป็นอยู่จะหายครับ..แต่ว่าจะแน่นๆหน้าอกหน่อยนะครับเรื่องปกติ..
    ถ้าแน่นหน้าอก.ให้กล่าวคำว่าอโหสิๆๆ ออกจากกลางลิ้นปี่
    แล้วมันจะหายแน่นหน้าอก และให้อุทิศส่วนกุศลซ้ำ
    ก็จะเย็นได้ เบาได้ โล่งได้...ทำบ่อยๆครับ..
    ปล.ประมาณนี้...
     
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ผมแนะนำได้ครับ...

    ถ้าแน่นอก ... ก็ยกออก...ให้แบกเอาไว้นานไป เดี๋ยวใจถลอก...ฯลฯ
    :cool::cool::cool:

    จำเนื้อร้องได้แค่เนี๊ยะแหละครับ...:p

    กระทู้ปล่อยของในหลุมดำนี่ก็ดีแบบนี้เอง...
    ถามอะไรได้หมด...
    ว่าแต่โพสนี้แค่แซวเล่น ฮาๆนะครับ..อย่าถือสา
    เพราะถ้าจะเอาจริงเอาจังเดี๋ยวจะขอให้ครูติงเต้นประกอบเสียงร้องให้ชมกัน...รับประกันว่าหายแน่นอก...แต่อาจจะเปลี่ยนมาเป็นสำลักแทนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2015
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตอบ ป๋า มิงค์ อะจ๊ากกกกก !!!

    ตอบ คุณ JINKLE อ่านที่แนะนำก่อนหน้าดีๆคิดว่าพอเข้าเนาะ.
    และส่วนต่อไปนี้คือเพิ่มเติม...พลังงานที่ขึ้นบนฝ่ามือ บางครั้งเรา
    จะรู้สึกได้ว่ามันหมุนๆเข้ามาทิศทางวนเข้าตัวเราได้บนอุ้งมือ
    นอกจากร้อนๆหรือเฉยๆอย่างเดียว...
    ในทางกิริยาก็คือ จิตเรามันมีความสามารถในการรับรู้ตรงนี้..เนื่องจาก
    ตัวจิตมันสามารถพลิกเข้าไปเชื่อมกับอากาศธาตุที่มีอยู่ภายนอกได้
    ถามว่าดีๆ ก็ตอบว่าดี...
    คือมันข้ามตัวธาตุ ดิน น้ำ ลม และ ไฟ ที่ประกอบเป็นร่างกายเราได้...
    และพลังงานที่มีอยู่ภายนอกปกติ ก็คือพลังงานความร้อน ต้นกำเนิดจาก
    ดวงอาทิตย์ และพลังงานความเย็นต้นกำเนิดจากดวงจันทร์ บางคน
    ก็เรียกหยิน หยาง อะไรก็แล้วแต่...ที่นี้ถ้าจิตเรามันรับได้แล้ว.
    ซึ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของความสมดุลย์ของธาตุ ๔ ที่มันประกอบ
    เป็นร่างกายเรา อย่าลืมว่าร่างกายเราตัวจิตในสภาวะปกติมันต้อง
    อาศัยธาตุ ดิน น้ำ ลมและไฟอยู่..โดยมากถ้าพระจันทร์เริ่มขึ้นอย่าง
    วันนี้เราจะนั่งสมาธิแล้วรู้สึกเย็นสบาย เพราะความเย็นจะส่งเสริม
    เรื่องความสงบของจิตและการนั่งสมาธิได้..แต่ถ้าช่วงไม่มีพระจันทร์
    งานจะเข้าแล้ว.เพราะความเย็นน้อยลง ในระหว่างวันเราจะรับแต่
    พลังงานความร้อน จึงไม่มีตัวดับ ก็จะทำให้หงุดหงิดได้..
    แต่ไม่ต้องกลัวนะว่าพระจันทร์เต็มดวงรับรองไปแปลงร่างแน่นอน ๕๕๕
    นี่ประเด็นแรก...


    ประเด็นที่สอง เมื่อจิตเรามันมีความสามารถอย่างนี้แล้ว..ความสามารถ
    ในการรับความรู้สึก จากตัววิญญานการรับรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะ ตา หู จมูก
    กาย หรือจิต มันก็จะไวกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา..และถ้าถึงขั้นที่เรา
    คิดได้ ระลึกได้ และบ่นๆหรือคิดในใจต่อได้ นี่เข้าเรียกว่าเรารับอารมย์
    ไปปรุงแต่งเรียบร้อยไปแล้ว..และด้วยตัวจิตที่มันรับได้ง่าย มันก็จะทำ
    ให้เรารู้สึกหงุดหงิดได้ เป็นเรื่องปกติมาก บางทีก็ตัวร้อนง่าย ตึงๆศรีษะง่าย
    บางส่วนของร่างกายเช่น บริเวณหน้าอกมันก็จะตึงๆกว่าคนอื่นๆเค้า..
    บางทีตามผิวหนังบางส่วนมันก็ร้อนได้อีก..หรือบางทีเอามือไปโดนเหล็ก
    ก็ไฟซ๊อตได้อีก..พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอาการที่ธาตุในร่างกายเรา
    ขาดความสุมดุลย์ทั้งสิ้น พูดง่ายๆว่ามันเกินนั่นหละครับ..


