ผีอำ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ทองชมพู, 19 เมษายน 2015.

  1. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    พระนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2015
  2. chenroom

    chenroom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +124
    เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวชั่วโมงบิน ของนักปฏิบัติรุ่นพี่ ขอคุณมากๆๆๆๆๆได้อะไรดีๆเยอะ อยู่แต่ว่าตัวของเราจะทำให้รอดอย่างไร นั่นก็อีกเรื่องเนาะ ขอบคุณมากๆๆๆจริงๆๆๆๆจากใจเลย ในธรรมทานที่ให้แบ่งปันความรู้สำหรับ นักน่าโง่อย่างเรา.แฮ่ๆๆๆจะได้เป็นแบบอย่าง ขอขอบคุณ คุณทองชมพู และคุณ nopphakan ณ ที่นี้ด้วย
    ป.ลแม๊ะ พอเล่าถึงตอน ปรามาสพระ นี่ น้ำตาไหลเลย เพราะส่วนตัวเป็นมานานมากเหมือนกกัน เลยเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร
     
  3. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    ขอบคุณมากค่ะที่แนะนำแนวทางการปฎิบัติ...คาถาของหลวงพ่อฤาษีบทนี้
    แยมท่องให้ไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น แต่แยมเน้นบทพระพุทธคาถาค่ะ
    เพราะบทนี้ ทำให้น่าสนใจตรงที่
    ๑. ศัตรูจะพินาศไปเองเมื่อคิดประทุษร้าย
    ๒. จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการตามที่ปรารถนา

    ทุกครั้งเวลาสวดจะมโนว่ากำลังสร้างเกราะป้องกันที่ไม่มีใครมองเห็นให้ตัวเอง
    และกำลังติดเครื่องรางของขลังโดยไม่ต้องห้อยอะไรทั้งสิ้น
    มันรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่า ตราบใดที่เราทำดี คิดดี ศีลไม่พร่อง
    ไม่มีใครทำอะไรเราได้ ...(ยิ้ม..ตัวพอง)
    พี่ทองมีบทไหนที่คิดว่าแยมควรท่องไว้ป้องกันตัว รบกวนแนะนำด้วยนะคะ
    รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้สวดมนต์เหมือนเพิ่มพลังเกราะป้องกัน
    จริง ๆ แล้วที่แยมมีคนคิดร้ายกับแยมเยอะ เพราะแค่ว่าแยมเห็นอะไรไม่ถูกต้อง
    แยมจะฟัดด้วยทันที ไม่เว้นแม้หัวหน้า บุคลิกจะออกแนว คนจริง ผิดก็ว่าผิด ถูกก็คือถูก
    จึงมีคนไม่ชอบขี้หน้าอย่างแรง เพราะที่ไหนที่มีคนเยอะ
    มักมีการแข่งขัน อยากได้อยากมีจนลืมความถูกต้อง...บางครั้งทนไม่ได้
    ต้องออกตัวและได้ศัตรูกลับมา หลัง ๆ นิ ป๋มไม่เข้าไปยุ่งแล้วกั๊บ..
    กรรมใครกรรมมันเน้อ...
     
  4. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ถูกแล้วจ้ากรรมใครกรรมมัน ขืนยุ่งก็มีแต่เจ็บและสร้างศัตรู

    ในคาถาเงินล้านมีครบหมด ทั้งปัดเป่าอุปสรรค ทั้งย้อนกลับคนคิดร้าย แล้วยังได้ลาภอีก ขณะสวดให้นึกถึงพระพุทธรูปที่เคยบอกนั่นแหละ พร้อมกับสวดเพื่อตั้งใจถายบูชาพระด้วยความเคารพเท่านั้น อย่าตั้งใจเป็นอย่างอื่น จะริดรอนทั้งหมดข้างต้นจนถึงไม่มีผลเลยจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  5. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    อนุโมทนาจ้า เราเองใช่จะดีนะ ถู ๆ ไถ ๆ ถูลู่ถูกังอย่างที่อ่านนั่นแหละค่ะ ณ ปัจจุบันก็ยังไม่ถึงไหนหรอก เพียงแต่เราดูว่าหลวงปู่ หลวงพ่อท่านทำอย่างไร ปฏิปฏิทาพระอริยเจ้าท่านเป็นอย่างไร เราก็พยายามเลียนแบบท่านให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ไม่ดีเท่าเศษเสี้ยวธุลีของท่าน แต่ก็พยายามกัดฟัน สู้ สู้ ค่ะ
     
  6. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    วันนี้ก็ขึ้นมาตั้งแต่พระจุฬามณีเหมือนเคยและพอขึ้นพระนิพพาน วันนี้พระอาจารย์จู่ ๆ ก็ให้พวกเราลองถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านดูว่า เราเคยเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าท่านใดมาก่อนในอดีตหรือไม่ ปรากฏว่าถ้าเราเคยเกิดเป็นลูกพระองค์ใดมาก่อนเรานั้นจะกลายเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ แล้วนั่งตักพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทันที

    ทีนี้แหละเราถึงได้คำตอบตอนที่เราถามสมเด็จองค์ปฐมเมื่อตอนเราไปกราบท่านที่วิหาร และรู้สึกว่าเวลาเรามีคำถามที่เกิดขึ้นกับเราคราใด รู้สึกว่าพระอาจารย์จะเหมือนสอนในเรื่องที่เราติดขัดในทันทีในชั้นเรียนนั่นเอง

    ทีนี้แหละเรารู้แล้วเวลาเกิดคำถามเมื่อใด จะไม่ยอมทนทุกข์แบบไม่เข้าใจอีกแล้ว มาที่วัดท่าซุงทีไรจะมีประกาศคำสอนนั้นออกไมค์ทุกทีไป ถึงแม้คนจะมากมายหลายหมื่นแออัดยัดเยียดสักปานใด นั่งไปเรื่อย ๆ แล้วเดี๋ยวคำตอบลอยมาเอง โห ทีนี้หายโง่เลย.......


    การทรงอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้า ผู้อ่านควรเทียบอารมณ์จากครูบาอาจารย์ด้วยนะคะ

    อารมณ์ที่สวรรค์ นั้น เราจะรู้สึกมีแต่ความสุข ความเย็นสบาย แต่ความสุขนั้นเป็นสุขแบบกามสุข สุขกับการเห็นวิมานที่สวยงาม สุขกับการเห็นแต่คนที่แต่งตัวสวย ๆ แถมตัวเราก็สวย สุขแบบมีเพื่อนฝูงมากมาย ต้นไม้ ดอกไม้ สระน้ำก็สวย สถานที่ก็สวย เป็นความสุขแบบเพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจทำให้ลืมความทุกข์จนหมดสิ้น

    อารมณ์ของชั้นรูปพรหม มีความสุขแบบสงบเงียบ สุขอยู่ในฌานแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกับใคร และไม่วุ่นวายใจ ไม่มีเพศ แต่สุขแบบยังมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่

    อารมณ์ของพระนิพพาน คือ อารมณ์แบบไม่มีอะไรอยู่ในจิตเลย สบายแบบไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดเกาะอะไรเลย เบาสบาย ไม่ยึด ไม่รัก ไม่เกลียด ไม่โลภ ไม่มีลูก ไม่มีสามี ไม่มีพ่อแม่ ความสัมพันธ์แค่รู้ว่ามีแต่เฉย ๆ ไม่เกาะ การที่เราเอาอทิสมานกายขึ้นพระนิพพานได้นานเท่าใด เท่ากับเราทรงอารมณ์พระอรหันต์ได้นานเท่านั้น


    ปล. การทรงอารมณ์ในระดับใดนั้น เราเพียงแต่ทรงชั่วขณะเวลาที่เราขึ้นเท่านั้นนะคะ เรายังไม่เป็นพระอริยเจ้าใด ๆ ลงมาข้างล่างแล้วหากทำตัวพลาดพลั้งจากศีล ๕ ไม่เคารพพระรัตนตรัย หลงลืมความตาย ไม่ทรงอารมณ์มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายไว้ เราก็ยังคงไม่พลาดอบายภูมิอยู่ดี ฉะนั้นอย่าได้ประมาทคิดว่าเราดี เราเก่ง เราเจ๋ง เพราะเดี๋ยวเจ๊งแน่ ๆ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  7. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)

