คำตอบในคำถามเรื่องการเสื่อมของสมาธิ ต้องตอบแบบคุณขนมทิพย์ในเรื่องความไม่เที่ยงของจิต ความที่จิตบังคับไม่ได้ ซึ่งทุกคนจะต้องได้พบกับสภาวะนี้...
คำว่ากำหนดที่หมายถึงการตั้งใจทำนั้น ชั้นนี้ไม่มีแล้วครับ... ชั้นนี้เพียงแค่รู้ ในแบบแตะปล่อยๆแค่นั้นครับ
แล้วตรงไหนล่ะที่ไม่มีในพระไตรปิฎก... พิจารณาเอาครับ หากได้อ่านพระไตรปิฏก ควรทราบ
แก้ข้อสงสัยให้หน่อยสำหรับนักปฏิบัติไม่อิงตำรา ที่ไม่ว่าตามในพระไตรปิฎก... ๑.หากปฏิบัติมาในแนวนำสมาธิมาพิจารณาร่างกายจนเองนั้น ในชั้นพิจารณากาย...
หลงในอัตตาเป็นเช่นไร ************************************************ มีหลายระดับครับ... มีตั้งแต่...
การเห็นธรรมนั้น..คีอการเห็นว่า จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง เห็นว่าจิตผู้รู้ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตนในที่ใดใดในโลกนี้...
เขยายไฟล์ภาพพระสมเด็จครับ
หยิบเอาย่ามของพ่อมาดู ไม่รู้ว่่าพระอะไรบ้าง จริงหรือไม่ รบกวนดูให้ด้วยครับ
ยิ้ม...ผมอธิฐานสั้นมาก " ขอพาตัวเองพ้นทุกข์และัพาผู้อื่นพ้นทุกข์ตามในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ... "
ความเห็นของผม... หากนับการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองเป็นทางลัดฯนั้น ย่อมไม่ถูกต้อง
ผมขอกุศลผลบุญที่ผมเคยได้ทำมาแล้วในอดีต ตลอดจนที่จะได้ทำอีกในอนาคตกาลเบื้องหน้า...
หลักการคือ... ย้อนความรู้สึกจากนอกกาย เข้าไปในกาย เข้าไปสู่ใจ ปล่อยคลายใจ ให้ปล่อยสิ่งที่หมักหมมออกมาไปเรื่อยๆ จนผิวของใจบางพอ...
เหมือนท่านอื่นบอกนั่นแหละครับ... มันกลับไปกลับมา...เป็นธรรมดา ทำสมถะให้่ถึงที่สุด เมื่อสงบมีกำลังแล้วให้ถอนออกมาพิจาณาร่างกาย เมื่อกำลังหมด...
อืม.... ส่งซ้ำครับ....ไม่ทราบเลย พิจารณาเองก็แล้วกันครับ....
ความเห็นของผม... ปริศนาข้อที่ ๓ สุดท้ายของคุณ...นะครับ... คุณใกล้เต็มทีแล้ว...มีความรู้บางอย่างใกล้จะเพียงพอแล้ว แต่ยังไม่ถึงเท่านั้นเอง...
ขออนุญาตครับ.... ตามความเห็นของผู้รู้น้อย....อย่างผม ตามนิมิตข้อ ๓...ของคุณนั้น เป็นปริศนาที่ตนเองพึงแก้ด้วยตนเอง...
คนทั่วไป...คิดว่าตนเองกำลังตื่น หารู้ไม่ว่า...กำลังหลงละเมอเพ้อไปกับความฝัน เมื่อใจ...สลายรวมเข้ากับธรรมชาติ จึงรู้ว่าที่๋ผ่านมานั้น...
ขออนุญาตครับ..... ผมเห็นต่าง...... ทำบุญเพื่อหวังผลบุญ ได้บุญน้อยกว่า ไม่หวังอะไร
เป็นตัวอย่างที่ดี....แสดงให้เห็นว่า การปฏิบัติแนวสมาธิกดข่มอารมณ์ไม่ให้เกิดขึ้น เป็นหินทับหญ้านั้น...
คุณบุญพิชิตกล่าวได้ขอบ......แล้วครับ ชาวพุทธทุกท่านย่อมมีสิทธิเข้ามาโต้แย้งและแสดงความเห็นได้ทุกคนครับ...
เมื่อฝึกเจริญกรรมฐาน ปล่อยวางร่างกายจนเข้าไปถึงในจิตแล้ว จะเห็นบางสิ่งไหวไป ไหวมา ไม่เที่ยงแท้ตลอดเวลา ทั้งเวทนา จิต ความคิด อารมณ์...
ท่านละเลย...แนววัดป่าของบรมครูหลวงปู่มั่น...ภูริทัต ที่นำกำลังสมาธิมาพิจารณาร่างกาย ผม ขน ฟัน เล็บ ให้เห็นว่าเป็นสิ่งของไม่เที่ยงแท้...
เมื่อทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกว่าจิตตั้งมั่น สงบสุข และไม่ไหวตามอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต และัเมื่ออารมณ์เข้ามาได้...
บางอย่างต้องเห็นและรู้ด้วยตาของตนเอง จึงจะเข้าใจ เปรียบเหมือนปลาที่ไม่เคยขึ้นไปบนบก ฟังจากผู้ที่ขึ้นไปมาแล้วจนเชี่ยวชาญ รอบรู้...
บางคนทำสมาธิได้สมถะ แต่ไม่เคยใช้กำลังสมถะมาเจริญปัญญา ให้เห็นความจริงแท้ของชีวิต กลับติดความสุข ความสงบ จากสมาธิ...
ช่วยกันท้วง....ช่วยกันแย้ง...... เสนอมุมมอง...ทั้งสองทาง..... บางตอนต้องบังคับก่อน จึงดี บางตอนบังคับกลับเป็นการกดข่ม ต้องปล่องวาง จึงดี...
คนตาบอดคิดว่า ทุกๆสิ่งในโลก.....รวมทั้งใจตัวเอง มั่นคงถาวร น่ายึดมั่นถือมั่น คนตามัว พอเห็นได้บ้างลางๆ คิดว่า ทุกสิ่งในโลก...
บางคนกระทบแล้ว โกรธ แต่พยายามอดกลั้นความขุ่นเคืองไว้ส่วนหนึ่ง ปล่อยให้แสดงออกมาเล็กน้อย อย่างหนึ่ง บางคนกระทบแล้ว โกรธ แต่ไม่แสดงออก...
ถูกต้องแล้วครับ.... ความปราถนาที่จะช่วยผู้อื่น โดยไม่ต้องการความเด่นดังนั้น คือความเมตตา...ที่หล่อเลี้ยงให้สมความปราถนา...
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงดังนี้ สาระสำคัญคือ....การรู้เห็นตามความเป็นจริง โดยองค์ประกอบคือ จิตตั้งมั่นดีแล้ว...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา