ซูกระแท้ว....แซวกระทู้....

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 14 เมษายน 2014.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เมื่อเราไม่ฆ่าคนและสัตว์
    ไม่ทำร้ายเบียดเบียน กลั่นแกล้ง ทั้งคนและสัตว์
    ทั้งคนและสัตว์ก็อยากอยู่ใกล้ด้วย เพราะรู้สึกปลอดภัย
    ความกังวล ความทุกข์ร้อนใจ จากคนและสัตว์ที่เราไปทำร้าย เบียดเบียน ข่มเหง เอาไว้ก็ไม่มี..
    การดำเนินชีวิตของเราก็ปกติสุข ไม่ต้องกังวล ว่าใครจะมามุ่งร้าย มาคิดร้าย แก้แค้น เอาคืน...ใครเข้าใกล้ก็ไม่มีอาการหวาดระแวง...

    นี่คือคุณเบื้องต้นของศีล ข้อที่ 1 สีเลนะ สุขะติงยันติ...ศีล นำมาซึ่งความสุข...

    คนที่ไม่คิดทำร้าย เข่นฆ่า ทั้งคนและสัตว์ ไม่เบียดเบียน ข่มเหง ปองร้ายใคร
    คนประเภทนี้ ย่อมได้รับความไว้วางใจ เรื่องความปลอดภัยที่อยู่ใกล้ด้วย ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ อยากทำมาค้าขายร่วมด้วย...มีกิจการงานใดก็มักจะนึกถึงคนแบบนี้ก่อนเสมอๆ..ย่อมเป็นที่รักที่ไว้วางใจและชวนมาร่วมทำประโยชน์ด้วยกัน...

    นี่คือ สีเลนะ โภคสัมปทา ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์ เป็นคุณเบื้องต้นของศีลข้อที่ 1
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    คนที่ซื่อสัตย์ ไม่โกง ไม่ยักยอก เงินทอง ทรัพย์สิน ไม่เบียดเบียนเวลาส่วนกลางมาเป็นส่วนตัว คนแบบนี้ เจ้าของกิจการทั้งหลายอยากได้ไปทำงานด้วยครับ...
    และคนแบบนี้เอง ถ้าของหาย จะไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครจับผิดได้ เพราะคนแบบนี้ ไม่ขโมย ไม่โกงใคร...

    เมื่อจะจับกุม จะซักฟอก พิสูจน์การยักยอก ฉ้อโกง คนที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ จะรอดปลอดภัย...ไม่ต้องโทษเพราะการลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกงใดๆ...
    นี่คือ สีเลนะ สุขติงยันติ...การรักษาศีลข้อ 2 เป็นเหตุให้มีความสุข...

    แม้แต่มหาโจรผู้ร้ายกาจ ก็ยังต้องการบริวารที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง จะแปลกใจทำไมหากจะมีคนทั้งหลาย อยากร่วมงานด้วยกับคนที่ซื่อสัตย์สุจริต อยากหุ้นส่วนร่วมธุรกิจด้วย อยากได้ไปทำงานด้วย อยากมอบหมายกิจการให้ช่วยดูแล...มีสิ่งใดอยากได้ย่อมจัดหาให้เต็มกำลัง และพร้อมจะโปรโมทขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน เพราะความเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ฉ้อโกง ไม่เบียดเบียน...
    นี้คือ สีเลนะ โภคสัมปทา...ศีล ข้อ 2 นี้ นำมาซึ่งโภคทรัพย์ ได้ด้วยเหตุนี้ครับ...

    นี่คือศีล ที่พ้นจากความกลัว และความอายไปแล้วครับ...เป็นศีลที่ให้คุณ และเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นคุณของศีล...
    เป็นพื้นฐานด้านปัญญาทางโลก ในเรื่องคุณของศีล...อทินนาทานา เป็นศีลข้อที่2
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เมื่อวันก่อน เดินทางผ่านไปที่แห่งหนึ่ง มีพระภิกษุสูงวัยกำลังก้าวลงจากรถ ข้างหน้ามีพระผู้มีอายุ ประกาศเสียงดังว่า หลวงปู่อายุ 88 ปี งวดนี้ใครจะซื้อก็ฟังเอาไว้ 88 ...พูดซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ให้ชาวบ้านแถวนั้นได้ยิน..ส่วนหลวงปู่ก็เดินไปเงียบๆ...