    พ่อสอนลูก

    ๑. ขอลูกรักจงรักษากายไว้ด้วยดี อย่าเอากายไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและจงรักษาวาจาไว้ให้ดี อย่าพูดปดมดเท็จที่ไม่ตรงความจริง อย่าพูดคำหยาบหรือด่าคนอื่น อย่าใช้วาจาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคี คือยุให้คนแตกร้าวกัน อย่าใช้วาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ ด้านใจจงรักษาใจไว้ด้วยดี คือไม่อยากได้ของๆ ใครที่เขาไม่เต็มใจให้ ไม่โกรธแค้นอาฆาต พยาบาทใคร ไม่เมาใจจนเห็นผิด คิดว่าตัวเป็นคนประเสริฐ อารมณ์เหล่านี้เป็นพื้นฐานที่จะให้เข้าถึงพระนิพพาน เมื่อรักษากายใจได้ดังนี้แล้ว ต่อไปใจจะสะอาดขึ้นทีละน้อยจนไม่ต้องระวังทั้งกาย วาจา ใจ จะทรงไว้แต่ความดีอย่างเดียว ในที่สุดก็ถึงนิพพาน

    ๒. ลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่าท่านกับเรามีสภาวะเหมือนกัน คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนไปในท่ามกลาง และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ท่านกับเราก็เสมอกันเสมอกันโดยไตรลักษณ์ คืออนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากินทางอาชีพทำการงานเลี้ยงชีพ สุขบ้างทุกข์บ้าง ไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต ในที่สุดชีวิตก็สลายตัวไป จงจำไว้ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป อย่ายึดถือในทรัพย์สินมากเกินไป จงจำไว้ว่าเราจะต้องตายถ้าเรายังไม่ดีพอ ตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เกิดแล้วเราก็มีทุกข์ เกิดเป็นคนมีทุกข์อย่างคน เกิดเป็นสัตว์มีทุกข์อย่างสัตว์ เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา เกิดเป็นพรหมสุขอย่างพรหม แต่สุดท้ายไม่นานผลที่สุดก็ละความสุขนั้นมาหาความทุกข์ สู้ไปพระนิพพานไม่ได้ นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม



    พิจารณาตน

    ๑. ถ้าบุคคลใดไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น ไม่ยากตนข่มท่าน ไม่มีความประมาท มีจริยาดี มีความสงบใคร่ครวญเฉพาะความประพฤติของตัว อย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึงสะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน แล้วบุคคลใดไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่น ทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ตามต้องการ จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่พระองค์ทรงสอน ถ้าบุคคลใดทำความดีดังนี้ตามลำดับมาครบถ้วนทรงตัว สามารถทำจิตให้ระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด อย่างนี้เข้าถึงกระพี้ความดีที่พระองค์สอน ถ้าบุคคลใดทำจุตูปปาตญาณให้เกิดขึ้นเห็นคนและสัตว์รู้ได้ทันทีว่าคนและสัตว์นี้ก่อนเกิดมาจากไหน คนตายแล้วไปอยู่ไหน อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงแก่นความดีที่พระองค์สอน แต่เป็นแก่นขั้นฌานโลกีย์ ต่อไปทบทวนความดีนี้ให้ทรงตัว ทำวิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาน ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าบารมีอย่างกลางจะตัดกิเลสได้หมดภายใน ๗ เดือนถ้าบารมีอย่างอ่อนจะตัดได้หมดภายใน ๗ ปี

    ๒. ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียว ใครจะว่าดีหรือชั่วไม่มีความสำคัญ เขาจะประมาณว่าเลว มันก็เลวไม่ได้ มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลาถ้าจิตของเราชั่วเขาจะสรรเสริญว่าดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงให้รักษากำลังใจเป็นสำคัญ ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้แล้วมันดีเอง ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา การที่เราดีเพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญ นั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว



    ศีล

    ๑. ท่านพร่องในศีลด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิ เพื่อฌานสมาบัติได้เลย เพราะเพียงศีลมีการรักษาแบบหยาบ ๆ ท่านยังรักษาไม่ได้ ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปีที่ไม่สำเร็จผลใด ๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ไม่ได้ ก็เพราะพร่องในศีลเป็นสำคัญ

    ๒. ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้จะเป็นข้อหนึ่งข้อใดก็ตามถ้าเราละเมิดนั่นก็หมายความว่าเราเปิดช่องของอบายภูมิหรือเปิดทางเดินไปสู่อบายภูมิ มีเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน การเจริญกรรมฐานของบรรดาพุทธบริษัทก็ไม่มีผล เพราะฉะนั้นญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่คิดว่าจะเจริญพระกรรมฐานให้มีผลวันนี้และตลอดไปในชีวิต จงตั้งจิตคิดว่านับแต่นี้เป็นต้นไปเราจะเป็นผู้ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอดชีวิต บางวันข้างหน้าอาจจะเผลอไปบ้างก็เป็นของธรรมดา ถ้าบังเอิญรู้ตัวว่าเผลอไปเราก็ยับยั้งมันเสีย และตั้งใจต่อไปเราจะไม่ทำผิดอีกและจงเข้าใจว่า ศีล ๕ ประการนี้ ถ้าจะขาดได้ก็ต้องอาศัยความตั้งใจทำ อย่างปาณาติบาตสัตว์เล็ก ๆ เราเดิน ๆไปเราไม่เห็นบังเอิญเหยียบตาย อันนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็ก ๆ มียุงเป็นต้นมาเกาะกินเลือดเรา ถ้าไม่คิดจะฆ่ามันแต่มันเกาะนานเกินไป เราจะเอามือลูบให้มันหนีไป บังเอิญมันหนีไม่ทัน ถูกมันตาย อันนี้เราไม่บาป ศีลไม่ขาดเพราะเราไม่มีเจตนาจะฆ่า



    พรหมวิหาร ๔

    ๑. ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน พยายามทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คิดว่าเราจะมีความรักในคนอื่นและสัตว์อื่นนอกจากตัวเรา เสมอด้วยตัวเรา เราจะมีความสงสารเกื้อกูลเขาให้เป็นสุขตามกำลังที่เราพึงจะทำได้ เราไม่มีอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น เห็นใครได้ดีก็พลอยยินดีตาม ถ้าสิ่งใดเป็นเหตุเกินวิสัยด้วยอำนาจกฎของกรรมหรือกฎของธรรมดาเกิดขึ้น เราจะไม่มีความหวั่นไหวในจิต นี่อารมณ์อย่างนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงไว้ดี ก็จัดว่าเป็นศูนย์รวมกำลังใจที่มีความสำคัญที่สุดอันจะพึงก้าวเข้าไปสู่ความดี

    ๒. ถ้าจิตของเราทรงอยู่ใน พรหมวิหาร ๔ แล้ว มีอะไรบ้างที่มันจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ ศีลบริสุทธิ์ ไม่ต้องระมัดระวังศีล ความเป็นผู้มีเหตุมีผลมีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลก็มีพร้อมบริบูรณ์ เพราะอะไรเพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทรงแนะนำให้จิตอยู่ในขอบเขตนี้ เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นต้น เราจึงมีศีลบริสุทธิ์ เราจึงรู้จักอายความชั่วเกรงกลัวความชั่ว จึงได้มีการประกอบความความดี คือจิตทรงพรหมวิหาร ๔ มีหิริและโอตตัปปะ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเยือกเย็นมีแต่ความเป็นสุข เราก็เป็นสุขบุคคลอื่นก็เป็นสุข เพราะกายไม่เสีย ทั้งนี้เพราะว่าใจไม่เสีย ถ้ากายเสีย ปากเสีย ก็แสดงว่าใจมันเสีย เสียมากจนล้นมาถึงกาย ถึงวาจา นี่เป็นอันว่าทรงคุณธรรมอย่างนี้ได้ ความเป็นพระโสดาบันย่อมปรากฎ



    สมาธิ

    ๑. เวลาปฏิบัติ เวลาเริ่มทำสมาธิ ตัดกังวลเสียก่อน สิ่งใดที่จะห่วงใยยกเลิกทิ้งไปประเดี๋ยวเดียวมันไม่ตายหรอก และก็ตัดสินใจว่าเราจะต้องปฏิบัติให้มีผลตามคำแนะนำของครูไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย ทุกคนเมื่อตัดกังวล ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกายได้แล้ว ก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลที่จริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ สมาธิหรือฌานจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะศีล ถ้าศีลบกพร่องฌานก็บกพร่องด้วย ถ้าศีลสมบูรณ์แบบ สมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ เรื่องนิวรณ์ ๕ ประการ อย่านึกถึงมันเลย นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ ให้ทุกคนคุมอารมณ์ให้ดีในพรหมวิหาร ๔ ให้จิตทรงตัวไว้ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คำว่าปกติต้องเหมือนศีล ศีลนี้ต้องบริสุทธิ์ทุกวันและพรหมวิหาร ๔ ต้องทรงตัว