    ที่นี้ถ้าเราจะตัดเรื่องที่ธาตุร่างกายมันเกินๆทั้งหลาย อย่างแรกในระหว่าง
    วันเราต้องตัดๆๆๆๆๆๆๆๆ ทุกเรื่องๆๆๆๆ ที่คิดขึ้นมาได้ นึกขึ้นได้
    ระลึกขึ้นได้ ปรุงแต่งได้ ทั้งหมดทุกๆๆๆเรื่อง ที่เป็นอดีตออกให้หมด
    ไม่งั้นมันจะมีกระแสตรงนี้เป็นกระแสตัวหนึ่งเป็นตัววิญญานที่มาคลอบ
    คลุมจิตเราไว้ชั้นหนึ่ง ถ้าเรานึกเรื่องที่ทำให้เราไม่พอใจ และเผลอคิด
    หรือบ่น(ปรุงแล้ว)เราก็จะอึดอัด และเกิดอาการหงุดหงิดได้เร็ว..
    แต่ถ้าเรานึกเรื่องที่ทำให้เราพอใจ เราก็จะรู้สึกสบายใจได้เร็ว.แต่ส่วนมาก
    เรามักจะไม่ค่อยวางเรื่องที่ทำให้เราสบายใจทำให้เราติดอยู่ตรงนี้..


    แต่ในทางปฏิบัติไม่ว่าจะพอใจ หรือ ไม่พอใจ เราจะต้องวางมันทุกๆๆๆเรื่อง..
    ไม่งั้นมันจะส่งผลให้..ตัวกระแสที่ขึ้นมาจากจิตของเราที่จะเชื่อมกับครูบาร์
    อาจารย์ข้างบน และกระแสพลังงานของเรามันขาดช่วงและไม่ต่อเนื่องครับ..
    มันจะทำให้จิตเราเคลีย์กระแสส่วนเกินพวกนี้ได้ยาก ส่งผลให้เกิดพลังงาน
    ตกค้างอยู่ที่ร่างกาย ซึ่งจะส่งผลต่างๆทางด้านอารมย์ของเราได้....
    เพราะฉนั้นในระหว่างวัน ย้ำว่า เรื่องอะไรก็ตามที่นึกได้ คิดได้
    ระลึกได้ ปรุงแต่งได้ ให้เฉยๆและไม่สนใจให้หมดและให้อโหสิออกจาก
    กลางจิต โดยไม่ต้องไปส่วนว่ามันเรื่องอะไรใดๆทั้งสิ้น..เพื่อให้จิต
    มันนิ่งๆก่อน และให้อุทิศส่วนกุศลซ้ำลงไป เพื่อให้จิตมันคลาย มันโปร่ง
    มันโล่ง และมันจะรู้สึกเย็นๆสบายๆ เบาๆได้เอง....

    เวลานั่งสมาธิก็เช่นกัน ถ้ายังร้อย ยังไม่นิ่ง ก็ให้ทำเหมือนกัน.จนกว่า
    ร่างกายเราจะปกติ.....
    ที่นี้การรับรู้เรื่องพลังงานของเรามันก็จะดีขึ้น เร็วขึ้น การถ่ายเทพลังงาน
    ของเราก็จะไม่ติดไม่ขัดเพราะมันจะเคลียร์ออก อัตโนโนเมติก หรือ
    อัตโนมัติในขณะที่เรานั่งๆสมาธิ เราจะไม่ใช่แค่รับรู้แค่บริเวณฝ่ามือ
    เราจะรับรู้ และสัมผัสได้ว่าพลังงานมันจะไหลออกเองได้ทั้งตัว.
    ลองพนมมือแล้วสวดมนต์ในใจแบบลืมตาแล้วชำเรื่องตามองปลาย
    นิ้วตัวเองดูได้ จะเริ่มเห็นอะไรได้มากกว่าความรู้สึก...
    เพราะฉนั้นการวางอารมย์ในระหว่างวัน หรือการไม่อะไรกับอะไรเลย
    ในระหว่างวัน (ยกเว้นเรื่องหน้าที่และภาระส่วนตนนะครับ ๕๕๕)
    มันก็จะช่วยทำให้จิตเราคลายกระแสในระหว่างวันจากพวกเรื่องที่เกิด
    จากการนึกได้ คิดได้ ระลึกได้ ปรุงแต่งได้..จะส่งผลให้จิตคลายตัว
    เองได้..และด้วยการคลายตัวของจิตในระหว่างวันตรงนี้ได้
    มันก็จะมาหนุนการถ่ายเทพลังงานส่วนเกินออกจากร่างกายเราได้
    ของมันเองอัตโนมัติ เราก็จะรู้สึกเป็นปกติ ไม่ว่าจะตัวร้อน เป็นไข้
    ปวดศรีษะ แน่นหน้าอก หรืออาการต่างๆที่ทำให้หงิดหงิดรำคาญใจ
    อะไรต่างๆเกี่ยวกับอารมย์ มันก็จะหายได้เองอัตโนมัติโดย
    ไม่ต้องทานยา หรือไประบายอารมย์ให้ใครฟังครับ..

