กระทู้นี้มีแต่เถียงกันครับ ไร้สาระ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Apinya Smabut, 2 พฤษภาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ตอนแรกผมตั้งกระทู้นี้
    โดยการนำเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนเรื่องกสิณลมมาโพสครับ
    หวังว่าจะช่วยให้คนอื่นได้รู้วิธีฝึกกสิณ
    เพื่อที่ตัวผู้โพสเองจะได้บุญบ้าง
    แต่กลับกลายเป็นกระทู้ที่มีแต่เถียงกันไปเสีย
    ก็เลยขอลบเนื้อหาครับ
    เพราะถ้ามีใครเข้ามาอ่าน
    ก็อาจจะหัวเสียไปด้วย

    ถ้าท่านใดสนใจว่ากระทู้นี้เนื้อหาเดิมคืออะไร
    ก็ให้พิมพ์ในช่องค้นหาว่า "วิธีฝึกกสิณลม" ได้เลยครับ
    มีโพสไว้หลายกระทู้ครับ

    หรือ จะเข้าไปอ่านที่ลิ้งนี้ก็ได้ครับ >>> การฝึกกสิณลม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2019
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถ้าส่วนตัวเล่ากิริยาระหว่าง
    ให้อ่าน แล้วเห็นว่าไม่มีประโยชน์
    และก็ลบทิ้งไป และนำเรื่องเดิมมาตั้ง
    กระทู้ใหม่ ไม่เป็นไรถือว่า
    เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลครับ
    แต่ส่วนตัวมองว่า ควรใจกว้างกว่านี้ไหม
    กรรมฐานพิเศษนะครับ
    คนจะทำอะไรพิเศษได้
    ควรใจกว้างกว่าปกติไหมครับ


    สงสัยจังลงแต่เรื่องพิเศษๆ
    ช่วยตอบเบสิค
    พื้นฐานเหล่านี้หน่อยครับ
    แค่ระดับพื้นๆ ยังห่างการอฐิษฐานจิตอีก
    หลายขั้นตอนครับ

    คำถาม
    ๑. นิมิต กสิณลมระดับอุคหนิมิต
    ต่างกับนิมิตกสิณอากาศอย่างไร
    ช่วยตอบให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?
    เป็นไปได้ เอาทั้งแบบ
    หลับตาและลืมตา

    ๒.พลังงานกสิณลมกับอากาศ
    เวลาเรียกขึ้นมาให้ปรากฏบนมือ
    เป็นอย่างไร เล่าให้ฟังหน่อยครับ?
    แยกตรงไหนว่าลม ว่าอากาศครับ

    ๓.กสิณลม ใช้รักษาโรคอะไรได้บ้างครับ
    ประเภทที่ทำเพื่อตัวเองไม่เอานะครับ
    ต้องการประโยชน์แบบสาธารณะแบบ
    ลพ. ในอดีตที่อุทัยฯตั้งไว้

    ๔. กสิณอากาศ เกี่ยวข้องอย่างไร
    กับอรูปฌาน ๑ ๒ และ ๓
    เวลาใช้งานสังเกตุอย่างไรว่า
    เข้าถึงอรูปฌานแล้วครับ


    ไม่ตอบก็ได้นะครับถ้าไม่รู้
    หรือถ้ามีประสบการณ์ หรือเห็นว่า
    ที่ถาม ยังอ่อนหัด
    เด่วแนะนำเพิ่มให้
    ก็เล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานด้วยครับ


    เพราะเรื่องที่ถาม
    แค่พื้นๆ เท่านั้นเอง
    เทียบอะไรไม่ได้เลย
    กับระดับอฐิษฐานจิต

    จะลบ อีกก็ได้ ก๊อบไว้แล้วครับ ^_^
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ต้งเรียนถามหลวงพ่อเล็ก นะครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ไม่จำเป็นครับ ท่านนั้นตอบได้อยู่แล้ว
    โดยเฉพาะความแตกต่างของอุคหนิมิต
    กสินลมและอากาศ ท่านตอบได้แน่ล้าน %
    เพราะส่วนนี้แค่กิริยาระหว่างทาง
    พื้นๆระหว่างการฝึกครับ
    ไม่ใช่ระดับใช้งาน ใครเคยฝึกผ่านมา
    ตอบได้หมดหละครับ
    ถามท่าน ให้
    อายขายขี้หน้าเปล่าๆครับ

    เอาไว้ถามเฉพาะคน ที่ชอบนำเรื่อง
    กรรมฐานพิเศษๆมาลง
    ที่ลบประสบการณ์ระหว่างทาง
    ที่ผมนำมาพูดออก ซึ่งได้ตอบไปแล้ว
    พอลบก็มาตั้งกระทู้ใหม่ใน เนื้อหาเดิมครับ


    แค่อยากจะทราบว่า
    คนที่นำมาลง มีประสบการณ์หรือเปล่า
    รู้หรือเปล่า
    หรือเก่ง ทำได้เหมือนที่นำมาลงไหม
    ทำไมถึงได้ลบกระทู้ที่ตอบไปแล้วทิ้ง ?

    ถ้าส่วนตัวจะถาม
    เช่น ทำแบบนี้ ใช้กสิณกองไหนบ้าง
    กำลังระดับฌานไหนถึงเพียงพอ
    ประมานนี้ครับ

    ปล. ในวงการพระฯ ท่านที่เก่งๆเหนือโลก
    ไม่ได้ออกสื่อ ชอบเงียบๆ ยังมีอยู่ครับ
    ไม่ใช่มีท่านที่คุณกล่าวถึง
    แค่นั้นครับ ขอบคุณมากที่เสนอ
    แนวทางให้ครับ ^_^


     
  5. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    1. ที่ผมนำคำสอนของพระอาจารย์มาลงนั้น
    เพราะผมต้องการบุญที่ได้จากธรรมทานครับ
    เพราะผมเชื่อว่า สิ่งที่ท่านสอนนั้นเป็นความจริง

    2. ผมเพิ่งตั้งกระทู้นี้ครั้งแรกครับ
    ที่บอกว่าผมลบคำตอบของคุณนั้น ไม่ใช่ครับ
    คงจะเป็นกระทู้ของท่านอื่น

    3. เท่าที่ผมเคยปฏิบัติมา
    ผมเคยทำสมาธิได้มากที่สุด คือ
    เมื่อทำสมาธิไปเรื่อย ๆ
    จิตจะมีการควบแน่น แน่นขึ้น ๆ
    บางทีก็รวมที่บริเวณใบหน้า บางที่ก็ค่อย ๆ ชาที่มือ
    เมื่อจิตเริ่มควบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
    จนสุดท้าย รวมเข้ามาเป็นจุดเดียว
    จิตที่รวมเข้ามาเป็นจุดเดียวนั้น มีความควบแน่นมาก
    พอเหลือจุดเดียวแล้ว
    ทุกอย่างรอบตัวผม หายไปหมด แม้แต่ร่างกายผมก็หาไม่เจอ
    เหลือแค่สติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    สักพัก พอจะขยับร่างกาย ก็หาร่างกายไม่เจอ
    เลยนึกว่าตัวเองตายแล้ว จึงเกิดกลัวขึ้นมา
    ไม่นาน จิตก็ถอนจากสมาธิ ทุกอย่างรอบตัวก็กลับมาเหมือนเดิม
    รวมทั้งร่างกายด้วย

    จิตผมรวบแบบนี้ 3 ครั้ง ต่างเวลา และสถานที่

    ครั้งแรกในท่านอน
    (ในห้องนอน)
    ครั้งที่สองในท่านั่ง (ในศาลาที่คนกำลังสวดมนต์เต็มศาลา ตอนนั้นไปสวดมนต์ที่วัด)
    ครั้งที่สามในท่ายืน (ตอนนั้นบวชอยู่ เป็นตอนที่กำลังจ้องตากับคู่อริ ในขณะที่กำลังเลือกอาหาร จิตก็เกิดรวมตัวขึ้นมากระทันหัน)

    ทั้ง 3 ครั้ง เข้าได้แบบไม่ได้ตั้้งใจทั้งหมด

    นอกจากนี้ผมก็ได้เคยใช้กำลังสมาธิ เพื่อช่วยคนอื่น โดยเพียงแค่นึกเท่านั้น
    พอนึกไปเรื่อย ๆ จนจิตเป็นสมาธิ ทรงตัวได้แนบแน่นแล้ว
    จนรู้สึกว่า อารมณ์นี้แหละ สิ่งคิดต้องมีผลแน่ ก็เลิก
    จากนั้นไม่กี่วัน ผลก็เป็นไปตามที่ผมคิดครับ

