การปฎิบัติเพื่ออนาคามีมรรค

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 1 มีนาคม 2016.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    การปฏิบัติเพื่อพระอนาคามีมรรค
    การปฏิบัติเพื่อพระอนาคามีมรรค
    สำหรับวันนี้ ก็จะขออธิบายเรื่องการปฏิบัติถึงการเป็นพระอนาคามีมรรค เป็นการสืบต่อจากวันก่อน ก็เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะศึกษาปฏิบัติ หรือว่าเวลาที่น้อมจิตหรือพิจารณาพระกรรมฐานในด้านการปฏิบัติตามแบบฉบับที่เขาปฏิบัติกันมา
    ในอันดับแรกต้องทวนต้นไว้เสมอ เพื่อทรงอารมณ์ให้เป็นปกติ ผลแห่งการปฏิบัติที่จะมีผลจริง ๆ นี่เราหมายถึงว่าเอาผลกันจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ นั่นเขาใช้อารมณ์พิจารณาเป็นสำคัญการใช้อารมณ์ภาวนานี่เป็นการยับยั้งจิต ไม่ให้มีอารมณ์ฟุ้งซ่านเท่านั้นเอง ตอนนั้นการยับยั้งจิต ไม่ให้มีอารมณ์ฟุ้งซ่านเป็นอารมณ์ของฌาน เป็นบันไดที่จะก้าวไปสู่วิปัสสนาญาณ การทรงจิตเป็นฌานยังไม่ใช่มรรค ไม่ใช่ผล แต่ทว่าเราก็ทิ้งไม่ได้
    นักปฏิบัติต้องประกอบกิจ 3 อย่างพร้อมกัน คือ
    อธิศีลสิกขา มีศีลบริสุทธิ์ คำว่า บริสุทธิ์ นี้ไม่ใช่สักแต่ว่าบริสุทธิ์เฉพาะเวลามานั่งภาวนา ต้องบริสุทธิ์ตลอด 24 ชั่วโมง
    อธิจิตสิกขา ต้องมีสมาธิทรงตัว มีจิตน้อมอยู่ในด้านของกุศลตลอดเวลา คำว่าสมาธิแปลว่าการตั้งใจ ว่าตั้งใจไว้เฉพาะจุดเดียว คือ อารมณ์ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่เป็นกุศลมีมากมายอย่างจะเป็นอะไรก็ช่างตามที่เราต้องการ จุดนั้นเราจะนึกไว้เสมอ
    อธิปัญญาสิกขา พิจารณาตามแบบฉบับในระดับของสังโยชน์ที่เราจะพึงตัด แล้วก็ทรงอารมณ์ที่เป็นกุศลจำเป็นที่ต้องเข้าถึงในขณะนั้น
    ถ้าอารมณ์ทรงตัวแบบนี้หมายความว่า ขณะใดที่จิตคิดอยู่ในด้านของกุศล ขณะนั้นชื่อว่าจิตของเราทรงศีล ทรงสมาธิแล้วถ้ามีปัญญาพิจารณาความเป็นจริงจากขันธ์ 5 ว่า
    ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
    ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
    มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
    โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ รู้จักว่านับตั้งแต่เกิดมาถึงวันตายไม่มีอะไรเป็นสุข
    แล้วทุกข์ตัวนี้มาจากไหน ทุกข์ตัวนี้มาจาก ตัณหา คือความทะยานอยาก จิตติดอยู่ในโลกีย์วิสัย มีอุปาทานเป็นเครื่องยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา หรือว่ามีจิตเรายึดมั่นถือมั่นในร่างกายว่า มันเป็นเราเป็นของเรา ก็เลยลืมความตาย จิตก็ประกอบไปด้วยความชั่วที่เรียกว่า อกุศล คำว่า อกุศลนี่เขาแปลว่าไม่ฉลาด สร้างกรรมที่มันเป็นปัจจัยให้เกิดความเดือดร้อนทั้งเราและบุคคลอื่น อย่างนี้เป็นอกุศล อารมณ์ของเราจะต้องไม่จับอย่างนี้จะต้องทำลายความอยากประเภทนี้เสีย
    ใช้ปัญญาพิจารณาหาความเป็นจริงจากขันธ์ 5 ว่าขันธ์ 5 มันเป็นเราจริงรึ หรือว่าเป็นของเรา ถ้ามันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้เราเคยคิดอยากจะตายบ้างไหม เคยคิดอยากจะป่วยบ้างไหม คิดอยากจะให้ร่างกายมันร้อนจัดมีบ้างไหม คิดอยากจะให้ร่างกายมันหนาวจัดมีบ้างไหม และคิดบ้างหรือเปล่าว่า เราต้องการคำกระทบกระทั่งจากคำวาจาของบุคคลอื่นที่เป็นที่ไม่ชอบใจ ของเรามีบ้างไหม หรือว่าเราต้องการการกระทำของบุคคลอื่นที่ไม่ถูกใจเรามีบ้างไหม อาการอย่างนี้จิตเราไม่เคยคิดอยากจะได้ แต่ว่ามันมีบ้างไหมล่ะ อาการอย่างนี้มันปรากฏแก่เราบ้างไหม ถ้ามันปรากฏก็แสดงว่า ร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    นี่ใช้ปัญญากันแบบย่อ ๆ เรียกว่า ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเป็นเครื่องตัดตัวเกิด หรือ การตัดตัวทุกข์ ถ้าตัดตัณหาได้ มันก็ตัดทุกข์ได้ ถ้าตัดตัณหาไม่ได้มันก็ตัดตัวทุกข์ไม่ได้ ตัณหาที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ อยากเกิด ถ้าขณะใดที่มีการอยากเกิด อยากทรงอยู่ ไม่อยากตาย ขณะนั้นไม่มีทาง ยังต้องเกิดรับทุกข์ต่อไป จนกว่าจะมีปัญญาพิจารณาทราบตามความเป็นจริง เรื่องนี้ขอยกไว้
    ทีนี้ก่อนที่เราจะพูดกันถึงพระอนาคามี ย้อนถอยหลังไปอีกนิด ว่าการที่จะทรงอารมณ์เป็นพระโสดาบัน เขาทรงด้วยกรรมฐานอะไรบ้าง กรรมฐานทั้งหมดนี้ไม่ต้องไปนั่งหลับตาก็ได้ให้จิตมันนึกไว้เสมอ ลืมตาอยู่ทรงอารมณ์อยู่ ให้มันนึกไว้เสมอ เวลาทำงานทำการก็ทำไป จิตอยู่ในการงาน เวลาจะพูดเรื่องอะไรที่เป็นสาระก็ให้จิตอยู่ในเรื่องของการพูด หยุดพูด หยุดทำน้อมจิตคิดถึงอารมณ์ต่อไป
    บุคคลที่จะเป็นพระโสดาบันตัดสักกายทิฏฐิได้เล็กน้อย นั่นก็คือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความเมาในชีวิตในร่างกายยังมีอยู่ แต่ไม่ลืมความตาย ยังรักสวย ยังรักงาม แต่ทว่าก็คิดว่าความสวยความงามนี่ในไม่ช้ามันก็พังสลายตัวไป ก็มีอารมณ์ไม่ประมาทในชีวิต คือว่าการตายคราวนี้จะต้องเกิด ถ้ามันจำจะต้องเกิดจริง ๆ ก็ให้มันเกิดดีกว่านี้ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว เราไม่ต้องการเกิด สิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน ถ้าอารมณ์จับพระนิพพาน นึกถึงพระนิพพานอย่างนี้ ท่านเรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน การนึกถึงความตายไว้เป็นปกติ เรียกว่า มรณานุสสติกรรมฐาน
    ทีนี้เมื่อจิตจับพระนิพพานแล้ว เราก็ต้องดูต่อไปว่า คนที่จะก้าวไปสู่พระนิพพานเขาใช้อะไรบ้างเป็นเบื้องต้น อันดับแรกก็นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พุทธานุสสติกรรมฐาน ยอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า ธัมมานุสสติกรรมฐาน ยอมรับคุณสมบัติที่ทรงซึ่งความดีไว้ของพระสงฆ์ เรียกว่า สังฆานุสสติกรรมฐาน และจิตใจของเราก็ตั้งไว้เสมอว่าจะทรงศีลให้บริสุทธิ์ ว่าถ้าศีลของเราไม่บริสุทธิ์เราก็ต้องมีโอกาสไปอบายภูมิ ขึ้นชื่อว่าอบายภูมิทั้ง 4 มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราไม่ยอมไป เราจะไม่ไปได้ก็เพราะอาศัยมีศีลบริสุทธิ์ มีกำลังใจควบคุมศีลอยู่เป็นปกติ ไม่พลาดจากจิต อย่างนี้ เรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน
    แล้วก็พิจารณาต่อไปว่าศีลจะทรงอยู่ได้ เพราะอาศัยอะไรเป็นเครื่องควบคุม ก็เพราะอาศัยพรหมวิหาร 4 ถ้าเรามีพรหมวิหาร 4 ศีลไม่บกพร่อง สมาธิก็ทรงตัว อย่างนี้ใช้พรหมวิหาร 4 เป็นกรรมฐานก็เรียกว่า พรหมวิหาร 4 ทรงตัว ทีนี้พรหมวิหาร 4 จะทรงตัวได้ดีจริง ๆ อาศัยอะไรเป็นสำคัญ อาศัยหิริและโอตตัปปะ คือ หิริ ความอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้โทษเป็นทุกข์ อาการอย่างนี้ เมื่อจิตทรงได้อย่างนี้จริง ๆ ก็ชื่อว่าเป็นพระโสดาบัน
    นี่ความจริงไม่ต้องไปนั่งหลับตาก็ได้ ให้จิตมันทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ นั่งหลับตา อ่านตำรา ฟังเทศน์ พอเลิกแล้วจิตคิดอยากจะอิจฉาคนโน้น อยากจะด่าคนนี้ อยากจะว่าคนนั้น อยากจะกลั่นแกล้งคนนี้ อย่างนี้หลับตาไปสักกี่แสนชาติ มันก็ลงอบายภูมิทุกชาติ ไม่เกิดประโยชน์ ประโยชน์ที่จะเกิดจริง ๆ ก็คือ อารมณ์จิตที่ทรงตัว
    ทีนี้ถ้าหากว่าจิตจะทำอย่างนี้จะเป็นฌานไหม มันก็ต้องเป็นฌาน ฌานัง เขาแปลว่า การเพ่ง หมายความว่า จิตจับอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วทุกอย่างนี่มันอยู่พร้อม ๆ กัน ไม่ใช่ไล่เบี้ยทีละอย่าง จิตมันทรงตัวอยู่เป็นปกติ อารมณ์จะเป็นขนาดไหนก็ตาม เราจะไม่ยอมละเมิดสิ่งทั้งหมดตามที่กล่าวมา จิตมีสภาพทรงตัว คิดอยู่เสมออย่างนี้เขาเรียกว่า ฌาน ฌานนั่งหลับตานั่นไม่ใช่ฌานจริง มันต้องลืมตา หลับตาลืมตามีสภาวะจิตเสมอกัน ถ้าทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็ตาม อารมณ์จิตมีความเยือกเย็นตามที่กล่าวมาแล้ว อารมณ์ที่กล่าวมาแล้วนี่เป็นอารมณ์แห่งความเยือกเย็น เมื่อทรงตัวได้อย่างนี้เป็นปกติ ท่านก็เรียกว่าพระโสดาบัน ไม่เห็นจะมีอะไรยาก
    คราวนี้สำหรับพระสกิทาคามี มีอารมณ์เช่นเดียวกับพระโสดาบัน ถ้าสกิทาคามีมรรค ก็เพิ่มกำลังรวบรวมกำลังจิตที่เป็นพรหมวิหาร 4 ให้ทรงตัวแข็งกร้าวขึ้น เพราะว่าพระโสดาบันยังมีความรักในเพศ ยังมีความโลภ ยังอยากรวย แต่ไม่ละเมิดศีล ยังมีความโกรธ แต่ฆ่าเขาไม่ได้ เพราะเกรงศีลจะขาด ยังมีความพยาบาทจองล้างจองผลาญ แต่ไม่ทำ ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณ แต่ไม่ลืมความตาย จะเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก เป็นชาวบ้านชั้นดี ทีนี้มาพระสกิทาคามี สกิทาคามีมรรคนะยังไม่ผล สกิทาคามีมรรคก้าวขึ้นมาอันดับแรก จิตก็จะทรงพรหมวิหาร 4 เป็นกรณีพิเศษ นอกจากจะโกรธ ไม่ทำอันตรายเขาในด้านพระโสดาบัน กำลังใจสูงขึ้นเป็นอภัยทาน ใครเขาทำให้เราโกรธ เราโกรธ ไม่ใช่ไม่โกรธ ถ้าสกิทาคามียังมีโกรธ และโกรธแล้วก็คิดจองด้วย ยังมีการผูกโกรธเขาไว้ ทีนี้กำลังใจอีกส่วนหนึ่งมันแทรกสูงขึ้นมา คือ พรหมวิหาร 4 เมื่อเวลาใครเขาทำความไม่ดีให้เราโกรธเป็นที่ไม่ถูกใจ โกรธแล้วมีอารมณ์คลายลง มันก็ช้าหน่อยไม่ได้คลายทันที นึกน้อมลงไปอีกทีว่า อ๋อ…คนที่ทำให้เราโกรธนี่น่าสงสาร และคนที่ทำความชั่วนี่ เป็นเหยื่อของอบายภูมิ เขาต้องตกนรก มันแสนจะลำบาก ร้อนก็ร้อน มันร้อนกว่าไฟธรรมดาหลายล้านเท่า ยังมีสรรพาวุธมาสับฟันอีก นี่เขาต้องมีโทษหนัก ทุกขเวทนาหนัก พ้นจากนรกมาเป็นเปรต แสนจะลำบาก นับด้วยพันด้วยหมื่นด้วยแสนชาติ จนกว่าจะพ้นหมื่นแสนกัปนะไม่ใช่ชาติ แล้วต้องมาเป็นอสุรกาย เต็มไปด้วยความหิวโหย ต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งไม่มีใครให้สิทธิ์ใด ๆ ทั้งหมด อาจถูกเขาปล่อยให้อดตายบ้าง ถูกเขาข่มเหงคะเนงร้ายบ้าง ไม่มีกฎหมายเป็นเครื่องควบคุม จิตคิดอยู่ว่าคนที่มีอารมณ์ชั่วอย่างนี้เป็นคนที่น่าสงสาร ปล่อยเขาตบมือไปข้างเดียว ให้เขาชั่วไปฝ่ายเดียว กรรมใดที่เขาทำ ให้เป็นเครื่องเจ็บใจ กระทบกระเทือนใจเราให้อภัย
    อย่าลืมว่าไอ้ตอนให้อภัยตรงนี้กว่าจะให้ได้ก็ต้องใช้เวลา สองวัน สามวัน หรือสองชั่วโมง สามชั่วโมง แต่เร็วเข้ามา มันยังมีโกรธ ยังมีพยาบาทแต่ก็มีอารมณ์ให้อภัยทาน ไม่ถือโกรธ ไม่เอาผิดกับเขา ให้อภัยเขา แต่อย่าลืมนะว่า ยังมีความโกรธ ยังมีความพยาบาท นี่เป็นสกิทาคามีมรรคเบื้องต้น
    ทีนี้ พระสกิทาคามีมรรคเบื้องปลาย ตามพระบาลีท่านบอกว่า พระสกิทาคามีบรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลง บรรเทาตรงไหน ทำยังไง
    บรรเทาความโลภ เราก็มี จาคานุสสติกรรมฐาน เป็นกำลังใจแทนที่จะโลภอยากได้ กลับเป็นอยากให้เขา การแสวงอาชีพด้วยสัมมาอาชีวะ ท่านไม่กล่าวว่าเป็นความโลภ ได้มาอารมณ์ใจคลายในการติดสมบัติ การหามาเพื่อเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงสมาภรรยา มีความจำเป็นต้องหา การหาด้วยสัมมาอาชีวะ เขาจ้างเราให้เงินเดือนถูกให้เงินเดือนแพงให้ทำความดี ไม่ใช่ความโลภ การค้าขายลงทุนน้อย ได้กำไรมามาก มีฐานะสูงขึ้น แต่ว่าเป็นการค้าเต็มไปด้วยความสุจริต ไม่ใช่เอาของเลวมาบอกเป็นของดี การซื้อขายบอกราคากันตามปกติ เขาพอใจ เขาเอาไป ได้กำไรมากได้กำไรน้อยไม่สำคัญ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นความโลภ เป็น สัมมาอาชีวะ
    ทีนี้สำหรับทรัพย์สินที่ได้มา พระโสดาบันยังเกาะมาก แต่ว่ามาถึงพระสกิทาคามีนึกอยู่เสมอว่าชีวิตอยู่จำเป็นจะต้องใช้จะต้องหา แต่อารมณ์หนึ่งก็คิดว่าไอ้มันกับเราไม่ช้าจะต้องจากกัน ไม่ช้าไม่มันก็เราไปกันข้างหนึ่ง(เออ…อนาคามีวันนี้น่ากลัวไม่ถึง) จิตใจมันก็เพลาจากการยึด ไม่ใช่ว่าเพลาจากการหา หาอยู่ตามปกติ แต่ยึดถือว่ามันเป็นเราเป็นของเรา มันกับเราจะนอนกอดกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ตายจากกัน ไม่พรากจากกัน อันนี้ไม่มี คิดไว้เสมอว่า มันกับเราไม่ช้าก็สลาย ต่างคนต่างไป ก็มีกำลังใจคิดด้วยความไม่ประมาท
    สำหรับความโกรธ พระสกิทาคามีเคร่งครัดในพรหมวิหาร 4 ในด้านอภัยทาน ถ้ามีอภัยทาน มันบรรเทาลงแล้ว ความโกรธบรรเทาลงไม่ใช่หมด
    ด้านความหลงในร่างกายก็พิจารณาแล้วนี่ว่าไอ้ร่างกายนี่มันสวดสดงดงามก็จริง แต่ทว่ามันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีการทรงตัว ตอนนี้ก็ต้องใช้กายคตานุสติ กับอสุภกรรมฐานมีอารมณ์เข้มแข็งขึ้น
    เป็นอันว่าพระสกิทาคามีต้องเพิ่มจาคานุสสติกรรมฐานเข้ามา ในด้านสมถภาวนา เพิ่มพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังสูงขึ้นและก็เพิ่มกายาคตานุสติกับอสุภกรรมฐานเข้ามาอีก เป็นกำลังใจเป็นปกติ จิตก็พร้อมที่จะคิดอยู่ว่า อัตตภาพร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา โลกเป็นของไม่เที่ยงเมื่อไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็ต้องสลายตัว เราจะไม่นั่งมัวเมาในทรัพย์สินยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเราอยู่เพื่อประโยชน์อะไร แต่ก็ยังเกาะ แต่ก็ปล่อยง่าย ให้ง่าย สงเคราะห์ง่าย ให้อภัยทานง่าย เห็นร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมดเต็มไปด้วยความสกปรก แต่บางครั้งมันก็สวย บางครั้งมันก็เป็นที่ปรารถนา แต่ว่าจิตถอยออกมาห่างได้ง่าย ๆ ยังไม่ถึงกับหมดเลย นี่เป็นวิสัยของพระสกิทาคามีเรียกว่า สกิทาคามีผล
    ถ้าจิตทรงได้แบบนี้…..อ้าว เวลามันจะหมดเสียแล้ว เป็นอันว่าเรื่องพระอนาคามีก็เลยยังไม่ต้องพูดกัน แซมไว้สักนิดว่า ถ้าเราปฏิบัติเพื่อความเป็นพระสกิทาคามี นี่ถ้าไต่เต้าขึ้นไปอย่างนี้ละมันไม่ยาก เพราะว่าขึ้นไปทีละขั้น ไปถึงพระอนาคามีเพิ่มอะไร เรามีมาแล้วทั้งหมด
    พระอนาคามีสิ่งที่เพิ่มสำคัญที่สุดในด้านสมถภาวนา สำหรับวิปัสสนาภาวนาต้องเป็นไปตามปกติ คือต้องพิจารณาขันธ์ 5 ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตามที่กล่าวมา ให้จิตมันทรงตัว เมื่อขันธ์ 5ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตัวนี้มีกำลังทรงตัวมากขึ้น อารมณ์ที่เพิ่มเข้ามาพิจารณาอีก นั่นก็คือกายคตานุสติกับอสุภกรรมฐาน ตอนนี้ต้องมีอารมณ์ทรงตัว ทรงตัวมากขึ้นกว่าพระสกิทาคามีเพราะเป็นการตัดกามราคะให้เด็ดขาด ควบกับวิปัสสนาญาณแล้วก็ใช้พรหมวิหารและกสิณ4 เคร่งครัดยิ่งขึ้น คำว่าเคร่งนี้ไม่ใช่ว่ามานั่งหลับตาทั้งวันทั้งคืน อย่างนี้ใช้ไม่ได้ หลับตาทั้งคืนทั้งวันอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องอารมณ์ปกติมันมีความรู้สึกอยู่ คือ อารมณ์ปกติของกายเห็นว่าร่างกายสกปรก มันเป็นชิ้นเป็นท่อนเหมือนกับส้วมเดินได้แล้วก็การโกรธกัน อาการพยาบาทกันไม่มีประโยชน์อะไร คนเต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ควรจะทำมัน เป็นอันว่าเรื่องพระอนาคามีเอาไว้พรุ่งนี้ เวลาพูดหมดแล้ว
    ต่อจากนี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจ หายใจออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา
     
  2. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    การปฏิบัติเพื่อพระอนาคามีมรรค
    การปฏิบัติเพื่อพระอนาคามีมรรค
    ตัดกามฉันทะ (ต่อ)
    สำหรับวันนี้ก็จะได้พูดถึงพระอนาคามีมรรคต่อไป เมื่อคืนนี้ได้พูดถึงพระอนาคามีมรรค พอเริ่มต้นได้เล็กน้อยก็จบ วันนี้ขอพูดต่อ
    สำหรับอนาคามีมรรคนี่ ก็มีอาการฝึกในการตัด กามฉันทะ กับตัด พยาบาท หรือว่า ปฏิฆะ เรียกว่า ตัดความโกรธความพยาบาทให้หมดสิ้นไป ฉะนั้น การเจริญอารมณ์ให้เข้าถึงพระอนาคามีมรรค หรือว่าพระอนาคามีผล ก็จำเป็นต้องรวบรวมกำลังสมาธิจิตให้มีความแก่กล้า มีการทรงตัว มีความเข้มแข็ง และถ้าเราจะกล่าวกันไปว่า ถ้าปฏิบัติมาตามลำดับกว่าจะเข้าถึงพระสกิทาคามี สมาธิมันก็เริ่มเข้มแข็งแล้ว เพราะว่าเราก็ปฏิบัติมาตามลำดับ หมายถึงว่าการที่เป็นพระสกิทาคามีได้นั้นก็ต้องบรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลง ทีนี้การบรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลงได้ ก็เรียกว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลงยังมีอยู่ แต่เหลือน้อยเต็มที
    ทีนี้มาถึงพระอนาคามี ตอนนี้ถ้ายังไม่ถึงพระอนาคามีผล ยังไม่จบ เรียกว่า อนาคามีมรรค แปลว่าการเดินทางเข้าไปถึงพระอนาคามีผล ส่วนสำคัญอันดับแรกเราจะต้องรวบรวมกำลังสมาธิให้หนัก ควบกับอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ คือ อริยสัจ นั่นได้แก่พิจารณาร่างกาย เรียกว่า "กายคตานุสติ" พิจารณาดูร่างกาย ประกอบไปด้วยอาการ 32 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับ ไต ไส้ ปอด อุจาระ ปัสสาวะ อาหรใหม่ อาหารเก่า น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสมหะ น้ำลาย เป็นต้น พิจารณาดูความเป็นจริง ในด้านสมถภาวนาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันสกปรกหรือมันสะอาด ไม่ใช่จะไปนั่งท่อง เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา อันนี้มันเป็นตัวทำให้จิตเป็นสมาธิเฉย ๆ ไม่ใช่ตัวตัด กรรมฐานกองนี้ กายคตานุสติก็ดี หรือว่า อนุสติทั้ง 10 ประการก็ดี อสุภกรรมฐานทั้ง 10 ประการก็ดี เป็นกรรมฐานพิจารณา ไม่ใช่มานั่งภาวนาเป็นนกแก้วนกขุนทอง ทำจิตให้ทรงอารมณ์ว่ามันมีสภาพเป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง
    คำว่า "ทรงฌาน" ในที่นี้หมายความว่า เห็นว่าร่างกายทั้งหมดมันสกปรก ไอ้ความรู้สึกว่าสกปรกนี่ให้มันทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเวลาหลับตาพิจารณา เวลาลืมตา เวลาเดินไปเดินมาทำอะไรอยู่ ให้จิตจับอารมณ์นี้จนชิน อารมณ์ไม่คลายไปจากจิต เห็นสัตว์ เห็นคน เห็นวัตถุ ไม่มีอะไรสวย เพราะทุกอย่างมันสกปรกหมด หาสะอาดมิได้ ดอกไม้ที่สะพรั่งอยู่ในป่าหรือในสวน มันมีสีสวยสดงดงามแต่พอจะเข้าไปใกล้ก็รู้ว่ามันมีฝุ่น มีละอองแปดเปื้อนอยู่ด้วย มันสกปรกคนและสัตว์มีสภาวะต่าง ๆ เต็มไปด้วยความสกปรก ตัวสกปรกนี่ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะมันรู้อยู่แล้ว ถ้าเราไม่รู้มันก็ระยำเต็มที ไม่ใช่ว่าโง่ ของมันเห็นอยู่กับตัวของเราเอง อะไรบ้างที่เราต้องชำระล้างมัน อะไรบ้างที่เรารังเกียจในร่างกายของเรา ที่มันอยู่ในร่างกายของเรา เราทำไม่รู้ไม่เห็น แต่มันหลั่งไหลออกมาแล้วเรารังเกียจ เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย เหงื่อไคล เป็นต้น หรือว่า น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ถ้ามันหลั่งไหลออกมา เรารังเกียจว่ามันสกปรก นี่สภาพอย่างนี้เรามองเห็นชัดอยู่แล้ว นอกจากว่าจะเป็นแต่เพียงว่าเราไม่สนใจจึงจะไม่เห็นว่ามันสกปรก
    คำว่าสนใจนี่ไม่ได้สนใจในกรณีพิเศษ สนใจให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริง ไอ้การแสวงหาของจริงนี่ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรมาก แค่สัญญามันก็ใช้ได้ อุจจารที่ถ่ายออกมามันสะอาดหรือสกปรกก็รู้ ร่างกายทั้งตัวเหงื่อไหลออกมามันสะอาดหรือสกปรกก็รู้ น้ำลายอยู่ในปากอมได้ บ้วนออกมามือไม้กล้าแตะ สะอาดหรือสกปรกก็รู้ ในเมื่อรู้แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ หรือไม่สนใจ มันก็เป็นวิสัยของสัตว์ในอบายภูมิ เพราะอะไร เพราะไม่หมดกิเลส ไม่หมดตัณหา มีแต่ความทุกข์ตลอดกาล
    ทีนี้เรื่องการพิจารณาในกายคตานุสติควบกับอสุภสัญญา อสุภสัญญา หรือ อสุภกรรมฐานนี่มันอันเดียวกัน อสุภสัญญา แปลว่า จำได้ว่ามันสกปรกอยู่ตลอดเวลา ทุกชิ้น ทุกส่วน ทุกตารางเซ็นต์ของร่างกาย ไม่มีจุดไหนที่มีความสะอาด มันมีแต่ความสกปรกโสมมอยู่ตลอดเวลา หาจุดสะอาดจริง ๆ ไม่ได้ อันนี้มันเป็นเนื้อแท้ของร่างกายจริง ๆ นี่นั่งคิด นั่งพิจารณาใคร่ครวญ พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปแกล้งเห็นใช้สัญญา ความจำ มันต้องจำได้ สภาวะที่มันควรจะจำมีเยอะ ไม่ต้องไปนั่งหาไล่เบี้ยมัน มันเป็นของจริง นี่การเจริญกายคตานุสติกับอสุภสัญญาหรือ อสุภกรรมฐานเขาเจริญแบบนี้
    ชั่วขณะใดที่รู้สึกตัวอยู่ เรามีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งของร่างกายหรือวัตถุทั้งหมดมันสกปรก ให้อารมณ์ทรงอย่างนี้แล้ว เห็นว่าร่างกายเราสกปรก ร่างกายสัตว์สกปรก วัตถุธาตุต่าง ๆ ในโลกไม่มีอะไรสะอาด สกปรกทั้งหมด ลองนั่งนึกดูซิว่าอะไรสะอาด บอกมาสักอย่างสิ มีอะไรบ้างที่มันสะอาด ที่ไม่ต้องเช็ดชำระล้าง มันมีไหม มันไม่มี มันมีแต่สิ่งสกปรกทั้งนั้น
    ทีนี้เราต้องการความสะอาดหรือเราต้องการความสกปรก ที่เรามีความรัก เรามีความปรารถนา เรามีความต้องการ เนื้อแท้จริง ๆ เราต้องการของสะอาด หรือว่าต้องการของสกปรก แต่ทว่าเราก็พบกับสิ่งสกปรกเข้า เราต้องการไหม ถ้าอารมณ์จิตของเราต้องการ ก็ประณามมันสักหน่อยได้ไหม ว่า เอ็งอยากเป็นสัตว์นรกหรือยังไง หรืออยากเป็นเปรต หรืออยากเป็นอสุรกาย หรืออยากเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าอารมณ์อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ของพระอริยเจ้า เป็นอารมณ์ของสัตว์ในอบายภูมิ มีสัญญาจำได้ คือ ความจำ แต่ว่าไม่สร้างความจำให้เกิด มีตา ทำเหมือนว่าไม่มีตา มีหู ทำเหมือนว่าไม่มีหู มีจิตสำหรับจะคิดจะจำ แต่ว่าไม่รู้จักคิดไม่รู้จักจำ อาการอย่างนี้มันไม่ใช่อาการของคน หรือ ว่าไม่ใช่อาการของเทวดาหรือพรหม หรือว่าไม่ใช่อาการของพระอริยเจ้า มันเป็นอารมณ์หรืออาการของสัตว์นรก หรือว่าเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    ถามใจมันว่าพอใจที่จะลงนรกไหม ที่ยังมัวเมาอยู่ในรูปกายของคนและสัตว์ ความมัวเมาอย่างนี้มันเป็นตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา ของสกปรกเห็นว่าสะอาด ของไม่สวยเห็นว่าสวย ของที่มีสภาพทรุดโทรมเป็นปกติมองไม่เห็นสภาพตามความเป็นจริง คิดว่ามันทรงตัวอาการอย่างนี้มันเป็นสภาวะของจิตที่จะต้องตกไปในอบายภูมิ เพราะว่าไม่มีความผ่องใสของจิต
    ถ้าหลงอยู่ในรูปอย่างนี้ ของเลวเห็นว่าเป็นของดี ของสกปรกเห็นว่าเป็นของสะอาด จิตมันจะเศร้าหมอง จิตเศร้าหมองตายแล้วไปไหน พระพุทธเจ้ากล่าวว่า จิตเต สังกิลกฏเฐ ทุคติ ปาติกังขา เมื่ออารมณ์จิตเศร้าหมอง ตายแล้วก็ไปอบายภูมิ ทำไมจึงว่าเศร้าหมอง เพราะว่าเราคิดว่ามันดีนี่ เวลาใหม่ ๆ มันก็ผ่องใส สดสวยงดงาม แต่ว่าทั้ง ๆ ที่มันผ่องใสอยู่นั่นแหละ มันก็แสดงอาการสกปรกอยู่ตลอดเวลา หาอะไรดีไม่ได้ แต่เราไม่มอง
    ที่ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาอาศัยอะไรเป็นสำคัญ ความโง่ ไม่ใช่โง่อย่างเดียว บ้าด้วย เพราะว่าคนโง่มันก็พอใช้ปัญญาเป็นเครื่องคิด มีสัญญาเป็นเครื่องจำ คนโง่นี่มันไม่โง่ทั้งหมด มันโง่แต่บางอย่างเท่านั้น แต่สิ่งที่ลี้ลับมีความละเอียดคนโง่อาจจะคิดไม่ถึง แล้วก็ร่างกายของคนเราสกปรก มันเป็นของไม่ยากที่คนโง่พอจะมองเห็นได้ว่าสกปรก แต่ติดใจว่าสะอาดนี่ ไม่ใช่คนโง่ มันเป็นคนบ้า เพราะว่าของสกปรกว่าเป็นของสะอาดนี่ คนโง่เขาไม่พูด คนบ้าเท่านั้นถึงจะพูด ถ้าอารมณ์เรามีความบ้าไร้สติสัมปชัญญะ ไม่มองหาตามความเป็นจริง เราก็จงถามมันว่าไปไหน ใจมันเศร้าหมองมันก็ยอมยึดถือ เวลามันทรุดโทรมเข้ามาจริง เราเสียดาย เสียใจ เวลาจะพัง จะสลายตัว เราเสียดาย เสียใจ ไม่อยากให้มันสลายตัว
    ทีนี้กฎธรรมดาของร่างกาย มันมีความเกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา มีการสลายตัวไปในที่สุด นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย แต่ว่าคนบ้านี่มีอุปาทาน ยึดมั่นว่า ร่างกายมันจะต้องเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดเวลา จะต้องไม่มีการทรุดโทรม จะต้องสะอาดตลอดเวลา แต่ความจริงมันสกปรก
    ทีนี้มันจะทรงตัวได้ไหม มันก็ทรงไม่ได้ มันเคลื่อนไหวไปหาความเสื่อม ความเสื่อมกลับแก่เข้ามา เกิดไม่สบายใจ ไอ้ที่เราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นไป เกิดงุ่นง่าน หูฝ้าตาฟาง กำลังไม่ดี ความจำเสื่อม เดือดร้อน เพราะไม่ยอมรับนับถือว่ามันจะแก่ หนัก ๆ เข้า มันแก่ นาน ๆ เข้า อาการชินเกิดขึ้น เอ้าแก่ไม่เป็นไร ขออย่าให้ตายก็แล้วกัน นี่ยังจะถ่วงต่อไปอีก แล้วร่างกายมันจะทรงได้ไหม กฎธรรมดาของมันจะต้องตาย แล้วทำไมจะไปห้ามมัน ห้ามมันก็ห้ามไม่ได้
    คนดีหรือว่าคนโง่เขาไม่คิดอย่างนี้ คนที่คิดแบบนี้ก็คนบ้าเท่านั้น คนบ้ากิเลส บ้าตัณหา บ้าอุปาทาน บ้าอกุศล คือ บ้าทำในความที่ไม่ดีหรืออกุศล หรือคิดในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ตรงตามความเป็นจริง ที่พูดแบบนี้ก็พูดแบบว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ความชั่วของตัวไว้เสมอ นี่จำกันไว้นะ อย่าให้มีอะไรมันพลาดเข้ามาอีก นี่พูดกันทั้งปี ภาษิตบทนี้ มองแต่ตัวไม่ต้องมองชาวบ้าน ให้รู้กฎ รู้ระเบียบว่า เราเป็นอะไร เราเป็นสมณะ แปลว่า ผู้สงบ ถ้าจุ้นจ้านมันก็ไม่ใช่สมณะ เป็นสัตว์ในอบายภูมิ เราเป็นพระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ จิตเลว วาจาเลว ใจเลว มันก็ไม่ใช่พระ เป็นสัตว์ในนรกโน่น
    ทีนี้สติสัมปชัญญะของเรามี พิจารณาหาความจริงว่าไอ้นี่ร่างกายมันสกปรก เป็นสมถะ พอคิดว่านอกจากจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีการทรงตัว ถ้าเป็นคนก็เลี้ยงไม่ได้ เลี้ยงมันไม่เชื่อง เอาอกเอาใจมันทุกอย่าง มันต้องการเปรี้ยว ต้องการเค็ม ต้องการหวาน ต้องการเย็น ต้องการอุ่น ต้องการเครื่องแต่งตัว สวยสดงดงาม หาให้มันทุกอย่าง อยากจะอยู่บ้านแบบไหน จะนอนแบบไหน จะกินแบบไหน บริหารกายแบบไหน หาให้มันทุกอย่าง ขอไม่ให้มันตาย ขอไม่ให้มันป่วย มันยอมรับนับถือไหม มันเชื่อเราหรือเปล่า ก็เปล่า ไม่มีอะไรที่มันจะเชื่อเรา นี่เป็นอันว่าร่างกายนี่มันเป็นเพื่อนรักของเรา เราก็คบไม่ได้ ต้องเลิกคบมานานแล้ว