    หวย คือ การเสี่ยงโชค เป็นการพนันชนิดหนึ่ง จึงจัดรวมเข้าเป็นอบายมุข..
    อบาย คือความฉิบหาย มุข คือประตู...
    อบายมุข คือ ประตู สู่ความฉิบหาย...

    สาธุชนทั้งหลายไม่ควรเกี่ยวข้องด้วย ยิ่งพระนักบวชแล้ว ยิ่งไม่สมควรส่งเสริมสนับสนุน...
    ถูก2ตัว 1000 บาท เอาไปทำอะไรได้บ้าง ..
    สู้เอาเวลา เอาทุนทรัพย์ ไปลงทุน ทำการค้า หากำไร สู้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง หากยังคิดไม่ออกว่าเอาไปลงทุนอะไร ก็เก็บหอมรอมริบเอาไว้ก่อน ยังจะดีเสียกว่า...

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,447
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ฟังแล้วเหมือนตอนพระเข้าห้องนํ้าเลย(การตูนพระพยอม) ฟังแล้วก็ต้องปล่อยวางใช่ไหมคะนี่
     
  5. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ท่านRamingอธิบาย สังขารอนัตตา สัญญาอนัตตา ได้ดีจริงๆ
    เห็นว่ามีผู้ที่เข้าใจผิดเรื่องนี้อย่างที่ท่านว่ามีมากจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้ศึกษามากแต่ยังปฏิบัติยังไม่ถึงสัจธรรม มักจะเข้าใจกันเองว่าพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ต้องมีกริยาเรียบร้อยสง่างามอย่างโน้นอย่างนี้ ยังไม่เข้าใจการยึดติด อนัตตา หรือธรรมชาติกริยาจิตของสังขาร และใจ

    ว่าแต่เรื่องศีลจบยังครับ
    คนที่รักษาศีล ก็แบบหนึ่ง...
    คนที่มีศีล ก็แบบหนึ่ง....
    คนที่เป็นศีล ก็แบบหนึ่ง
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    กำลังว่าจะลำดับศีลให้ครบ 5 ข้อก่อนครับ...แล้วจะให้เห็นถึงศีลของพระอริยะท่านทำอย่างไร จนกระทั่งไปถึงจุดที่ทั้งกายทั้งจิตท่านเป็นศีล คือไม่ต้องทรงศีลใดๆ เพราะกาย จิต ศีล จะเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน...ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านเหล่านี้ไม่มีกรรมอีกต่อไป คงเหลือเพียงกริยา...และไปจบที่สีลพตปรามาส มีอาการอย่างไร จึงจะจบเรื่องของศีลครับ...

    เล่าได้จนจบนี่ไม่ได้หมายความว่าผมทำได้นะครับ...เพียงแค่ว่าเกือบทำได้ครับ...ไปยันจนสุดแล้ว ติดเรื่องเดียวจริงๆ...ติดแค่ห่วงพวกพ้องทั้งหลาย...จึงได้แต่เห็นได้ รู้ได้ แต่เข้าถึงไม่ได้...:':)':)'(

    บั้นปลายจะไปซัดกันอีกรอบนึงครับ...ถึงเวลานั้นก็ต้องดูกันอีกทีว่า จะทนพวกคนเน่าๆ ห่มเหลืองเน่าๆ ได้ไหม? ถ้าไม่ไหวจะเคลียร์ก็ไม่รู้จะห่วงไปทำไม...อาจจะหนีก็เป็นได้ครับ...แต่เท่าที่ทราบมาคือ...หนีไม่ทันซะแล้วครับ...
    จะหนีได้หนีไม่ได้อย่างไรจะว่าไป ก็ไม่ได้สนใจมานานหลายปีแล้ว...ว่าจะไปฝึกให้มันสุดลิ่มทิ่มประตู...ทิ้งทวนทิ้งหอกกันอีกสักครั้ง 7ปี 7เดือน 7 วัน..ให้กระดูกมันแหลกไปทั้งตัวก็ยอม...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2015
  7. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ขอบพระคณงามๆเลยป๋าRaming เรื่องศีลค่อนข้างละเอียดซับซ้อน ศีลขณะอดีต
    ศีลขณะปัจจุบัน ศีลขณะภาวนา ศีลหลังบระลุธรรม เจตตาของศีล กริยาของกายใจ
    สัตว์ที่มีแต่วิญญาญไม่มีจิต สัตว์ที่มีดวงจิต เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยมีการพูดถึงอย่างละเอียด แต่ก็เห็นด้วยที่สอนให้คนส่วนใหญ่ดูที่องค์ศีล ให้ความสำคัญกับศีลห้าเป็นฐานเบื้องต้น
    ถึงแม้ผมเองจะเข้าใจอยู่บ้างแต่ก็ชอบที่ป๋าอธิบายธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งกว่า ตามวิถีธรรมของท่าน
    ปกติพยายามเฟ้นธรรมคำสอนที่เหมาะสมเพื่อสอนตัวเองและเผยแผ่ผู้ที่เหมาะกับที่จะรับธรรมนั้น การย่อขยายธรรมแนวป๋านี่โดนเลยครับ

    สำหรับป๋าramingก็ลงกายลงใจมามากแล้ว มรรควิถีก็รู้เห็นทุกสังโยชน์แล้ว
    ถึงชาติอันเหมาะสมค่อยรับผลนะดีแล้วครับ มีกำใจพอที่จะไปต่อเพื่อพวกเขาอยู่แล้ว
    อนาคตจะว่านานก็นาน จะว่าไม่นานก็ใช่ เพราะว่าป๋าไม่ได้รอ เวลามันก็เป็นไปของมัน
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,447
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    :'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2015
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,447
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    *****************
    ขออโหสิค่ะ สับสนเกี่ยวกับศีลข้อสองค่ะ
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    การเป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่ว่าผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี เป็นสิ่งที่ดีด้วยกันทั้งนั้น...
    ผู้หญิงทั้งหลายต่างก็ปรารถนาผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว...ยากดีมีจนยังพอทนได้...
    ส่วนผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว ไม่นอกใจไปหาหญิงอื่น...

    ผลก็คือมีเวลามากขึ้น เพราะไม่ต้องไปแบ่งเวลาให้หญิงอื่น...
    เงินก็เหลือมากขึ้น เพราะไม่ต้องแบ่งไปทุ่มเทให้กับหญิงอื่น...
    หน้าที่การงานไม่เสียหาย เพราะสมองไม่ต้องคอยครุ่นคิดหาทางสับหลีกรางรถไฟไม่ให้ชนกัน...
    ไม่ต้องคอยคิดคำโกหก เจ้านาย โกหกลูกน้อง โกหกคู่ครองตัวเอง..เป็นอันว่าโล่งใจจากภาระเหล่านี้...อีกทั้งไม่ต้องคอยจำว่าได้ไปโกหกกับใครไว้แล้วบ้าง...

    จะกลับบ้านดึกก็ไม่มีใครโทรตามจิก ด้วยระแวงว่าจะไปเที่ยวซุกซนที่ไหน?
    จะไปไหนมาไหนไม่ต้องคอยระแวดระวังว่าจะถูกจับได้ในเรื่องนอกใจใคร..
    เพื่อนฝูงเจ้านาย ลูกน้อง ต่างก็ไว้วางใจว่าไม่นอกลู่นอกทาง เหมือนพวกคลำไม่มีหางฟาดเรียบ...
    ใครจะใส่ร้ายป้ายสีว่ามีชู้อย่างไร ก็ไม่เป็นผล...

    นี่คือคุณของศีลข้อที่3 สีเลนะสุขติงยันติ...ศีลนำมาซึ่งความสุข...
    สีเลนะโภคสัมปทา...ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์ เพราะเป็นคนที่เชื่อถือได้ จึงได้รับความไว้วางใจ ทั้งงานในหน้าที่และงานส่วนตัว...

    ครั้นจะมากล่าวกันถึงเรื่องการมีเมียน้อย หรือภรรยาคนอื่นๆนอกเหนือไปจากที่มีอยู่แล้ว...
    บางคนต้องการมี บางคนไปโทษกรรมเก่า บางคนก็ไปโทษว่านี่คือเนื้อคู่ ถ้าไม่ได้มาสมสู่ด้วยแล้วจะไม่สามารถบรรลุธรรมบ้าๆบอๆ...พวกบ้าแบบนี้มีอยู่มาก ทั้งที่จริงๆแล้วคือพวกบ้าตัณหาราคะนี่เอง..ไม่ได้บ้าอย่างอื่นหรอก


    ผมเคยพิจารณาประเด็นนี้อยู่ว่า การมีภรรยาหลายคนนั้น สามารถทำได้ ในสังคมบางสังคมก็ยอมรับการมีภรรยาหลายคนด้วยกัน...แต่ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า...

    1. พ่อแม่ผู้ปกครองฝ่ายหญิงยินดีให้ลูกสาวตนเองมาเป็นภรรยาคนที่ 2 , 3 ,4
    2. ภรรยาคนแรก ยินดี(ไม่ใช่ยินยอม) ให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใช้สามีร่วมด้วยกันกับตน คล้ายๆกับเรื่องพระเพื่อน พระแพง
    แบบนี้ก็ไม่ผิด...หรือหากว่าเลิกลากันไปแล้วกับภรรยาคนแรก จะมีภรรยาใหม่แบบนี้ก็ไม่เป็นไร...
    แต่ถ้าหากมีไปแล้วต้องแอบๆซ่อนๆ เพราะเกรงภรรยาตัวจะรู้ แบบนี้ก็ผิดครับ ผิดทั้งโลก ผิดทั้งธรรม มีแล้วก็จะมีแต่ทุกข์ แต่ความวุ่นวาย หาความสงบสุขไม่เจอ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2015
  11. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ศีล4,5 แล้ว



    นิมนต์ กรถณาแสดงอานิสงค์อุโบสภศีลด้วยนะคะ

    ได้ยินมาว่าผู้รักษาอุโบสภศีล จะงามโง้นเง้ น่ะค่ะ

    อยากรู้ให้แจ้งใจ ค่า

    ขอบคุณค่า
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ไปได้ยินมาจากไหนอีกล่ะแม่คุณ....

    แล้วเคยได้ยินไหมว่า...

    "ความสวย ความงาม...เป็นความดี ชั้นเลว"

    ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนล่ะสิ...เพราะมีที่นี่ที่เดียว...
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    คุณขององค์ศีล ข้อที่ 4 คือการไม่กล่าว วาจาที่เป็นเท็จ...
    ความจริงแล้ว...ศีลข้อนี้ จะรวมไปถึง..

    การด่าทอ ด้วยวาจา หยาบคาย
    การพูดจากระแนะ กระแหน
    การดูถูก
    การให้ร้ายป้ายสี
    การพูด กระทบกระแทกแดกดัน
    การกล่าววาจา เพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระ...

    ..............................................

    สำหรับคนที่รักษาศีลข้อที่ 4 นี้ จะกลายเป็นคนมีเครดิตขึ้นมาทันที...
    พูดอะไรไปแล้วคนจะเชื่อ...
    บอกว่าไม่มีเมียน้อย เมียมากก็ไม่มี....เมียก็เชื่อ...ชีวิตครอบครัวก็มีความสุขครับ...
    บอกว่ารับปากจะช่วย...คนแบบนี้พูดไปแล้ว จะทำจนตัวตายก็ยอม ให้สิ่งที่ตนรับปากไว้สำเร็จจนได้...แบบนี้อยู่ที่ไหน เจ้านายก็รักครับ...

    มีวาจาเป็นภาษิต คือพูดอะไรไป มีประโยชน์ มีสาระ มีส่วนในการชี้นำถึงโอกาส และ เป็นวาจาที่ให้กำลังใจคน...

    คนที่พูดจาแบบนี้ มีประโยชน์แบบนี้...ถ้าเรามีเวลาสัก 10 นาที ต้องเดินผ่านคนๆหนึ่ง ที่พูดแต่เรื่องทุกข์ มีแต่เรื่องนินทาคนอื่นเขา ว่าร้าย ใส่ร้ายคน....
    กับอีกคนที่พูดจา ก็มีแต่ให้กำลังใจกัน มีข่าวสารดีๆก็นำมาเล่าสู่ให้ฟัง...ให้คำแนะนำดีๆ มีประโยชน์...เราย่อมเลือกที่จะเดินไปเจรจากับคนหลังนี่แหละครับ...นี่คือสีเลนสุขติงยันติ...ศีลนำมาซึ่งความสุข

    คนที่พูดจา เป็นวาจาสัจ...ไปที่ไหนคนก็จะให้ความเชื่อถือ...ซื้อของโดยไม่ต้องใช้เงิน เอาไปขายก่อน ได้เงินแล้วค่อยเอามาให้ก็ได้...เพราะเชื่อถือคำพูดของคนๆนี้...ว่าไม่กล่าววาจาเท็จ...นี่คือ สีเลนโภคสัมปทา....ศีล นำมาซึ่งโภคทรัพย์
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    คุณขององค์ศีล ข้อที่ 5 นี้คือ...การไม่ดื่มสุราและเมรัย...
    หมายเอาถึง แอลกอฮอล์ และสิ่งอันนำมาซึ่งความมึน .. เมา...

