เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 8 สิงหาคม 2014.

  1. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2014
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    คุณย่าอย่าเครียดนานเลย ไม่ดีกับผิวอย่างยิ่ง สิ่งใดหนอทำให้คุณย่างอนแม่ของหลาน ...น่ารัก..?..เพราะความคาดหวังสิ่งใดแล้วไม่สมปรารถนากระมัง?..ก็ใครเล่าจะได้สมปรารถนาตลอดเวลาทุกอย่าง..ไม่มีเลย ไม่มีจริง..ๆ..ข้อนั้นเพราะเหตุไร?..เพราะไม่มีใครมีอำนาจในสิ่งทั้งปวงอย่างแท้จริง...

    คุณย่า น่าจะเป็นผู้มีความสุขที่สุดคนหนึ่งทีเดียว..เห็นได้จากโพสต์ที่ลงไว้ น่ะครับ..:cool:
     
  3. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    ขอบคุณคุณดีดีแมนที่แวะมาให้กำลังใจ และเข้าใจ..ยาย่านะจ๊ะ
    มันเป็นช่วงอารมณ์ขี้น้อยใจของคนกำลังใกล้ "แก่.." มังคะ
    เขาเป็นแค่ลูกสะใภ้ ทำให้เราไม่กล้า "วีน..แตก" ใส่เขา..
    ถ้าเป็นลูกชายกับสามี เราคงปึ้ง..ด่า..ระบายอารมณ์ไปบ้างแล้ว

    ตอนนี้..อารมณ์เด็ก ๆ เอาแต่ใจตัวเอง หาย ๆ ไปแล้วบ้างค่ะ
    แต่ก็ยังมีติดงอน ๆ เฮ้อ..ไม่รู้นิสัยเป็นเด็ก หรือ แก่นะคะ
    วันแม่ เด็ก ๆ พาไปหม่ำ ซูชิ แซลมอน และ สเต็กส์ซิสเล่อร์..
    ลูกสะใภ้..นางก็พยายามเอาใจแม่ย่า
    แต่มันก็ยังเหมือนมีกำแพง มากั้น ๆ อยู่บ้างนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 สิงหาคม 2014
  4. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 113333.jpg
      113333.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.7 KB
      เปิดดู:
      38
    • 113334.jpg
      113334.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.4 KB
      เปิดดู:
      33
    • 113335.jpg
      113335.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.6 KB
      เปิดดู:
      41
    • 113339.jpg
      113339.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.7 KB
      เปิดดู:
      219
    • 113340.jpg
      113340.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.4 KB
      เปิดดู:
      45
  5. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    ได้เห็นความมีบุญของครอบครัวคุณย่าแล้วก็ปลื้มใจแทนครับ ...

    เรื่องความงอนนั้นไม่ว่าเด็กหรือคนใกล้ชรา(เชื่อว่าคุณย่ายังไม่แก่แน่ๆ)..ก็เป็นกันได้ไม่เว้น...ทุกคน..
    ตราบเท่าที่ใครๆไม่ได้ในสิ่งอันตนคาดหวังแล้ว "เจ้าตัวงอน" นี้เขาจะออกมาเพ่นพ่านฟาดหัวฟาดหางไปตามฤทธิ์แห่งการคาดหวัง ถ้าคาดมาก เขาก็แผลงฤทธิ์มาก แรกๆ แผลงเงียนในใจ ต่อมา แผลงออก
    มาทางคำพูด....ถ้าขั้นหยาบที่สุดจะแผลงออกมาทางกาย มีการนอนดิ้นร้องลั่นแบบเด็กๆที่ถูกขัดใจ..หรือขว้างปาข้าวของตลอดจนประหารอีกฝ่ายด้วยก้อนดิน หมัดมือเท้าศอกเข่า หรือศาสตราเป็นต้นในคนที่โตรู้เดียงสาแล้ว...


    ..เข้าใจว่าคุณย่าสามารถกดขี่ข่มขับไสไล่ส่งเจ้างอนไปได้มากระดับหนึ่งแล้ว อันเป็นเรื่องน่ายินดีควรแก่การปราโมทย์( เพราะเมื่อเจ้างอนมา คราใด ความสงบสันติสุขย่อมปราศไป จากใจของเจ้าของนั่นเป็นอันดับแรก..)..ดังนั้น คุณย่าจึงสามารถฉวยโอกาสเยาะเย้ยเจ้างอน ด้วยการพาครอบครัวไปทานซูชิ....โดยพร้อมหน้าในโอกาสพิเศษ
    .. มีคนในโนโลกไม่มากนักที่จะมีโอกาสเช่นนี้จริงๆ..