    และก็มีหลายครั้งที่ลองใช้สมาธิดู ก็ได้ผลตามที่ต้องการเสมอ

    แต่ปัจจุบัน ฌานสมาธิของผมง่อนแง่นเต็มที่แล้วครับ
    สมาธิพังไม่เป็นท่า กำลังพยายามรวบรวมกำลังสมาธิให้กลับมาเหมือนเดิมอยู่

    ผมก็เลยคิดว่า ถ้าทำบุญให้มาก ๆ เข้าไว้ รวมทั้งฝึกสมาธิไปด้วย
    ก็น่าจะช่วยให้ผมเข้าถึงสมาธิระดับนั้นได้อีก
    ก็เลยพยายามทำบุญใหญ่ ทั้ง สังฆทาน ถวายพระพุทธรูป และ ธรรมทาน
    ทั้งภาวนาด้วย

    ครั้นจะสอนด้วยตัวเองก็ไม่มีอะไรจะไปสอนเขา
    ก็เลยเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มาลงให้คนอื่น ๆ ที่เข้ามาใหม่ได้อ่านกัน
    คิดว่าน่าจะได้บุญบ้าง ก็เลยทำครับ

    4. ส่วนเรื่องประสบการณ์กสิณนั้น ยังไม่มีพอที่จะบอกได้ครับ
    มีก็แต่เคยภาวนา "นะ มะ ภะ ทะ" แล้วจิตเกิดหลุดไปเห็นบ้าน ลอยอยู่บนท้องฟ้า
    เคยแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนที่ออกไปนั้น
    ความรู้สึกทั้งหมด เหมือนไปอยู่ในสถานที่นั้นเลย
    ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่ที่บ้านเลย แค่นั้นแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2019
  6. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    เหตุผลที่ผมนำมาข้อความของครูบาอาจารย์มาโพส
    แม้ว่าอาจจะเคยมีคนอื่นมาโพสไว้แล้วก็ตามนั้น
    นั่นก็เพราะว่า คนที่เข้ามาใหม่ ที่อาจจะยังไม่เคยอ่านนั้นมีอยู่ครับ
    และมีไม่น้อยด้วย

    และคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่นั้น มักจะเลื่อน ๆ หน้าเว็บไล่ดูไปเรื่อย ๆ
    ส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 4 - 5 หน้า ก็ปิดเว็บไปแล้ว
    ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นคำสอนที่ดี ๆ ก็มีน้อยไปอีก

    ผมก็เลยคอยหาคำสอนที่มีประโยชน์มาโพสเรื่อย ๆ ครับ
    ทั้งนี้ก็เพื่อ คนที่เข้ามาใหม่ เป็นอันดับแรกครับ ที่เหลือถือเป็นกำไร
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขอบคุณที่เล่าให้ฟังครับ
    รับทราบครับ
    การปฎิบัติมันแปลกนะครับ
    ถ้าไม่มีใครถาม หรือพูดในสิ่ง
    ที่ตนไม่เคยผ่านมาก่อน
    หรือพูดแล้วไม่มีประโยชน์ทางธรรมอะไร
    มันจะทำให้ตัวเราเองที่จะแป๊กครับ
    เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ


    ส่วนนี้ก็พูดให้ฟังนะครับ
    การลบกระทู้ทิ้งเลยและตั้งใหม่
    สมาชิกหลายคนที่เล่น
    มาตลอดสัปดาห์
    น่าจะจำได้ว่า
    กระทู้ชื่อนี้
    ไม่ได้พึ่งตั้งใหม่
    เมื่อวันพฤหัสที่ ๒ นี้แน่นอน เพราะ

    หลักสังเกตุคือ กระทู้นี้
    มันเคยอยู่คู่กับ กระทู้
    ผู้ทรงฌานมารจะมองไม่เห็นมาก่อน
    ตั้งแต่วันพุทธ ที่ ๑ พฤษภาคม
    เชื่อว่า สมาชิกบางท่านคงจำได้
    หลักสังเกตุเด่วจะเล่าให้ฟังนะครับ

    อีกอย่างเพราะรายชื่อคนที่กดไลท์
    มันจะหายไปด้วยจากสารระบบนะครับ
    เวลาเราเข้ามาเล่น มันขึ้นโชว์
    พอนึกออกนะครับ ^_^
    หรือส่วนตัวคงตาฟาดไปเองครับ ^_^

    บังเอิญส่วนตัวจำได้ด้วยว่าใครกดไลท์ให้
    สมาชิกที่ชื่อขึ้นต้นด้วย ก สระ อิ
    น่าจะทราบดี และส่วนตัว
    ตอบอะไรไปก็พอจำได้

    ปกติการลบคำตอบคนอื่นๆ สมาชิก
    คงทำเองไม่ได้ครับ
    ยกเว้นว่าจะมาแก้ไขข้อความ
    มันจะขึ้นโชว์ เป็นที่มาว่า
    ทำไมต้องลบกระทู้ทิ้งและตั้งใหม่
    แต่ไม่เป็นไรครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ
    สงสัยเพราะส่วนตัวคงจะจำผิดไปเอง
    ขออภัยแล้วกันส่วนนี้


    แต่เด่วจะให้ข้อสังเกตุอะไรไว้นะครับ
    ส่วนนี้เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ
    เอาไว้เป็นหลักสังเกตุ สำหรับสมาชิกทั่วไป

    ปล เวลาเราตั้งกระทู้ใหม่ ๒ กระทู้ขึ้นไป
    ถ้าผู้ตั้งคนเดียวกัน
    เวลาเดียวกัน ถ้ายังไม่มีใครตอบนะครับ
    กระทู้ในวันนั้น จากผู้ตั้งคนเดียวกันนั้น
    มันอยู่จะเรียงกันให้สมาชิกเห็นเสมอครับ

    เหมือนชื่อกระทู้นี้
    ที่เคยอยู่ต่อเรียงกันกับ
    กระทู้ ผู้ทรงฌานมารจะมองไม่เห็น
    นั้นหละครับ ^_^ ไม่ใช่กระทู้นี้ที่พึ่งตั้ง
    วันพฤหัสที่ ๒ พฤษฯ นะครับ

    คือมันจะอยู่เป็นคู่ๆ ให้เห็นในหน้าแรก
    สมาชิกน่าจะจำได้ ที่อยู่คู่กันเพราะ
    ตอนนั้น กระทู้ทั้งสองไม่มีใครตอบนั้นเอง
    จึงปรากฏในหน้าแรกแบบต่อกัน

    ยกเว้นว่า มีการตอบคำถามในกระทู้
    ลำดับกระทู้ทั้งหมดที่ตั้งในห้องนี้
    ก็จะเรียงตามระยะเวลาที่มีการตอบ
    จากน้อยไปหามาก
    เทียบกับเวลาปัจจุบัน
    มันถึงจะไม่อยู่คู่กับ
    กระทู้ที่เคยตั้งวันเดียวกัน


    แต่ถ้ามีการตอบในกระทู้เดิมด้วย
    เช่น ผู้ตั้ง C
    และกระทู้ที่มีผู้ตอบไปนั้น
    แล้วผู้ตั้งกระทู้ C นั้น
    ไปตั้งกระทู้ใหม่ขึ้นมาอีก

    กระทู้ล่าสุดที่ตั้ง ของผู้ตั้งกระทู้ C นั้น
    ก็จะมาเรียงกับกระทู้ ของผู้ตั้ง C
    ที่มีการตอบล่าสุดเช่นกัน
    เรียกว่าย้ายคู่กระทู้ที่มาต่อกันนั่นเอง ^_^

    สรุป กันงง
    ๑.ถ้าผู้ตั้งคนเดียวกัน และไม่มีการตอบ
    และตั้งพร้อมกันในวันเดียว
    กระทู้เหล่านั้นก็จะเรียงกัน นี่เรื่องปกติ

    ๒.ถ้ามีการตั้ง
    จากผู้ตั้งคนเดิม
    และไม่มีการตอบอีกในวันถัดมา
    กระทู้ที่ตั้งใหม่ในวันถัดมา
    ก็จะมาเรียงกันต่ออีก
    กับกระทู้ที่ตั้งก่อนหน้าที่ไม่มีใครตอบ
    นี่ก็เรื่องปกติ

    ๓. ถ้ากระทู้ ผู้ตั้งคนเดิม มีการตอบอัพเดท
    ก็จะมาเรียงต่อ กับกระทู้ ที่ผู้ตั้งคนเดิมพึ่งตั้ง
    ขึ้นอยู่กับว่าจะอัพเดทก่อนตั้งใหม่ หรือตั้งใหม่ก่อนอัพเดทกระทู้เดิม แต่ยังไง๒ กระทู้
    ก็ต้องอยู่ติดกัน ยกเว้น จะตั้งโดดๆ
    แล้วมีกระทู้ของสมาชิกอื่นๆอัพเดทร่วมด้วย
    เพราะจะเรียงลำดับตามเวลาน้อยไปหามาก
    นี่ก็หลักปกติ