    ๒. สำหรับอานาปานุสติกรรมฐาน ขอแนะนำให้ทุกท่านใช้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่จำไว้ให้ดีด้วยนะ ถ้าท่านให้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่ะก็อารมณ์จิตมันจะเลี้ยวเข้าไปหาความเลวไม่ได้ จะมีเวลาว่างเพื่อสร้างความเลวตรงไหน จะกินอยู่ก็ดี จะเดินอยู่ก็ดี จะนั่งอยู่ จะนอนอยู่ทำการงานอยู่ จะพูดจาปราศรัยก็ดี ให้เอาใจของทุกท่านกำหนดจับอานาปานุสติกรรมฐานไว้เป็นปกติจำได้ไหม และก็ลองคิดดูทีเถอะว่า ถ้าเราเอาจิตไปจับอานาปานุสสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ จิตมันไม่มีเวลาว่างจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก แล้วก็จิตดวงนี้มันจะเอาอารมณ์เลวมาจากไหน อกุศลกรรมใด ๆ ที่ไหนจะเข้ามาแทรกจิตได้
     
  8. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    มหาสติปัฏฐาน

    มหาสติปัฏฐานสูตร ที่ยากจริง ๆ ก็คือ อานาปานุสติกรรมฐานเท่านั้น ที่ต้องทำกันซ้ำหน่อยแล้วก็ทำถึงฌาน ที่เหลือทั้งหมดเป็นอารมณ์คิด ฉะนั้นก่อนจะใช้อารมณ์คิดทุกครั้ง ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ โปรดทำสมาธิจิตจนถึงฌานให้เต็มที่ก่อน ได้ระดับไหนทำให้ถึงระดับนั้น ทำแล้วปล่อยให้จิตสบายจึงค่อยใช้อารมณ์คิดปัญญาจะเกิด นี่เป็นหลักการในการปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าใช้อารมณ์คิดแล้ว จิตใจมันฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง ก็ทิ้งอารมณ์คิดนั้นเสีย กลับมาจับอานาปานุสสติใหม่ จนกระทั่งจิตสบายแล้วก็ใช้อารมณ์คิดต่อไป นี่เป็นหลักการที่ปฏิบัติ นักปฏิบัติที่ได้ผลจริง ๆ เขาทำกันแบบนี้ แม้แต่ในสมัยพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เขาปฏิบัติกันอย่างนี้ จึงได้ผลตามกำหนดที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาตรัสไว้





    บารมี ๑๐

    บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบบริบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่องคือ

    ๑. ทานบารมี มีกำลังใจพร้อมจะให้เสมอ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

    ๒. ศีลบารมี มีกำลังใจรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต

    ๓. เนกขัมมะบารมี เนกขัมมะแปลว่าการถือบวช พยายามระงับนิวรณ์ในเบื้องต้นตัดสังโยชน์เป็นเรื่องสุดท้าย

    ๔. ปัญญาบารมี พิจารณาว่าการเกิดเป็นต้นเหตุของทุกข์ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

    ๕. วิริยะบารมี มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง

    ๖. ขันติบารมี อดทนต่ออุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง

    ๗. สัจจะบารมี ทรงความจริงเป็นปกติ ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ

    ๘. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ว่ามนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เป็นทุกข์ ตั้งใจไว้เฉพาะว่า “ เราจะไปพระนิพพาน ”

    ๙. เมตตาบารมี ตั้งใจให้มั่นว่าจะเมตตา คำว่าศัตรูไม่มีสำหรับเรา

    ๑๐.อุเบกขาบารมี เฉยต่ออุปสรรค เช่น คำนินทา การเจ็บไข้ เฉยในเรื่องร่างกาย

    ถ้ากำลังใจของเราพร้อมทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย แต่ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบัน มันยังครบถ้วนไม่ได้ ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจในบารมี ๑๐ บริบูรณ์เพียงใด คำว่าพระโสดาบัน ท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะรู้สึกว่าง่ายเกินไป



    ทรงความดี

    ๑. การปฏิบัติเพื่อเอาดีจริง ๆ การเริ่มต้นของการปฏิบัตินอกจากศีลบริสุทธิ์แล้ว ก่อนที่จะภาวนา ให้ใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นจริงของร่างกายเสียก่อน คิดว่าการเกิดของเราแต่ละชาติเป็นทุกข์ เรื่องทุกข์นี่ให้มองดูกันเองนะ เพราะเห็นทุกข์กันอยู่ทุกวัน คนไม่เห็นทุกข์นั่นหมายถึงว่าตั้งหน้าตั้งตาลงนรก เพราะจิตมันไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริงเราต้องมองเห็นและพิจารณาว่า การเกิดนี่มันเป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ป่วยไข้ไม่สบายก็ทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ตายก็ทุกข์

    ๒. เวลานี้เราพบพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้า คือคำสอน องค์สมเด็จพระชินวรก็ไปนิพพาน พระอรหันต์ทั้งหลายไปนิพานนับไม่ถ้วนก็เคยปฏิบัติอย่างนี้ ฉะนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    เราจะไม่มีความอาลัยในชีวิตและร่างกายของเรา

    เราจะไม่สนใจร่างกายของบุคคลอื่น

    เราจะไม่สนใจในวัตถุธาตุใด ๆ

    เราจะทำจิตของเราให้ผ่องใส มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าบังเอิญมันจะตายในขณะที่เรานั่งนี่ก็เชิญ ร่างกายตายแต่ใจเราไปพระนิพพานตัดสินใจอย่างนี้ไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ภาวนา



    มโนมยิทธิ

    ๑. มโนมยิทธิ แปลว่ามีฤทธิ์ทางใจ คำว่าฤทธิ์ทางใจหมายความว่าใช้ใจ โดยเฉพาะอันดับต้นต้องฝึกให้ได้ทิพจักขุญาณก่อน คำว่าทิพจักขุญาณก็หมายความว่าใช้ความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ ไม่ใช่ลูกตาเป็นทิพย์ ถ้าฝึก “ ทิพย์จักขุญาณ ” ได้แล้ว ต่อไปจิตจะเคลื่อนไปสู่สวรรค์ก็ได้พรหมโลกก็ได้ไปแดนนิพพาน แดนเปรตแดนอะไรก็ได้ทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นมุมหนึ่งหรือจุดใดในโลกมนุษย์นี่ง่ายกว่า หรือว่าใครอยากจะไปเที่ยวดาวดาวต่าง ๆ ก็ไปได้ ไปดวงอาทิตย์เราก็ไปได้ไม่ตายเพราะใจเราไม่ตาย แต่ว่าวิธีปฏิบัติแบบนี้เวลาจะเคลื่อนใช้อารมณ์แนบแน่นสนิทไม่ได้ต้องมีอารมณ์เบา ๆ พอสมควร คือแค่อุปจารสมาธิให้เริ่มสัมผัสภาพได้ก่อน ไม่ได้เห็นด้วยลูกตา พอรับสัมผัสภาพได้ตอนนี้จิตเริ่มเป็นฌาน ตอนนี้ก็ยังเบาอยู่ แต่เคลื่อนจิตไปพระจุฬามณีได้ เมื่อเข้าไปถึงจุดนั้น มันจะมีทั้งฌานและญาณบอก ฌานอย่างเดียวมันก็ไปไม่ได้ถ้าไปแล้วมันไม่เห็น ต้องมีตัวญาณเป็นตัวรู้ ฉะนั้น การขั้นตอนแรก ขึ้นด้วยญาณก่อนเมื่อไปถึงที่นั่นชำระจิตดี จิตสะอาดมากขึ้นความสว่างไสวจะดีขึ้น แต่ไม่ใช่ลูกตาเห็น เป็นการเห็นจากจิต เป็นความรู้สึกจากจิต แต่เมื่อจิตสะอาดมากก็เห็นเหมือนตาเห็น

    ๒. ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้แล้ว จงอย่ายับยั้งความดีไว้แค่มโนมยิทธิ เพราะถ้าหากท่านทำความดีได้แค่นี้มันยังไม่พ้นการลงนรก การให้ฝึกมโนมยิทธิ เพื่อเป็นการยืนยันว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายมีจริง การระลึกชาติมีจริง ตายแล้วไม่สูญจริงสวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง นรก เปรต อสุรกายมีจริงเมื่อทำได้แล้วจงรวบรวมกำลังใจของท่าน ทำให้ตนเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ พระโสดาบัน จะได้ป้องกันอบายภูมิ ไม่ต้องตกนรกเป็นเปรต เป็นอสุรกายและสัตว์เดรัจฉานต่อไป เป็นการก้าวไปหาพระนิพพานเร็วขึ้น