    ชายดีๆคนนึง...พอเหล้า หรือน้ำเปลี่ยนนิสัย เข้าปากเท่านั้น เขาก็ออกอาการของผีบ้าขึ้นมาทันที...
    อะไรที่ตอนดีๆไม่กล้าทำก็ทำ..อะไรที่ไม่กล้าพูด ก็พูด เพราะสำนึกผิดชอบ ชั่ว ดี หายไปแล้ว....
    ความจริงมันหายไปตั้งแต่ตอนเริ่มรินเหล้าแล้วครับ สำนึกที่ดีมันหายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...
    เคยได้ยินคำว่า เหล้า แพง ขวดแรก ใช่ไหมครับ...
    เพราะพอหมดขวดแรกแล้ว ทุกคนพร้อมใจกันควักจ่ายอย่างไม่ลังเล...ไม่ต้องสนใจว่าพรุ่งนี้จะมีกินไหม? ที่บ้านจะเป็นอย่างไร? ไม่ต้องคิดอะไรมันทั้งนั้น เพราะว่ามันเมาเสียแล้ว...

    ..............................
    คนไม่ดื่มเหล้ามันดียังไงครับ...
    1. ผู้คนให้เกียรติ ไม่ดูถูก
    2. ครอบครัวเป็นสุข ไม่มีพ่อ มีแม่ มีลูก ขี้เมา อาละวาด
    3. ไม่เสียสุขภาพ
    4. ไม่เสียเงินเสียทอง
    5. เป็นผู้มีความน่าเชื่อถือ สมควรได้รับมอบหมายงานการให้รับผิดชอบได้
    6. ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท

    เมื่อไม่ดื่มเหล้า ก็ไม่เมา ไม่ต้องทะเลาะกัน มีปากมีเสียงต่อกัน ไม่ต้องไปนั่งดื่มกันดึก ก็มีเวลากลับบ้านมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน...นี่คือสีเลนสุขติงยันติ...ศีลนำมาซึ่งความสุข...

    เมื่อไม่เป็นคนขี้เหล้าเมายา การงานก็ย่อมรับผิดชอบได้ดี ได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน หรือหุ้นส่วน...หน้าที่การงาน กิจการ ก็มีโอกาสเจริญก้าวหน้า มากกว่า พวกที่ขี้เหล้าเมายา...นี่คือ สีเลนโภคสัมปทา...ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์...
     
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    สำหรับคนที่รักษาศีล...คือบุคคลผู้หมั่นระลึกถึงศีล คุณขององค์ศีลไว้สม่ำเสมอ...
    เมื่อตระหนักในคุณขององค์ศีลแล้ว ย่อมมีใจยินดีในการรักษาศีลเอาไว้...นี้เป็นเบื้องต้น.

    ต่อมาจึงได้กลายเป็นผู้มีศีล...คือบุคคลผู้มีศีลอยู่ในกายในใจ เมื่อต้องตกอยู่ในเหตุการณ์คับขัน ให้ต้องละเมิดศีล ก็จะสามารถนำศีลที่มีนี้ มาใช้เป็นเครื่องสงบระงับได้..เป็นผู้อาศัยศีลที่ตนเองมีอยู่นั้น นำมาคุ้มครองป้องกันตนเอง ไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว...

    ผู้ที่มีศีลนี้ ยังคงต้องหมั่นระลึกถึงองค์ของศีลเอาไว้อยู่ ยังต้องนำเอาศีลนั้นมาใช้อยู่ ประสาของคนที่มีศีล...

    ผู้ที่เป็นศีล...คือ ผู้ที่พ้นไปแล้วจากการต้องระมัดระวังในองค์ของศีล ลักษณะนี้จะมีในพระอริยะบุคคลตั้งแต่ชั้นต้นเรื่อยไป...ด้วยกาย ใจ ท่านเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันกับศีล...เมื่อนั้นไม่มีความจำเป็นต้องไประลึกถึงองค์ของศีลก็ได้ เพราะท่านกับศีลเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว จะหยิบ จะจับอะไรก็เป็นศีลไปเสียทั้งหมด....