    ทีนี้ร่างกายนี้ล่ะ เราควรจะคบมันต่อไปไหม มันมีอะไรบ้างในคุณสมบัติ หรือว่า สภาวะของร่างกาย หนึ่ง เห็นว่า สกปรกเป็นปกติ สองเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ ทุกข์ตรงไหน เพราะว่า ต้องเลี้ยงดูตลอดเวลา สาม เลี้ยงแล้วมันก็ไม่จำ ให้มันทรงตัว มันก็ไม่ทรงตัว มันมีการสลายตัวไปในที่สุด
    ทีนี้พิจารณาหาความสกปรก จนกระทั่งเกิดนิพพิทาญาณ ต้องทำให้ถึงนะ ไม่ใช่มานั่งฟังกันเฉย ๆ คำว่านิพพิทาญาณ นี่มีความเบื่อหน่าย เห็นว่าร่างกายสกปรก ร่างกายเราร่างกายคนอื่นเหมือนกันหมด อย่าเอาตาไปติดอยู่ที่เครื่องอาภรณ์ อย่าเอาตาไปติดอยู่แค่ผิวหนัง ตามองไปเจอะอาภรณ์เครื่องประดับ ผ้าผ่อนท่อนสไบ ผิวหนัง ใจนึกล้วงเข้าไปถึงร่างกาย มองเข้าไปหาความจริง ว่ามันสะอาดหรือสกปรก ไปเห็นคนเห็นสัตว์ คิดแบบนี้ แล้วก็นึกถึงตัวเองด้วย ว่ามันมีสภาพเป็นยังไง เมื่อจิตใจเห็นว่ามันมีสภาพสกปรกเป็นปกติ เห็นคนเหมือนกับถุงอุจจาระเคลื่อนที่ นี่มันต้องมีอารมณ์อย่างนี้เป็นปกติ ไม่ใช่นั่งภาวนากัน นั่งพิจารณา กินอยู่ เดินอยู่ ยืนอยู่ ทำงานอยู่ มีความรู้สึกอย่างนี้เป็นปกติ ไม่ใช่เอาเวลานั่งหลับตา นั่งหลับตานี่ ถ้าอารมณ์ปกติไม่ตรงตามนี้ หลับตามันก็ไม่ได้อะไร มันหลับส่งเดช ประเดี๋ยวคิดโน่นคิดนี่ พล่านไปหมด มันถึงได้สร้างความยุ่ง สร้างความเดือดร้อน นี่ถ้าดีกันเสียหมด คิดอย่างนี้ทั้งหมด ควบคุมกำลังใจของตนเองทั้งหมด มันไม่ต้องไปบอก ไม่ต้องไปสอนอะไรกัน เพราะมีแต่คนดีทั้งหมด ไอ้ที่เลวนั่นแสดงว่า ไม่มีนิสัยแห่งความเป็นคน มันมีนิสัยเป็นสัตว์นรกอยู่เป็นประจำ
    ทีนี้เมื่อคิดจุดนี้แล้ว เราก็นำวิปัสสนาญาณตัวสำคัญเข้ามาใช้ว่า ความอยากมีร่างกาย อยากได้ร่างกายของบุคคลอื่นมาประคับประคอง การทะนุถนอมร่างกาย อยากได้ร่างกายบุคคลอื่นมาประคับประคอง การทะนุถนอมร่างกายนี่มันเป็นปัจจัยของความสุข หรือเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันสกปรกด้วย มันทุกข์ด้วยหันเข้าไปจับสักกายทิฏฐิ กายคตาตัวนี้ต้องควบกันเลย ทั้งสมถะและวิปัสสนาต้องควบ
    ท่านบอกแล้วนี่ว่า พระอนาคามีต้องมีอธิจิตสิกขา อธิจิตสิกขา คืออารมณ์เป็นฌาน ทรงอารมณ์เห็นสภาวะอย่างนี้ตามความเป็นจริง อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเวลานั่งหลับตา เวลานั่งหลับตาไม่ได้ผลอะไร ทรงจิตอยู่ว่าร่างกายคนและสัตว์สกปรก เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่นึกส่งเดช แล้วก็มาพิจารณาตามสภาวะของวิปัสสนาญาณว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายคนอื่นก็ดี มันสกปรก น่ารังเกียจ รังเกียจน่ะ ไม่ใช่น่ารังเกียจ รังเกียจเสียจริง ๆ อารมณ์กามฉันทะถูกกดลงไปด้วยอำนาจของสมถภาวนา เบื่อหน่ายไม่มีความรู้สึกทางเพศ แต่ระวังตอนนี้ยังไม่ถึงขั้น มันโผล่เข้ามาได้
    ทีนี้ก็ประหัตประหารด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ สักายทิฎฐิ ว่าร่างกายนี้นอกจากสกปรกแล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา มันเป็นแต่เพียงธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ที่แสนจะสกปรก แล้วไม่มีการทรงตัว มันมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็สลายตัวไปในที่สุด มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ทุกอย่าง ไม่ได้เคยน้อมความสุขมาให้ใจเราเลย เมื่อมีร่างกาย นับแต่วันเกิด ถึงวันตายหาความสุขหนึ่งวินาทีมิได้ มันสร้างสรรค์แต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา
    ฉะนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจะไม่ต้องการร่างกายแบบนี้อีก จะไม่มัวเมาร่างกายอย่างนี้ต่อไป อาการใด ๆ ที่จะพึงเกิดขึ้นกับร่างกาย เราถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เราจะไม่ทำจิตหวาดหวั่นอารมณ์ใด ๆ ทั้งหมดที่จะพึงเกิดกับร่างกาย หรือว่ามากระทบกับอารมณ์ใด ๆ ทั้งหมดที่จะพึงเกิดกับร่างกาย หรือว่ามากระทบกับอารมณ์ใจ ปล่อยไปตามสภาพ เจ็บป่วยรักษาเพื่อเป็นการบรรเทาเวทนา มันหายก็หาย มันจะตายก็ช่าง เป็นเรื่องของมัน
    นี่เป็นอันว่าถ้าจิตทรงอาการอย่างนี้ได้ มันจะแก่ก็ช่าง มันจะป่วยก็ช่าง มันจะตายก็ช่าง มันจะเป็นลมเป็นแล้ง มียากินก็กิน ไม่มียากินก็นอนมันเฉย ๆ ช่างมัน ไม่สนใจกับมันอีก อย่างนี้ท่านเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ แล้วทรงอย่างนี้ให้ได้เด็ดขาด โดยไม่มีการกำเริบกลับมาพอใจในรูปโฉมโนมพรรณของเขาและของเราต่อไป อย่างนี้ท่านเรียกว่า พระอนาคามีมรรคเบื้องต้น เป็นพระอนาคามีมรรคเบื้องต้น คือ ตัดกามฉันทะได้ด้วยอาการอย่างนี้ นี่อย่างที่พูดไปแล้วอย่าไปวางทิ้งกันนะ พูดแล้วปฏิบัติกัน อย่าไปรุ่มร่ามเข้า ถ้ารุ่มร่ามเข้า มันจะไม่มีโทษแต่ในปัจจุบันอเวจีเป็นที่ไปสำหรับเรา
    ต่อจากนี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2016
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    พระอนาคามีมรรค
    พระอนาคามีมรรค
    ตัดกามฉันทะ (ต่อ)
    โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นโอกาสที่จะสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน สำหรับวันนี้ก็จะได้พูดถึงพระอนาคามีมรรคต่อ
    เมื่อวานนี้เราได้พูดถึงการระงับอารมณ์ของราคะ หรือ กามฉันทะ ได้แก่ความพอใจในกาม การที่จะทำลายกามฉันทะได้ก็ต้องอาศัยเหตุสองประการร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของสมถภาวนา ก็ต้องใช้ กายคตานุสติ พิจารณาร่างกายคือ อาการ 32 บวกกับ อสุภกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี มีแต่ความสกปรก เป็นของไม่น่ารัก เป็นที่น่ารังเกียจ นี่เป็นด้านสมถภาวนา
    ในด้านวิปัสสนาภาวนาก็บวกเข้ามา เห็นว่าร่างกายนอกจากจะเป็นของสกปรก เป็นของไม่น่ารัก เป็นของที่น่ารังเกียจแล้ว มันก็เป็นปัจจัยแห่งความไม่เที่ยง คือ ตัวมันไม่เที่ยง เพราะ อะไร มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็เสื่อมไป แปรปรวนไปเป็นปกติอยู่เสมอ ร่อยหรอไปทุกวัน แล้วในที่สุดก็มีการสลายตัว
    การที่เอาจิตเข้าไปยึดว่าร่างกายเป็นของสะอาด ร่างกายเป็นของสวย ร่างกายเป็นของเรา เป็นปัจจัยของความทุกข์ เพราะว่า สภาวะของร่างกายมันสกปรก สภาวะของร่างกายเป็นของไม่เที่ยง สภาวะของร่างกายมีการสลายตัวไปในที่สุด มันหาสภาพที่เป็นเรา เป็นของเราไม่ได้
    ร่างกายคือธาตุ 4 ได้แก่ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ รวมกันเข้าเป็นตัว แล้วก็มีอากาศธาตุบรรจุช่องว่าง มี วิญญาณธาตุ รับรู้ในการสัมผัส เป็นเรือนร่างที่อาศัยของจิต จิตอาศัยการทรงอยู่ ขณะใดที่การทรงอยู่ขณะนั้นจิตก็ยังอาศัยอยู่ และจิตเป็นผู้บัญชาการทางด้านประสาท ให้ร่างกายพูด ตามกำลังของจิตที่สั่ง เมื่อร่างกายพังไปแล้ว จิตก็ต้องหาชาติภพเป็นที่เกิดต่อไป ถ้ายังไม่สิ้นกิเลส
    ทีนี้การหาชาติหาภพเป็นที่เกิดใหม่ หรือเกิดมาแล้วก็ดี ไม่มีอะไรเป็นสุข มันเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ถ้าความผูกพันในร่างกายมีมากเพียงใด เราก็มีความทุกข์มากเพียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามักจะเอาจิตเข้าไปยึดกายเป็นกำลัง ถ้าหากเราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา สภาวะร่างกายเป็นของสกปรกจิตก็ตก จิตก็ตัดจากกามฉันทะ ความพอใจในเพศเสียได้ นี่เราพูดกันแต่เพียงคำแนะนำเป็นแนวทางเท่านั้น ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าถึงความจริง อย่าสักแต่ว่าฟัง ๆ แล้วก็ปล่อยให้เลยไป
    จิตของเราที่ยุ่ง วาจาของเราที่เสีย กายของเราที่ไม่สำรวม ก็เพราะอาศัยจิตไม่ดี ไม่ใช้ปัญญา ไม่ใช้สัญญา สัญญาจำไว้แค่นี้ ทำจิตให้เป็นสมาธิ ปัญญามันเกิด ปัญญาก็พิจารณาเห็น เห็นคนเมื่อไร เห็นสัตว์เมื่อไร มีความรู้สึกทันที ว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมดเต็มไปด้วยความสกปรก ความผูกพัน ความกระสันอยากจะได้ปรารถนาจะสัมผัส ไม่มีในจิต ให้จิตมันทรงสภาพเช่นนี้ เห็นคนเหมือนกับเห็นซากศพ เห็นคนเหมือนกับเห็นของเน่าเปื่อย เห็นคนเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาบรรจุอุจจาระ ปัสสาวะไว้เต็ม เท่านี้จิตก็จะมีความรังเกียจ
    เมื่อมันเป็นของสกปรก มันก็เป็นของไม่เที่ยง มีอนัตตา คือ สลายตัวไปในที่สุด จิตก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ผูกพันในรูปกายใด ๆ ทั้งหมด จะเป็นที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม เห็นว่าไม่เป็นสาระ หรือว่าไม่เป็นแก่นสาร มันมีแต่ความสกปรก เครื่องประดับที่แต่งกายเป็นของหลอกลวง ไม่มีอะไรดี ผ้าผ่อนท่อนสไบหามาแล้วอย่างดี สีสดสวยเดี๋ยวก็ทรุดโทรม ความจริงนึกว่าสะอาด มันก็สกปรก ก่อนที่จะใช้จะสวมกายก็ต้องชำระล้าง สวมแล้วก็เก็บ จะใช้ใหม่ก็ต้องซักฟอก นี่แสดงว่ามันสกปรกอยู่เสมอ ทีนี้อะไรมันเป็นของสะอาด เป็นอันว่าวัตถุก็ดี สิ่งที่มีชีวิตก็ดี มันก็ของไม่สะอาดทั้งหมด จิตคิดอย่างนี้ให้มันเป็นปกติ จิตก็จะตัดความรักเสียได้
    ความรักที่มันเกิด เราเข้าใจว่ามันสวย เข้าใจว่ามันสะอาด อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของตัณหา ดึงไปอบายภูมิมีนรกเป็นต้น นี่พระทุกองค์ เณรทุกองค์ ฆราวาสทุกท่าน จงทำจิตอย่างนี้เป็นปกติ จะสังเกตไว้ ว่าใครสนใจหรือไม่สนใจ คนที่เขาสนใจเขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดกับบุคคลอื่น เพราะอะไร เพราะต้องดูตัวไว้เสมอว่าเรามีจุดบกพร่องขนาดไหน อย่าปล่อยให้กิเลสมันล้นจากใจ ถ้าจะเลวอยู่แค่ในใจ ความรักจะพึงเกิดขึ้นในเพศก็อยู่แค่ใจ อย่าให้มันไหลมาทางตา อย่าให้มันไหลมาทางปาก อย่าให้มันไหลมาทางกายอย่างนี้ เขาเรียกว่าขังรัก เป็นแค่กำลังของสมาธิ เป็นสมถภาวนา แต่ทำลายอารมณ์รักภายในใจเสียได้ นี่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เขาทำกันยังงี้นะ มีอารมณ์ให้ทรงอยู่เป็นปกติ
    ความมีระเบียบวินัยเป็นสำคัญ คนที่เลวย่อมไม่รักษาระเบียบวินัย ไม่จำคำสั่งและคำสอน คือ คนใดก็ตามต้องมีอาการเตือนกันอยู่เสมอ ๆ นั่นจงรู้ว่าเลวเกินไปสำหรับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะการเป็นมนุษย์เรามาจากความดี มาจากทานมาจากศีล มาจากภาวนา ถ้ามาถึงความเป็นมนุษย์แล้วทำเป็นคนไร้ศีล ไร้ทาน ไร้ภาวนา คือการเจริญปัญญา ก็แสดงว่าเรากลับเป็นสัตว์ของอบายภูมิใหม่ กายเป็นคน แต่ใจเป็นสัตว์ กายเป็นคน แต่ใจเป็นเปรต นี่เป็นวิสัยของคนที่ไม่รักดี ไม่รักงาม นี่เราฟังธรรมกันมาถึงขั้นความเป็นพระอริยะ แต่ว่าจิตใจของเรายังตกเป็นทาสของอบายภูมิอยู่ก็รู้สึกว่าจะเลวมากเกินไป
    ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่การด่า เป็นการแนะนำตามที่เขาปฏิบัติกันมา เขาทำกันอย่างนี้ อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวไว้เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น คตินี้นักปฏิบัติทุกคนเขาจะประณามตัวเองไว้เสมอ อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิดหนึ่ง (วันนี้เราพูดกันถึงกามราคะ) เขาจะประณามว่าเลวทันที ของอะไรก็ดี ถ้าชมว่าสวย ชมว่างาม เมื่อรู้สึกขึ้นมาก็ รู้สึกว่าใจของเรามันเลวเสียแล้วรึ นี่แค่เขาตำหนิตัวเข้าแล้ว แล้วยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่น ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร่าร้อน นั่นแสดงว่ากิเลส มันไหลออกมาทางกายและทางวาจา มันล้นออกมาจากใจ มันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ นี่เราต้องประฌานอย่างนี้ แล้วทางที่ไปจะไปไหน เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังเป็นไม่ได้ ต้องไปขึ้นต้นมาจากนรก มันไม่เหมาะสำหรับเรา นี่เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกติ อย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา
    เรื่องราวต่าง ๆ ที่มันมีความทุกข์ มีความเดือดร้อนก็เพราะ ว่าความเลวของจิต เราขาดการสำรวม เราขาดการระมัดระวัง การที่ทำความชั่วให้เกิด ทำความเดือดร้อนให้เกิด ประเภทนี้มันเป็นวิสัยของท่าน โลลุทายี หรือว่า เทวทัต ไม่ใช่ของคนปกติธรรมดา หรือไม่ใช่ของพระศากยบุตรพุทธชิโนรส อันนี้ต้องรำพึงจำไว้เสมอ จำแล้วก็จงอย่าทำความเลว จงอย่าคิดความเลว นี่เป็นเรื่องของอนาคามีมรรคข้อแรก
    มาถึงอนาคามีมรรคข้อที่สอง ตรงนี้ท่านบอกว่า ตัดปฏิฆะ คำว่าปฏิฆะ ไม่ได้หมายถึงความโกรธ ความพยาบาท เรื่องความโกรธ ความพยาบาท มันเป็นเรื่องของพระสกิทาคามี ที่บรรเทาความโกรธ บรรเทาความพยาบาท คิดให้อภัยทาน ความโกรธเกิดขึ้น ความพยาบาทจองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมเกิดขึ้น รู้สึกตัวขึ้นมา คิดให้อภัยแก่บุคคลผู้ทำความผิด ให้อภัยบุคคลที่ว่าเราให้อภัยบุคคลที่ด่าเรา ให้อภัยบุคคลที่กลั่นแกล้งเรา อารมณ์จิตก็มีความสุข สำหรับพระอนาคามี พระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสว่า ตัดความโกรธกับความพยาบาท ให้ตัด ปฏิฆะ
    ปฏิฆะคืออารมณ์ที่ไม่พอใจเข้ามากระทบจิต อารมณ์ใดก็ตามที่คนเขาหาทางกลั่นแกล้งด้วยทางกายบ้าง แสดงโดยทางวาจาบ้าง แสดงโดยทางนิมิตบ้าง อันเป็นที่ไม่ชอบใจของเรา ทางวาจาก็ได้แก่ การนินทาว่าร้าย เสียดสีต่าง ๆ ทางกายก็ได้แก่การประทุษร้ายร่างกายบ้าง แสดงอาการออกทางร่างกายบ้างว่าเราเลว หรือว่า แสดงนิมิตต่าง ๆ ได้แก่การเขียนหนังสือ ทำรูปลักษณะเปรียบเทียบอย่างนี้เป็นต้น เป็นที่ไม่ชอบใจเรา คำว่าไม่ชอบ อาการทั้งหมดนิดหนึ่งในอารมณ์ของพระอนาคามีจะไม่มีเลย ไม่ถึงกับโกรธ ไม่ใช่ถึงกับโกรธ
    พระอนาคามีตัดอารมณ์ที่ไม่พอใจ อารมณ์ที่ไม่พอใจในของด้านกิเลส แต่ว่าไม่พอใจโดยธรรมไม่มี หมายความว่า พระองค์นี้ เณรองค์นี้ ฆราวาสคนนั้น ไม่ปฏิบัติอยู่ในศีลาจารวัตร ไม่เป็นที่ถูกต้อง อย่างนี้ไม่พอใจ ไม่สมาคมด้วย อย่างนี้เป็นการสมควร ไม่ถือว่าเป็นปฏิฆะข้อนี้ รู้ว่าพระภิกษุสามเณรไม่มีศีลาจารวัตร ก็เป็นสัตว์ในนรกเสียนี่ เรื่องอะไรที่เราเป็นผู้มีศีลาจารวัตรจะไปคบหาสมาคมด้วย นี่ไม่ใช่อำนาจความโกรธความพยาบาท เพราะอาศัยความเคารพในธรรม
    ทีนี้สำหรับพระอนาคามี ตัวปฏิฆะ คือ อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต กระทบเพื่อความไม่พอใจ ตัวแรกนั่นตัดกามฉันทะ อารมณ์ที่พอใจ อยากจะได้เข้ามา ตัวปฏิฆะ อารมณ์ที่ไม่พอใจเข้ามากระทบทำให้เร่าร้อน
    ทีนี้การที่จะตัดปฏิฆะทำยังไง เราก็รวบรวมกำลังพรหมวิหาร 4 ก็อภัยทานนั่นเอง ความจริงพรหมวิหาร 4 นี่เรามีกันมาตั้งแต่ เริ่มต้นเจริญพระกรรมฐานก่อน การที่นักปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานจะมีความดีทรงตัวอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยพรหมวิหาร 4 นักปฏิบัติจริง ๆ ขั้นเลวสุดเขามีพรหมวิหาร 4
    ทีนี้พวกเรามีใครบ้างไหม ในอดีตใกล้ก็ดี ไกลก็ดี ที่ขาดพรหมวิหาร 4 มีอารมณ์คิดเป็นศัตรูกับคนอื่น คิดทำลายล้างบุคคลอื่น คิดอิจฉาริษยาบุคคลอื่น คิดลงโทษ คิดซ้ำเติมในความผิดของบุคคลอื่น มีบ้างไหม ในอดีตเริ่มตั้งแต่ย่างเข้ามาสู่สำนักนี้ อารมณ์จุดไหนมีบ้าง ถ้ามีอยู่ไม่รู้ตัวนี่เลวมาก หมายถึงว่าเป็นที่ไปแห่งอเวจีมหานรก ถ้าขณะใดเรารู้อยู่ว่ามี ในกาลนั้นพึงรู้ว่านี่เราเป็นสัตว์นรกเสียแล้ว ไม่ใช่แดนของอริยะ หรือไม่ใช่แดนของสมณะ ไม่ใช่แดนของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา นี่ความจริงพรหมวิหาร 4นี่ เราศึกษากันมาตั้งแต่ต้น ถ้าไม่มีในใจ ก็แสดงว่าเลวเกินไปสำหรับความเป็นมนุษย์ และก็เลวเกินไปที่จะต้องเกิดเป็นสัตว์ เป็นอสุรกาย หือเป็นเปรต ช่วงที่อยู่คือ อเวจีมหานรก เตือนใจเตือนตัวให้รู้ไว้ ความเลวประเภทนี้ไม่มีสังคมใดเขาต้องการ นี่ความรู้สึกอย่างนี้ต้องมีกับเราเสมอ
    ถ้าเรามีอารมณ์แค่พรหมวิหาร 4 เราก็จงทราบว่านี่เราเลวมากเกินไป เพราะอะไร พรหมวิหาร 4 อันดับต่ำเราก็มีสิทธิแค่เกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น ถ้าพรหมวิหาร 4 อันดับกลาง หมายความว่า มีอารมณ์จิตทรงตัว มีความมั่นคงกระชับในความรักคนและสัตว์เสมอด้วยเรา ถ้าเรารักเขา เราไม่สามารถจะไปว่าเขา จะไปติเขา จะไปเสียดสีเขา จะไปกลั่นแกล้งเขา อันนี้ไม่มี คนที่เรารักเราก็มีกรุณา ความสงสาร เมื่อเราไม่กลั่นแกล้ง ไม่เสียดสี ไม่คิดทำลายมีความรัก ก็มีจิตเกื้อกูลจะสงเคราะห์ให้มีความสุข อารมณ์ใดที่มีความบกพร่องอยู่ กิจใดที่เขาบกพร่องเราเกื้อกูลให้เต็มขึ้นมา ไม่ใช่กล่าววาจาเสียดสี เป็นอาการไม่ดี
    วงกับข้าวกับปลา วงไหนอาหารไม่สมบูรณ์ บกพร่องไปเราเกื้อกูลด้วยอาหาร อาการอย่างใดที่เขาบกพร่อง กิจการใดที่เขาบกพร่อง ไม่สามารถจะทำได้ เราช่วยในกิจการนั้น ความรู้ใดที่เขาบกพร่องไม่สามารถจะทำได้ เราช่วยในกิจการนั้น ความรู้ใดที่เขาบกพร่องไม่สามารถจะมีได้ เราแนะนำด้วยเมตตาจิต ไม่ใช่เอาอารมณ์ความเลวทราม ความข่มขู่เข้าไปใช้
    แล้วก็มีอุเบกขา ความวางเฉยในอาการที่ปรากฏขึ้นกับจิตอันเป็นโทษแห่งความทุกข์ หมายความว่าใครเขาด่า เขาว่า เขาติเตียน ถือว่า ช่างมัน อารมณ์สบาย อารมณ์อย่างนี้ยังไม่ใช่ปัจจัยของพระอนาคามี ถ้าลงคำว่า ช่างมันได้ ก็เป็นปัจจัยของพรหมโลก
    นี่พรหมวิหาร 4 ที่เราจะทรงกันแต่เล็กแต่น้อย แต่เริ่มต้น ถ้ามีความมั่นคงอย่างนี้ จิตมีความรัก มีความเมตตาปราณี จิตครุ่นคิดในความสงสาร ปรารถนาในการสงเคราะห์ ไม่อิจฉาริษยาใคร วางเฉยในเมื่อกฎของกรรมเข้ามาถึง การกระทบกระทั่งเข้ามาถึง อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพรหมวิหาร และถ้าจะกล่าวกันไปก็อยู่ในขั้นของพระโสดาบัน
    มีพรหมวิหาร 4 ที่มีอารมณ์ละเอียดยิ่งกว่านี้ ก็ได้แก่มีความรักมากขึ้น สงสารมากขึ้น หวังดีมากขึ้น มีอารมณ์วางเฉยไม่หวั่นไหวมากขึ้น เป็นอภัยทาน ใครทำความผิดใด ๆ ก็มีความโกรธเกิดขึ้นกระทบกระทั่งจิตใจ รู้สึกตัวขึ้นได้ว่า อ๋อ นี่ควรให้อภัยเขา เขาทำไปด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมบังคับ เราไม่น่าจะโกรธ ให้อภัยแก่บุคคลผู้ทำความผิด นี่เป็นปัจจัยของพระสกิทาคามี
    ทีนี้ พระอนาคามีทำยังไง เร่งรัดพรหมวิหาร 4 ทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุเบกขาญาณ วิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย มีอารมณ์ร่วมกัน สังขารุเปกขาญาณ มีความวางเฉยในขันธ์ 5 หมายความว่าขันธ์ 5 มันมีสภาพยังไงรู้อยู่แล้ว ว่ามันมีความเกิดขึ้น มันมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอนัตตา มีการสลายตัวเข้าไปในที่สุด พัง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา โลกธรรมทั้งหมด ความมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ รู้ตัวอยู่เสมอว่าช่างมัน มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน มันจะแก่ก็เชิญแก่ซี มันจะป่วยก็เชิญป่วย มันจะตายก็เชิญตาย ของที่ชาวบ้านเขารัก เขาหวงแหน มันพังสลายตัวลง ญาติตาย พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย คนรักตาย ของที่รักสูญหาย ชาวบ้านเขาก็เสียใจ เราเฉย ถือว่านี่มันเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องแก้ไขกันได้ ห้ามปรามกันได้ แก้ไขไม่ได้ เรื่องอะไรจะต้องไปเสียใจกระทบใจ มีอารมณ์วางเฉย มีจิตสดชื่นเป็นปกติ ถือว่านี่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแล้ว ตรงที่พระพุทธเจ้าสอนว่าของจริงมันเป็นไปตามนี้
    อารมณ์วาจาที่เขากล่าวให้ไม่เป็นที่พอใจ นินทาเกิดขึ้นเราถือว่าเป็นเรื่องเล็ก นายอยากจะปากเสียก็เสียไป ถือว่าถ้อยคำประเภทนี้เขาหลอกให้เราเป็นทาส เราไม่เอา หรือไม่โกรธ ไม่โกรธทั้งคนสรรเสริญและไม่โกรธคนนินทา แล้วก็ไม่ดีใจในคำสรรเสริญ ถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
    ลาภเกิดขึ้นถือว่าไม่ช้ามันก็หมด คนที่ร่ำรวยมาก ๆ ตายแล้วเอาไปไหนไม่ได้ ลาภเสื่อมสลายตัวไป มันสูญไป เพราะว่าเราต้องใช้ต้องสอย มีเหตุใด ๆ เกิดขึ้นก็ตาม ถือเป็นเรื่องธรรมดา ชาวบ้านเขาหมดมา เราเคยหมดไปแล้ว เคยหามาได้มากกว่านี้ หมดมากกว่านี้ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ชาวบ้านเขาหมดมากว่าเราก็มีเยอะแยะไป มันของปกติธรรมดา เราก็เฉย
    รวมความว่าใช้สังขารุเปกขาญาณ เฉยทั้งอาการที่เข้ามากระทบกระทั่งจิตในด้านของโลกีย์วิสัย เฉยทั้งคำชม เฉยทั้งคำนินทา เฉยทั้งได้มา เฉยทั้งทั้งเสื่อมไป เฉยหมด ไม่มีอะไรสนใจ คำนินทาว่าร้าย เกิดขึ้นกระทบใจแผล็บ ปล่อยหลุดไปเลย ช่างมัน ฉันไม่ยุ่ง อารมณ์อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย จะป่วยไข้ไม่สบาย มันจะแก่ มันจะตายก็ช่างมัน แต่การรักษาพยาบาล การบริหารร่างกายเป็นธรรมดา ถือว่าทำตามปกติ
    ถ้าเขาจะถามว่า ถ้าทำจิตได้ยังงี้ ยังสูบบุหรี่ไหม ยังกินหมากไหม ยังจะต้องใช้ของที่เคยใช้กับร่างกายไหม ก็ต้องตอบว่าใช้ตามปกติ เขาไม่ได้ติด แต่ร่างกายต้องการ เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธเจ้า แล้วยังฉันภัตตาหาร เรื่องอะไรที่ประสาทต้องการ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องบำรุงโดยประสาท เพื่อเราจะเอาไว้ใช้เป็นประโยชน์ เหมือนกับคนที่ลงเรือรั่วเพื่อหวังจะข้ามฟาก ถ้าขณะใดที่ยังอาศัยเรืออยู่ เมื่อน้ำมันรั่วขึ้นมาเราก็ต้องอุด มันผุตรงไหน ก็ต้องทำนุบำรุงซ่อมแซม ไม่ใช่ปล่อยให้มันรั่วให้มันพังไปจนกว่าเราจะขึ้นฝั่งได้
    นี่อารมณ์ใจแค่นี้กิเลสมันยังไม่หมด ปรากฏว่ามันหมดไปเพียงแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะว่าอันนี้ถ้าทำได้ทั้งหมด ตัดกามฉันทะได้เด็ดขาด ตัดปฏิฆะได้เด็ดขาด จึงจะเป็นอนาคามีผล ยังไม่ถึงอรหัตผล ขอให้ท่านทั้งหลายจงทบทวนกำลังใจไว้ให้ดี มันเป็นของไม่ยาก ต่อไปนี้ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
     