    อ่านหลักสังเกตุวิธีดูกระทู้ของผู้ตั้ง
    แต่ละคน และการเรียงลำดับของกระทู้
    ผู้ตั้งคนเดิมนั้นๆ ท่านจะเข้าใจได้เอง
    ว่าอะไรเป็นอะไร


    ปล. แค่หลักสังเกตุ เล่าให้ฟังพอขำๆนะครับ
    ไม่มีอะไรครับ ^_^
     
  8. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    1.ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจคนเราอาจจะสับสนได้
    เอาไว้ครั้งหน้า ผมจะพยายามตั้งชื่อกระทู้ไม่ให้ซ้ำกับคนอื่นมากนัก

    2.ส่วนกระทู้นี้ ถ้ามันขึ้นว่าตั้งขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 2 ก็คงจะตามนั้น
    เพราะผมตั้งเองกับมือ และไม่มีการลบกระทู้แต่อย่างใด เพราะลบไม่เป็น

    3.ส่วนเรื่องการที่ตั้งกระทู้ตั้งแต่ 2 กระทู้ขึ้นไป
    ถ้าไม่มีใครตอบมันจะเรียงกันไปเรื่อย ๆ นั้น อันนี้ผมก็ทราบครับเป็นเรื่องปกติ

    4.สำหรับเรื่องที่ผมบอกเล่าถึง เรื่องผลที่ผมเคยปฏิบัติมานั้นก็เพราะ
    เป็นการกันไม่ให้คนอื่นมาถามให้มากความครับ ว่าทำไมถึงเชื่อเรื่องแบบนี้
    นั้นก็เพราะผมเคยได้รับผลของการปฏิบัติ ก็เลยเชื่อ
    และเพราะความเชื่อนั้น จึงทำให้ผมพยายามนำคำสอนของครูบาอาจารย์
    มาลงให้คนได้อ่านกันครับ ถ้าไม่เชื่อ ก็คงไม่ทำ
    ดังนั้น ผมก็เลยบอกไว้ก่อน เป็นการดักหน้าไว้

    5.ที่จริง ผมก็ไม่อยากจะโต้แย้งอะไรมากนัก
    เพราะอยากจะให้คนสนใจธรรมะที่นำมาโพสมากกว่า
    เพราะถ้าโต้แย้งไปมาก ๆ เดี๋ยวกระทู้จะยาวเกิน คนจะลืมธรรมะไปหมด
    แต่ไม่เป็นไรครับ ครั้งนี้ถือว่าเข้าใจกันผิด ก็เลยต้องอธิบายกันนิดหน่อย


    ยังไงก็ขอบคุณที่แนะนำนะครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    สังเกตุไหม ที่ข้าพเจ้าถาม
    จะถามแต่เรื่องที่เกี่ยวกับประสบการณ์
    กสิณนะ ^_^ ไม่ได้ถามกรรมฐานอื่นๆ
    นาย เล่าอะไรให้ฟัง ?
    เกี่ยวอะไรกับกรรมฐาน กสิณ ?
    ดังนั้นจะเกี่ยวอะไรกับการโต้แย้ง
    ถามอย่าง ตอบอย่าง เข้าใจเนาะ

    นาย ใช้เคยงานกสิณที่นำมาลงหรือยัง?
    ถ้ายังถามว่า เชื่อได้ไงว่าเป็นวิธีฝึก
    หรือเชื่อเพราะว่าศรัทธาท่านนี้
    หรือมีประสบการณ์ ที่เพียงพอจะวิเคราะห์ได้ว่าถ้าทำตามแล้วจะได้ผล ถามเฉยๆนะ

    ก็ในเมื่อ ส่วนตัวเคยถาม กิริยาระหว่างทาง
    ของกสิณกองนี้ นายยังตอบไม่ได้
    แล้วก็เล่า ประสบการณ์อะไร
    ที่มันไม่ได้มีประโยชน์อะไร หรือเกี่ยวข้อง
    กับกสิณเลย งงไหม?

    และคงเข้าใจกันผิดนั้นหละครับ เรื่องกระทู้
    ทั่วไปไม่มีอะไรหรอก
    จะมาโต้แย้งอะไร
    ใครทำอะไรไปย่อมรู้ตัวเองดี
    แต่กระทู้แบบนี้ นาย เคยตั้งนะ
    เมื่อปี ๑๓ นะ แต่เป็นคำสอน
    ลพ. ในอดีตที่อุทัยฯ
    เห็นด้วยนะ ธรรมะควรให้ความสำคัญ
    มากกว่าเรื่องพวกนี้ แต่ก็แล้วแต่จริตคน
    https://palungjit.org/threads/วิธีฝึกกสิณลม-หรือ-วาโยกสิณ-ได้ผลจริง-โดย-หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538450/


    คนที่ถามคือคนที่เคยฝึก หรือสนใจ
    ถ้าไม่มีคนถาม แสดงว่า
    เค้าไม่ได้สนใจที่นำมาลง
    หรือกำลังไปทดลองฝึกอยู่
    ถามว่า ถ้าเราไม่เคยผ่านมาก่อน
    จะเอาอะไรไปแนะนำเค้าหละ
    แล้วรู้ได้ไง ว่าวิธีไหนได้ผลจริง?
    เพราะคนที่กำลังฝึกจะเข้าใจ
    กิริยาระหว่างทางเป็นอย่างดี
    ประสบการณ์ ที่นายเล่า
    มันป้องกันคนถามได้หรือ ?



    เพราะตามตำรา ตามครูบาร์สอน
    เป็นแนวทาง เป็นปลายทางแล้ว
    เตือนถึงระดับใช้งาน
    คงไม่มีท่านใดมาลงรายละเอียด
    ระหว่างทางให้ เพราะมันต้อง
    อาศัยประสบการณ์ ในการเข้าถึงก่อน
    ของผู้ฝึก เวลาอธิบายถึงจะเข้าใจ
    และผ่านไปได้
    จนกว่าจะถึงระดับใช้งานได้โน้นหละ
    ถึงจะไม่งง




    แต่ไม่ใช่เอามาเล่าเฉยๆ ไม่เกี่ยว
    อะไรกับกสิณ แต่บอกว่าปัองกันคนมาถาม
    ให้มากความ ? งงไหม ก็คงไม่ถามหรอก
    เพราะที่นายเล่ามา มันเกี่ยวกับกสิณตรงไหน? บอกหน่อยได้ไหม ?


    สุดท้าย เล่ามาก็
    ไม่มีทางไปต่ออะไรเลย จะเล่าเพื่อ?
    ถ้าเล่าโดยบุคคลอื่น แล้วถามต่อว่าจะทำอย่างไร อย่างนี้ควรเล่ามา
    ใครที่มีประสบการณ์ จะได้แนะนำได้
    ยกเว้นว่า เข้าใจว่า กิริยาที่ตนเจอ
    นั้นเป็นที่สุด ไปต่อไม่ได้ ก็แล้วไป

    ดังนั้น การที่นำคำสอน ท่านมาลงก็ดี
    เป็นแนวทาง เป็นการเตือน
    เชื่อไม่เชื่อ เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล
    การ ป้องกันการถามให้มากความเนี่ย
    จากประสบการณ์ที่ตนนำมาเล่าถือว่าใจยังไม่กว้างพอ และเอาจริงๆ
    จากกิริยาที่นายเล่าให้ฟังมา
    นะยังไม่ถือว่าใกล้เคียง
    ระดับที่จะใช้งานได้
    เลยนะ ไม่เกี่ยวกับกสิณกองนี้เลย



    และส่วนตัวนะมองว่า กสิณ ที่นำมาลงยังไม่ใช่
    ธรรมคำสอนอะไรนะ
    อยู่ในโหมดสมถะมากกว่า
    และยังเป็นโลกียะอยู่
    จนกว่าจะใช้งานได้จริงๆก่อน

    ใช้งานได้คือ ใช้ในเวลาปกติ
    ภายในวินาที ภายในลมหายใจเดียว
    และเกิดผลตามการใช้งานนั้นๆ
    แบบนี้ถึงเรียกว่า พอใช้งานได้



    แล้วมาต่อทางปัญญา
    และการใช้งานได้ มีการพัฒนา
    ระดับความสามารถนั้นๆเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
    เรียกว่า ทำได้แล้ว ใจเราดีขึ้นไหม
    โลภน้อยลงไหม
    อยากดีอยากเด่น อยากได้รับ
    การยอมรับ ไม่ว่าในสังคมใดๆ
    โดยเข้าใจว่าตนเองมีอะไร
    เหนือใครน้อยลงไหม ถึงจะพอเรียกว่า
    มีธรรมะได้


    พวกประสบการณ์ทางสมาธิ
    ต่อให้อลังการงานสร้างแค่ไหน
    พิศดารระดับจักรวาลแค่ไหน
    มันก็แค่กิริยาระหว่างทางปกตินั้นหละ
    รู้เองเห็นเอง คนอื่นไม่รู้ด้วย
    เล่าไป นอกจากจะทำให้ยึดนามธรรม
    และหลงตนเองได้ว่า เคยเจอสภาวะแบบนี้
    แถมยังใช้งานอะไรไม่ได้อีก
    ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไร
    ไม่ได้ทำธรรมะอะไร
    แต่ถ้าชอบ ฝึกฝนไปได้เรื่อยๆ
    อย่างน้อย กำลังที่ได้
    ก็ควบคุมระงับใจ
    ไม่ให้เกิดกิเลสได้ดีกว่าปกติอยู่


    ซึ่งคำสอนของ ลพ. ในอดีตที่อุทัยฯ
    ท่านได้เคยบอกแล้วว่าอย่าสนใจอะไร
    ในกิริยาระหว่างทางพวกนี้
    แม้ว่าจะเกิดความสามารถอะไรขึ้นมาก็ตามระหว่างการฝึก
    เพราะไม่มีประโยชน์
    ไม่ถือว่าใช้งานอะไรได้

    แม้ใช้งานได้ท่านก็เน้นใช้ประโยชน์
    แบบสาธารณะ และเพื่อผู้อื่น โดยไม่หวังผล
    อะไร ถึงจะถือว่า คอยดูแลอยู่


    เพราะว่าถ้าเป็นธรรมะได้นั้น
    เทคนิคจะต้องไปทางด้านวิปัสสนานะ
    ไม่ใช้ทางด้านใช้งานพิเศษอะไรแบบนี้


    ปล หวังว่า อ่านแล้วจะเข้าใจเนาะ
     
  10. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    เรื่องกสิณ ผมไม่มีประสบการณ์ตรงครับ
    แต่ขอถามท่านสั้น ๆ ว่า
    การจะใช้ผลของกสิณได้นั้น ต้องใช้อะไรครับ
     
  11. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    1.ผมไม่มีประสบการณ์กสิณโดยตรง
    แต่การที่กสิณจะใช้งานได้ ต้องมีสมาธิถึงระดับก่อน
    ถ้าฝึกกสิณ นิมิตกสิณจะเปลี่ยนไปตามกำลังของสมาธิ
    ที่ผมบอกถึงอาการของสมาธิให้ฟัง
    ก็เพราะต้องการบอกว่า
    เรื่องสมาธินั้น ผมเข้าใจว่าเป็นยังไง
    ในระดับที่ผมเคยเข้าถึง

    ผมรู้ว่าถ้าทำสมาธิจนถึงระดับฌาน 4 ได้แล้ว
    ถ้าจะใช้สมาธินั้นมาฝึกกสิณก็ไม่ใช่เรื่องยาก
    ไม่ได้เป็นการ ถามอย่าง ตอบอย่าง แต่อย่างใด
    ผมว่า เรื่องแค่นี้คนที่เคยฝึกสมาธิ หรือ กสิณมาก่อน ก็น่าจะเข้าใจนะ
    ไม่น่าจะต้องอธิบายอะไรมาก
    ยกเว้นว่า แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านั้น
    หวังว่าคงจะไม่ใช่นะ


    2.ผมไม่เคยใช้งานกสิณ เพราะยังไม่เคยฝึกกสิณ
    เคยแต่ใช้กำลังสมาธิให้เกิดผลตามที่ต้องการเท่านั้น
    แต่ที่นำคำสอนท่านมาลง
    เพราะต้องการบุญ

    ถ้าถามว่าเชื่อได้ไงว่าเป็นวิธีฝึกที่ได้ผล หรือ แค่เพราะศรัทธา
    ก็ต้องบอกว่า เชื่อทั้งสองอย่าง
    เชื่อว่าที่ท่านสอนนั้น ได้ผลแน่
    ถ้าทำตามได้ ก็ต้องได้ผลตามนั้น
    เพราะที่ท่านสอนกรรมฐานมานั้น
    เท่าที่มีประสบการณ์มา
    ถ้าเป็นเรื่องปฏิบัติ ท่านบอกได้ถูกต้องหมด

    เอาง่าย ๆ ว่า คนธรรมดาไม่มีทางรู้ได้แน่นอนว่า
    ผมเคยได้สมาธิระดับไหนมาก่อน
    และผมกำลังคิดอะไรอยู่
    ในเมื่อไม่รู้ ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเชื่อคน ๆ นั้น

    แต่พระอาจารย์ ท่านรู้ทั้งความคิดของผม
    และรู้ว่า ผมเคยได้สมาธิระดับไหนมาก่อน
    ดังนั้นผมจึงเชื่อท่าน


    3. กิริยาระหว่างทางของกสิณลมผมไม่มีครับ
    แต่ถ้าเรื่องอาการของสมาธิ ผมรู้เท่าที่ผมเคยทำได้
    ส่วนเรื่องของ กสิณ กับ สมาธิ นั้น
    เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันครับ
    เพราะ กสิณ เป็นเครื่องโยงจิตให้เป็นสมาธิ
    จะกสิณหรือกรรมฐานกองอื่น ถ้าทำได้ก็เป็นสมาธิเหมือนกัน
    เพียงแต่อาการระหว่างทางอาจจะต่างกันเท่านั้น


    4.เรื่องกระทู้เป็นการเข้าใจกันผิด
    ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ


    5.ส่วนเรื่องกสิณลม ของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น
    เป็นเรื่องกสิณลมเหมือนกันก็จริงครับ
    แต่คนละสำนวนกัน
    บางคนฟังคำสอนของหลวงพ่อฤาษีแล้วเข้าใจ
    บางคนฟังคำสอนของพระอาจารย์แล้วจึงจะเข้าใจ
    ผมก็เลยพยายามหามาให้คนอ่านกันในแบบหลาย ๆ สำนวนครับ


    6.เรื่องการใช้ผลของสมาธิ
    ที่ผมรู้ เพราะเคยทำได้มาก่อน

    ส่วนเรื่องป้องกันคนถามนั้น
    ผมป้องกันพวกที่คอยมาพูดว่าเรื่องการใช้งานสมาธิเป็นเรื่องโกหก
    หาว่าเรื่อง ฌาน สมาธิ สมาบัติ เป็นเรื่องไม่มีจริงครับ
    เพราะคนที่มาอ่านกระทู้นี้ไม่ได้มีแค่คุณกับผม
    ยังมีคนอื่นอีก ผมก็ต้องตอบแบบดักไว้ก่อน

    เพราะส่วนใหญ่ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้
    มันก็มักจะมีคนมาถามว่า แล้วเชื่อได้ยังไงว่าเรื่องนี้มันมีจริง
    ผมก็ต้องบอกว่า ที่เชื่อว่ามีจริง ก็เพราะผมเคยทำได้มาก่อน
    ในเมื่อเคยทำได้ ก็ต้องเชื่อ
    ในเมื่อเคยทำได้ ก็ต้องรู้ว่าอาการของสมาธิเป็นอย่างไร
    ก็เลยต้องบอกในลักษณะว่า
    ผมเคยทำได้ และรู้ว่าอาการของสมาธิเป็นอย่างนี้ ๆ

    ผมก็เลยติดนิสัย บอกไปเลยว่าเคยทำได้มาก่อน
    โดยไม่ต้องรอให้ถาม
    เพราะผมเคยเถียงมาหลายคนแล้ว
    เถียงกันทีไร สุดท้ายก็ต้องมาจบลงที่ เชื่อได้ยังไงว่ามีจริง

    เขาจะเชื่อผมหรือไม่ เป็นเรื่องของเขา
    แต่ถ้ามาถามผมว่า
    เชื่อได้ยังไงว่ามีผลจริง
    เชื่อได้ยังไงว่าทำแล้วจะได้ผล
    ผมก็ตอบคำเดิม ว่าผมเคยทำได้

    เพราะผมเชื่อว่า คนที่ได้อ่านก็คงจะใจกว้างพอที่จะยอมรับฟัง
    หรืออาจจะใจไม่กว้างพอที่จะยอมรับก็ได้ ซึ่งก็คงแล้วแต่คน