    (..ลงรูปจนชัดเชียว จนรสมาปรากฏในชิวหาของคนดูได้ราวได้ลิ้มจริงๆ!--มโนนี้แล่นไวโดยแท้)

    คนเรานั้น ทุกคนเหมือนกันคือยังต้องแบกทุกข์กันอยู่ ที่ต่างคือระดับหรือดีกรีทุกข์ที่เข้มข้นไม่เท่ากันเท่านั้น..
    การไม่เบียดเบียนตนและคนอื่นจึงเป็นทางที่สวัสดีเสมอเพราะไม่ทำตนและใครๆให้มีทุกข์เพิ่มขึ้นอีก.....

    คุณย่าย่อมทราบชัดในหนทางนี้โดยแน่แท้ ทีเดียว...เพราะเป็นผู้ได้สดับมาดี...มุทิตาครับ..:cool::cool:

     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    หลานน่ารักมากเหลือเกินค่ะ
    ^_____^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2014
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    พี่ติงตามน้องชายมาค่ะ
    พอได้อ่านกระทู้...
    โอ้โฮ! กระทู้น่ารักมากค่ะ
    คุณยายโพสต์แต่เรื่องราวแห่งความสุข และนำเสนอแต่สิ่งที่งดงาม
    สุดยอดกระทู้เลยค่ะ :cool:
     
  8. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    [​IMG]

    [​IMG]


    อ่านข้อความคุณดีดีแมน แล้วยาย่าได้แต่นั่งอมยิ้ม
    ขอบคุณที่ช่วยทำให้จิตใจย่าดีขึ้นมาก
    จริง ๆ ยาย่าโพส ก็มิได้หวังอะไร
    นอกจาก..ระบายอารมณ์ที่อัดอั้น ที่โกธรเขา..เท่านั้น..


    ไม่มีเหตุผล ..อะไรเลย จริง ๆ เขาพูดด้วยความหวังดี
    แต่เราแปลเจตนาเขาเป็นอื่น..ด้วยความโกธรทำให้มองไม่เห็นความหวังดี
    รู้แต่ว่า ฉันรุ่นแม่เธอแล้วนะ ฉันต้องเอาชนะเธอให้ได้นะ อยากได้อะไรก็ต้องได้นะ ประมาณนั้นค่ะ


    เย็นวันเกิดเรื่องลูกสะใภ้ซื้อของมาฝาก - ทุเรียน เจ้าตัวร้าย หนูซื้อมาฝากแม่ เธอบอกอย่างนั้น แต่เขาพูดต่อ..แม่อย่ากินเยอะนะคะ แบ่ง ๆ กันกิน เด่ว เบาหวานแม่ขึ้น..

    เราปรี๊ดดดด..แตก.. ซื้อมากฝากแต่ไม่ให้เรากิน อะไรกันนี่..
    ความโกธร..ปรากฎขึ้นตามความที่เราอยาก-เราปรารถนา แต่ด้วยเพราะโรคความดันสูง..
    และตระกูลพ่อแม่เราก็เบาหวาน ทำให้เราไม่กล้ากินมากมาย ทั้งที่เป็นของที่ชอบมาก ๆ (ชอบกันทั้งตระกูล คุณเตี่ยอยู่ต่างจังหวัดเมื่อสมัย 40-50 ปีโน้น สั่งซื้อมาทีละ 10 เข่ง สมัยก่อนทุเรียนแพงมาก แต่คุณเตี่ยเราก็สั่งมาให้ลูก ๆ กินกันอย่างอิ่มหมีพีมัน จนน่าจะติดเป็นนิสัย..ทั้งบ้าน..)

    พอลูกชายกลับมาจากที่ทำงาน เราสั่งให้ลูกชายไปซื้อมาให้แม่อีก 1 ลูก (ลูกโตกว่าที่ลูกสะใภ้ซื้อ..) ลูกออกไปซื้อแบบงง ๆ ทั้ง ๆ ที่ฝนตกพรำ ๆ แจ้นบึ่งแคมรี่ออกไปซื้อมาให้แม่..แม่นั่งหม่ำไปครึ่งเม็ด..ก็จุกที่คอเพราะอารมณ์โกธร..กินต่อไม่ได้เลย

    วางทุเรียนทิ้ง..แล้วขึ้นบรรทม น้อยใจ โกธร ๆ....อาบน้ำ เสร็จก็ร้องเพลง ระบายอารมณ์..
    ล๊อคประตูห้องนอน ลูกชายเคาะประตูห้อง..เราตะโกนบอก อย่างเพิ่งมายุ่งกับแม่ แม่กำลังอารมณ์เสียอยู่..

    เช้าวันรุ่งขึ้น..ก็ยังไม่คลายโกธร..เลยคว้าฟีโน่..ออกชมวิวทิวทัศน์ ออกถนนบายพาส ไปชนบท ดูหมู่บ้านรอบนอก(ที่ไม่เคยไป..) อากาศไม่ร้อนมากนัก จริง ๆ ตั้งใจจะไปเดินออกกำลังที่สวนสุขภาพที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร แต่มัวแต่ดื่มด่ำธรรมชาติ จนสาย..แดดออกรำไร เลยหากาแฟ ผลไม้หม่ำ ก่อนกลับบ้าน..เพราะเริ่มคิดถึงหลานสาวตัวน้อย..เล่าแล้วอายจังนิ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2014
  9. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    [​IMG]

    ขอบคุณ คุณติงติง ที่แวะมากระทู้บ่น ๆ ๆ ของยาย่านะ
    คงจะรู้สึกขำ ๆ นิสัยความเป็นเด็กของยาย่ามังคะ
    น้องใจ..หมวยน้อยของย่า ตอนนี้..5 เดือน 20 วันพอดีเลยค่ะ
    เธอกำลังน่ารักมาก ๆ
    หลงไหลเธอ..คิดถึง ทุกลมหายใจ
    เธอเป็นขวัญใจหลานย่า..

    จำได้ว่า..รู้สึกโกธรแม่เธอ..
    แต่หลานน้อยเธอไม่รู้เรื่องด้วย..
    ในความทรงจำของเธอ..จำได้แต่ว่า เมื่อเจอหน้าย่า..
    ย่าต้องหยอกเอิน..ให้หนูยิ้มทุกครั้ง
    เธอเต้น ๆ รอให้หยอก .. ย่าใจดำทำหน้าเมินหนีหลาน
    แต่พอมองเห็นตัวเล็กจ้อย ๆ เต้น ๆ รอย่า..
    ความรู้สึกโกธรคลาย..มันไม่ใช่ความผิดของหนูน้อยสักนิด
    มันเป็นเรื่องอารมณ์ของผู้ใหญ่ หนูไม่เกี่ยว..
    ใจย่า..ระลึกได้..น้องใจหนูน้อย หนูไม่เกี่ยวอะไรเลย
    จะไปโกธรหลานน้อยทำไมกัน..
    เธอออกจะน่ารัก น่าสงสาร..ปานนั้น..

    ย่าหายโกธร .. หัวเราะกับหลานสาวน้อยอย่างร่าเริง
    ผีปีศาจ..ออกจากร่างย่าแล้วในทันใด..
    เพราะหมอตัวน้อย..นี่เอง..


    บ่าย ๆ แก่ ๆ ลูกชายกับลูกสะใภ้เลิกงานเร็วกว่าปกติ
    คงเพราะเป็นห่วง..หลานสาวน้อยอยู่กับพี่เลี้ยง
    กลัวย่าไม่กลับมาดูหลาน..

    ย่านั่งหม่ำ..ข้าวอยู่หลังบ้าน
    ลูกชายเปิดประตู
    ถามแม่ว่า วันนี้ ไปไหนมาครับ..
    แม่บอก ไปกินกาแฟ..ทำไมกลับเร็ว..
    ลูกสะใภ้ถามอีกแล้ว
    วันนี้ แม่อยากกินอะไรคะ..
    เราไม่ตอบ..ลูกชายเลยบอกว่า เดี๋ยวจะออกไปตลาดซื้อผัก หมู ปลา มาให้แม่บ้านทำนะครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    Health Mind เทคนิคดับโกรธ ช่วยใจสงบ

    1. พิจารณาให้เห็นโทษของความโกรธและเห็นคุณของขันติและเมตตาก่อน
    2. แผ่เมตตาให้ตนเองและผู้อื่น ขอให้ตนและสรรพสัตว์มีความสุข

    3. แผ่เมตตาไปยังผู้ที่ทำให้เราโกรธบ่อยๆ จนใจของเราอ่อนโยนลง
    4. นึกถึงความดีของผู้ที่ทำให้โกรธ โดยปกติคนๆ หนึ่งย่อมมีความดีอยู่บ้าง แม้ไม่มากก็น้อย พึ่งระลึกถึงส่วนดีของเขา แล้วบรรเทาความโกรธเสีย

    5. ถ้ายังไม่หายโกรธ พุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาถึงเรื่องของกรรม คือ สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของตนเอง ใครทำกรรมเช่นใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมเช่นนั้น แม้แต่เราเองเป็นผู้โกรธก็ต้องได้รับผลกรรมแห่งความโกรธนี้ด้วยเช่นกัน
    หยุดโกรธเสียเถิดค่ะ เพื่อความสุข สงบภายในจิตใจตนเอง ซึ่งเป็นอารมณ์ล้ำค่าที่จะช่วยคงสุขภาพให้ฟิตตลอดไป