  4. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    อ้างอิงจาก...พี่กูเกิ้ล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ประเภทของพระอนาคามี
    อนาคามี โลกุตรภูมิ คือ ภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ที่จะไม่กลับมาเกิดอีก หมายความว่า ผู้ที่เข้าถึงภูมินี้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่า เป็นพระอนาคามี เป็นพระอริยบุคคลในลำดับที่ 3 ในพระพุทธศาสนาต่อจากพระสกิทาคามี และจะไม่กลับมาเกิดในกามภพอีก

    คุณวิเศษของพระอนาคามี

    ดังกล่าวมาข้างต้นแล้วว่า พระอนาคามีจะต้องผ่านภาวะของการเป็นพระโสดาบัน และภาวะของการเป็นพระสกิทาคามีอีกเป็นขั้นที่ 2 จึงจะมาถึงขั้นพระอนาคามี ซึ่งพระอนาคามีทรงคุณวิเศษ คือ ย่อมละอนุสัยได้เด็ดขาดเพิ่มอีก 2 ชนิด จากพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี ได้แก่

    1. กามราคานุสัย คือ ความยินดีพอใจในกามคุณ

    2. ปฏิฆานุสัย คือ การติดอยู่ในความไม่พอใจในอารมณ์ทั้งหลายที่มากระทบ

    ผู้ที่บรรลุธรรมเข้าถึงสภาวะความเป็นพระอนาคามีแล้ว หลังจากละโลกแล้ว จะบังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส อันเป็นที่บังเกิดของบุคคลผู้เข้าถึงภาวะความเป็นพระอนาคามี เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภทดังนี้

    1. อันตราปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาส ชั้นใดชั้นหนึ่งแล้ว ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ภายในอายุครึ่งแรกของพรหมสุทธาวาส


    2. อุปหัจจปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ภายในอายุครึ่งหลังของพรหมสุทธาวาส


    3. อสังขารปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภูมินั้นอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก ก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน


    4. สสังขารปรินิพพายี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล เมื่อบังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภูมินั้น โดยต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างแรงกล้า จึงจะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน


    5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี คือ พระอนาคามีอริยบุคคล ที่บังเกิดในพรหมสุทธาวาสชั้นต่ำที่สุด คือ ชั้นอวิหาสุทธาวาส จากนั้นจึงจุติในพรหมสุทธาวาสในชั้นสูงๆ ขึ้นไปตามลำดับ คือ อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา แล้วจึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจึงดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในอกนิฏฐ พรหม ซึ่งเป็นพรหมสุทธาวาสชั้นที่สูงที่สุด
     
  6. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ทรงคุณพิเศษไม่มีใครเป็นรอง สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสีสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีวาสนาบารมี มีกิเลสธุลีเหลือติดอยู่น้อยนักหนาโดยท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระ พุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น ฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุคคลที่อุบัติเกิดในอกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่า บรรดาพระพรหมทั้งสิ้นในพรหมโลกทั้งหลายรวมทั้งสุทธาวาสพรหมทั้งสี่ที่กล่าว มาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 16000 มหากัป

    พรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์สำคัญ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นพรหมโลกที่เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนา องค์หนึ่งมีนามว่า ทุสสะเจดีย์ ซึ่งเป็นที่บรรจุผ้าขาวของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเสด็จออกผนวช โดยพระพรหมทั้งหลายได้นำบริขารและไตรจีวรลงมาถวาย และพระองค์ได้ถอดผ้าขาวที่ทรงอยู่ยื่นให้ พระพรหมจึงรับเอาและนำมาบรรจุไว้ยังเจดีย์ที่นฤมิตขึ้นนี้ และเป็นที่สักการบูชาของพระพรหมทั้งหลายในปัจจุบัน

    พระพรหมอนาคามีทั้งหลายในสุทธาวาสพรหมแรกทั้ง 4 หากยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน พอสิ้นพรหมายุขัย ก็ต้องจุติจากสุทธาวาสพรหมภูมิที่ตนสถิตอยู่มาอุบัติในชั้นที่ 16 นี้ เพื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานโดยทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมินี้ เป็นพรหมภูมิที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ อยางประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื่นๆ ทั้งหมด
     
  7. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    paderm
    paderm
    วันที่ 10 ส.ค. 2556 09:16 น.
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    พระอนาคามี คือ พระอริยบุคคล ขั้นที่สาม ที่ดับเเล้ว ที่เป็นเครื่องร้อยรัด สังโยชน์

    เบื้องต่ำ 5 ประการแล้ว คือ สักกายทิฏฐิ คือ ความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล

    วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย สีลพรตปรามาส ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด โทสะ ความขุ่นใจ

    และโลภะ ที่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส 5 ประการ จนหมดสิ้น

    ไม่เกิดอีกเลย

    พระอนาคามี เมื่อดับกิเลส 5 ประการเหล่านี้แล้ว ความประพฤติเป็นไปทางกาย

    วาจา และใจก็น้อมไปตามคุณธรรมของท่าน เมื่อดับกิเลส คือ โลภะ ที่ยินดีในรูป

    เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว ก็ไม่มีความยินดีที่จะครองเรือน เพราะฉะนั้น

    หากเป็นพระอนาคามี ไม่ว่าจะอยู่ในเพศบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ก็ตาม ท่านก็จะไม่มี

    การครองเรือน แต่งงานอีก หรือ ถ้าครองเรือนอยู่ ก็ไม่ครองเรือน ครับ

    ดั่งเช่น พระอริยบุคคล ที่เป็นพระอนาคามีในอดีตกาล มี ท่านอุคคตคฤหบดี ที่

    มีภรรยา อยู่หลายคน เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามี แล้ว ท่านก็ให้ภรรยาสามารถไปกับ