    7.คำสอนที่นำมาลง ผมไม่ได้หวังว่าจะมีคนอ่านแล้วบรรลุขั้นสูงสุดทันที
    รู้แค่ว่า มีประโยชน์ต่อคนทั่วไปแน่แค่นั้น
    ในเมื่อมีประโยชน์ก็เอามาลง
    อย่างน้อย ๆ ในขณะที่มีคนมาอ่าน
    คนที่อ่านก็ได้ธรรมะ ได้คำสอน
    ตอนที่อ่านก็ต้องมีสมาธิ ถึงจะอ่านแล้วเข้าใจได้
    รัก โลภ โกรธ หลง กินใจได้น้อยในระหว่างที่อ่าน
    แค่นี้ดีมากแล้วครับ


    ปล. ผมเข้าใจที่คุณจะสื่อครับ
    ขอบคุณที่แนะนำครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คุณอาจจะยังไม่รู้อะไรเนาะ
    ถึงยังกล่าวถึง ประสบการณ์
    ทางสมาธิคุณ ที่ไม่เกี่ยวกับกสิณอีก
    สมาธิที่คุณว่า ใช้งานแล้วเกิดผล
    ถ้าเป็นหลักวันหรือหลายนาทีขึ้นไป
    เค้าไม่เรียกใช้งานนะครับ

    ใช้งานคือ เกิดผลได้เด่วนั้น
    ไม่ต้องมีลีลาท่าทางอะไร
    ในแบบลืมตาปกติ ทั่วไปครับ
    ยกเว้นในกรณีเป็นงานพิธีกรรมต่างๆ
    ที่ต้องนั่งหลับตาบ้างเป็นธรรมเนียม



    เคยบอกแล้วนะครับว่า
    การปฏิบัติเนี่ยมันแปลกอย่างหนึ่งนะ
    ถ้านำเอาเรื่องอะไรที่ตนเองไม่เคยมีประสบการณ์
    มาก่อนแล้วพยายามถ่ายทอด
    ด้วยความเชื่อส่วนตัว
    ตัวเราเองก็จะแป๊กเองครับ
    พูดง่ายๆว่าไปไม่เป็น
    แต่ไม่เป็นไร สร้างบุญ สร้างบารมี
    ให้มากๆ อนาคตจะไปได้เองครับ

    ดูจากการถามเรื่องกสิณ บอกเลยว่า
    คุณไม่รู้เรื่อง จริงๆครับ
    ไม่ว่าอะไรนะที่พูดตรงๆครับ

    ควรถามว่า ฝึกกสิณไปเพื่ออะไร?
    หรือ ฝึกได้แล้ว กสิณนั้นจะนำไป
    ใช้งานทางด้านไหนได้บ้าง?
    มีประโยชน์อะไรบ้าง?
    หรือ ช่วยอะไรได้บ้างทางด้านธรรมะ?

    ไม่ใช่พยายามที่จะถามเพื่อให้
    ได้คำตอบว่า
    ต้องใช้สมาธิ เพราะตนอ้างเรื่องสมาธิอยู่
    เพราะกรรมฐานทุกอย่าง
    มันจะต้องใช้สมาธิอยู่แล้วครับ
    นักปฎิบัติหรือคนทั่วไปรู้ดีครับ
    ไม่มีใครไม่รู้หรอก ไม่ต้องมาย้อนแย้ง
    ด้วยมุมมองที่คุณยังเข้าไม่ถึงและยึด


    เพราะสมาธิอย่างเดียวมันไม่พอสำหรับเรื่องกสิณหรอกครับ
    เพราะต่อให้คุณบอกว่า
    ผมนั่งสมาธิได้ถึงฌาน ๔
    คุณก็ใช้งานกสิณไม่ได้หรอกครับ
    ต่อให้คุณจะพอรับรู้ได้
    ก็ใช้งานไม่ได้ครับ
    เพราะคุณไม่มีกำลังจิต


    รู้ไหมว่าทำไมคุณไม่เข้าใจ
    เรื่องของกสิณ
    และตอบกิริยาต่างๆไม่ได้
    ก็เพราะว่า คุณขาดสิ่งหนึ่งที่สำคัญ
    ก็คือ การสร้างให้จิต
    เกิด กำลังจิตนั่นเอง

    เพราะคุณไม่มีหลักในการสร้างกำลังจิต
    เคยแต่อ่านผลของมัน
    เลยเข้าใจว่า สมาธิอย่างเดียวพอ
    เลยไม่รู้หลัก ว่าจะใช้กสิณต้องมีอะไรบ้าง
    และมันต่อยอดกรรมฐานอะไรได้บ้าง


    แค่สมาธิอย่างเดียว มันไม่พอหรอกครับ
    และกิริยาทางสมาธิที่เป็นประสบการณ์
    ที่คุณเล่ามา มันฟ้องว่านอกจาก
    กำลังสมาธิคุณไม่พอแล้วกำลังสติทางธรรมในการควบคุมจิตคุณยังน้อย
    ดังนั้น ส่วนตัวจึงบอกว่า
    ไม่มีประโยชน์อะไร เล่าไป
    ก็เหมือนประจานตัวเองนั่นหละครับ

    นอกจากคุณจะคิดว่า มันเจ๋ง
    แสดงว่า ติดนามธรรม กิริยาตรงนี้
    แบบไม่รู้ตัวครับ

    ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง ฌาน
    สมาบัติอะไรหรอกครับ
    เพราะต้องมีกำลังจิตยืนพื้นอยู่แล้ว
    ถึงจะไปต่อได้ครับ


    และผลของสมาธินะครับ
    ถ้าเราทำให้คนอื่นๆพอรับรู้ไม่ได้เหมือนเรา
    หรือทำให้ปรากฏแก่คนอื่นๆแบบที่เราทำ
    ไม่ได้ มันก็งั้นๆหละครับ

    ไม่ต่างอะไรกับการคุยฟุ้งครับ
    ยิ่งคนไม่เชื่อ ยิ่งไม่สนใจอยู่แล้ว
    ยิ่งจะไม่ศรัทธา
    ดังนั้น อย่าเอาเรื่องประสบการณ์
    ทางสมาธิตนเองที่ฟ้องว่าสมาธิเราอ่อนและสติเราน้อยมาเล่าเลย
    ถ้าจะอ้างว่า เอาไว้ดัก
    คนมาถามให้มากความ
    เข้าใจนะครับ

    คนที่ถาม
    จะมีที่ฝึกอยู่แล้วไปต่อไม่ได้แล้วมาถาม?
    หรือก็ถามไปงั้นๆ ?หรือ
    ไม่เชื่อไม่สนใจ เห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
    แล้วก็จะถามว่าฝึกเพื่อ?
    บางคนก็ถามกวนๆว่า
    ทำได้หรือเปล่าที่พูด
    ตรงนี้ ต่างหากถ้าเรา
    เชื่อและศรัทธา
    จะต้องเตรียมคำตอบให้ได้นะครับ


    เอาแบบสรุปนะ เรื่องกสิณ
    ที่คุณถามมาไม่เอานะ
    ว่า การจะใช้ผลของกสิณได้
    จะต้องใช้อะไร ?

    เปลี่ยนคำถามให้นะครับว่า

    การจะใช้ผลของกสิณได้ในเบื้องต้นนั้น
    ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง?

    ๑. ระบบหายใจพื้นฐานแบบอาปาฯ
    จนเป็นระบบหายใจปกติในชีวิต
    ประจำวัน ตรงนี้คุณยังไม่ได้นะครับ
    อาปาฯในเวลาปกติหายใจเลยหน้าอกนะครับ
    ๒. กำลังสมาธิสะสม ที่ได้จากการเจริญสติ
    ต่อเนื่อง และความสม่ำเสมอในการทำสมาธิ
    และที่สำคัญ
    ๓.กำลังจิต ที่ได้จาก

    ๓.๑ การปั่นปฏิภาคนิมิต(วนซ้าย หรืออฐิษฐานเกิดผลได้แล้วเช่น ให้มีไฟรอบตัว มีฝนตกรอบตัว การ ปั่นขวาไม่ได้กำลังจิตนะครับ)ในกำลังสมาธิระดับสูง
    กรณีขึ้นด้วย กสิณ ๑๐ กองใดกองหนึ่ง
    ไม่ใช่แบบลืมตาเห็นตอนเช้าๆ หมายความว่าต้องผ่าน อุคหนิมิตแล้ว
    ผลคือ จะได้ทางด้านพลังงานทั้งภายในภายนอกในเวลาลืมตาปกติ ใช้งานปกติ
    (หมายถึงหลักวินาทีนะครับ)
    ๓.๒ กรณีขึ้นด้วยภาพพระ จะต้องย่อภาพพระได้ ในกำลังสมาธิระดับสูง
    และจะต้องอฐิษฐานจิตจนเกิดผลได้เช่นกัน
    วิธีนี้ยากสุด ส่วนมากมีในพระสงฆ์
    กว่าจะถึงขั้นหลักวินาทีต้องฟิตมาก
    ส่วนตัวเคยเจอ
    ไม่ใช่แค่ เค้าเล่าว่า หรืออ่านมา ฟังมา
    จะได้ทางตาพิเศษ และความสามารถพิเศษต่างๆตามมาปกติแบบภายในร่วมด้วย
    ๓.๓ ผ่านวิธีที่ ๒ และทิ้งภาพได้ก่อน
    ในระดับปฎิภาคนิมิต
    แล้วไปอรูปฌานต่อ วิธีนี้เหมาะสำหรับ
    จอมคาถา หรือบุคคลที่มีระเบียบวินัยในการทำสมาธิ ทางพราหมณ์ จะมีมาก