    จากหนังสือ ธรรมบท ทางแห่งความดี เล่ม 3 โดย อาจารย์วศิน อินทสระ
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    หลานสาวตัวน้อยๆ น่ารักน่าชังดังเทพธิดาประจำบ้าน
    ติงขอหลงรักด้วยคนนะคะ
    ใครๆก็ว่าติงเป็นคนหลายใจ
    ก็ไปโพสต์ไว้ว่า
    หลงรักคนตั้ง ๙๔ คน ^_____^
    หากรวมกับหลานสาวคุณยาย่า ก็เป็น ๙๕ คนแล้วค่ะ

    บ่นมาอีกนะคะ
    ติงจะแอบเข้ามาอ่าน
    ชอบค่ะ
    คุณยาย่าเขียนได้สนุก น่าเอาไปรวมเล่มทำหนังสือนะคะ

     
  12. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    [​IMG]
    โรคจอประสาทตาเสื่อม คืออะไร
    จอประสาทตา (retina) เป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองดูสิ่งของ แสงที่กระทบสิ่งของจะสะท้อนผ่านเข้ามายังจอประสาทตา ซึ่งจอประสาทตาจะเปลี่ยนแสงให้อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าแล้วส่งผ่านเส้นประสาทตา (optic nerve) ไปยังสมอง ที่จอประสาทตานี้ จะมีบริเวณที่ไวที่สุดของจอประสาทตา เรียกชื่อว่า แมคูลา ลูเตีย (macula lutea) แมคูลานี้จะประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้านๆเซลล์ที่ช่วยการมองภาพที่คมชัดตรงส่วนกลางของภาพ หากมีการทำลายของแมคูลา การมองภาพก็จะขาดความคมชัด
    โรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-related macular degeneration (AMD)) เป็นโรคซึ่งเกิดที่บริเวณ แมคูลา ลูเตีย (macula lutea) โดยเฉพาะ ในโรคนี้จะมีการทำลายแมคูลาไปทีละน้อย โรคอาจจะลุกลามไปช้ามากในคนบางคน ก็จะใช้เวลานานมากกว่าที่จะสูญเสียการมองเห็น แต่สำหรับในบางคนการลุกลามของโรคเป็นไปอย่างรวดเร็วและอาจมีผลทำให้ตาบอดข้างเดียวหรือทั้งสองข้างได้ โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของตาบอดที่เกิดขึ้นในคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในประเทศทางแถบตะวันตก

    โรคจอประสาทตาเสื่อมมีกี่ชนิด
    โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งตามความรุนแรงออกได้เป็น 2 ประเภท

    โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (early (or dry) AMD) เป็นรูปแบบที่พบได้มากที่สุด ในขั้นเริ่มต้นหรือขั้นปานกลาง พบได้ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้ เกิดจากการสลายตัวของเซลล์ไวแสงที่บริเวณแมคูลา
    โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (late (or wet) AMD) พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยโรคนี้ เกิดจากการที่มีหลอดเลือดผิดปกติที่บริเวณหลังจอประสาทตา มีการเจริญของหลอดเลือดใต้แมคูลา หลอดเลือดใหม่ๆเหล่านี้อาจจะมีความเปราะบางและเกิดการรั่วของเลือดและของเหลวได้ทำให้แมคูลาบวมและเกิดการทำลายอย่างรวดเร็ว การทำลายนี้อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นที่จอประสาทตาได้ ในช่วงเริ่มต้นของโรคจอประสาทตาแบบเปียกนี้ อาจทำให้มองเห็นเส้นตรงปรากฏลักษณะคล้ายคลื่น ผู้ป่วยอาจจะมี “จุดบอด” ซึ่งเป็นผลมาจากการที่มีการสูญเสียการมองเห็นภาพในบริเวณตรงกลางของภาพ

    ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม มีอะไรบ้าง
    มีปัจจัยหลายอย่างที่มีส่วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม เช่น อายุ การสูบบุหรี่ ม่านตาสีอ่อน (light iris coloration) แสงแดด การกินอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ และกรรมพันธุ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าโรคจอประสาทตาเสื่อมจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