    วิปัสสนาญาณ

    ๑. ร่างกายมันจะแก่ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายมันจะป่วยถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายมันจะตายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดามันเป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน เมื่อร่างกายมันพังเมื่อไร เราไปนิพพานเมื่อนั้น ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้หากว่าชาตินี้ ถ้าไม่สามารถไปนิพพานได้ ถ้าอารมณ์ใจท่านเป็นอย่างนี้แล้วดีไม่ดีไปพักอยู่แค่เทวดา หรือพรหมอยู่ไม่กี่วัน เพียงแค่พระศรีอาริย์ตรัสรู้ เห็นหน้าพวกท่านเข้า พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐานหรือ ปฏิกูลพรรพ ฉับพลันทันที เพราะองค์สมเด็จพระชินศรีรู้ทุนเดิมของเรา ถ้าฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระทศพลเพียงกัณฑ์เดียว เลวที่สุดได้พระโสดาบันนี่เรียกว่าเลวที่สุดนะ ถ้าฟังซ้ำอีกทีก็ได้อรหัตผลตัวอย่างก็เยอะที่ปรากฏมาในพุทธประวัติ

    ๒. ถ้าหากว่าเรารู้จริงเห็นจริง ด้วยอำนาจของปัญญาว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกแบบนี้ เราจะเอาจิตเข้าไปพัวพันร่างกายของบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์อะไร แม้แต่ร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเพียงแต่ว่าเป็นแดนสำหรับที่เราอาศัยเท่านั้น เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันในรูปกายจนเกินสมควรและก็รู้อยู่เสมอว่าร่างกายของเรานี้มันสกปรก ร่างกายของคนอื่นก็สกปรกมันสกปรกไม่สกปรกเปล่า ในที่สุดมันก็พังทลายเหมือนผีตายทั้งหลายนั้นแหละ ความจริงเราต้องการความสะอาด เราไม่ต้องการความสกปรกเมื่อจิตของเราเห็นว่าอัตภาพร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดีสกปรก ความรัก ความปรารถนา ความใคร่มันก็หมดไป เพราะว่าไม่มีใครต้องการความสกปรก







    พิจารณาความตาย

    ๑. เรื่องของความตายนี้ ทางพระท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้ว ก็ต้องตายเหมือนกันหมด จะตายด้วยโรคอะไรหรืออาการอย่างไรในที่สุดก็ตายเหมือนกัน พระท่านสอนไม่ให้เสียใจเพราะเหตุแห่งความตายมาถึง คนรับฟังมีเยอะ แต่รับปฏิบัติ คือตัดใจไม่ให้เศร้าโศกถึงคนตายนี่หายาก เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัย ในเมื่อมีคนที่เรารักตายนี้มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง คนที่จะทำได้แน่นอนไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะเห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา เหมือนเห็นใบไม้ที่แก่งอมร่วงลงมาจากต้นไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใด ๆ ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร ถ้าคนที่เกี่ยวข้อง เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ตาย ไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจเขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก ต้องแสดงออกถึงความโศกเศร้ารำพันนั่นแหละ เขาถึงจะนิยมว่าเป็นคนดีรักกันจริง เรื่องความเห็นของพระกับชาวบ้านไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

    ๒. คนเราเมื่อตายจากอัตภาพนี้แล้ว มันไม่ตายจริง คือไม่หมดความรู้สึกสุขทุกข์ยังมีสุขมีทุกข์มีความรู้สึกเหมือนเมื่อยังไม่ตาย แต่สิทธิต่าง ๆ ในเมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้แล้วก็มีบางอย่างที่วิญญาณไม่มีสิทธิจะครองนั่นก็คือ ทรัพย์สินที่พยายามสะสมไว้ตั้งแต่สมัยเมื่อยังทรงอัตภาพนี้ ส่วนอื่นนอกจากนี้ คือความสุขและความทุกข์ยังมีตามเดิม บางท่านเมื่อก่อนตาย ทำความดีไว้มาก เมื่อตายแล้วก็มีความสุข บางรายก่อนตายสร้างความเลวร้ายไว้มาก เมื่อตายแล้วก็ได้รับความทุกข์อันนี้เป็นกฎของความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้



    อริยสัจ

    ๑. เราเกิดมาเพื่อประสบกับความทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนจะไม่มีทุกข์เป็นไม่มีถ้าหากว่าเรายังยึดถือว่า ร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเราอารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกธรรมแปดประการ คือมีลาภดีใจ ลาภสลายตัวไปเสียใจ มียศดีใจ ยศสลายตัวไปเสียใจ มีความสุขในกามดีใจ ความสุขหมดไปร้อนใจ ได้รับคำนินทาเดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญมีสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า ทุกข์นี้เป็นกฎธรรมดาของโลก ทุกอย่างเราทำงานตามหน้าที่

    ๒. สำหรับการที่เราเจริญพระกรรมฐาน ก็ต้องใคร่ครวญอยู่เสมอว่าเราเจริญพระกรรมฐานเพื่อต้องการความรู้เป็นเครื่องพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บความตายเป็นทุกข์ ถ้าเรายังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้ เราก็มีแต่ความทุกข์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ การเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เราทำเพื่อสิ้นความเกิด เพราะเราไม่ต้องการความทุกข์ต่อไปจงพิจารณาหาทุกข์ให้พอในอริยสัจจ์



    พิจารณาขันธ์ ๕

    ๑. ให้พิจารณาว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา โดยให้พิจารณาเป็นปกติ เมื่อเห็นว่าขันธ์ ๕ ป่วยก็รักษา เพื่อให้ทรงอยู่ แต่เมื่อมันจะพังก็ไม่ตกใจ หรือมันเริ่มป่วยไข้ก็คิดว่าธรรมดามันต้องเป็นอย่างนี้เราจะรักษาเพื่อให้ทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่ได้ก็จะอาศัยเพื่องานกุศลต่อไป ถ้าเอาไว้ไม่ได้มันจะผุพัง ก็ไม่มีอะไรหนักใจ ความทุกข์ก็เกิดแก่ตัวเองหรือใครอะไรก็ตาม ไม่ผูกจิตติดใจอย่างนี้ จนกระทั่งบรรลุอรหัตผล

    ๒. จิตต้องยึดเป็นอารมณ์ว่า ถ้าตายคราวนี้เรามุ่งนิพพาน ต้องคอยชำระจิต ก็หมายความว่าอย่าให้ความโลภคลุมใจ อย่าให้กามฉันทะมันคลุมใจ ความโกรธและโมหะอย่าให้คลุมใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหันเข้ามาตัดจุดเดียว คือ ขันธ์ ๕ ของเรา ตัดให้ขาด ทุกอย่างมันจะเกาะไม่ได้
     
  9. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สังโยชน์ ๑๐

    ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรงนั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่ บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้อันนี้เป็นกำไรมาก

    ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง



    พระโสดาบัน

    ๑. ความเป็นพระโสดาบันต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดีเป็นของไม่ยากคือ

    ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง พระสงฆ์นี่เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี

    ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้รักษาโดยเด็ดขาด

    ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียวคือนิพพาน ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย ความดีนี้ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียวทำเพื่อผลของพระนิพพาน เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน

    ๒. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้คือปรารภความตายเป็นปรกติไม่ประมาทในชีวิตคิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตายเขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริงเป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน คิดว่าผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียวคือ พระนิพพาน เท่านี้เองความเป็นพระโสดาบัน



    พระสกิทาคามี

    ๑. พระสกิทาคามี อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์สามเหมือนกัน แต่ว่ามีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ เมื่อสามอย่างนี้มันบรรเทาความหลงก็เลยบรรเทาด้วย กำลังใจของพระสกิทาคามี มีข้อสังเกตดังนี้

    ประการที่หนึ่ง อารมณ์จะไม่มีความกำเริบในระหว่างเพศ จิตใจเยือกเย็นลงแต่ยังไม่หมด เบาลง

    ประการที่สอง เรื่องความโลภ ความอยากรวย ความดิ้นรนของความอยากรวยเบาลง ความรู้สึกว่าพอเริ่มมี แต่การทำความดีความขยันหมั่นเพียรยังปรากฎ แต่ว่าจิตไม่ดิ้นรนเกินไป

    สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามีนั่นก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่า ถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป



    พระอนาคามี

    ๑. ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าสู่พระอนาคามีมรรคได้มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังในด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศมีความสลดใจ คือถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระอนาคามีมรรค ถ้าหากว่าจิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้วก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้ ท่านถือว่าเริ่มเข้าอนาคามีมรรค เรียกว่าเดินทางเข้าหาพระอนาคามีต่อไป ถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือถ้าหมดความรู้สึกก็ถือว่าเป็น พระอนาคามีผล และต่อมาถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ ปฏิฆะ คืออารมณ์กระทบกระทั่งใจนิด ๆ หน่อย ๆ ความไม่พอใจการแสดงออกน่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดีต้องดุ ต้องด่า ต้องว่า ต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา เป็นการหวังดี แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือตัดตัวปฏิฆะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่าเต็มภาคภูมิของ พระอนาคามีผล

    รวมความว่าจากพระสกิทาคามีแล้วจะเป็นพระอนาคามีก็คือ

    • สังเกตว่าใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ

    • จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้สึก

    • ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาดอย่างนี้เป็น พระอนาคามีผล



    พระอรหันต์

    ๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือจิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌานและอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ ฉันทะความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มีราคะ จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกสวยไม่มี ไม่พอใจในสามโลก จิตพอใจจุดเดียวคือนิพพาน นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระอรหันต์ คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไล่ลงมาอีกทีนะจิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า ธรรมดาคนเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้วก็จิตคิดว่าถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้นใจสบาย

    ๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่

    ๓. อรหัตผลนี่เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะกับราคะ คือไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา เราไม่ถือว่ามันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเราและเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียวว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สินในโลกไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันพังเมื่อไรพอใจเมื่อนั้น ขึ้นชื่อว่าความเกิดมีขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเรา ความเป็นเทวดาหรือพรหมจะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือนิพพานนี่แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยากถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบากมันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล
     
  10. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เหลิง ​


    คำว่า “ พระ ” ในความหมายของพระพุทธเจ้านั้น คือ ต้องทรงความดีตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์เท่านั้นนะคะ พระสงฆ์ที่เราเห็นอยู่ทั่วไปในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ ๓ แสน กว่ารูปนั้นใช่ว่าทุกรูปจะเป็นพระทั้งหมดนะคะ ถึงแม้นพระสงฆ์รูปนั้นจะทรงศีลได้ครบทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ โดยไม่เคยละเมิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ถือว่าเป็น “ พระ ” ท่านเรียกว่า “ สมมุติสงฆ์ ” เท่านั้น โดยพระโสดาบันนั้นพระองค์ทรงตรัสเรียกว่า “ พระน้อย ”

    และหากแม้นเป็นฆราวาสก็ตาม หากสามารถทรงความดีในขั้น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี และพระอนาคามี ได้เมื่อใด พระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็น “ พระ ” ด้วยเหมือนกัน หากฆราวาสที่ตัดกิเลสได้ถึงพระอรหันต์เมื่อใด จะไม่สามารถทรงชีวิตอยู่ได้เลย ต้องตายทันทีภายในไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง เว้นแต่ท่านที่เป็นชายหากบวชทันก็ทรงชีวิตแบบพระอรหันต์ได้ แต่ท่านที่เป็นหญิงต้องตายสถานเดียว ถึงแม้จะบวชชีก็ไม่รอด เนื่องจากร่ากายของฆราวาสนั้นไม่สามารถรองรับความบริสุทธิ์ได้นั่นเอง

    ตั้งแต่เราได้เรียนรู้ว่าคุณสมบัติของพระโสดาบันนั้นเป็นอย่างไร ทันทีนับตั้งแต่ที่เราทราบจากหลวงพ่อฤาษี เราก็ตั้งใจและทรงได้เลยแทบจะทันที และความรู้สึกของเรา ณ ขณะนั้น มีความรู้สึกว่าเป็นของง่ายเหลือเกิน เราเองก็ทำได้แบบสบาย ๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย

    ทีนี้มันมีความรู้สึกแบบทิฐิขึ้นมา ไม่ใช่ถึงกับอวดตนหรืออะไร มันเพียงเกิดทิฐิขึ้นมาในใจเป็นบางครั้งว่า เรานั้นเป็นพระโสดาบัน ถึงแม้ในหลายครั้งเราก็มีความคิดว่า เราไม่ควรคิดแบบนั้น มันจะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างเราจะปฏิบัติตามปฏิปทาของพระโสดาบันแบบนี้แหละ

    ทีนี้ถึงกับแอบดูจริยาของพระสงฆ์ว่าพระองค์ไหนเป็นพระอริยะเจ้า และพระองค์ไหนไม่เป็นพระอริยะเจ้า เพียงแอบคิดในใจไม่ถึงกับป่าวประกาศให้ใครรู้หรอก เราก็เกิดทิฐิขึ้นมาในใจว่าพระองค์ไหนที่เราเคารพได้สนิทใจ และพระองค์ไหนที่เราไม่เคารพเลย ( ไม่เคารพแค่ในใจแต่ไม่แสดงออกซึ่งความไม่เคารพออกมา )

    ยิ่งปฏิบัตินานยิ่งรู้ว่า โธ่เอ๋ยพระโสดาบันนี่ง่ายจะตายฉันก็ทำได้ และทำได้ตั้งนานแล้วด้วย ส่วนพระสกิทาคามี นั้นก็ไม่เห็นจะยากตรงไหน เราก็ทำอยู่นี่



    จนกระทั่งวันหนึ่ง เราได้อ่านหนังสือของท่านหลวงตา ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านหนึ่งเข้า ใจความมีว่า

    หลวงตาท่านนี้ท่านได้เจอะพระดี พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคือเป็นพระอรหันต์นั่นเอง แล้วหลวงตาก็เกิดแรงบันดาลใจหมายมั่นจะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ขณะท่านกำลังนั่งอยู่บนรถตู้ หลวงตาคิดว่า พระอรหันต์ท่านก็คน หลวงตาก็คน ท่านเป็นสังฆรัตนะให้คนกราบไหว้ถวายชีวิต หลวงตาก็จะสู้ให้ถึงซึ่งความเป็นแก้วดวงเอกบ้าง คิดจบเท่านั้นแหละ


    หลวงตาท่านเล่าว่า ปรากฏว่ามีเสียงดังแว่วแต่ชัดเจนที่ริมหู เป็นเสียงผู้หญิง นุ่มนวลมีอำนาจ เสียงนั้นฟังได้ความว่า.......


    นี่ท่าน คิดอย่างท่านนี้ ถ้าประตูรถเปิดฉันจะถีบ.....ให้ตกรถ คิดจัญไรอย่างนี้ โยมโมทนาไม่ลง......”


    มีแต่เสียงไม่มีคนพูด หลวงตาท่านก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่มนุษย์ในโลก และต้องเป็นท่านผู้มีพระคุณองค์สำคัญ ก็เสียใจเอาผ้าปิดหน้า คิดถามท่านว่า


    “ พระยังไม่เข้าใจ ถ้าปฏิบัติแล้วมุ่งอรหันต์ แล้วด่าว่าเป็นคนจัญไร แล้วจะให้พระคิดอย่างไรจึงจะถูก...”