    และในข้อที่ ๓ นี้ ต้องมีกำลังสมาธิเพียงพอที่จะไม่ถูกนิมิตกสิณดูด และต้องไม่ติดเรื่องพิศดาร หรือติดความสามารถที่เกิดช่วงนี้

    ผ่าน ๓ ข้อนี้แล้ว จะสามารถใช้งานได้ปกติ
    ในชีวิตประจำวัน ขึ้นอยู่กับจะใช้ทางด้านไหน ซึ่งด้านอฐิษฐานจิต
    นั้นจะยากสุดในนี้ครับ

    แต่ถ้า คุณ ไม่ผ่านการทดสอบความเฉลียว
    ในการใช้งาน และผ่านการทดสอบการกลัวตายจากภาคส่วนภพภูมิ
    กสิณจะเป็นเพียงนิมิต ทำให้หลงตัวเอง
    เล่นไปวันๆ หรือใช้งานทีเป็นวันๆกว่าจะเกิดผล ความเฉลียวเช่น มีอุปสรรคมาให้ต้องใช้กองไหนบ้างเพื่อผ่านไปได้
    กลัวตาย เช่น มีอะไรมาทำร้าย
    เรายอมตายไหม มีหลายด่านซับซ้อน

    ทิ้งท้าย กำลังสมาธิใช้งานได้ระดับไหน
    ไม่ใช่ว่าเคยนั่งสมาธิเข้าถึงระดับนั้นได้
    จิตจะมีความสามารถใช้งานได้ในกำลังระดับนั้นนะครับ เช่น นาย C เคยนั่งได้
    ฌาน ๔ แต่พอลืมตากลับไม่มีความสามารถอะไรเลย นี่เรื่องปกตินะครับ

    มันต้องมาสร้างสะสม
    และมีอะไรมากกว่านั้น
    อยู่ครับ

    เครเนาะ ถือว่าเล่าสู่กันฟังเนาะ

    ปล. จะมีบุคคลไม่กี่ประเภท
    ๐.ไม่สนใจสมาธิ สติ อะไร แต่ไม่ทำสิ่งไม่ดี
    ขาดบ้าง มั่นคงบ้าง
    ๑. ไม่เชื่อไม่สนใจ
    ๒.ไม่ศรัทธา
    ๓.อิจฉายกตนข่มท่าน
    ๔. เฉยๆ อ่านผ่านๆ
    ๕. ท้าทาย แต่ตนเองไม่มีอะไร
    ๖.เห็นว่าไม่ใช่ทาง ต้องวิธี แนวทางของตน
    ๗.ศรัทธา เผยแพร่คำสอน
    ๘. สนใจ อยู่ระหว่างการฝึก
    ๙. มีพื้นฐานอยู่แล้ว มีประสบการณ์อยู่แล้ว

    ๐ ถึง ๖ ตัดไปอย่าสนปล่อยตามวาระ
    ๗ ปล่อยไปตามอัธยาศัย แต่อย่าเสริม
    ความเห็นตน หากไม่มีประสบการณ์
    และควรมีอ้างอิง ไม่งั้นการปฏิบัติจะแป๊ก

    ๘.ถ้าเค้าถาม แนะนำไปตามประสบการณ์
    ตามวาระ
    ๙. ต้องทำให้ดู แสดงให้ดู พิสูจน์ให้ได้
    ในเวบนี้ มีเยอะ แต่ไม่ค่อยมาตอบ
    มีวิจารณญาน ในการแยกแยะได้
    ว่าใครเป็นอย่างไร

    นอนหลับฝันดี สุภาพแข็งแรงครับ ^_^
     
  13. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    1.ฌาน หรือ สมาธิ ที่ผมเคยทำได้
    ไม่ว่าจะใช้งานได้ในเสี้ยววินาที
    หรือต้องใช้เวลาหลายวัน หรือหลายเดือน ถึงจะเกิดผล
    แค่นี้ ผมก็พอใจ หรือ ภูมิใจแล้วครับ
    ขอแค่ให้มีผลตามที่ผมต้องการก็พอ


    2.ที่ผมต้องการคือบุญครับ
    จึงพยายามนำคำสอนที่มีประโยชน์ของครูบาอาจารย์
    มาให้คนอื่น ๆ ได้อ่าน
    แม้ผมจะยังทำเองไม่ได้ก็ตาม
    เพราะเป็นคำสอนของท่านที่ทำได้จริง ไม่ใช่คำสอนของผม


    3.เรื่องที่ผมไม่รู้เรื่องกสิณจริง ๆ นั้น
    ผมก็บอกแต่แรกแล้วว่า ผมไม่รู้
    ถ้าคุณจะบอกว่าผมไม่รู้ ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ เพราะผมไม่รู้จริง ๆ


    4.ถ้าถามว่าผมจะฝึกกสิณไปเพื่ออะไร
    เพราะผมชอบเรื่องฤทธิ์เดชครับ
    ถ้าทำได้จะต้องมีประโยชน์กับผมเองแน่นอน
    มีประโยชน์ทั้งทางโลก ทางธรรมะแน่
    ส่วนจะมีประโยชน์กับคนอื่นไหม
    อันนี้ก็แล้วแต่วาระครับ


    5.ที่ผมถามก็เพราะต้องการคำตอบว่าต้องใช้สมาธินั่นแหละ
    เพราะกสิณกับสมาธินั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่แล้ว
    และผมต้องย้อนแย้งครับ
    เพราะคุณพูดเหมือนกับว่า
    ที่ผมพูดเรื่องสมาธินั้นไม่เกี่ยวอะไรกับกสิณ
    ผมก็เลยต้องย้อนถามน่ะสิว่า
    การจะใช้ผลของกสิณนั้นต้องใช้อะไร
    เพราะการย้อนถามเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้คำตอบที่ตรงประเด็น
    อีกอย่าง ผมเห็นแต่คุณมาถามผม
    ผมก็ต้องย้อนถามคุณบ้าง จะปล่อยให้คุณถามอยู่ฝ่ายเดียว
    ก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ ผมต้องถามคุณกลับบ้าง
    พอดีได้ทีก็เลยต้องถามครับ


    6.แม้การได้ฌาน 4 จะยังไม่พอที่จะใช้ผลกสิณได้ เรื่องนี้ผมรู้ครับ
    แต่สมาธิระดับนั้น เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก
    ที่จะนำมาใช้ฝึกกสิณต่อไปครับ


    7.การสร้างจิตให้เกิดกำลังจิต ผมไม่รู้
    รู้แต่ว่าถ้าเกิดผมทำฌาน 4 ได้ขึ้นมา
    การฝึกกสิณก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม


    8.ขอถามอีกอย่าง
    การที่ผมไม่รู้ว่า จะใช้ผลของกสิณนั้นต้องทำอย่างไร
    มันเกี่ยวกับอะไรกับที่ผมนำคำสอนของพระอาจารย์มาโพสครับ
    ที่ผมโพสไม่ใช่คำสอนของผม
    ผมก็ไม่เห็นว่าคุณจะต้องมาถามว่า
    ผมรู้วิธีฝึกกสิณ หรือใช้ผลของกสิณหรือไม่
    ผมก็งงว่าคุณมาถามผมแบบนี้ทำไม


    9.จริงครับ ที่ว่าแค่สมาธิอย่างเดียวมันอาจจะไม่พอที่จะฝึกกสิณ
    แต่ผมมั่นใจว่าถ้าผมได้ฌาน 4
    ผมสามารถเอาไปต่อยอดเพื่อฝึกกสิณได้แน่นอนครับ
    เพราะตลอดระยะเวลาตั้งแต่ดวงจิตของผมเกิดขึ้นมา
    ผมมั่นใจว่าผมคงไม่ได้ฝึกแค่สมาธิอย่างเดียวแน่นอน


    10.การที่ผมพูดความจริงว่าผมเคยทำสมาธิได้ระดับไหน
    ถ้ามันจะเป็นการประจานตัวเอง ผมก็พร้อมที่จะทำครับ
    เพราะการบอกในสิ่งที่ผมทำได้ มันทำให้ผมภูมิใจ
    เพราะผมรู้สึกว่า มันเจ๋งดี
    ถึงผมจะสอบได้คะแนนแค่ 10 เต็ม 100
    ผมก็รู้สึกว่ายังดีกว่าผมสอบได้ 0 คะแนน
    หรือถึงจะได้ 0 ก็ยังดีกว่าติดลบ
    อย่าว่าแต่เรื่องสมาธิเลยครับ
    แค่ผมซ่อมไฟบ้านได้ผมก็ภูมิใจมากแล้ว คุยได้ทั้งวัน
    ผมไม่สนว่าใครจะว่าผมเด็ก หรืออ่อนหัด
    เพราะสิ่งที่ผมทำได้มันทำให้ผมภูมิใจจริง แค่นี้ก็พอแล้ว


    11.ผมรู้ครับว่า
    ถ้าจะให้ดีเลยก็คือ
    ผมต้องสามารถแสดงฤทธิ์ให้คนอื่นเห็นได้
    สัมผัสได้ด้วยตาเปล่านั้นจะเป็นการดีที่สุด
    แต่ผมยังทำไม่ได้ไงครับ
    ในเมื่อผมทำได้สูงสุดเท่านี้ ผมก็ภูมิใจแค่นี้
    และผมเชื่อว่าผมจะต้องกลับมาได้สมาธิระดับนั้นอีกแน่นอน


    12.ผมไม่ต้องการให้ใครมาศรัทธาครับ
    เพราะผมขี้เกียจยุ่งกับคนอื่น
    แต่ผมชอบทำให้คนอื่นได้รู้ถึงคำสอนดี ๆ เพราะผมได้บุญ
    ผมจึงไม่ไปสอนใครด้วยตัวเองมากนักถ้าผมไม่รู้
    ส่วนใหญ่จะเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มาโพส
    คิดว่ายังไงก็ต้องได้บุญแน่


    13.เชิญเปลี่ยนคำถามได้ ไม่เป็นไรครับ
    เพราะถ้าตอบตามที่ผมถามก็ต้องตอบว่า สมาธิ อยู่แล้ว


    14.ขอบคุณสำหรับคำตอบเรื่อง
    การใช้ผลของกสิณในเบื้องต้นนะครับ
    มีประโยชน์มากครับ


    15.ตอนนี้เรื่องการผ่านบททดสอบอะไรผมไม่สนครับ
    ผมยังไม่ต้องการหลุดพ้นอะไร
    ผมต้องการแค่ฌาน 4 เท่านั้น
    ขอให้ผมได้ฌาน 4 เท่านั้น แค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ


    16.เรื่องการที่เคยได้สมาธิระดับสูงสุดแค่ไหน
    แต่ตอนปกติทำได้ไม่ถึง อันนี้ผมรู้ครับ เพราะปกติผมก็เป็นแบบนั้น


    ขอบคุณที่แนะนำครับ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    1. ตอบ รับทราบ
    2. ตอบ นี่หละสาเหตุที่ทำให้สมาธิไม่ก้าวหน้า นำสิ่งที่ไม่มีประสบการณ์ในตนมานำเสนอ ลองย้อนอ่านดูที่เคยเตือนนะครับ ไม่ได้บุญหรอกครับพวกนี้ไม่ใช่ธรรมะนะครับ มันเป็นสมถะ การปฎิบัติ จะได้บุญก็ต่อเมื่อนำคำสอนที่คนอ่านแล้ว จิตใจปล่อยวาง มีการพัฒนาตนเองดีขึ้นนะครับ ธรรมะอยู่ในข้อ ๙ ของเรื่องบุญกิริยา ๑๐ นะครับ เข้าใจใหม่ ด้วยนะครับ อ้อรู้ได้ไงท่านทำได้จริง เมื่อคุณยังทำไม่ได้ และคุณไม่เคยมีประสบการณ์ ในการถามท่านเรื่องกสิณแบบส่วนตัว งง แทนหรือแค่เชื่อ
    3. ตอบ นี่ไงข้อนี้ พูดเองว่าไม่รู้ แล้วรู้ได้ไงว่าใครทำได้จริง เครเนาะ
    4. ตอบ ข้อนี้พอเข้าใจ บอกไว้ก่อนนะว่า ถ้าคิดว่ามีเพื่อประโยชน์ตนเองก่อน คงยากที่จะสำเร็จครับ
    5. ตอบ คำพูดที่บอกว่าคุณไม่รู้เรื่องเพราะคำถามคุณไม่สร้างสรรค์ไง ถามเพียงเพื่อจะเอาคำตอบว่าสมาธิ ทั้งๆที่ ใครก็รู้ว่า กรรมฐานทุกกอง ต้องใช้สมาธิอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ยกตัวอย่างนะ คำถาม การจะใช้ผลของกรรมฐานกองนี้ต้องใช้อะไรครับ คือเข้าใจไหมว่า มันไม่ฉลาดในการถามครับ เพราะสมาธิมันเรื่องปกติเกี่ยวข้องกับกรรมฐานทุกกองอยู่แล้ว และที่คุณเล่ามาเรื่อง กิริยาทางสมาธิ(เข้าใจไหม มันไม่เกี่ยวอะไรกับกสิณ และมันฟ้องว่า สมาธิเราน้อยรวมทั้งกำลังสติเราไม่พอ) คือมันไม่มีประโยชน์ ก็ยังมั่นใจเรื่องสมาธิ ทั้งๆที่ก่อนหน้า ส่วนตัวถามประสบการณ์เกี่ยวกับกสิณเท่านั้น ถ้าไม่เกท ให้ย้อนอ่าน #rep ที่ขึ้นต้นว่า สังเกตุไหม อีกรอบนะครับ อ้อ อีกรอบนะ กสิณไม่ได้ใช้สมาธิเพียงเดียว ดังนั้นจึงไม่ตรงประเด็นเข้าใจนะ และกรรมฐานทุกกองมีสมาธิเกี่ยวข้องอยู่แล้ว พูดอีกรอบเผื่อยังไม่เกทนะ
    6. ตอบ คุณคงไม่รู้เนาะ เลยมั่วๆตอบมาแบบมั่นใจ กสิณการฝึกแค่เริ่มต้นก็ต่างกันแล้ว คนละวิถีจิตกันเลย สมถะนั้น จะไปได้ ๒ ทางคือ ๑. ถ้าแยกกายกับจิตได้ในกำลังระดับฌาน ๔ และบังคับจิตให้นิ่งๆในกายได้ มันจะวิ่งดูอวัยวะภายใน จะได้ผลในเรื่องการตัดร่างกาย หรือ ๒. วิ่งซ้อนในจิตเรื่อยๆจะได้ของเก่าบางอย่างในระดับใช้งาน กลับมาและใช้งานได้ในเวลาปกติ แม้คุณทำสองอย่างนี้ได้ ก็ไม่ได้ยืนยันว่า คุณจะสามารถสร้างกำลังจิตและฝึกกสิณได้นะครับ และ ๑ กับ ๒ มันจะเกิดเองเลือกไม่ได้นะครับ ยกเว้นพวกญานวิถี ที่ของเก่ากลับมาเอง พวกนี้จะเน้นทางด้านปัญญา บอกแล้วไม่มีประสบการณ์ อย่าพูด
    7. ตอบ ฌาน ๔ ธรรมดายังไม่รู้เรื่อง แบบข้อที่ ๖ อย่าพูดอวดเลยครับ เข้าใจเนาะ
    8. ตอบ เกี่ยวเพราะเอาคำสอนที่ตนไม่มีประสบการณ์นำมาลงไงครับ เลยทำให้คุณไม่รู้เรื่องไง แสดงว่าอ่านที่เคยเตือนไม่เกทใน #rep แรกที่ผมโพส ก็บอกไปแล้วว่าคุณไม่ตอบก็ได้ ไม่เชื่อย้อนอ่านดู แต่กลับตอบเล่าที่ไม่ได้ถาม และไม่มีประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับกสิณ แต่ก็ยังพยายามโยงให้เกี่ยว โดยเอาเรื่องสมาธิมาอ้าง ทั้งๆที่กรรมฐานทุกกองต้องทีสมาธิเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เกทไหม
    9. ตอบ มั่นใจส่วนมั่นใจครับ คนละแนวทางการฝึกตั้งแต่เริ่มต้นนะครับ บอกไว้ก่อน ย้อนอ่านข้อ ๖ ข้างบนอีกรอบนะครับ
    10. ตอบ นั่นหละเค้าเรียกติดนามธรรม ถ้ากิริยาแบบนี้ สภาวะแค่นี้ยังยึดติดคิดว่าเจ๋งแล้ว อนาคตฌาน ๔ และ กสิณคงอีกยาวไกล ถ้าวางกิริยาแค่นี้ไม่ได้ ชาตินี้คงยากครับ เพราะระหว่างที่ฝึกกสิณ มันจะพิดารและเกิดความสามารถหลายอย่าง และท่านห้ามสนใจ จนกว่าจะใช้งานได้ นี่ยังไม่ถือว่าใช้งานได้ยังยึดกิริยาระหว่างทางขนาดนี้ จะไปได้หรือครับ คิดเอานะ
    11. ตอบ รู้ตัวก็ดี ถ้าเลิกยึดนามธรรมได้จริง สร้างสติทางธรรม สะสมสมาธิไปเรื่อยๆ รู้หลักการฝึก ก็มีโอกาส
    12. ตอบ มันจะได้บาป ตรงถ้าคนไม่ศรัทธานี่หละครับ และเราจะแป๊ก ถ้านำคำสอนที่ตนไม่มีประสบการณ์มาลง คำว่าเชื่อ ไม่ทำให้ได้บุญนะครับ ไปอ่าน บุญกิริยา ๑๐ นะครับส่วนนี้บอกอีกรอบ
    13. ตอบ ถามไม่ฉลาด เปลี่ยนอยู่แล้วครับ เข้าใจนะ ๑ สมาธิเกี่ยวข้องกับกรรมฐานทุกกองอยู่แล้ว ถามแบบคนไม่มีแววจะทำได้ ๒ กสิณ จะใช้ได้นั้น สมาธิอย่างเดียวไม่พอดังนั้น เข้าใจใหม่นะว่า คำตอบว่าสมาธิ จึงไม่ตรงประเด็น แม้ว่าจะใช้คำถามเดิมของคุณแต่คุณ ก็ยังยึดว่า สมาธิ เนาะ สงสัยอ่านไม่เกท
    14. ตอบ ไม่เป็นไรครับ ผมเขียนแบบนี้มาหลายรอบแล้วหละครับในเวบนี้
    15. ตอบ คุณเข้าใจผิดแล้ว แสดงว่าอ่านไม่เข้าใจ เรื่องผ่านการทดสอบนั้น มี ๒ ประเด็นคือ ๑ ความเฉลียวในการใช้งาน และ ๒ ผ่านการทดสอบเรื่องกลัวความตาย ไม่เกี่ยวกับการหลุดพ้นอะไรเลยครับ บอกแล้วว่า ถ้าไม่ผ่าน ก็จะทำได้แต่ในนิมิต และหลงตัวเองไปวันๆ หลงคือ หลงนิมิต นั่นหละ และมั่นใจว่าตนเองเก่ง
    16. ตอบ สมาธิสูงสุด พูดเพื่อให้เห็นว่า สมาธิใช้งานเป็นอย่างไร คือ มันจะเอาที่เคยเข้าได้ มาเป็นตัวชี้วัดไม่ได้ มันต้องดูสมาธิที่ใช้งานได้จริง ในเวลาลืมตาปกติ และภายในหลักวินาทีครับ เครเนาะ
    ลองอ่านดู ค่อยๆอ่านด้วยครับ อธิบายในเรื่องเดิมๆ บ่อยๆ ซ้ำๆ มันไม่ใช่แนวพวกที่จะมีความสามารถพิเศษใช้งานนะครับ