    ร่างกายมีกลไกที่จะสามารถป้องกันจอประสาทตาได้หรือไม่
    ก่อนอื่นลองมาดูว่าแสงที่ผ่านตาเข้ามาแล้วจะไปที่ใดบ้าง เมื่อแสงผ่านเข้าสู่ตา แสงจะผ่านกระจกตา (cornea) และ แก้วตา (lens) ทั้งนี้ กระจกตาจะสามารถกรองแสงอัลตร้าไวโอเล็ต (UV) บางส่วนไว้ได้ แสงส่วนใหญ่จะถูกส่งผ่านไปยัง จอประสาทตา (retina) พบว่าในบรรดาคลื่นแสงที่เรามองเห็นได้นี้ คลื่นแสงสีฟ้าซึ่งมีพลังงานสูงจะมีผลเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (free radical) ในเซลล์ของจอประสาทตาได้สูงเป็น 100 เท่าของคลื่นแสงสีแดงซึ่งมีพลังงานต่ำ สำหรับที่จอประสาทตานี้ จะมีจุดโฟกัสที่เรียกว่า แมคูลา ลูเตีย (macula lutea) มีสารสี (macular pigment) ที่เป็นสีเหลืองซึ่งประกอบไปด้วย ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) เชื่อว่าสารประกอบทั้งสองนี้ทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชันเพื่อป้องกันเซลล์รับแสง (photoreceptor cells) จากอันตรายจากอนุมูลอิสระที่เซลล์สร้างขึ้นเนื่องมาจากมีปริมาณออกซิเจนสูง (oxygen tension) และจากการถูกแสง นอกจากนี้ยังเชื่อว่าสารประกอบทั้งสองนี้มีหน้าที่ในการกรองแสงสีฟ้าที่เป็นคลื่นแสงที่มีพลังงานสูง โดยประมาณว่าจะสามารถกรองแสงสีฟ้าลงได้ถึง 40 % ก่อนที่แสงจะตกถึงแมคูลา ดังนั้นจะสามารถลดสภาวะความเครียดออกซิเดชันต่อจอประสาทตาได้อย่างมีนัยสำคัญ

    กินอะไร ชะลอโรคจอประสาทตาเสื่อม
    ลูทีน และ ซีแซนทีน เป็นสารประกอบที่จัดอยู่ในกลุ่มของแคโรทีนอยด์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตะมิน เอ ได้ (non-provitamin A carotenoids) โดยทั่วไป หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นกลุ่มแซนโทฟิลล์ (Xanthophyll) ร่ายกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างสารประกอบทั้งสองนี้ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ลูเทอินและซีอาแซนทินเป็นแคโรทีนอยด์ 2 ตัวเท่านั้นที่พบอยู่ที่แมคูลา (macula) และที่เลนส์ของตา
    จากรายงานการศึกษาทางระบาดวิทยา ซึ่งเป็นการศึกษาในประชากรกลุ่มใหญ่ 12 ฉบับ แม้ว่าผลการศึกษาจะไม่สม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่พบว่ากลุ่มคนที่รับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้ที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูงสุด หรือกลุ่มคนที่มีระดับลูทีนและซีแซนทีนในเลือดสูงสุด (เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ต่ำสุด) จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมน้อยกว่ามาก นอกจากนี้การศึกษาทางคลินิก (การศึกษาในคน) 7 ฉบับ พบว่าการได้รับลูทีนและซีแซนทีน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีผลทำให้ระดับของลูทีนในเลือดและในแมคูลาสูงขึ้น และทำให้การวัดการมองเห็นต่างๆดีขึ้น มีแนวโน้มในการป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
    เนื่องจาก ลูทีนและซีแซนทีนเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ จึงสามารถพบได้ใน ผลไม้และผักต่างๆ แหล่งอาหารที่ให้ลูทีนที่ดีที่สุด คือ ผักใบเขียว ตัวอย่างเช่น ผักคะน้าจะมีลูทีนในปริมาณ 4.8 – 13.4 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักผักสด 100 กรัม และผักโขม จะมีลูทีน 6.5 – 13.0 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักผักสด 100 กรัม นอกจากนั้นก็พบได้ในปริมาณไม่สูงในไข่แดง แม้พบอยู่ในไข่แดงในปริมาณน้อย แต่ลูทีนในไข่แดงก็เป็นชนิดที่สามารถถูกนำไปใช้ได้ดี (highly available) ผู้ที่เคยระมัดระวังหลีกเลี่ยงการรับประทานไข่แดงก็อาจจะต้องคิดดูใหม่ สำหรับปริมาณของลูทีนที่ควรได้รับต่อวัน (Dietary Recommended Intake (DRI)) ยังไม่มีการกำหนด แต่ขนาดที่มีการศึกษา คือ ลูทีน 2.5 – 30 มิลลิกรัม ต่อวัน และ ซีแซนทีน 0.4 – 2 มิลลิกรัม ต่อวัน สำหรับปริมาณของลูทีนที่ใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับการมองเห็นต่างๆในผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อม ตัวอย่างเช่น ผักโขม 150 กรัม (มีลูทีนประมาณ 14 มิลลิกรัม) หรือในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 4-7 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน 1 ปี, ลูทีนในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในขนาด 10 มิลลิกรัมต่อวันร่วมกับสารต้านออกซิเดชัน, ลูทีนในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในขนาด 10 มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับ ซีแซนทีนในขนาด 1 มิลลิกรัม เป็นต้น
    โดยสรุป แม้จะยังไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจนถึงกลไกหรือวิถีทางทุกทางของลูทีนและซีแซนทีน ในส่วนของการป้องกันหรือลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม นอกเหนือจากการกรองแสงสีฟ้าและการต้านออกซิเดชัน และการศึกษายังเป็นในกลุ่มคนจำนวนไม่มาก และผลการศึกษาไม่สม่ำเสมอทั้งหมด แต่การรับประทานลูทีนและซีแซนทีนในรูปของผักและอาหารอื่นๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่อันตรายแต่อย่างใด ตารางข้างล่างนี้แสดงถึงปริมาณลูทีนที่พบได้ในผักใบเขียวและอาหารอื่นๆ จากตาราง จะเห็นได้ว่าผักส่วนใหญ่เป็นชนิดที่คุ้นเคยกันในบ้านเรา ผัก 2 ชนิดที่น่าจะมีประโยชน์มากคือ ผักคะน้า และ ผักโขม เนื่องจากมีปริมาณลูทีนสูงที่สุด อาจนำมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจัดเป็นเมนูอาหารต่างๆ เช่น เมี่ยงคะน้า ผัดผักคะน้า ผัดผักโขม น้ำปั่นผักคะน้า/ผักโขม เป็นต้น น่าจะเป็นผลดีกับสุขภาพของตา
    [​IMG]
     