    ปล.ประมาณนี้ก่อนเนาะเด่วจะงง.
    ถามอะไรได้หมดครับที่ส่งเสริมการปฏิบัตินะครับ
    ..ตาม ป๋ามิงค์ว่า ตอบได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ๕๕๕
    เรื่องพลังงานนะมีประโยชน์มากมาย
    ไม่ยากครับ แต่ถ้าเราสัมผัสได้
    การเคลียร์ การถ่ายเทพลังงานจะเป็นเรื่องสำคัญกว่า
    ลองอ่านๆดูที่แนะนำไปก่อนนะครับ.:cool:.
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    คำตอบที่พาดพิงไปถึงฝ่ายภพภูมิ ก็สามารถเกิดกระแสเชื่อมต่อก่อเกิดวิบากได้เช่นกัน
    วันนี้ก็พึ่งทราบจากคุณนพฯนี่แหละครับ
    แต่ก่อนไม่ค่อยสนใจ เพียงแค่กลับมาพิจารณาลงที่จิต ทรงใจให้ว่าง มีอาการผ่อนคลาย
    ทรงสติ สัมปชัญญะ และสมาธิเอาไว้ ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ...

    วันนี้ได้เทคนิค การขออโหสิกรรม การสลายกระแสวิบากที่จะเกาะเกี่ยวกันไป..
    ใครสนใจลองสอบถามคุณนพฯดูเอานะครับ...
    ลองทำดูแล้วก็ดีเหมือนกันนะครับ..
    แล้วทำให้รู้ว่า ความรู้ต่างๆนี่เรียนกันไม่จบจริงๆครับ
     
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ไปแอบๆเล่าอยู่ในเฟสๆนึงครับ ..
    เป็นบันทึกการฝึกของคนธรรมดาๆคนนึง ตั้งแต่เด็ก ว่าเจออะไร ผ่านอะไร เป็นยังไง?
    กะว่าจะไว้รวมเล่มแจกตอนงานศพน่ะครับ...ประหยัดงบของชำร่วยดี...:p
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อโหสิ เป็นการเคลียร์กระแสวิบาก(คือสิ่งที่จรเข้ามาเรื่อยๆ)
    ไม่ให้ไม่มีอะไรครับ แต่มันจะทำให้จิตแค่สงบนะครับ.
    แต่จิตจะคลายและกว้างออกได้ต้องตามด้วยการอุทิศส่วนกุศล
    ออกจากจิตซ้ำลงไปครับ มันถึงเป็นกระแสเย็น เราจะรู้สึกเย็นด้วย
    และกระแสเย็นมันจะช่วยทำให้จิตเรามันโล่งโปร่ง..
    และอโหสิคือการตัดตัววิญญานการรับรู้ที่มันมาเกาะจิตเรา
    ซึ่งมันจะมาทำให้จิตเราไม่ให้สงบ ไม่ให้คลายนั้นหละครับ
    เพราะมันมีตัววิญญานการรับรู้ซ้อนจิตเราอยู่..
    วิธีการนี้เรียกว่าตัดมันตั้งแต่ต้นลมครับ ชนะหัวใจเราก่อน(โม้แทรกเผื่อฮา).
    และตัดทุกๆเรืองวิบากหรือกระแส ตั้งแต่จิตเราดวงนี้มันได้เคย
    เกิดมาย้อนอดีตไปจนเราลืมว่ามันเป็นผลมาจากชาติๆไหนครับ.


    อย่าลืมว่าเพียงแค่เรามีกระแสจรหรือวิบากแค่ตัวเดียว
    มันก็เป็นเหตุให้เรายังไม่พ้น
    และต้องกลับมาเกิดได้นะครับ..
    ไม่ว่า สติ สมาธิ ปัญญา ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต และเรื่อง
    ต่างๆ ไม่ว่าเราคิดถึงอะไร หรือมีอะไรผุดขึ้นมา ให้เราระลึกได้
    ปรุงแต่งได้ มันเป็นเหตุให้เรามาเกิดได้ทั้งนั้น ฯลฯ


    และไม่ว่ากระแสวิบากดีหรือไม่ดีมัน
    ก็มีที่รองรับทั้งนั้นครับ...และเราไม่จำเป็น
    ต้องไปรู้ครับ ส่วนมากเราจะพลาดตรงไปรู้นี่หละครับ..
    เพราะแค่เรามีตัวไปรู้ จิตเรามันก็จะสร้างตัวรู้
    ไปเชื่อมกระแสตัวกระแสจรในทันทีภายในเสี้ยว
    วินาทีเร็วกว่างูแล๊ปลิ้นครับ.
    .และบางครั้งพอเราไปรู้ เรื่องนั้นมันไม่ยอมวาง
    เราไปใช้ความพยายามให้มันวางอีก ก็จะกลาย
    เป็นตัวพยายามซ้อนตัวรู้เข้าไปอีก ๒ เด้ง
    ทีนี้พอมันไม่วางก็เลยกลาย
    เป็นหงุดหงิด รำคาญอีก ๕๕๕๕ หลายเด้งเลย..


    และเรื่องการทำจิตเราให้มันคลาย
    มันเป็นพื้นฐาน เบสิค เอ็นจิเนียริ่งครับ
    แรกๆเราต้องสร้างตัวสติทางธรรมขึ้นมาก่อน
    สร้างสมาธิอะไรก็แล้วแต่ ไม่งั้นเราก็จะจับตัว
    กระแสวิบาก หรือ กะแสจรตรงนี้ไม่ได้
    ตลอดจนเราไม่รู้ว่ามันส่งผลอะไรกับร่างกายเรา
    ตรงนี้กำลังสมาธิ หรือการรับรู้เบื้องต้น จึงมีความจำเป็นอยู่ครับ.
    และถ้าเราต้องการที่จะใช้ความสามารถทางจิต
    ที่ไม่ว่าจะใช้ทีต้องหลับหูหลับตา ๕๕๕
    หรือตั้งท่าอะไร..และไม่ว่าจะอภิญญาภายใน(แบบที่เรารู้เห็น
    ได้แต่คนอื่นๆสัมผัสไม่ได้ทุกๆกรณี) หรือภายนอก(แบบที่เรา
    ทำให้คนอื่นๆรับรู้สัมผัสได้)อะไรพวกนี้...

    การทำให้จิตมันเข้าสู่เนื้อหาเดิมได้ในระหว่างวัน
    เพื่อให้มัน คลาย มันโปร่ง มันโล่งได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากครับ..
    ยิ่งจิตเราคลายออกและกว้างได้มากเท่าไร
    เครื่องรู้เราก็เยอะมาขึ้นเท่านั้นตามลำดับ
    ยิ่งจิตเราคลายได้นานเท่าไร ในสภาวะลืมตาปกติ
    จิตเราก็จะมีความสามารถทำได้เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ.....
    เพราะฉนั้นถ้าจะฝึก ไม่ใช่เรื่องยาก..ปรับระบบหายใจ
    ฝึกการคลายจิต ให้เข้าสู่เนื้อหาเดิมเอาไว้ให้นานที่สุด
    ในระหว่างวัน ครับเพราะฝึกอะไรมันก็จะง่ายครับ..


    อย่างคุณรับรู้เรื่องพลังงานได้ ยิ่งง่ายกว่าง่าย..
    เด่วถึงเวลาจะดึงความสามารถเดิมที่มีในจิตขึ้นมาให้ครับ..
    ขอตอนนี้ไปปรับระบบหายใจ ให้ลึกจนเป็นระบบหายใจ
    ปกติในชีวิตประจำวันให้ได้ก่อน ปรับการคลายจิตเข้าสู่
    เนื้อหาเดิมในระหว่างวันให้มันได้นานมากที่สุดก่อน
    เคลียร์กระแสตรงนี้ให้มันดีๆคล่องๆจากฐานการปรับ
    ลมหายใจเราให้มันได้ก่อน จะได้ไม่ส่งผลกับร่างกาย
    ในอนาคต และจะได้ไม่ต้องไปรับวิบากใครเค้า
    เข้ามาอย่างที่เราไม่รู้ตัว ให้มีกำลังในการคลายตรงนี้ก่อน
    อุทิศส่วนกุศลไปเยอะๆให้จิตมันกว้างๆเข้าไว้ครับ..
    จะเอากสิณกองไหน ก็ทำได้หมดแระครับ กรุ๊บๆ กริ๊บๆ
    ไม่อยากพูดก่อน เด่วจะหาว่าโม้หรือเวอร์ไป..ถึงเวลาจะเข้าใจได้เองครับ..
    แต่ว่าจะนำไปใช้ได้หรือเปล่า เนี่ยตัวใครตัวมันนะครับ..๕๕๕.

    ปล.ประมาณนี้ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนาะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...