    หลวงตาท่านเล่าว่า เสียงนั้น นุ่มนวลเมตตา กระแสน้ำคำทำเอาหลวงตาถึงร้องไห้ใต้ผ้าคลุมหน้า

    “ ลูกลองตอบโยมมาซิ ว่าเวลาหลวงพ่อของลูกสวดบทอิติปิโสนั้น ท่านประนมมือสวดใช่ไหม “

    “ ใช่จ๊ะ “

    “ ลองแปลซิว่า สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ หมายถึงพระระดับไหน ”

    “ หมายถึงพระโสดาบันจ๊ะ ”

    “ ลูกเอ๋ย พ่อเธอแม้เป็นพระอรหันต์ ยามเมื่อสวดมนต์ทบทวนถึงคุณพระโสดาบันยังยกมือประนมแล้วก้มกราบ แล้วนี่ลูกเป็นพระระดับไหนถึงจะกล้าจะคิดเป็นพระอรหันต์ให้ครูบาอาจารย์ผู้บริสุทธ์ล้นพระคุณเหนือหัวของลูก ต้องก้มกราบนบนอบ ตอบมาซิ ”

    หลวงตาท่านบอกว่า เสียงตอบของหลวงตาก็คือความเสียใจ

    “ แล้วจะให้พระคิดอย่างไรจึงจะควร ”

    “ ลูกเอ๋ย จงเป็นผู้เข้าถึงพระเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งระลึกเคารพตลอดกาลตลอดสมัย เมื่อลูกทำความเพียร เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันก็อิ่มเอิบเบิกบาน ปรนนิบัติบูชาอารมณ์ธรรมนั้นไม่เบื่อหน่าย ก้มลงกราบไหว้ว่า โอหนอ สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ว่าอารมณ์ธรรมของพระสุปฏิปันโนขั้นพระโสดาบันยังเป็นสุขเบิกบานถึงเพียงนี้หนอ เราขอน้อมเกล้ากราบชื่นชมและปฏิญาณมั่นหมาย ขอปรนนิบัติอารมณ์นี้เป็นที่พึ่งของใจตลอดไป ปฏิบัติท่านไม่เบื่อไม่เลิกรา

    เมื่ออารมณ์ละเอียดลงไปอีก อารมณ์ใจจะก็เป็นอิสระจากความเศร้าหมองสูงส่งขึ้นมาอีกระดับที่สองคือ พระสกิทาคามี ประจักษ์ใจไม่สงสัยแล้ว ณ บัดนี้ว่ามีความสุขเสียจริงหนอ ก็ก้มกราบรำพึงว่า อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ว่าพระสาวกทั้งหลาย ของพระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติบัติตรงต่อมรรคผลไม่เฉไฉ หน่ายแหนง ก็เข้าถึงอารมณ์อันเป็นสุขเกษมเปรมใจอย่างนี้หนอ เราจะขอปฏิบัติบูชาด้วยความนอบน้อมตลอดไป .....กราบ.....

    ลูกเอ๋ยปฏิบัติต่อไป เหมือนลมหายใจหยุดไม่ได้แล้ว ใจมีกำลังเบิกบานผ่องแผ้วเข้าเขตพรหมจรรย์อันสะอาดจากกามคุณ ซึ่งสัตว์ทั้งหลายติดอยู่ ใจที่เข้าถึงธรรมระยะที่สามนี้จึงเป็นอิสระจากกามคุณเด็ดขาด ใจท่านก็สิ้นชาติพ้นจากความเป็นทาสของความเป็นมนุษย์ ใจที่สูงส่งผ่องพิสุทธิ์นั้นจึงนอบน้อมกราบปฏิญาณอุทานว่า ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เจ้าประคุณสาวกทั้งหลายเมื่อปฏิบัติเพื่อละออก สละออก จากกามออกพ้นได้ ใจท่านมีอารมณ์อย่างไรไม่สงสัยลังเลแล้วหนอ .....กราบ.....



    ต่อด้านล่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2015
  11. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    พระของแม่เอย เมื่อท่านได้พ้นมาสถิตอยู่ในอารมณ์พรหมจรรย์ เหมือนดวงตะวันยามเที่ยงถึงปานนั้นแล้ว มีหรือใจดวงแก้วจะลดระดับหมดกำลังถอยหลังลงมาสู่โลก มีแต่ผ่านพ้นสิ้นธุลี ขาดจากความเศร้าโศกร้อนรนทนทุกข์ ดิ่งดื่มเข้าไปในอารมณ์แห่งความสงบสุข ลับขอบฟ้าแห่งวัฏสังสารมีอารมณ์พระนิพพาน เป็นที่สถิตอมตะอาศัย อารมณ์ใจแนบสนิทบูชา

    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ท่านผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาตามขั้นตอนแห่งอริยมรรค ก็ย่อมเข้าถึงอริยผลตามที่ทรงประทานไว้จริงแท้อย่างนี้ เองหนอ ลูกไปแปลน้อมคิดไปตามบทอิติปิโสห้องที่สามสุดท้าย ก็จะได้ความหมายสรุปของประโยชน์สุขพ้นสามโลกว่า พระอริยธรรม พระอริยเจ้าทั้ง ๔ คู่ ๘ จำพวกของพระพุทธศาสนานี้หนอ ช่างควรแก่การนอบน้อมกราบไหว้บูชา เป็นเนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์อย่างนี้เองหนอ

    เราจักขอท่องบทพระคุณของท่านไว้ในใจ ปฏิบัติบูชาไว้ในใจ ยกท่านไว้เหนือเศียรเกล้า ตลอดตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานว่า

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคะลา

    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย

    อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ


    อย่างนี้แล้ว ลูกยังจะกล้าคิดว่าตัวจะเป็นพระอรหันต์ ให้ผู้มีบุญทั้งหลายกราบไหว้ หรือจะเพียงแต่น้อมใจดื่มกินอารมณ์ธรรมไปให้อิ่มเอม เคารพนบนอบไปจนกว่าร่างกายจะแตกสลาย แล้วผูกใจไว้กับพระนิพพานไม่คลาดเคลื่อนห่างหาย ”



    ขณะอ่านบทความของหลวงตาอยู่นั้น น้ำตานั้นรื้นรินไหลเป็นทางไม่หยุดเลยกระทั่งอ่านจบ เรานั้นรู้สึกว่า กระแทกโดนเข้าไปในกระดองอย่างแรง โอ้หนอตัวเรานั้นเลวถึงเพียงนี้ได้หนอ ช่างกล้าคิดไปได้ ว่าตัวเรานั้นเป็นพระอริยเจ้า ข้าพเจ้านั้นขอน้อมกราบวันทาขอขมาต่อพระรัตนตรัย อันคำสอนของท่านแม่นั้นมิใช่สอนแค่เพียงหลวงตา แต่ท่านสอนเผื่อมาถึงเราด้วย พระคุณอันใหญ่ยิ่งนี้หนาทั้งท่านแม่และท่านหลวงตา ลูกขอน้อมกราบบูชาคุณ หากเราไม่ได้อ่านบทความนี้ มีหวังคงได้เป็นแค่แมงป่องชูหางอวดใคร ๆ หาใช่พระอริยเจ้าไม่ โอ้กิเลสมารนั้นไซร้มันช่างยอกย้อนหลอกได้หลายซับหลายซ้อนจนเราเหลิง

    นับแต่บัดนั้นจนบัดนี้ข้าพเจ้ามิเคยกล้าอาจเอื้อมแม้เพียงเล็กน้อย ขอเพียงแค่ได้กราบบูชาผู้บริสุทธิ์ทั้ง ๔ ระดับ ด้วยความนบนอบและอิ่มเอมก็แสนจะสุขใจ น้อมเคารพนบนอบไปจนกว่าร่างกายจะแตกสลาย พร้อมผูกใจไว้กับพระนิพพานไม่คลาดเคลื่อนห่างหาย ดั่งคำแม่ท่านเมตตาสอน

    ยิ่งปฏิบัตินานเพียงใดยิ่งเห็นความชั่วของจิต จิตยิ่งละเอียดเพิ่มมากพียงใด ยิ่งเห็นในความประมาทเพิ่มขึ้นเพียงนั้น

    จนกระทั่งปัจจุบันนี้แม้ท่านจะเป็นเพียงสมมุติสงฆ์ แต่ท่านก็ทรงศีลของพระพุทธองค์ทรงบัญญัติได้ถึง ๒๒๗ ข้อ ทำไมเราถึงจะกราบท่านไม่สนิทใจได้เล่า

    และที่สำคัญแม้กระทั่งท่านที่ห่มเหลืองทำลายศีลของพระพุทธองค์จนราบคาบหมดสิ้นทุกข้อ แต่ว่าท่านยังทรงด้วยเครื่องแบบของพระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้สวมใส่ อันเป็นสัญญลักษณ์ของธงชัยพระอรหันต์แม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงด้วยจีวร แล้วทำไมเราจึงจะไม่กราบผ้าเหลืองของพระพุทธเจ้าเล่า

    จิตยิ่งเพิ่มความละเอียดมากขี้นเท่าใด มานะทิฐิก็ค่อย ๆ หายไปจากจิต แต่มันก็ยังคงยิ่งมองเห็นซึ่งความเลวของเราโผล่ขึ้นมาไม่รู้จักหมดสิ้นซักที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2015
  12. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    ที่พี่ทองเขียนมาเนี่ย ดูมันช่างไกลซะเหลือเกิน
     