  13. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=a1TiLWz_dlA]ใจต้องการอะไร - พระไพศาล วิสาโล - YouTube[/ame]​
     
  14. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    ..แฮ่ะ..แฮ่ะ..คุณย่าอ่านข้อความนี้อีกรอบนะครัช.. แล้วจะเห็นความรู้บางอย่างที่นำมาใช้เป็นอารมณ์วิปัสสนาได้..จริงๆ..:cool:

    เอ ..ถ้านาง(สะใภ้)ไม่พูดอะไรๆเลย หรือบอกว่า "คุณแม่ทานให้หมดเร็วๆนะคะ หนูจะได้ซื้อมาให้อีก" อิอิ..คุณย่าจะรู้สึกดีมากหรือปรี๊ดกระฉูดอีกหนอ..

    คุณย่าย่อมทราบดีว่า การอยู่ด้วยใจขุ่นมัวเป็นทางมาของความดันสูงและหัวใจวายได้ ทั้งโรคอื่นๆที่เข้าคิวเรียงรอคอยอยู่มากมายจะได้ช่องสบโอกาสที่จะย้ายถิ่นมาตั้งฐานในกายเราได้โดยง่าย..ยิ่งอายุน้อยลงความต้านทานย่อมลดลงตามลำดับ..(โรคเกิดจากสมุฎฐาน4คือกรรม จิต อาหารและอุณหภูมิ)..

    ความโกรธเป็นอารมณ์ที่ประทุษร้ายอารมณ์..เสมอ..คุณย่าถึงกับทำให้ลูกอันตนรักยิ่งดวงใจต้องลำบากออกไปหาซื้อทุเรียนมาอีกเพียงเพื่อประชด แต่คุณย่าพอจะคาดได้หรือไม่ว่า ในการออกไปข้างนอกบ้านนั้น..
    ลูกต้องผจญภัยร้ายประการใดบ้าง...หรือเขาไปแล้วจะได้กลับมาเห็นกันอีกหรือไม่?..

    เรื่องเช่นนี้ มีมาแล้วให้รู้..ให้เห็นกันทุกหย่อมหญ้า ..ดังนั้น ควรเอ็นดูลูกที่เขารักแม่มากดุจดวงใจเช่นกัน เขาเองอาจนอนไม่หลับที่เห็นคุณแม่ไม่แจ่มใส แล้วหากเป็นเช่นนี้นานไป ใครจะรับประกันว่าเขาแม้อายุน้อย จะไม่มีโรคไรๆ...เช่นโรคจิต หรืออื่นๆมีไมเกรน กระเพาะ ฯลฯมาเยือน?..

    คุณย่ามีบุญได้ลูกดีมากเช่นนี้ ไม่ใช่ง่ายเลยในคนทั้งหลาย..ควรแต่จะเอ็นดูเขาให้มาก..

    กราบขออภัยหากทำให้คุณย่ารำคาญด้วยถ้อยคำที่ไม่ถูกใจ ..ที่จริงแล้วผู้เขียนประสงค์ให้คุณย่ามีสุขภาพดีเยี่ยมทั้งทางกายและใจเป็นไปโดยแท้ เท่านั้นครับ..


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2014
  15. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    ขอบคุณในคำแนะนำของคุณ ดีดีแมนคะ
    ตอนนี้..เหตุการณ์ครอบครัวเข้าสู่ภาวะปกติแล้วค่ะ


    รัก เมตตา ให้อภัย จะทำให้ครอบครัวสงบสุข...