    การจะทำแบบนี้ได้ จิตต้องเข้าถึงศีลแล้ว...จิตที่เข้าถึงเจตนาคือการไม่ทำชั่ว...ไม่คิดชั่ว เมื่อนั้นแล้ว วาจาย่อมไม่สามารถจะชั่วได้ และการกระทำใดๆก็ไม่สามารถจะชั่วได้ ด้วยเพราะจิตใจท่านเหล่านี้พ้นไปเสียแล้วจากความชั่ว...นี่คืออาการของผู้ที่เป็นศีล...

    จนบางครั้งเราจะได้ยินว่า ท่านเหล่านี้ไม่มีกรรมแล้ว ... มีเพียงกริยา...เหตุที่มาก็เนื่องจาก จิตท่านไม่มีเจตนาในการทำชั่วอีกต่อไป....เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง ใจว่าง เมื่อว่างอยู่อย่างนั้นแล้ว จะทำกรรมโดยมีเจตนาเป็นตัวตั้ง ย่อมไม่มี...

    ศีลลักษณะนี้เอง จึงเรียกว่า สีเลนนิพพุติงยันติ...ศีล เป็นเหตุให้เข้าถึงพระนิพพานได้
     
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    สีลพตปรามาส มีอาการอย่างไร?
    (อ่านว่า สี ละ พะ ตะ ปรา มาส)


    พระท่านแปลคำนี้ว่า คือ การลูบๆคลำๆศีล...ฟังคำแปลแล้ว ผมก็ไม่เคยเข้าใจเหมือนกัน...หลวงพ่อเพียงสั่งว่าให้ฝึกไป ปฏิบัติไป วันหนึ่งจะรู้จะเข้าใจเอง...
    บุคคลที่จะเข้าถึงสีลพตปรามาสนั้น ต้องเป็นผู้เคารพแน่วแน่ในไตรสรณคมน์ เป็นอย่างดีแล้ว คือ เคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์....

    อย่างน้อยจะต้องเป็นผู้เห็นว่า ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง เราจะมีความตายเป็นแน่แท้...

    และมีความเห็นตรงว่า พระธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสรู้ดีแล้ว ชอบแล้ว สมควรแล้ว เป็นหนทางแห่งการสิ้นไปแห่งทุกข์...

    เมื่อนั้นแล้วจึงจะมาประสบพบเห็นเข้ากับสีลพตปรามาส กล่าวคือ จะเป็นผู้ถือเอา พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เท่านั้นเป็นสรณะ...จะไม่ถือเอา สิ่งอื่นใด นอกจากนี้ เป็นสรณะ ไม่ไหว้ช้างสามเศียร ไม่ไหว้ไม้ตะเคียน ไม่กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพื่อขอให้ช่วยเหลืออีก...เพราะเชื่อแล้ว เห็นแล้วตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสว่า สิ่งทั้งหลาย เกิดแต่กรรม...มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฯ ใครทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ตนจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น...เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว การจะไปกราบไหว้สิ่งต่างๆ ที่คนทั้งหลายถือเอาว่า ศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ ดลบันดาลเปลี่ยนแปลงชะตากรรมใดๆ ให้คนทั้งหลายยึดเอาถือเอา แบบนี้จะไม่มีในพุทธบริษัทฯได้เลย...

    การจะกล่าววาจา จาบจ้วง ในพระรัตนตรัย ก็ไม่มี
    การจะเอาพระธรรม มานั่งถกเถียงกัน เอาแพ้เอาชนะ ตามอำนาจของกิเลส ก็ไม่มี
    การจะแสดงธรรมใดๆ ก็จะพิจารณาโดยชอบแล้วว่า เป็นเวลาที่เหมาะสมแก่การแสดงธรรม...
    ได้พบบุคคลที่สมควรกล่าวธรรม ... และสถานที่นั้นเหมาะสมแล้วแก่การแสดงธรรม อันองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว...

