กรรมตามสนอง....ตอน ปิดหนี้บัญชีกรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย พรายแสง, 9 พฤษภาคม 2005.

  1. พรายแสง

    พรายแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +371
    [​IMG]

    เรื่องปิดหนี้บัญชีกรรมนี้ เป็นเรื่องวิบากกรรมของคุณอุ้มดิน(คำพันธ์) เหล่าประเสริฐ อายุ ๕๓ ปี อยู่ที่ ๙๓ บ้านสะอาด ต.หนองเรือ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น
    คุณอุ้มดินได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อตอนเป็นเด็กก็กินอาหารธรรมดา เหมือนกับชาวบ้านเขากินกัน คือจะกินต้มกินแกง โดยที่ไม่เคยกินลาบกินก้อยดิบๆเลยสักครั้งเดียว เพราะเห็นเขากินลาบกินก้อย ที่เป็นเลือดเป็นเนื้อดิบๆแล้ว ก็เกิดความกลัว กลัวกลิ่นคาวเลือดคาวเนื้อของเขา

    พออายุได้ ๗ ขวบ พี่ชายบอกว่า มึงทำไมไม่กินลาบกินก้อยดิบๆเหมือนกู มึงไม่รู้หรือว่านี้คือ อาหารสแซ่บสุดแสนจะอร่อย ถ้ามึงไม่ได้กินก้อยนี้ ก็แปลว่ามึงเสียชาติเกิด พี่ชายก็คะยั้นคะยอให้ผมกิน แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่กล้ากินอยู่ดี

    ต่อมาอายุ ๘ ขวบ พี่ชายก็คะยั้นคะยอให้ผมลองชิมดูอีก ว่าเอาน่า เดี๋ยวมึงจะติดใจนะ ตอนนั้นก็คิดว่า ถ้ามันไม่แซบ ทำไมเขากินหน้าตาเฉยอย่างนั้นล่ะ ลองชิมดูสักนิดนะ ผมก็เลยลองชิมดู

    ชิมแล้วปรากฏว่า รสชาติก็อร่อยดี ผมลองครั้งแรกก็ติดใจเลยละ หลังจากวันนั้นมา อาหารจำพวกก้อยดิบๆ ไม่ว่าจะเป็นก้อยเนื้อวัว ก้อยเนื้อควาย ก้อยหอย ก้อยปลา ก้อยกุ้ง ผมก็จะกินหมด

    เมื่ออายุได้ ๑๒ ถึง ๑๖ ปี ในขณะที่ผมลงอาบน้ำ ไม่ว่าจะเป็นห้วยหรือหนอง ผมก็จะงมเอากุ้ง งมเอาหอย งมเอาปู พองมขึ้นมาได้ ผมก็จะจับใส่ปากเคี้ยวกินดิบๆเลย เรียกว่าติดใจในรสอาหารจำพวกเนื้อดิบๆนี้

    ถ้ากินอาหารจำพวกก้อยเนื้อ หรือจำพวกตับ เครื่องในวัว หรือเครื่องในควายที่มันชิ้นใหญ่ๆ ผมเคี้ยวไปยังไงมันก็ไม่แหลก ผมก็จะบังคับกลืนมันลงไปในท้อง จนมีเสียงดังเอี๊ยก และผมก็ชอบกินทีละมากๆเลย

    ผมกินแต่ละครั้งนั้น คนอื่นเขาพากันกินจนอิ่มหมดแล้ว แต่ทว่าผมกินไม่รู้จักอิ่ม เรียกว่ากินได้ไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าท้องมันเต็มมาถึงคอหอย แต่ปากมันยังอยากอยู่อีก น้ำลายไหลยืดอยู่ตลอดเวลา เมื่อกินจนรู้สึกว่าไม่มีท้องไส้จะใส่ ผมก็จะหยุดกินไปเฉยๆอย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่ปากมันยังอยากอยู่

    พอผมหยุดกิน ตอนนี้ละคุณเอ๋ย ! เห็นชัดเลย ผลของวิบากกรรมในการกินนี้ คือผมจะนั่งก็นั่งไม่ได้ จะนอนก็นอนไม่ได้ ท้องมันเต็มไปหมด มันรู้สึกอึดอัดขัดเคืองไปเสียทุกท่า

    เมื่อนั่งตัวตรงไม่ได้ ผมก็เปลี่ยนเป็นท่านั่งพิง ก็ยังทรมานตัวเลยเปลี่ยนเป็นท่านอนกางแขนกางขา เรียกว่าท่านอนแบบแผ่ ๔ สลึงกันเลยละ และก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ในการกินอาหารจำพวกก้อยเหล่านี้

    รู้ทั้งรู้ว่ามันทรมาน ในใจก็หวั่นกลัวเหมือนกันว่า การกินแบบนี้ สักวันกระเพาะอาหารของเราจะต้องฉีก ท้องก็จะแตก แต่พอถึงคราวทีไร มันก็จะเป็นเหมือนเดิม ผมกินอาหารแบบนี้มาเรื่อย จนอายุเกือบๆจะเข้า ๓๐ ปีอยู่แล้ว

    ตอนนั้นผมได้ประกอบอาชีพคือ เป็นข้าราชการครูและก็ได้แต่งงานมีครอบมีครัวแล้ว ผมได้หันมาเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงห่าน เอาไว้เป็นจำนวนมาก มองดูราวกับฝูงแร้งฝูงกา สัตว์เหล่านี้ผมเลี้ยงเอาไว้ คอยเชือดกิน เป็นอาหารเท่านั้น

    ในระยะที่ผมเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดอยู่นั้น มักจะมีสุนัขของชาวบ้านมาแอบขโมยกินไข่เป็ดไข่ไก่ หรือบางครั้งก็จะมาขโมยกัดกินไก่งวงของผมอยู่เป็นประจำ ผมก็จะไปขออนุญาตจากเจ้าของสุนัข เพื่อเอาสุนัขนั้นมาฆ่าให้หนำใจ เจ้าของสุนัขเขาก็อนุญาตให้ผมฆ่าได้

    เมื่อเขาอนุญาตแล้ว ผมก็จะเอาปั้นข้าวเหนียวไปวางให้มันกิน ในขณะที่สุนัขกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวเพลินๆอยู่นั้น ผมก็จะเอาอาวุธที่ทำด้วยเหล็กแป๊บประปา มีด้ามเป็นไม้ไผ่ ที่ผมซ่อนไว้ข้างหลังออกมา

    จากนั้น....สองมือของผมก็จับด้ามเหล็กแป๊บอย่างกระชับมั่น ผมคนถนัดมือขวา ก็เลยฟาดเหล็กแป๊บอย่างสุดแรง ลงไปที่ท้ายทอยและกกหูด้านซ้ายของสุนัขที่เคราะห์ร้ายตัวนั้น วิธีฆ่าแบบนี้....มีแต่ตายกับตาย จะไม่มีคำสั่งเสียเลย สักเอ๋งเดียวเลยแหละ

    ผมเริ่มฆ่าสุนัขขี้ขโมยกินไข่ - กินไก่ - กินเป็ดของผม เรื่อยมาจากพ.ศ.๒๕๒๖ จนมาถึง ปีพ.ศ.๒๕๒๘ คือในปีนั้น อยู่ดีๆผมก็รู้สึกว่า ปวดหัวด้านซ้าย ด้านเดียวกันกับที่ผมเอาเหล็กแป๊บตีหัวสุนัขเหล่านั้น

    แม้ว่าผมจะไปหาหมอที่ไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นคลินิก หรือหมอตามโรงพยาบาลก็ตาม หมอก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หมอได้ตรวจดูอาการปวดหัวของคุณจนละเอียดแล้ว แต่หมอก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า มาจากสาเหตุอะไร แล้วหมอก็ให้ยาแก้ปวดผมกิน แต่พอกินยาแล้ว อาการปวดหัวก็ไม่ทุเลาเลย เหมือนกับว่ายานั้นไม่ใช่ยาแก้ปวดแก้ไข้อะไรเลย

    ต่อมาผมหมดปัญญาที่จะไปรักษา เลยปล่อยให้มันปวดอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา ถึงปี ๒๕๓๐ ผมก็เริ่มปวดหัวมากขึ้น จนบางครั้งคิดว่า หัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆเลยละ (มันปวดแล้วมันก็หายเอง) แต่ผมก็ทนไปสอนหนังสือ ทั้งๆที่ปวดหัวอย่างนั้นแหละ ผมมาคิดได้ในภายหลังว่า นี่หนอกรรมของเรา เราย่อมได้รับผลของกรรมที่เราทำขึ้นมา

    แม้ปีพ.ศ.๒๕๓๒ วันหนึ่งมีสุนัขอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีของชาวบ้านตัวหนึ่ง มาขโมยกินไก่งวงของผม ผมคิดว่าจะฆ่าสุนัขตัวนี้กินให้ได้ จึงไปขออนุญาตเจ้าของสุนัข เจ้าของเขาอนุญาต ผมเลยจัดการฆ่ามันเสีย

    พอฆ่าสุนัขตัวนั้นแล้ว ผมจัดการเอามีดผ่าท้องมัน แล้วเอาเนื้อมาทำเนื้อแห้งย่างไฟกิน

    และก็ในปีพ.ศ.๒๕๓๒ นั้นเอง ผมได้พบธรรมะชาวอโศก จากการชักชวนของคุณเสรี เฉื่อยกลาง ให้ไปร่วมงานปลุกเสกฯ ผมเลยตอบตกลงไป ที่ไปเพราะอยากทำอาหารเจกินเอง เพื่อลดความอ้วน ในใจตอนแรกก็คิดว่า น้ำหนักลดพอเหมาะแล้ว ก็จะหันกลับไปกินเนื้อสัตว์เหมือนเดิม

    แต่พอได้ไปร่วมงานบุญครั้งนั้นแล้ว ก็ได้ไปฟังธรรมะภาคค่ำ เกี่ยวกับเรื่องของ กฎแห่งกรรม ซึ่งท่านเสียงศีลเป็นผู้ดำเนินรายการ เห็นว่าปฏิบัติกรทั้ง ๕ ท่าน ทำบาปกรรมเอาไว้แล้ว ต่างก็ได้รับผลของกรรมไปตามๆกัน

    หลังจากที่ผมได้ฟังธรรมะครั้งนั้นแล้ว ผมก็หันกลับมาพิจารณาตัวเองว่า เราทำบาปกรรมมามากแล้ว ถ้าขืนทำอีกต่อไป มันก็ยิ่งมากขึ้นมากขึ้น วิบากกรรรมที่เราทำขึ้น มันจะส่งผลมากแค่ไหนก็ไม่อาจจะรู้ได้ ตอนนั้นเรียกว่ากลัวบาปกรรม ที่หลงไปทำกรรมเอาไว้ในอดีต ยอมรับว่ากลัวมากจริงๆ

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็หันมาถือศีลปฏิบัติธรรม ตามแนวทางที่ชาวอโศกพาทำ คือมาถือศีลทั้ง ๕ ละอบายมุขต่างๆ แล้วเลิกฆ่าสัตว์ เลิกกินเลือดกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด โดยคิดว่าถ้ามันจะตายเพราะไม่ได้กินเลือดกินเนื้อของเขา ก็ขอให้มันตายดูซิ ! หันมากินมังสวิรัติจนถึงปัจจุบันนี้ แล้วก็จะกินมังสวิรัติแบบนี้ไปจนวันตายเลยละ นี้คือความตั้งใจอันแน่วแน่ของผม

    ในเดือนเมษายนของปีพ.ศ.๒๕๓๒ ปีเดียวกันกับที่ผมได้มาพบธรรมะนั้น เจ้ากรรมนายเวรที่ผมเคยทำกรรมเอาไว้มากมาย เขาก็ได้มาปิดหนี้บัญชีกรรมของผม คือผมได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปประชุมกลุ่มกับญาติธรรม ที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ

    ในวันนั้นผมมีอาการไม่สบาย เนื่องจากท้องไส้ไม่ปกติเป็นโรคท้องร่วง ต้องแวะถ่ายอุจจาระตามข้างทางอยู่บ่อยครั้ง จนอ่อนเพลีย ในใจก็อยากไปหาหมอที่โรงพยาบาลเหมือนกัน แต่มาคิดดูอีกที หากเราเกิดตายขึ้นมาละก็ ขอให้เราได้ไปตายกับหมู่กลุ่มที่มีมิตรดีสหายดีจะดีกว่า

    คิดได้แค่นั้นก็กัดฟันฝืนขับรถ มุ่งตรงไปยังอำเภอหนองบัวแดง อันเป็นจุดหมายปลายทางทันที ในขณะขับรถตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว ผมก็ได้ขับรถหลับในอยู่ถึงสี่ครั้ง

    พอผมรู้ตัวว่าหลับใน ก็พยายามลืมตาให้กว้างๆ เพื่อกันการหลับใน แต่จะฝืนลืมตาเอาไว้อย่างไร เมื่อถึงวาระที่ต้องชดใช้กรรมแล้ว สุดท้ายก็เผลอหลับเข้าจนได้ คราวที่ห้านี้ผมลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่ารถมอเตอร์ไซค์มันได้มาวิ่งอยู่ที่เลนขวามือ ใกล้จะตกจากขอบถนนไปแล้ว

    พอเห็นแค่นั้น ผมรู้สึกตกใจมาก ครั้นจะหักรถกลับเข้ามาสู่ถนน ก็กลัวรถจะเสียหลักพาล้ม ผมจึงจับแฮนด์รถอย่างกระชับมั่น แล้วก็ปล่อยให้มันวิ่งลงไปยังท้องร่องข้างถนนนั้น

    ด้วยความเร็วของรถ และผิวข้างถนนที่มีหลุมมีบ่อขรุขระ รถจึงวิ่งลงไปอย่างโขยกเขยก และที่ท้องร่องนั้นจะมีปลักควายอยู่หลุมใหญ่ (ภาษาอีสานเอิ้นว่าบวกควายนอน) พอรถตกลงไปยังปลักควาย ทั้งรถทั้งคนก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง

    ผมตกลงไปจากรถ หัวของผมด้านซ้ายที่มันเคยปวดอยู่เป็นประจำ ก็ได้ไปฟาดกับพื้นดินที่แข็งเป๊กของเดือนห้าเข้าอย่างจัง เหมือนที่ผมเคยเอาเหล็กแป๊บฟาดหัวของสุนัขอย่างแรงในคราวนั้น ผมมึนหัวเกือบๆสลบไปเลยและก็เจ็บปวดที่หัวมากต้องนอนเจ็บอยู่ตรงนั้นตั้งนาน กว่าจะลุกขึ้นมาได้ ตามแขนขาตามตัวถลอกปอกเปิก มีเลือดไหลซิบๆอยู่ทั่วตัวไปหมด

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาการปวดหัวด้านซ้ายที่ทรมานมานานหลายปีแล้ว มันก็มาเล่นงานเอาหนักตอนรถล้ม จนหัวไปฟาดกับพื้นดินอย่างแรงนี่เอง เสมือนหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรเขาจะปิดหนี้บัญชีกรรมของผม

    นี่ถ้าผมไม่ได้มาพบธรรมะ ไม่ได้มาถือศีลประพฤติธรรม ผมว่าป่านนี้เจ้ากรรมนายเวร (กรรมของเราที่กระทำเอาไว้ในอดีต) เขาคงจะเอาผมถึงตายไปแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้

    คุณคำพันธ์ เหล่าประเสริฐ กล่าวกับผู้เขียนในที่สุด


    เอามามาเพียงบางส่วนอยากอ่านให้จุใจต้องคลิกที่นี่ค่ะ http://www.asoke.info/09Communicati...rn/current.html



    [music]http://palungjit.org/attachments/a.9262/[/music]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2005

แชร์หน้านี้

Loading...