    จิตมนุษย์เป็นสิ่งที่แปลก คิดดี ดี คิดแย่ แย่..
    แล้วแต่จิตจะปรุงแต่ง ในทางกุศล อกุศล..
    ที่สำคัญมนุษย์ไม่รู้จักความเพียงพอ..
    ชอบหาทุกข์มาใส่ตัว มีแต่เรื่องไร้สาระ..

    ตอนนี้ ยา ย่า ก็มาบั้นปลายชีวิตต้น ๆ แล้ว
    ก็พยายามฝึกจิต ฝึกใจ ให้มีเมตตา มาก ๆ
    มีความสุขอยู่กับหลานน้อย น่ารัก..
    รัก ไม่ หลงค่ะ..

     
  16. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    โดยปกติมนุษย์เราเป็นโรคจิตทุกคน อยู่แล้วตามธรรมชาติ
    มีหลายอย่างที่เราแอบเก็บไว้ในใจลึกๆ ไม่ยอมให้คนอื่นรู้
    บางเรื่องเป็นเรื่องที่บอกใครไม่ได้
    จึงต้องแอบเก็บไว้ลึกๆในใจ
    บางทีกลายเป็นปมในใจ โดยไม่รู้ตัว
     
  17. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    บทที่ 1
    "มิ้งสัญญากับแม่นะ.."
    "ว่าจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง เสียใจ"
    :cool:เสียงแม่ก้อง ในหูมิ้ง..
    "ครับแม่.."
    รับคำแม่ไปอย่างนั้น ทั้งๆที่ในใจบอกตนเองว่าจะสามารถทำตามที่แม่ขอได้..
    คงไม่มีใครหรอกอยากให้มันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น..
    แม้ปัจจุบันมันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไปแล้วก็ตาม..
    ({)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กุมภาพันธ์ 2015
  18. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
  19. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    ทุกๆ วันนี้ ภาพลักษณ์ภายนอก คือทุกสิ่ง…และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จริงๆ

    คนเราสมัยนี้ สนใจสังคม รอบข้าง คนอื่นๆ มากเกินไป สนใจว่าต้องทำให้พวกเขารู้ว่า คุณกำลังใช้ชีวิตที่มีความสุข มากกว่าจะสนใจว่า คุณมีความสุขกับมันจริงๆ หรือเปล่า



    ภาพถ่ายการไปเที่ยวงานราตรีสุดหรู ที่ต้องออกมาสวยที่สุดเพื่อที่คุณจะได้ลง Social Media อย่าง Instagram ดูเหมือนจะสำคัญกว่า ความสนุกที่คุณได้รับจากตัวงาน หรือการที่คุณไปซื้อชุดใหม่สุดเริ่ด อาจถูกโฟกัสว่า การถ่ายรูปมันลงโปรไฟล์ใน Facebook มันจะสวยจริงๆ หรือไม่ มากกว่าที่คุณจะเอ็นจอยกับการใส่ชุดใหม่ออกไปเฉิดฉายบนท้องถนน และโลกที่อยู่ตรงหน้าของคุณ ที่ไม่ใช่โลกออนไลน์

    และที่อาจจะดูแย่ไปกว่านั้น คือการที่คุณอยากหนีจากโลกความจริงด้วยการไปเที่ยวไกลๆ ไปตามหาธรรมชาติ แต่ยังไม่วาย ตรงถ่ายรูปลงโซเชียล ถ้าเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่การหนีจากโลกของความจริง จริงๆ หรอก คุณกำลังหลอกตัวเอง…

    ถ้าคุณไปที่บาร์ในยุคนี้ คนเกินครึ่ง จองมองไปที่มือถือตลอดเวลา บ้างก็ถ่ายเซลฟี่เพื่อลงโซเชียล บ้างก็เล่นแอพหาคู่อย่าง Tinder เพื่อที่จะนัดเจอกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จัก แต่กับเพิกเฉยที่จะคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้าคุณบนโลกแห่งความจริง



    ซึ่งเรื่องนี้สำคัญเพราะคนในโลกออนไลน์นั้น หายากกับความจริงใจ ทุกอย่างถูกประดิษฐ์ แต่งแต้มไปหมด รูปโปรไฟล์ทุกรูปที่ลง ผ่านทุกอย่างมามากมาย ทั้งแสงดี มุมดี กล้องดี ฟิลเตอร์ชั้นยอด และนั่นนำไปสู่เดทแรก ที่จริงๆ เขาอาจจะไม่ได้ดูเหมือนในรูปเลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อรักษาหน้า เวลาเพื่อนคุณถามว่าคุณเดทกับใคร คุณก็ยังเลือกโปรไฟล์ที่เธอคนนั้นสวยที่สุด ไปโชว์เพื่อน ทั้งๆ ที่เธออาจจะไม่เหมือนในรูปเลยนั่นเอง