    จะไม่เอาพระธรรม ของพระองค์ มาแสดงกล่าวพร่ำเพรื่อ ขาดสำเหนียกซึ่ง กาละ เทศะ
    นี่จึงเป็นลักษณาการของผู้สงบแล้วในสีลพตปรามาส เป็นผู้เห็นคุณเห็นโทษประจักษ์แก่ใจแล้ว เป็นผู้ยอมมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย
    มั่นคงแน่วแน่ตลอดชีวิต ... แม้ความตายจะปรากฎอยู่เบื้องหน้า ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนเช่นนี้ได้...

    เมื่อจิตใจของบุคคลได้เริ่มต้น รักษาศีล ด้วยความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป เป็นเบื้องต้น
    ในท่ามกลาง ได้มีปัญญาเห็นถึงคุณงามความดี และประโยชน์แห่งองค์ศีลแล้ว จึงประพฤติยึดมั่นเอาไว้
    ในบั้นปลาย ได้เกิดปัญญา ให้ไปเสียจากสิ่งชั่วในดวงใจ หมดเหตุแห่งเจตนาในการทำชั่ว ในดวงจิตแล้ว...
    ในที่สุด ก็จะถึงซึ่งความหมดจรด ไร้ฝุ่นผงธุลีใดๆ ไม่มีบาปใดๆ ทั้งต้นเหตุ กลางเหตุ และปลายเหตุ ปรากฎในดวงใจอีก...
    เห็นจิตในจิตของตนแล้วว่า พ้นเสียแล้วจาก สีลพตปรามาส อันเป็นศีลขั้นสุด...

    เมื่อนั้นอบายภูมิย่อมปิดไปเสียแล้ว จากบุคคลผู้นี้...สีเลนะนิพพุติงยันติ...ศีลเป็นเหตุให้เข้าถึงพระนิพพานได้ ด้วยเหตุนี้..
    และนี่คือ ความหมายทั้งหมดของคำว่า ลูบคลำศีล...

    สุดท้ายนี้ ก็ขอจบ องค์แห่งคุณของศีล ในสีลพตปรามาส เอาไว้แต่เพียงเท่านี้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2015
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอบคุณวิทยาทาน ป๋ามิงค์ครับ
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,447
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ********************
    เย้ๆๆ มาแล้ว ท่านหัวหน้าครอบครัวเรา พวกเราคิดถึงท่านมากนะคะ ห่วงด้วย ยังปล่อยวางไม่ได้ ยังแตะๆอยู่อย่างที่ท่านอ ระมิงค์บอกแหละ:cool::cool:
     
  19. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515

    ได้ยินไหนไม่รู้มา ค่ะ

    คงเหมือน ขี่ช้างจับตัํกแตนเนอะ แบบว่า ทำความดีเท่าช้าง แต่ อธิษฐานขอให้งาม เท่ากับ เพราะอยากได้ตั๊กแตน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ในยุคสมัยของพระศรีอาริยเมตตรัยนั้น ผู้คนจะมีอายุขัยโดยประมาณ 8 หมื่นปี ชายก็จะรูปหล่อ หญิงก็จะหน้าตาสวยงาม... พายุก็ควรจะไปเกิดในยุคสมัยนั้น...
    ผู้คนก็จะมีความสุข ต่างมีศีล มีธรรม การทำมาหากินก็เป็นไปด้วยสะดวก...
    มีโภคทรัพย์มาก..มีสมบัติมากด้วยกัน ผู้คนตัวจะสูงใหญ่สัก 40 ศอก เห็นจะได้...
    เมื่อถือกำเนิดมาอายุได้ 2 หมื่นปี ก็พากันปฏิบัติธรรม ล่วงไปอีก 2 หมื่นปี ผู้คนทั้งหลายจะบรรลุธรรมกันโดยมาก...
    ................................................

    เป็นธรรมดาอยู่เองของสรรพสัตว์ที่หนาแน่นด้วยกิเลส และตัณหา ความทะยานอยาก มีความต้องการเสพสุข เสวยสุข รักความสะดวก สบาย จะทำบุญบริจาคทรัพย์มากมาย เพื่อให้ได้ไปเกิดในสมัยแห่งพระศรีอริยเมตตรัย...โดยทอดทิ้งเสีย แห่งโอกาสในยุคสมัยแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระสมณโคดม อันประเสริฐ เลิศด้วยพระปัญญาบารมีอันยิ่ง...
    ..............................................
    "ทุกข์เท่านั้นที่เกิด....ทุกข์เท่านั้นที่ดับ...นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีสิ่งใดเกิด...นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องดับ"

    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทรงตรัสสอนเรื่องทุกข์ และหนทางดับทุกข์ หาได้มีพระองค์ใดตรัสสอนเรื่องสุข และการเสวยสุขเลย...การบรรลุธรรม ก็ด้วยเห็นทุกข์ เห็นเหตุที่เกิดทุกข์ เห็นความสิ้นไปแห่งทุกข์ เห็นหนทางที่จะทำให้สิ้นไปแห่งทุกข์...