    คนอื่นได้ตามชอบใจ ส่วนตัวท่าน ก็ไม่ครองเรือนอีก และ มีศีล 8 เป็นปกติของท่าน

    ซึ่งในศีลข้อ 8 ข้อที่ 3 ก็มีข้ออพรหมจรรย์ คือ งดเว้นจากการเสพเมถุนธรรม ที่เป็น

    ธรรมที่เป็นของต่ำ ของชาวบ้าน ซึ่งพระอนาคามี ย่อมรักษาคือ มีศีลข้อนี้เป็นปกติ ที่

    จะไม่มีเรื่องเช่นนั้น ท่านจึงไม่ครองเรือน ไม่แต่งงาน ครับ

    ขออนุโมทนา
     
  8. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    อารมณ์พระอนาคามี
    อารมณ์พระอนาคามี
    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาพระภิกษุสามเณรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐาน สมาทานศีลแล้ว วันนี้จะได้ศึกษาในเรื่องของ อนาคามีผล
    สำหรับวันก่อนได้น้อมนำเอาอารมณ์ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระโสดาบันก็ตั้งแต่สัตตักขัตตุง โกลังโกละ เอกพิชี และสกิทาคามีมาพูด สำหรับวันนี้จะนำเอา อารมณ์ของพระอนาคามี มาพูด แต่ก่อนที่จะพูดอารมณ์ของพระอนาคามี ความจริงถ้าอารมณ์จิตของบรรดาท่านทั้งหลายเข้าถึงพระสกิทาคามีแล้ว การทรงอารมณ์ของพระอนาคามีผลเป็นของไม่ยาก เพราะว่าเป็นการศึกษามาตามลำดับ
    ก่อนที่จะพูดในอารมณ์ของพระอนาคามี ก็จะขอน้อมนำเอาไปปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์สอนไว้มาแนะนำกันเสียก่อน แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกหลัก ไม่ถูกเกณฑ์ ไม่ถูกแผน ผลแห่งการบรรลุมันก็ไม่มี วิธีปฏิบัติที่ปฏิบัติกันมา จะต้องทำแบบนี้ ไปดูในวิปัสสนาญาณ 9 ข้อที่ 8 ท่านเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ แต่ว่าข้อที่ 9 นั้นท่านเรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ คำว่า สัจจานุโลกมิกญาณ นั้น ไม่มีญาณเฉพาะสำหรับตน เป็นการปฏิบัติ คือ คำนึงจิตและพิจารณาย้อนไปย้อนมา
    สมมุติว่าท่านทั้งหลายกำลังเจริญสมาธิจิต เริ่มตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือว่าถือนิมิตในกสิณ เช่นเราเคยเจริญอานาปานุสสติหรืออนุสสติมาก่อน แล้วไปจับพุทธานุสสติ และไปจับธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ หรือว่าเล่นกสิณกองใดกองหนึ่ง
    วิธีปฏิบัติเขาทำแบบนี้ พอเริ่มต้นเข้ามาเขาต้องจับอารมณ์ต้นก่อน เช่น เจริญอานาปานุสสติก่อน ก็ต้องจับอานาปานุสสติให้มีอารมณ์ถึงที่สุดที่เราได้มาแล้ว แล้วก็ปล่อยอารมณ์จิตให้มันทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นให้สบาย เมื่อจิตมีความสบายถึงที่สุด ทรงอารมณ์ถึงที่สุดแล้วก็เคลื่อนไปจับกองที่ 2 กองที่ 3 กองที่ 4 กองที่ 5 ตามลำดับ แต่ละกองนั้น ๆ ก่อนที่จะเคลื่อนไป ให้จิตเข้าถึงจุดสูงสุดตามกรรมฐานกองต้นเสียก่อน เมื่อจับไปตามลำดับถึงที่สุดแล้ว จึงค่อยทำต่อกองทีทำต่อใหม่ กองที่ทำต่อใหม่นั้น เราจะใช้เวลาเพียงนิดเดียว อารมณ์ก็จะทรงตัว
    ทั้งนี้เพราะว่ากรรมฐานทั้ง 40 กองก็ดี มหาสติปัฏฐานสูตรก็ดี มีอารมณ์เหมือนกัน เช่นเราทรงสมาธิจิตในด้านอานาปานุสสติถึงฌาน 4 หรือว่าฌาน 1 หรือว่าฌาน 2 หรือว่าฌาน 3 ก็ตาม เริ่มต้นเราก็จับอานาปานุสสติให้เข้าทรงฌานถึงที่สุดตามที่เราจะพึงทำได้ในวันนั้น เราปล่อยจิตให้ทรงอยู่ให้อารมณ์สบาย เมื่อจิตเป็นสุขดีแล้ว ขยับเข้าไปกองที่ 2 หรือ กองที่ 3 แต่ละกองจะใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที อารมณ์ก็จะทรงตัวตามนั้น
    เป็นอันว่าถ้าทำอย่างนั้น ก็ชื่อว่าเราใช้วิธี สัจจานุโลมิกญาณ อนุโลมคือเดินตั้งแต่ต้นเข้าไปถึงปลาย บางทีก็จับตั้งแต่ปลายเข้ามาหาต้น จิตทรงอารมณ์ได้ตามปกติ สม่ำเสมอกันทุกจุดอย่างนี้ จะมีอารมณ์ไม่เคลื่อนจากสมาธิทุกกอง ไม่ใช่ทำกองนี้ได้ ไปกองหน้าทิ้งกองหลัง อันนี้ใช้ไม่ได้ เขาต้องเก็บไปตั้งแต่ต้น
    ถ้าหากว่าสมมุติว่าทุกท่านทรงกรรมฐานทั้งหมดได้ 40 กอง เวลาเราจับตั้งแต่ต้น 1 ถึง 40 มิต้องใช้เวลาตลอดคืนหรือ ผมก็จะขอตอบให้ท่านทราบว่าอย่างช้าที่สุดกรรมฐาน 40 กองนี่ เราจะเรียงตามลำดับให้ทรงฌานถึงที่สุดไม่เกิน 15 นาที แต่ผมว่ามันไม่ถึงนา ผมไม่เคยทำถึงนี่ เมื่อกองแรกเราคล่อง กองอื่นมันก็เหมือนกัน
    กรรมฐาน 40 กอง ถ้าจะเปรียบกับเรากินข้าว ถ้าเราเคยกินข้าวด้วยมือ เขามาให้กินข้าวด้วยช้อน มันก็เป็นของไม่ยาก ถ้าเคยกินข้าวด้วยช้อนสังกะสี เปลี่ยนมาเป็นช้อนส้อมมันก็ไม่หนัก มันจะเกะกะอยู่นิดเดียว ข้อนี้ฉันใด แม้การเจริญพระกรรมฐานซึ่งมีการเปลี่ยนอารมณ์ก็เหมือนกัน การเปลี่ยนอารมณ์เข้าไปหาอารมณ์แต่ละกอง แต่ทว่าอารมณ์จริง ๆ คือ สมาธิ มันอันเดียวกัน นี่จุดหนึ่งนะครับ
    และอีกจุดหนึ่งถ้าเราจะเดินด้านวิปัสสนาญาณ เวลานี้จะพูดกันถึงพระอนาคามี แต่ทว่าก่อนที่เราจะใช้อารมณ์จับพระอนาคามี แต่ทว่าก่อนที่เราจะใช้อารมณ์จับพระอนาคามีในเวลาสงัด หรือ เวลาไหนก็ตาม เราก็ต้องนั่งไล่เบี้ยมาตั้งแต่พระโสดาบันก่อน คำว่าไล่เบี้ยมานี่เป็นการสอบสวนอารมณ์จิตของเรา ว่าอารมณ์จิตเดิมที่เราไล่เบี้ยมานี่เป็นการสอบสวนอารมณ์จิตของเรา ว่าอารมณ์จิตเดิมที่เราไล่เบี้ยตั้งแต่พระโสดาบันน่ะ มันทรงตัวแล้วหรือเปล่า ถ้าพระโสดาบันกับพระสกิทาคามียังไม่ทรงตัว เราก็อย่าพึ่งไปยุ่งกับอนาคามีผลหรือว่าจะเป็นอนาคามีมรรค ต้องจับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปตามขั้นตามระยะ มีอารมณ์ทรงตัวเห็นว่าจิตทรงแน่แล้ว จึงจะก้าวเข้าไปสู่ข้อหน้าต่อไป เท่านี้เราก็ใช้วิธีสัจจานุโลมิกญาณ
    อันดับแรกเริ่มต้นเมื่อหาที่สงัดได้ คำว่าสงัดมันจะสงัดเสียง หรือ ไม่สงัดก็ช่าง แต่ทำใจของเราให้สงัดในนิวรณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า บรรดาพระสมณะอยู่ที่ไหน ที่นั่นย่อมสงัด คือ มีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายต้องการที่สงัดใช่ไหม คือ ต้องอยู่ในป่าชัฏ ต้องการอยู่ในป่าช้า ต้องการอยู่ในเขา ต้องการอยู่ในบ้านที่ปราศจากผู้คน แต่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดากลับทรงตรัสว่า
    "พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ พระอริยเจ้าจะอยู่ในป่าก็ดี อยู่บนยอดเขาก็ดี อยู่ในถ้ำก็ดี อยู่ป่าชัฏก็ดี อยู่บ้านว่างจากคนก็ดี หรือว่าอยู่ในบ้านก็ดี อยู่บ้านว่างจากคนก็ดี พระอริยเจ้าทั้งหมดนี้ย่อมมีอารมณ์สงัด ไม่ว่าที่ใดก็สงัดหมด เพราะว่าอารมณ์ของทุกท่านสงัดจากกิเลสเสียแล้ว
    นี่เป็นอันว่า คำว่าสถานที่สงัด คือ เราใช้อารมณ์สงัดจะไปนั่งคิดว่าที่นั้นต้องไม่มีเสียง ที่นี่ต้องไม่มีเสียง เราคิดหรือว่า เวลาที่เราจะตายน่ะเราจะหาที่สงัดได้ เราต้องพร้อมใจไว้เสมอว่า เวลาที่เราจะตาย อาจจะมีเสียงเครื่องขยายเสียงทั้งด้านข้าง ด้านซ้าย และด้านขวา ใกล้ ๆ เราอาจจะมีใครกำลังทะเลาะกันอยู่ก็ได้ หรือ อาจจะมีใครเขามานั่งด่าเราอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้ เราต้องเตรียมใจไว้ ถ้าอาการอย่างนั้นมันปรากฏ เราจะไม่เอาจิตของเราเข้าไปยุ่งกับเสียงกับอารมณ์ต่าง ๆ ทำจิตของเราให้สงัดจากเสียง เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา เรื่องของเราก็เรื่องของเรา
    นี่เป็นอันว่าที่สงัดของเราไม่ใช่หมายความว่าสงัดเสียง ไม่ใช่หมายความสงัดจากอาการกายกรรม คือ การทำงานต่าง ๆ ที่สงัดของเรา คือ ใช้อารมณ์จิตสงัดจากนิวรณ์ 5 ประการและก็สงัดจากกิเลสด้วย
    จำให้ดีนะครับ ต้องถอยหน้าถอยหลัง เล่นกันไปแบบนี้ให้มันช่ำมันชอง ตอนนี้เราจะก้าวเข้าไปสู่ พระอนาคามีผล เราก็มานั่งนึกดูตอนต้นว่า โอ้หนอ….เวลานี้เรามีความเสียดายอะไรบ้าง ถ้าพ่อเราจะตายแม่เราจะตาย เมียเราจะตาย ผัวเราจะตาย ลูกเราจะตาย เพื่อนเราจะตาย ตัวเราจะตาย ของเราต้องสลายไป เรามีความรู้สึกว่าห่วงใยจุดใดบ้าง ถ้าปรากฏว่ามีอารมณ์ยังห่วงอยู่
    สมมุติว่าคิดว่าเขาจะตาย เราจะร้องไห้เราจะเสียใจ เราจะมีอารมณ์ว้าเหว่ ถ้าเราจะตาย เราสงสารคนที่อยู่ข้างหลัง ไม่มีใครประคับประคอง ไม่มีใครเลี้ยงดูเกื้อหนุนให้เธอมีความสุข ถ้าอารมณ์ยังมีอย่างนี้ก็เสร็จ ถ้องใช้อารมณ์จิต ใช้ปัญญาต่อว่าจิต ว่าเอ็งนี่มันเลวเกินไป ทำไมเธอลืมความจริงเสียแล้วหรือว่า คนทุกคน สัตว์ทั้งหมด วัตถุธาตุทั้งหมด มันมีอนิจจังเป็นเบื้องต้น อันดับแรกมันไม่มีความทรงตัวคือ ไม่เที่ยง และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ทำไมเธอไม่รักษาสัจธรรมอันนี้ไว้
    สัจจานุโลมิกญาณ อนุโลมถอยหน้าถอยหลังเรื่องอริยสัจ คือ ของจริงที่พระอริยเจ้าทรงไว้ จงเตือนใจว่าเจ้าจงอย่าลืมความจริงว่า ญาติผู้ใหญ่ของเรามี ถอยหลังไปตามลำดับนับหาที่สุดไม่ได้ แต่ว้าญาติทุกคนของเราท่านไม่มี เวลานี้บางคนมีชื่อแต่ไม่มีตัว และก็ส่วนใหญ่ทั้งหมดหายไปทั้งตัวและชื่อ คือนั่นท่านตาย และเราจะทรงอยู่ได้ยังไง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเวลาตายท่านห่วงเรารึเปล่า ท่านอาจจะห่วง นั่นมีประโยชน์อะไรสำหรับเราบ้าง เมื่อท่านตายไปแล้ว ประโยชน์ที่ดีจริง ๆ ตามสัจธรรมนั่นก็คือว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่เป็นต้นตระกูลของเรา แต่ท่านก็ตาย ในเมื่อต้นตระกูลตายแล้วก็ปลายตระกูล มันจะทรงอยู่ได้ยังไง มันก็ต้องมีสภาวะการตายเหมือนกัน นี่มันเป็นยังงี้ คิดให้มันลงตัว