    สิ่งที่คุณควรรู้ก็คือ บางทีเวลาเราเอาคนในจอออกไป คนที่อยู่ตรงหน้าคุณนั้น บางที การไม่สมบูรณ์แบบ ก็ไม่ใช่จุดจบของโลกใบนี้ จริงๆ แล้ว การไม่สมบูรณ์แบบ คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นคนต่างหาก นั่นคือเรื่องที่ธรรมชาติที่สุดแล้ว และนั่นคือสาเหตุให้หลายๆ คน สามารถหาคู่ครองของตนเองได้ โดดยไม่ต้องพึ่งโลกออนไลน์ ซึ่งต่างจากหลายๆ ที่การรักกันมันไม่มากพอ และความรักยังไม่สมบูรณ์แบบจนกระทั่งควรเปลี่ยนสเตตัสบน Facebook

    ประเด็นนี้ทำให้คนโสดหลายคนรู้สึกไม่ดี รู้สึกแย่ ในบางครั้งที่เปิดโซเชียลเน็ตเวิร์คเหล่านี้ เพราะคิดว่า ทำไมถึงไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบแบบนั้นบ้าง แต่คุณหารู้ไม่ว่า คนพวกนั้น เลือกสิ่งที่เขาคิดว่าสมบูรณ์แบบที่สุดลงโซเชียลต่างหาก แต่กลับซ่อนทุกอย่างที่มีตำหนิ ซ่อนทุกเรื่องเศร้าและแย่ๆ เอาไว้ และทำให้หลายๆ คนตกเป็นเหยื่อของการพยายามทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบ แบบคนในโซเชียล จนลืมที่จะมีความสุขจริงๆ ในชีวิตไป

    ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่บอกว่า เรามีความสุขบนโลกนี้น้อยลง เพราะโซเชียลหรือเปล่า อย่างเช่นบางครั้ง เราก็สงสัยนะว่า การนัดเจอเพื่อนตามสถานที่ดีๆ ต่างๆ ในแต่ละครั้ง พวกเขา อยากเจอเพื่อนจริงๆ หรือ อยากนัดเจอร้านดีๆ อัพภาพลงโซเชียลเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าคุณมี “ชีวิตดี”​กันแน่ บางครั้งเราโฟกัสกับการอัพเดทเพื่ออวดโลก จนลืมที่จะใช้ชีวิตของเราอย่างมีความสุขในขณะนั้น จริงๆ หรือเปล่า ทำไมเราต้องพะวงว่า รูปที่เราลงต้องมีครกดไลค์ในเฟสบุ๊กมากๆ เพื่อที่เราจะได้มีความสุข ทั้งๆ ที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า คือสิ่งที่คุณไขว่คว้าหาความสุขได้อยู่แล้ว

    อย่าให้โลกโซเชียลมาหลอกคุณ มีคนมากมาย ที่ไม่มีคนมากดไลค์รูปเขามากมายใน Instagram แต่เป็นคนที่มีความสุขในชีวิต มีเพื่อนมากมาย เพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่ เพื่อนในโลกออนไลน์ที่อาจจะไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ ในขณะที่บางคนที่มียอดไลค์เป็นพันๆ ชีวิตจริง อาจจะเป็นคนที่เศร้าและเหงากว่าคนอื่นๆ ก็เป็นได้

    เรื่องความรักก็เช่นกัน คุณไม่จำเป็นต้องบอกคิดว่า ความรักของคุณจะสมบูรณ์แบบ ถ้าได้รับเสียงสนับสนุน ยอดไลคฺมากมายจากรูปคู่ของคุณในโซเชียล หลายๆ คู่มีความรักที่ดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งโลกโซเชียลเสียด้วยซ้ำ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเอง ชีวิตของคุณเอง

    เพราะฉะนั้น อย่าเชื่อในทุกสิ่งที่คุณเห็นบนโลกออนไลน์ เพราะนั่นคือภาพลักษณ์ภายนอกที่ถูกปั้นแต่งเท่านั้นล่ะ

    H/T: Elitedaily
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2015
  20. wutthik

    wutthik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +493
    " สัตว์โลกทุกชนิด ล้วนไปเกิดก่อนตาย "
    " เกิดได้เป็นทั้งเพศผู้และเพศเมีย ผู้รู้เท่าทันย่อมไม่ก่อภพ ก่อชาติ ย่อมเข้าถึงนิพพานในโลกปัจจุบันและอนาคต "
    ตัดตัญหา(ความอยาก)ได้ก็ถึงนิพพานแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...