  13. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,324
    ค่าพลัง:
    +4,774
    ผมก็เคยประพฤติอย่างนั้นมาครับ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น หลังจากเจอมนุษย์หลอกใช้บ่อยๆ ก็เลยเพลาๆ พฤติกรรมนี้ลง ก็แปลกดีนะครับ บางคนมาแสวงหาผลประโยชน์กับเราเกินงาม พอเราโต้กลับ เราก็เป็นฝ่ายผิด และได้ศัตรูมาเพิ่ม เหมือนสุภาษิตจีน กล่าวไว้ว่า จะหาความเป็นธรรมจากใคร ก็ดูให้ดี ก่อน ว่าเขาเป็นพวกใคร ก็โลกมันเป็นเสียอย่างนี้ครับ ซื่อตรงมากไปเขาก็ขาย โง่มากไปเขาก็ทำลาย ฉลาดมากไปเขาก็เก็บ แล้วเราจะเชื่อใจใครได้มาก ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2015
  14. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    พี่ก็เริ่มต้นเดินผิดทางเหมือนกับมนุษย์เราทุกคนนั้นแหละค่ะ แต่พอเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทแห่งองค์สมเด็จภควันต์ ทุกย่างก้าวนั้นแม้เดินยากลำบาก ก้าวเดินยากไปมากสักเพียงใด แต่ทุกย่างก้าวล้วนเข้าไปใกล้ความพิสุทธิ์ผ่องใสแห่งพระพุทธองค์

    และน้องลองตรองดูเถิดว่า ไม่ว่าเราก้าวเดินไปทางไหน มีก้าวไหนไม่ต้องใช้ฉันทะบ้าง

    บางคนใช้ฉันทะทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะเดินได้รอบโลก

    บางคนใช้ฉันทะทั้งชีวิตและต้องแลกด้วยชีวิตเพียงเพื่อจะขึ้นภูเขาเพียงลูกหนึ่ง

    บางคนใช้ฉันทะทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะร่ำรวยที่สุดในโลก

    บางคนใช้ฉันทะทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะเก่งที่สุดในโลก

    บางคนใช้ฉันทะทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะนำมาซึ่งความงามและความหล่อที่สุดในโลก

    และอีกหลายฉันทะที่หลาย ๆ คน ต้องแลกด้วยชีวิตเพียงเพื่อสิ่งที่ต้องการ

    แต่ฉันทะที่ประเสริฐสุดใน ๓ โลก คือ ฉันทะที่ได้เดินอยู่บนหนทาง
    อริยมรรค ....ซึ่งปลายทางก็มี อริยผล รออยู่ข้างหน้า

    ตัวพี่นั้นก็เริ่มแบบที่น้องอ่าน หาใช่วิเศษไปกว่าใครไม่ แต่พี่ก็เลือกใช้ฉันทะเพื่อเดินตามรอยเบื้องพระยุคคลบาท.....เพราะพระพุทธองค์ทรงรออ้าแขนรับอยู่ข้างหน้าที่ปลายทาง เห็นอย่างนี้แล้วน้องเจ้าจะท้อไปใย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2015
  15. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    ที่ไหน ที่มีมนุษย์รวมตัวกันมากกว่า 10 คนขึ้นไป แยมเรียกมันว่า เมืองมหัศจรรย์
    ที่แยมนั่งทำงานอยู่ มีมากกว่า 300 ร้อยคนที่เป็น office
    แต่แยมไม่มีเพื่อนเลยคะ แยมตั้งใจทำงาน จนคนที่ไม่ชอบแยมนินทาลับหลังประมาณว่า
    "คนอย่างมันจะมีใครคบ ใครอยากจะรู้จักมัน"
    จนเข้าใจว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร แยมคุยได้กับทุกคนแต่จะไม่สนิทกับใคร
    มีหมด นินทา ด่าลับหลัง ไม่เด่นก็ไม่มอง บางคนเห็นว่าเราไม่มีประโยชน์ด้วย
    ไม่แม้แต่จะปลายตามอง ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ใน office เดียวกัน แยมก็ยิ้มส่ง
    แต่นี่ก็น่าบึ้งใส่เราตลอด
    ยิ่งเพื่อนของคนที่ไม่ชอบเรา ก็ไม่ชอบเราด้วย ทั้ง ๆ ที่เรามีปัญหากันเรื่องงาน
    เห้อออ เหนื่อยนะคะ บางครั้งก็อยู่คนเดียวก็ดีกว่า ทำตามหน้าที่ไป
    เมื่อก่อนเรื่องคน ไม่เท่าไหร่ ไม่เอามาเป็นสาระ แต่เรื่องงานยอมไม่ได้ค่ะ
    โยนนวมให้ก็จะต่อยค่ะ โยนมีดมาก็ฟันแน่
    แต่ตอนนี้ ไม่ละค่ะ เราพูดความจริง พูดในสิ่งที่ถูกต้องที่ควรจะเป็น
    ไม่ทำไม่เชื่อก็เรื่องของเค้า ถ้าหัวหน้าเข้าข้างเค้า ก็แล้วบุญพาวาสนาส่ง
    กรรมใครกรรมมัน ไม่เอามิตรปลอมและไม่เอาศัตรูค่ะ..อยู่คนเดียวสบายใจ
     
  16. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ใช่ค่ะถูกต้องที่สุด แล้วเราจะเสียเวลารบกับคนอื่นเขาทำไม

    เอาเวลาทั้งหมดมารบที่ภายในตัวเรา ซึ่งเป็นการรบที่ยากที่สุด ดีกว่าเป็นไหน ๆ ค่ะ
     
  17. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    น้องยังไม่ท้อค่ะพี่ทอง แยมกำลังหัดคว่ำ คลาน ยืน เดิน วิ่ง ไปตามสเต็ป
    แต่ที่พี่ทองชมพูได้โพสมา แยมมองดูแล้ว มันเปรียบเหมือนทางไกล
    ตอนนี้แค่หัดคว่ำ อีกไกลหรือใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะคลาน
    ตอนนี้แยมมีแค่ศรัทราและความเชื่อ ความพยายามตั้งใจที่จะรู้ว่าอะไรคืออะไร
    อะไรไปยังไง อะไรทำยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างใช้เวลา และใช้พลังใจ
    แต่แยมโชคดีที่ ถึงไม่ได้ไปวัด รู้เองไม่ได้ แต่ก็ยังมีพี่ ๆ มาแนะนำ
    พี่ ๆ ผู้ผ่านมาก่อน..ทุกสิ่งที่พี่แนะนำในนี้ น้องยึดถือและปฏิบัติ
    ซึ่งนั่นหมายถึงการนำเอาคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์มาถ่ายทอด
    ในขณะที่แยมยังไม่มีจิตสัมผัส จะเรียนรู้ได้เองจากครูบาอาจารย์
    ....ซึ่งขอบพระคุณในความโชคดีนี้...
     
  18. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    จ๊ะ เวลาที่พี่นั่งนึกถึงทุก ๆ พระองค์แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ทุกพระองค์ช่างดี ช่างประเสริฐ ช่างมีพระคุณอันหาประมาณต่อเรามิได้ ถึงแม้ตัวเราจะช่วยผู้อื่นไม่ได้มากมายเหมือนกับทุกพระองค์ ทำได้แต่ให้กำลังใจและเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ที่มีสัมพันธ์ได้เคยร่วมบุญกันมาแต่กาลก่อน

    ไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก ก็ได้แต่เพียงแค่ยื่นมือไปข้างหลัง หากผู้ใดยังคงหาหนทางอยู่ก็จะได้จูงมือไปด้วยกัน แม้บางท่านอาจยังไปไม่ได้ ก็ได้แต่บอกหนทางให้กลับบ้าน.......ไปยังบ้านของเราที่ทั้งท่านพ่อท่านแม่ท่านปู่ท่านย่า ทั้งท่านที่มีคุณทุกพระองค์ ท่านนั้นล้วนตั้งหน้าตั้งตารอเราอยู่ข้างบน.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2015
  19. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    กลัวจนเครียดเมื่อรู้เห็นอนาคตของคนอื่น

    ขอย้อนไปเมื่อตอนที่เราเริ่มมีความรู้ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ นะคะ เพราะจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ฝึกทางวิชาพิเศษ หากท่านทำใจเป็นกลางและยอมรับกฎของกรรมไม่ได้ละก็ ขอบอกว่าเสี่ยงกับความเครียด และกดดันอย่างหนัก บางท่านส่งผลถึงขั้นควบคุมไม่ได้จนใกล้ ๆ คำว่าเสียสติกันเลยทีเดียว

