กฎแห่งแรงดึงดูด กับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ย้อนแย้งกันไหม?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ผู้โตมาด้วยธรรม, 11 กันยายน 2017.

  1. ผู้โตมาด้วยธรรม

    ผู้โตมาด้วยธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2017
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    คือ มีความสงสัยค่ะ

    ชาวพุทธ เราสอนให้ปล่อยวาง ให้ว่างจากความคิด

    แต่กฎแห่งแรงดึงดูดบอกให้คิด ให้จินตนาการสิ่งที่เราต้องการบ่อยๆ ย้ำๆ


    ชาวพุทธ สอนให้เราปล่อยวางละทิ้งตัวตน

    แต่กฎแห่งแรงดึงดูดบอก ฉันจะต้องร่ำรวย ฉันมีรายได้ 1 ล้านบาทต่อเดือน (ทั้งๆ ที่ยังไม่มี แต่สะกดจิตตัวเองไว้ก่อน) ฉันมีสุขภาพที่ดีเหลือเกิน (ทั้งๆ ที่นอนเจ็บออดแอดอยู่) มีแต่คำว่า ฉัน...

    ชาวพุทธ สอนให้มองทุกอย่างอย่างมีสติ อยู่กับปัจจุบันและความจริง

    แต่กฎแห่งแรงดึงดูด บอกให้เราจินตนาการถึงสิ่งที่ดีในอนาคต ซึ่งมันยังไม่เกิดขึ้น (ซึ่งทำให้ไม่อยู่กับความจริง)

    ....ขอผู้รู้แจ้ง ช่วยอธิบายแถลงไขหน่อยค่ะ ว่า จริงๆ แล้วกฎแห่งแรงดึงดูด เป็นแค่ สิ่งที่ทำให้เราเพ้อฝัน ไปวันๆ หรือไม่
    กฎนี้เป็นเรื่องจริง มีอยู่จริงไหม
    และถ้ามีอยู่จริงแล้ว เป็นคนละทางกับคำสอนของชาวพุทธไหม
    ...ขอบคุณค่ะ
     
  2. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    กฏแห่งการดึงดูดมีอยู่จริงค่ะ และขัดแย้งกับหลักคำสอนทางพุทธศาสนาจริง

    เป็นคนนึงที่บ้ากฏนี้มากในช่วงนึงค่ะ เพราะเป็นคนมีความอยากเยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และพอมาเจออะไรที่สามารถทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ..บวกกับเป็นคนผิดหวังบ่อยและปล่อยวางไม่เป็น กฏนี้ยิ่งดูจะเป็นที่พึ่งได้ดี เคยใช้กฏนี้กับเรื่องงาน วัตถุที่อยากได้ และคนรัก สรุปคือเข้ามาจริง ได้ จริง แต่ยิ่งทำให้ยึดถือเข้าไปอีก ปล่อยวางไม่ได้หนักเข้าไปอีก กฏนี้พูดตามหลักคนไทยคือการใช้อิทธิฤทธิ์ทางใจค่ะ เป็นพลังจิตที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นหรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ กลับกลายเป็นทำเพื่อเพิ่มพูนกิเลสความอยากใหญ่ ยิ่งได้ในสิ่งที่ต้องการ จะยิ่งโลภมากขึ้น และหลงว่าตัวเองทำอะไรก้อได้ เผลอๆคิดว่าตัวเองวิเศษด้วย เพราะสามารถเนรมิตอะไรก้อได้ แม้กฏนี้จะมีข้อห้ามให้ใช้ทำร้ายทำลาย แต่เราจะรู้ได้ไงว่ากิเลสเราจะควบคุมได้ บางทีเรายังควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้เลย แม้จะพูดดีทำดี แต่ความคิดยังมีด่าว่าคนอื่นอยู่มาก แล้วเราจะควบคุมให้ใช้กฏนี้เฉพาะสิ่งที่ดีงามทั้งหมดได้อย่างไร

    ส่วนตัวเลิกหมกมุ่นกับกฏนี้เพราะครูบาอาจารย์เตือนไม่ให้อ่านและศึกษาทางนี้ ส่วนใครที่ชอบและยังหลงใหล คงจะว่าเค้าไม่ได้ เพราะกฏนี้มันตอบสนองในเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ

    ผมว่าเป็นคำถามที่ดีมากๆเลยนะครับ ในการเอาไว้พิจารณาว่า "การที่เราเกิดมานี้ เพื่อเป้าหมายสิ่งใดกันแน่" ในเรื่องของทางโลกนั้นพวกเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เกิดหรือเริ่มต้นมาจากสถาบันครอบครัว จากนั้นก็ไปต่อที่ระบบการศึกษา โดยเน้นหนักไปในเรื่องของการใช้ชีวิตในทางโลกมากกว่าเรื่องของทางธรรม ส่วนเหตุจริงๆนั้นผมเดาล้วนๆ ว่า มาจากการกระทำในครั้งอดีตและมาส่งผลในภพปัจจุบัน จากกฎของไตรวัฏคือ"กิเลส กรรม วิบาก"

    ถ้ามีกฎในเรื่องของแรงดึงดูด ผมก็มีกฎเรื่องของการปล่อยวางเช่นกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลย์

    กฎแรงดึงดูดผมขอเรียกว่า"โลกธรรม" ส่วน
    กฎของการปล่อยวางผมขอเรียกว่า"โลกุตรธรรม"

    ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของบุคคลแล้วว่าจะเลือกเดินในทางใด และก็ขึ้นอยู่กับบารมีของเก่าที่สะสมมา ว่าทำมามากน้อยขนาดไหน ถ้าคุณเชื่อและศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึง"ผลและเหตุ หรือเหตุและผล" ถ้าจะเอาหลักการมาคุยกันคงคุยกันยาว เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลเป็นของตนเองโดยอ้างอิงมาจากตำราและความรู้สึก ผมว่าคนที่จะตอบได้ดีที่สุดคือ"ตัวเรา"


    ขอบคุณเจ้าของกระทู้อีกครั้งนะครับที่เอาคำถามดีๆมาให้นักปฏิบัติได้ใช้ปัญญาพิจารณาถึงความเป็นสัจธรรม โดยใช้ธรรมเข้ามาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจสมุปบาท


    ขออนุโมทนาบุญแด่เจ้าของกระทู้และผู้ร่วมตอบทุกท่านด้วยนะครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2017
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คนละแนวทางกันครับ...
    ปล่อยวางทางพุทธ
    คือปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นครับ
    ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ชีวิต อยู่ร่วมกับสังคม
    อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างแยบยลด้วยครับ

    อะไรที่มีแต่ให้เพิ่มพูน เนี่ยไม่ใช่พุทธครับ
    แต่ว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วแต่เหตุและปัจจัยของแต่
    ละบุคคลนะครับ.....

    คิดอะไรไม่ออก ให้ดู ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพเป็นแนวทางครับ
    ว่าท่านมีอะไรมาบ้าง ก่อนที่จะออกมา
    จนกระทั่ง กลายเป็นมหาศาสนาเอกของโลกครับ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    กฏแรงดึงดูด ของพุทธ มีไหม

    ก้ต้องตอบตามตรงว่ามี

    แต่จะใช้คำว่า เข้ากันโดยธาตุ หรือ กรรมเปนเผ่าพันธุ์

    คำว่า กรรมเปนเผ่าพันธุ์ ก้หมายถึง วิบากกรรม
    เวลามันให้ผลกรรม ตามกฏแห่งกรรม จะไม่ให้ผลต่อจิต
    ดวงใดโดดๆ แต่จะให้ผลต่อ จิตแบบ
    หลายจิต พรึบเดียว ทั้งชาติ ทั้งโลก ทั้งจักรวาล
    หรือ เปนตามสำนวน เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว

    หรือ ปฏิจสมุบปบาท สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

    ถ้าพูดในแง่ ปฏิสัมพันธ์ ก้คือ เข้ากันโดยธาตุ

    ซึ่ง

    จะเปนพุทธ เมื่อ เอามาอาสัยระลึกว่า มัน
    แปรผันไปตาม วัฏจักร ที่พ้นอำนาจ จะไป
    บังคับบัญชา เว้นแต่มีอวิชชา ก้จะเผลอ
    สำคัญว่า ตนอยู่เหนือหมู่ เหนือชาติ เหนือโลก
    เหนือจักวาล ก้จะไม่เหน ความสั่นสะเทือนที่
    ไปฉวยเอา สิ่งที่ไม่ใช่ตน ของตน มาครอง

    ธรรมดา เวลาเอาน้ำมัน หยดลงในขันน้ำ
    เมื่อทิ้งไว้หนึ่งคืน กลับมาดู จะเหนน้ำมันที่
    กระจายกันอยู่ มันมารวมตัวกัน

    กรรม เวลามันให้ผล ถ้าใส่ใจกำหนดรู้
    ตามความเปนจริง จะเหนเลยว่ามัน
    ให้ผลเปนกลุ่มก้อน

    การมาเกิดเป็น สัตว์ แล มนุษย์ บนโลกกลมๆ
    ก็เป็นเรื่อง ของ ธาตุ ของกรรมเป็นเผ่าพันธ์
    อันเกิดจาก วิบากกรรม ให้ผล ...ไม่ใช่แค่สัตว์
    แต่หมายถึง วัตถุธาตุต่างๆ ด้วย

    ไม่ใช่เพราะใครบันดาล
    ไม่ใช่ไม่มีผลแห่งกรรม

    ผู้เป็นบัณฑิต เมื่อตื่น กระทำการเห็นซึ่งความจริง
    ย่อมปรารภการออกจาก ภพ ชาติ ด้วยการตรึกอย่างถูกวิธี
    อัน องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศไว้แล้ว

    รีบภาวนา ก่อน พวกกฏแรงดึงดูด จะแห่กันใส่กระโปรงไป
    นั่งทับ ณ ที่ประดิษฐาน
     
  6. badboy_gt10

    badboy_gt10 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +81
    คืองี้ครับ คุณต้องอยู่บนโลก คุณเลยต้องใช้กฏแรงดึงดูด แต่ถ้าคุณเข้าใจหลักพุทธ คุณจะเข้าใจว่าหลักพุทธอธิบายทุกอย่าง กฏแรงดึงดูดนั้น ถ้าจิตคิดดีก็จะดูดสิ่งดีๆมาให้ ถ้าจิตคิดไม่ดี ก็จะให้ผลที่ไม่ดี กฏนี้มีข้อแลกเปลี่ยนครับ ทุกอย่างมี cost ที่ต้องจ่าย แต่ถ้าคุณคิดดี พูดดี ทำดี แล้วสิ่งดีๆ ก็จะตอบแทนคุณเอง แล้ววันนั้นคุณจะไม่เอาก็ไม่ได้ มันคือสิ่งที่คนดี ต้องได้รับเพื่อจะได้ทำความดีให้คนอื่นๆ ต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...