    และก็ในเมื่อเราจะตายแล้ว เรามีอะไรเป็นที่พึ่ง พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระธรรมวินัย พระวินัยเป็นคำสั่ง พระธรรมเป็นคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งและก็ทรงสอนให้เราละชั่ว ประพฤติดีนะ เราทรงตัวได้แล้วหรือยัง ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยตอนไหนบ้าง ค้นคว้าในจิตของตัว ถอยหน้า ถอยหลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลของเราบริสุทธิ์พร้อมมูลแล้วหรือยัง นี่เป็นเรื่องของพระโสดาบัน ก้าวมาถึงพระสกิทาคามี โลภะความโลภของเรานี่ มันลดตัวลงไปจริง ๆ หรือเปล่า หรือว่ายังมีความทะเยอทะยานอยู่ โทสะความโกรธมีกำลังหนักหรือว่ามีกำลังเบา ถ้าหากว่าโลภะความโลภยังมี โทสะความโกรธยังมี โลภะความโลภในจิตของพระอนาคามี คือ ความอยากรวยมันต้องน้อย เรามีความรู้สึกว่ามียังไง กินยังงั้น มีแบบไหนใช้อย่างนั้น การประกอบอาชีพเป็นของปกติ ในเมื่อร่างกายยังมีชีวิต มันก็ต้องหากินหาใช้ ได้มากพอใจ ได้น้อยพอใจ แล้วก็คิดขึ้นว่าของที่ได้มาทั้งมากทั้งน้อย ตายแล้วเอาไปไม่ได้เลย จิตมีความสุข
    โทสะความโกรธ โกรธเขาทำไม เรามันเกิดมาให้เขาด่า เกิดมาให้เขานินทา เกิดมาให้เขาใช้ เกิดมาเพื่อความป่วยไข้ไม่สบาย เกิดมาเพื่อความแก่ เกิดมาเพื่อความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เกิดมาเพื่อตาย ในเมื่ออาการอย่างนี้มันเป็นปกติที่เราจะพึงรับ ทำไมเราจะไปสนใจในมัน ถ้าตายเมื่อไหร่ นั่นเราจะมีความสุข คือ เรามีหวังพระนิพพาน เราจะไปนิพพานแดนอมตะที่หาความทุกข์มิได้ ที่ทวนถอยหลังอารมณ์ของเราเข้าไว้ในจิตมันทรงตัว
    ด้านสมาธิก็ฝึกซ้อมไว้เป็นปกติ เวลาฝึกซ้อมไม่ต้องไปนั่งหลับตา หลับตามันไม่เก่ง ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงตัว ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาและความเป็นจริง เห็นอะไรเข้าตายหมด เห็นคนคนตาย เห็นสัตว์สัตว์ตาย เห็นวัตถุธาตุวัตถุธาตุพัง แล้วก็นึกว่าเราจะต้องตายเหมือนกัน นี่ต้องถอยหน้าถอยหลัง จะไปก้าวแต่ข้างหน้า แล้วไม่เหลียวหลัง
    ท่านทั้งหลายที่ระงับความวุ่นวายของจิตไม่ได้นั้นน่ะ เขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส เป็นผู้ลูบคลำในศีล จิตตปรามาส ลูบคลำในสมาธิ ปัญญาปรามาส ลูบคลำในวิปัสสนาญาณ ทำเท่าไร ๆ ก็ไม่พ้นความวุ่นวายของจิต มีอารมณ์หุนหันพลันแล่นโฉงเฉงโวยวายปราศจากเหตุผล คนประเภทนี้ทำกี่แสนกัปก็ลงนรก เพราะสักแต่ว่าปฏิบัติ สักแต่ว่าประพฤติ ไม่รู้จักที่จะพิจารณาจิตของตัวเองว่ามันดีหรือชั่ว นี่ถอยหลังไปถอยหลังมากันแค่นี้แหละ
    ความจริงเขาถอยกันเป็นปกติ ย้อนไปย้อนมา สิ่งที่เราละได้แล้ว มันละจริงหรือไม่ อารมณ์สมาธิที่ทรงได้แล้วทรงจริงหรือไม่ อย่าไปหาที่สงัด อย่าไปหาที่สงัดความวุ่นวาย จงหาความสงัดใจ คือ ใจสงัดจากกิเลส นี่มันถึงจะถูก
    เป็นอันว่าต่อไปนี้ เหลือเวลาอีก 8 นาที ก็มานั่งคุยกันถึงเรื่องความเป็นพระอนาคามี ไม่ยาก ไม่เห็นมีอะไรยาก กามฉันทะเราเบามาจากพระสกิทาคามีแล้ว และก็ฌานสมาบัติอารมณ์ฌาน การที่จะก้าวเข้าถึงพระสกิทาคามี อย่างน้อยกำลังจิตของเราจะต้องทรงฌาน 3 หรือดีไม่ดีก็ต้องทรงฌาน 4 ไม่ยาก
    ต่อไปนี้เราก็มาเอากันจริงจัง กามฉันทะความใคร่ในรูปสวย นั่งนึกถึงรูปใครเขามันสวย ที่ว่ารูปสวย สวยจริงหรือไม่จริง สะอาดหรือว่าสกปรก เสียงเพราะ เสียงสร้างคนให้ไม่แก่ ไม่ตายได้ไหม กลิ่นหอม กลิ่นกันความทรุดโทรมของร่างกาย กันความตายได้หรือเปล่า รสอร่อยของอาหาร อาหารที่ว่าดีวิเศษ มีวิตามินดี ไอ้ยังโน้นก็ดี ยังนี้ก็วิเศษที่หมอเขาแนะนำ และไปดูหมอที่แนะนำเราซิ ว่าหมอน่ะแก่เป็นไหม หมอป่วยเป็นไหม หมอตายเป็นไหม ถ้าหมอมีความรู้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำแนะนำของหมอ หมอก็ต้องไม่แก่ หมอก็ต้องไม่ป่วย หมอก็ต้องไม่ตาย แต่ตามข่าวที่ทราบมา หมอในประเทศไทยตายไปแล้วนับล้าน ๆ คนนั่นเพราะว่าอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดีนะ มันอาจจะดีจริงเพียงแค่ประทังชีวิตให้ทรงอยู่ แต่ทว่าเปล่า จะกันแก่ กันตายน่ะมันไม่ได้
    ในเมื่ออาหารทุกอย่างไม่สามารถจะยับยั้งให้คนทรงชีวิตอยู่ได้ ร่างกายของคนแต่ละคนเต็มไปด้วยความสกปรก นอกจากสกปรกแล้ว ก็ยังหาทางสลายตัวไปในที่สุด เป็นอันว่ามันสกปรกด้วย มันก็ไม่ใช่เราด้วย เอาจิตน้อมมาอย่างนี้เราสกปรก เขาสกปรก และมานั่งดูคำว่าเราว่าเขาอยู่ที่ไหน ร่างกายนี้เป็นเรารึ ร่างกายโน้นเป็นของเขาหรือ
    เป็นอันว่าร่างกายทั้งสองประการนี้ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มันเป็นบ้านเช่าที่แสนจะสกปรก เป็นบ้านเช่าที่มีแต่ความผุพังไปตามปกติ ไม่ช้าเรากับมันก็จากกัน แล้วจิตใจของเรานั้นจะไปผูกพันด้วยโลกียวิสัย กามราคะปรารถนาความเป็นคู่ครองซึ่งกันและกัน มันจะเกิดประโยชน์ตรงไหน คนที่รักจะเริ่มรักใคร ต้องเริ่มรักคนสวย เริ่มรักคนงาม มีการเยื้องกราย กริยาวาจาดีทุก แต่ไอ้ตัวดีตัวนั้นน่ะมันดีนานไหม ไม่นาน ร่างกายก็สวยไม่นาน จริยาวาจาของแต่ละบุคคลมันก็ไม่อ่อนหวานอ่อนช้อยจริง ๆ มันยังมีโมโหโทโส มีความเลวประจำอยู่ในจิต มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
    ตัวทั้งหลายเหล่านี้เป็นปัจจัยของความทุกข์ ถ้าเราอยากคือ ตัณหา อยากได้มาเราก็อยากได้ทุกข์ เราก็ต้องตัด ตัดด้วยกำลังของศีลบริสุทธิ์ ตัดด้วยกำลังของอารมณ์สมาธิ ที่เห็นว่าร่างกายของคนและสัตว์สกปรก และมีการสลายตัวไปในที่สุด ให้จิตมันทรงตัวอยู่แบบนี้ ในที่สุดมันก็จะเบื่อ เห็นคนเป็นซากศพ
    อันนี้มาในด้านความโกรธ ในสมัยเป็นพระสกิทาคามี เราโกรธหน่อยหนึ่ง แล้วก็ให้อภัย มาด้านถึงอนาคามี ก็ตัดให้มันพังสลายไปเสียเลย วิธีตัดทำยังไง ใช้ กสิณ 4 สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือ ว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมตตาพรหมวิหาร 4 นั้นดีที่สุด เพราะมีอารมณ์เบา นั่งคิดไว้เสมอว่าเรากับเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างกายมันไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ถ้าเราจะโกรธคนที่โกรธเรา เราก็จะเลวกว่าเขา ตามที่พระพุทธเจ้าว่า และการโกรธมันทำให้เราหนุ่มขึ้นหรือเปล่า การโกรธทำให้เราสวยขึ้นไหม ความโกรธทำให้เราอิ่มเอิบขึ้นหรือเปล่า ความโกรธทำให้จิตเป็นสุขหรือเป็นทุกข์
    เป็นอันว่าความโกรธ โทสัคคิ ไฟ คือ โทสะสร้างความเร่าร้อนให้แก่จิต โกรธง่ายแก่เร็ว โกรธบ่อยแก่บ่อย มันแก่ลงไปทุกวัน ในที่สุดมันก็พัง และความโกรธมันเผาผลาญร่างกาย เผาทั้งกาย เผาทั้งใจ ใจมีความเร่าร้อน เมื่อโกรธเขา ในเร่าร้อน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ช้ามันก็โทรม ไม่ช้ามันก็ตาย แล้วคนที่เราจะโกรธ เราโกรธทำไม อยากจะฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ ถ้าเราไม่ฆ่า เขาตายไหม เป็นอันว่าเราไม่ฆ่าเขาก็ตาย ถ้าเราจะแกล้งเขามีทุกข์ ถ้าเราไม่แกล้ง เขาจะมีทุกข์ไหม เขาก็มีทุกข์อยู่แล้ว และในที่สุดเขาจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความปรารถนาจะไม่สมหวัง ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ เราจะโกรธเพื่อประโยชน์อะไร เราต้องการปัจจัยของความสุข ความโกรธ เป็นปัจจัยเข้าสู่อบายภูมิ
    ฉะนั้น เราก็ยึดมั่นพรหมวิหาร เมตตาความรัก กรุณาความสงสาร เห็นใครเขาโกรธเขา เราก็สงสารว่าพิโธ๋เอ๋ย ไม่น่าจะโง่เลย มาโกรธเราเข้า เขาก็หมดมิตรที่ดี คือ เราไปคนหนึ่ง แล้วก็นอกจากเรา เพื่อของเรา ญาติของเรา ลูกของเรา หลานของเรา ก็เป็นศัตรูเขาไปด้วย ช่วยเขาให้มีความทุกข์ใจมากที่สุด ฉะนั้นเรื่องความโกรธ เมื่อเขาโกรธมันไม่ดี เราก็ไม่โกรธเขาเช่นเดียวกัน เขาจะโกรธมาช่างเขา เราไม่โกรธไป
    จงดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ที่ นางมาคันทิยา จ้างคนด่าพระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ พราหมณ์มาด่าต่อหน้าธารกำนัล พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ จิญจมาณวิกา แกล้งกล่าวหาว่า พระองค์ทำให้เธอท้อง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้โกรธ พระเทวทัต ทำอันตรายพระพุทธเจ้าทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ เพราะว่าพระองค์ไม่โกรธ อารมณ์พระองค์จึงมีความสุข แล้วก็พระองค์ไปนิพพาน คนที่โกรธพระพุทธเจ้ายั่วให้พระพุทธเจ้าโกรธ ทุกท่านไปอเวจีทั้งหมด
    เอาละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ความจริงการศึกษาเข้ามาระดับนี้ มันสบาย ๆ ไม่มีอะไรมาก เพราะ เข้าถึงจุดจะเข้าพระนิพพานอยู่แล้ว วันนี้หมดเวลา ขอบรรดาท่านสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทุกท่าน จงตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถที่ท่านเห็นว่าสบาย กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นควรจะเลิก สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2016
  9. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ทำไม....
    ความรู้สึกคนคนเดียว...
    เรือแทบล่ม...
    แสดงว่า.....
    สำคัญ...นัก
     
  10. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    คนอื่นมีทัศคติแบบไหนก็เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย.
     
  11. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    กระทบ....
    หยุด....
    กระทบ..
    ดีนะ
    มันจะเกิด...
    เราก็ดับ...
    มันก่อน.....
    ดูตัวเรา...มันกว่าดูคนอื่น
    เห็นเขา....
    กระทบเรา....
    เราดูเรา....
    รู้.....
    อยู..
    จุดเรา....
    พอ...
    นะ
     
  12. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    จริงๆแล้ว...คือ....ไม่สนใจนั้นเอง
    ไม่คิด
    ไม่พูด
    ถนอมจิตใจตัวเองให้ผ่องใส
    ไม่ให้มืด...ไม่ให้บอด
    รู้อยูที่ตัว....
    ไม่วิ่งไปรู้ที่อื่น...
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    อันนี้ จิตส่งในเกินไป ไปคว้าเอา อายตนะใน ที่มันมี รสนิ่ง มาเป็นธรรม

    อย่าส่งใน(เห็นเข้ามาที่ตน แต่ไปเห็นสิ่งหนึ่งเที่ยง) อย่าส่งนอก

    อย่าประครองให้จิตมันเที่ยง ชิงสุกก่อนห่าม
     
  14. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ทำสิ่งที่เราควรทำ
    หมดแล้วคือ
    ...พอ
    นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว
    หน้าที่คือ...ดูตัวเอง
    ถึงใหน...
    จุดใหน...
    คนจะหาเรื่อง....ก็รู้อยู่
    ก็...
    ล๊อคเอ้า....
    ไปหาอะไรอร่อยๆกิน
    จบ....คับ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เนี่ยะ สังเกตเลย พอส่งใน เห็น สิ่งหนึ่งเที่ยง

    ก็ ปรารภ ล๊อคตรงนี้ ครองเป็น ภพ

    เสร็จแล้ว มันก็หลอกว่า ออกไปหาอะไรกินได้
    ล๊อค ภพ เพื่ออยู่ เพื่อเป็น ไว้แล้ว เสร็จมัน !!
     
  16. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ใช่ถูกต้อง
    ....เพราะมันโดนต้ม..จน..เปื่อย...ยุ่ย
    และ...จิตมันไม่เอาอะไร.....
    รักษาตัวเอง....
    อยู่....
    นิ่งอยู่.....
    รอดูอยู่.....
    ก็สัตว์มันบาดเจ็บ.....
    จะเอาอะไรกับมันไม่ได้หรอก.....
    ก็ปล่อยให้เขาเลียอผลตัวเองเพื่อรักษาไป....
    ไม่ผิด...
     
  17. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ถูกต้อง.....
    จริงๆไม่ได้ล๊อค....
    แต่โดนสกัดดาวรุ่ง.....
    แรงมาก....จากเหตุ..และปัจจัย
    ให้สินหวัง.....
    และถ้ามันไม่หาย....
    มันก็รวมไม่ได้....
    มันก็ต้องพัก....
    หากเหตุจะให้เป็นอน่างนั้น....
    ก็พิจารณามันแบบนั้น
    และก็ให้มัน...
    ตายแบบบนั้น....
    จบ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ดีหละๆ มีการกำหนดรู้ การอยู่สุข เลียแผลอยู่ อันนี้ ก็โอ

    แต่อย่าลืม เวลาสุขจากการเลียแผล มันดับ เวทนาเกิด ดับ

    เลียแผลพร้อมอุบายการนำออก มันถึงจะ ถึงฐาน(รู้ว่าพ้น หรือไม่พ้น รู้ว่ากุปปธรรม หวลกลับ หรือไม่หวลกลับ-อกุปปธรรม )
     
  19. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ทีนี้ก็เลยมาพิจารณาว่า...
    เกิดตายขณะนี้นี้
    ดูว่า....
    จะลาผู้มีคุณอย่างใง
    ฝึก...ใจ...
    ให้.ปล่อยวาง....
    ไม่จับ...อะไรเลย
    มองที่จิตตัวเองยังใง......อย่างเดียว
     
  20. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ตราบไดที่ยังหายใจอยู่นี้
    มันจะต้อง....ไล่ระบบตลอด
    เหมือนลมหายใจที่วิ่งไแทั่วกาย
    เริ่มต้น..สิ้นสุด...ทุกเวลา
    เกิด..ดับ
    เกิด...ดับ
    รู้.....เอาไม่เอา
    ไม่เอา...มันก็ผ่าน
    เล่นไม่เล่น........เล่นก็ตก
    เป็นปกติ.....
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...