    เมื่อตอนนั้นเรายังไม่เคยมีความรู้ในทางพุทธศาสนามาก่อน พูดง่าย ๆ มีเพียงในบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านเท่านั้นที่ระบุว่านับถือศาสนาพุทธ แต่ในความเป็นจริงเราหาได้เลือกศาสนาได้เองตั้งแต่เกิดไม่ บุพการีท่านเป็นคนเลือกให้ต่างหากล่ะ ฉะนั้นจึงไม่ได้รู้เรื่องราวของพระพุทธศาสนาใด ๆ เลย

    ทีนี้มันเครียดตรงที่ว่า จู่ ๆ ก็รู้ขึ้นมาเองว่ามีคนกำลังจะตายและมันก็เป็นจริง และเมื่อคนนั้นตายเราก็รู้ขึ้นมาว่าเขาไปที่ไหนและเป็นอะไร เมื่อรู้ขึ้นมาว่าคนข้างบ้านจะต้องรถคว่ำและเขาก็รถคว่ำจริง ๆ ด้วย และรู้ต่อมาอีกว่ารายต่อไปจะเป็นใครและใครมีเจ้ากรรมนายเวรกำลังจ้องอยู่และจะโดนอย่างไรอย่างนี้เป็นต้น

    เหตุอย่างนี้ถ้าหากเรามีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนามาก่อนก็จะรู้ว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดญาณรับรู้เมื่อฝึกสมาธิไปถึงในระดับหนึ่ง แต่ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลย ได้แต่กลัว ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ครั้นเราจะไปบอกไปเตือนเขาล่วงหน้าก็เห็นจะหนีไม่พ้นคำตราหน้าว่า “ บ้า ” หรือไม่ก็ “ เพี้ยน ” แล้วใครที่ไหนเขาจะเชื่อเราเล่า

    ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้กับตัวเองไม่กล้าบอกใครเลยแม้กระทั่งสามีเราเอง อันที่จริงเราก็พอมีสัมผัสตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจ คิดแต่เพียงว่าเรานั้นมีความฝันที่เป็นความจริงเท่านั้น ทีนี้เรื่องมันก็ไม่เกิดกับคนไกล ๆ นะซิ มันดันเกิดกับคนใกล้ ๆ ตัวเรานี้แหละ ความเครียดก็เลยเกิดขึ้นกับเราเสมอ ๆ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง กว่าจะทำใจเป็นกลางและยอมรับว่านั่นมันคือกฏธรรมดาได้ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน

    การทำใจยอมรับนั้นก็เริ่มจากตัวเราต้องเจริญมรณานุสติ และพิจารณาร่างกายของเราว่ามันไม่ใช่ของเรา ร่างกายของเขาก็ไม่ใช่ของเขา ทั้งเขาและเราล้วนต้องเจอความผิดหวัง ความพลัดพรากจากของรัก พลัดพรากจากร่างกายที่เราและเขาต่างหลงคิดว่ามันเป็นของตัวเอง จึงค่อย ๆ ปรับใจได้และเมื่อเรายอมรับกฎของกรรมโดยดุษฎีได้เมื่อใด เราก็จะเฉย ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราได้เป็นอัตโนมัตินั่นเองค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2015
  20. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    มารมาขวางไม่ให้ถวายอาหารพระพุทธรูป

    ย้อนไปช่วงที่พบคำสอนหลวงพ่อฤาษีใหม่ ๆ ซึ่งตอนนั้นเรากำลังปฏิบัติตามหลักสูตรปิดอบายเพราะกลัวตกนรก และหลวงพ่อท่านสอนอีกว่าการถวายอาหาร หรือดอกไม้พระพุทธรูปที่บ้านทุกวัน และทุกครั้งที่ถวายให้นึกถวายท่านที่ข้างบนพระนิพพาน อานิสงส์นั้น เป็นพุทธานุสติ เพราะเราได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุกวัน และจิตเราจะได้เกาะที่พระนิพพานทุกวันด้วย และท่านก็ได้ประทานความสิริมลคลมากับอาหารให้เรารับประทานด้วย

    เมื่อเราทราบดังนั้นเราจึงจัดหาอาหาร ผลไม้ ขนม เครื่องดื่ม และดอกไม้เพื่อถวายพระพุทธรูปที่บ้านเราทุกวัน และทุกครั้งที่เราถวาย เรานึกถวายท่านที่บนพระนิพพาน จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายเดือน จู่ ๆ คุณแม่ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีแล้วท่านมาบอกกับเราว่า ให้เราเลิกถวายอาหารแด่พระพุทธรูป เพราะถ้าลูกทำอย่างนี้ลูกจะไม่ได้พบกับแม่อีกเลย...??????

    ย้อนไปเมื่อตอนที่เราเริ่มทำบุญทุกวัน เมื่อตอนนั้นในวันหนึ่ง หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ และแล้วจู่ ๆ เราก็เห็นแม่ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว แต่งตัวเป็นนางฟ้าใส่ชุดไทยสีเหลือง มีรัศมีออกจากร่างกายประมาณ ๒ นิ้ว คุณแม่เป็นสาวอายุประมาณไม่เกิน ๑๘ ปี รำอ่อนช้อยสวยงามมาก รำอยู่หน้าขบวนแห่นาค เราเห็นดังนั้นก็ทราบในทันทีว่าที่แม่ขึ้นสวรรค์ได้นั้นก็เพราะบุญบวชลูกชายนั่นเอง แม่รักลูกชายซึ่งเป็นลูกชายคนโตมาก ก่อนที่แม่จะเสียจิตแม่จึงเกาะบุญบวชพระลูกชายทำให้แม่ไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    และครั้งต่อมา จู่ ๆ เราก็มีความรู้ขึ้นมาว่า มีบรรดาปู่ย่าตาทวด ตลอดจนคนที่รู้จักกันดีกับคุณแม่ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ท่านต่างพากันพูดกันไปทั่วที่บนสวรรค์ว่า บ้านนี้เจ้าของเขาเป็นใครนะ บ้านเขาสวยงามมากจนเป็นที่โจทย์ขานกันไปทั่ว และความรู้สึกของเราตอนนั้น ก็รู้ว่าเขาหมายถึงบ้านของเราเอง และท่านแม่ก็ได้มาบอกว่า “ บ้านของลูกสวยแล้วนะ สวยมาก แต่ว่ายังเล็กไปหน่อยนะ ” ตอนนั้นเราก็ได้แต่คิดว่า อ้าวใคร ๆ เขาก็ชมกันทั้งนั้นนี่ แต่ก็อย่างว่าแหละนะ แม่มักจะอยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอนั่นเอง ถึงได้มาเตือนให้ทำบุญวิหารทานเพิ่ม เนื่องจากตอนนั้นเราทำบุญเป็นอาหารถวายพระทุกวันก็จริง แต่วิหารทานยังไม่เคยได้ทำเท่าไหร่เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้จักบุญประเภทต่าง ๆ นั่นเอง

    และครั้งต่อมาอีกคุณแม่ก็มาบอกให้ทำบุญสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ นะลูก ลูกของแม่ทำได้ เดี๋ยวแม่จะบอกพวกเทวดานางฟ้าท่านช่วย ตอนนั้นเราก็ยังไม่เคยทำบุญสร้างพระพุทธรูปเลยเนื่องจากยังไม่รู้เรื่องบุญประเภทต่าง ๆ นั่นเอง

    ทีนี้เรามาเข้าเรื่องถวายอาหารพระพุทธรูปต่อนะคะ ซึ่งตอนนั้นเราก็มาคิดว่า เอ๊ะทำไมแม่ถึงมาห้ามเราหละ ก็หลวงพ่อท่านบอกทำแล้วดี แล้วทำไมแม่จึงมาห้ามไม่ให้เราทำ แต่เราก็ไม่เชื่อแม่นะคะ เรากลับคิดว่า ไม่เจอแม่ก็ไม่เป็นไร เราจะไปอยู่บนพระนิพพานกับหลวงพ่อ แม่จะอยู่ที่ดาวดึงส์ก็เรื่องของแม่ก็แล้วกัน

    พอกาลเวลาผ่านไป เมื่อเราเริ่มทราบเรื่องการทดสอบของมารเพื่อขัดขวางเราไม่ให้ทำความดี พอเรานึกย้อนไปเมื่อคราวนั้น เราถึงได้ร้อง อ้อ ที่แท้มารปลอมเป็นแม่เพื่อมาขัดขวางไม่ให้เราทำความดีนั่นเอง ดีนะที่เราเชื่อหลวงพ่อ ไม่ลังเลไปกับคำลวงของท่านเทวดามาร.........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...