    อายุ 100 ปี ก็ทุกข์ทั้ง 100 ปี ทุกข์ตั้งแต่การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายในที่สุด การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ ความโศกเศร้า พิลาบพิไลรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
    ทุกข์จากความหิว ความกระหาย การปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ความง่วงหงาวหาวนอน...

    อายุ 80,000 ปี ก็มีทุกข์ แบบนี้เช่นเดียวกัน...หากไม่ทุกข์ ย่อมไม่มีผู้ใดแสวงหาหนทางแห่งการดับทุกข์...ดังนั้น จะอายุขับเท่าใด...สัตว์ทั้งหลาย ย่อมหนีไม่พ้น ทุกข์ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่างๆเหล่านี้ไปได้เลย...ทุกข์ 100 ปี มันว่ายังไม่พอ...มันจะขอทุกข์ 8 หมื่นปี...ผมรู้สึกสงสารความโง่ของสัตว์เหล่านี้ยิ่งนัก...

    ในยุคสมัยแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระนามว่าสมณโคดมซึ่งทรงพระปรีชาฌาณด้านปัญญาเป็นเลิศ...ทรงตรัสสอนเวไนยสัตว์อันโง่เขลา ให้ได้รู้แจ้ง เห็นจริง จนบรรลุธรรมได้ ในชั่วอายุขัย 100 ปี ให้สำเร็จ อรหัตผล พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปี...นับเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง....

    แต่ก็ยังมีสรรพสัตว์ที่มีกิเลส ตัณหา อันท่วมล้น เกินจะแก้ไข นึกอยากจะมีอายุขัยเป็นอันมาก โดยไม่เห็นในกองทุกข์ กลับเห็นโลกนี้ว่าจะตระการตาดุจราชรถ...ให้ต้องใช้เวลาพากเพียรนับหมื่นปี หลายหมื่นปี เพื่อให้ได้บรรลุธรรม เฉกเช่นเดียวกับอริยะบุคคลในยุคสมัยนี้ ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 100 ปี...

    ...............................................................
    ผมจึงอยากจะขอฝาก ข้อคิดเห็นเหล่านี้ เอาไว้กับหมู่กัลยาณมิตรทั้งหลาย..
    ที่ปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนายังมีอยู่ พระธรรมยังมีอยู่ การบรรลุมรรคผล ยังสามารถทำได้อยู่ พระอริยสงฆ์ยังมีอยู่...เราทั้งหลาย...จะรออะไรกันอีก...จะปรารถนาอะไรในภายภาคหน้า อันหานิมิตหมายเครื่องกำหนดใดๆเป็นที่แน่นอนไม่ได้...และแม้ได้โอกาสในยุคสมัยแห่งพระศรีอริยเมตตรัยแล้วนั้น...ท่านทั้งหลาย จะยินดีอยู่กับกองทุกข์อันยาวนาน เพื่อการบรรลุธรรม อันเสมอกันนี้ จริงๆหรือ?

    ครูบาอาจารย์ท่านคงทราบเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว แต่บอกกล่าวอย่างไร ผู้คนที่มีตัณหาอันท่วมล้น ก็ยังไม่สนใจจะเร่งรัดปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน...ต่างยังเพ้อฝันยินดี ลุ่มหลงกับความทุกข์อันยาวนานในอนาคตกาลอันไกลโพ้น...

    ผมจึงหวังว่า ความเห็นของผมในครั้งนี้ จะได้แพร่กระจายไปยังคนทั้งหลาย เพื่อให้เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ .... ให้เร่งทำประโยชน์ในปัจจุบันชาติ ให้ยิ่งๆขึ้นไป จนสำเร็จแห่งการดับไม่มีเชื้อ ในยุคสมัยปัจจุบันนี้เถิด...
     

แชร์หน้านี้

Loading...