    ยินดีที่ได้สนทนา ^_^

     
  15. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    1.ธรรมะคำสอนของครูบาอาจารย์ (ที่ท่านทำได้จริง)
    ที่ท่านกล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติ
    ไม่ว่าจะเป็นสมถะ หรือ วิปัสสนา (ถือเป็นธรรมะทั้งหมด)
    ถ้าเรานำเอาคำสอนนั้นมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รู้
    ให้เขามีโอกาสได้อ่าน ได้ศึกษา
    ได้บุญแน่นอนอยู่แล้วครับ อยู่ในส่วนของทาน (ธรรมทาน)
    ยิ่งถ้าเขาทำตาม จนได้ฌาน ได้สมาธิ
    จิตของเขาว่างจากนิวรณ์ชั่วคราวได้
    ก็ยิ่งได้บุญเพิ่มขึ้นไปอีก

    เหมือนกับการซื้อหนังสือธรรมะ หรือ พระไตรปิฎก
    แล้วนำไปบริจาคที่โรงเรียน หรือ นำไปถวายที่วัดนั่นละครับ
    ถือเป็นการเผยแพร่ธรรมะเช่นกัน
    ต่อให้ไม่มีความสามารถเท่ากับที่ในหนังสือสอนไว้
    คนที่บริจาคนั้นก็ได้บุญแน่นอน
    แล้วคุณมาบอกว่า ไม่ได้บุญ ผมก็คงไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้วครับ

    2.และที่บอกว่า ผมรู้ได้ยังไงว่าท่านทำได้จริง ในเมื่อผมยังทำไม่ได้
    ก็ขอตอบแบบตรง ๆ ว่า
    จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเชื่อว่าท่านทำได้จริง
    ผมคิดอะไร ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญ ท่านก็พูดทักขึ้นมาทันที เดี๋ยวนั้นเลย
    ผมเคยทำอะไรได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ควรพูด ท่านก็พูดทักแนะนำขึ้นมา
    บางทีผมทำอะไรในที่ลับจะถูกหรือผิด มีโอกาสท่านก็ทัก เพื่อแนะนำเตือนสติ
    อย่างน้อยผมก็รู้ว่าท่านรู้ใจผมได้
    แค่นั้นก็เพียงพอแล้วครับ

    คนอื่นอาจจะหาว่าผมคิดไปเอง แต่เชื่อเถอะ ผมไม่เชื่อคนอื่น
    ผมเชื่อตัวเอง และตัวผมเองเชื่อว่าท่านเก่งจริง

    3.จากที่คุณถามผมว่า

    อ้อรู้ได้ไงท่านทำได้จริง เมื่อคุณยังทำไม่ได้ และคุณไม่เคยมีประสบการณ์ ในการถามท่านเรื่องกสิณแบบส่วนตัว งง แทนหรือแค่เชื่อ

    หมายความว่า ผมไม่ควรเชื่อท่าน เพราะผมเก่งไม่เท่าท่าน งั้นเหรอครับ

    พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีความสามารถมากพอ หรือ เท่ากับใคร
    เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อคน ๆ นั้น เหรอครับ??

    ถ้าอย่างนั้น คนทั่วไปที่ไม่จบปริญญา
    เราก็ไม่ควรเชื่อคนที่เขาเรียนจบปริญญาว่าเขาจบจริง
    ต่อให้เอาใบปริญญามายืนยันก็ไม่ควรเชื่อ
    เพราะเรามีความสามารถไม่เท่าเขา แบบนี้เหรอ!?

    ถ้าอย่างนั้นในเมื่อผมไม่มีความสามารถเหมือนกับคุณ
    ผมก็ไม่ควรเชื่อในสิ่งที่คุณบอก
    ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน จะเสกของกลางอากาศได้
    หรือจะเหาะเหินเดินอากาศให้เห็นคาตา
    ต่อให้พิมพ์คำพูดยกเหตุผลมาเป็นล้าน ๆ หน้ากระดาษ A4
    ผมก็ไม่ควรเชื่อคุณ
    เพราะว่าผมไม่มีความสามารถที่จะทำได้แบบคุณ

    ยิ่งคุยกันก็ยิ่งดูเหมือนกับคุณไม่ได้ต้องการคำตอบ หรือ เหตุผล
    เหมือนคุณกำลังหาเรื่องผม
    ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้วละครับ
    พูดไปก็เสียเวลา เพราะผมมาที่นี้เพราะต้องการบุญ
    ไม่ได้ต้องการบาป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2019
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    นิสัย เบี่ยงเบน ขาดตรรกะ ควรเลิกได้แล้วนะครับ
    ห้องนี้ ห้อง อภิญญา สมาธิ นะครับ ถ้าคุณ นำมาลง

    ในห้อง ที่มีการตั้งกระทู้ถาม จากสมาธิชิกท่านอื่นๆ
    หรือ คำสอนนั้นเป็นธรรมะ ที่ทำให้คนอื่นๆดีขึ้น
    ไม่มีใครเค้าว่าอะไรหรอกครับ ไปอ่าน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นะครับ
    อย่า เอาแต่อ้างกับแก้ตัวไปวันๆ
    เด่วจะหา ลิงค์ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ให้อ่าน ข้างล่างนะครับ



    นิสัย เบี่ยงเบน ยกตนเอง ขาดตรรกะ ควรเลิกได้แล้วนะครับ

    รอบที่ ๓ นะ ที่บอกว่าไม่ได้บุญ แต่ได้บาป และทำให้การปฏิบัติตนเองแป๊ก
    นั่นคือ การนำเรื่อง สมถะ การปฏิบัติที่ไม่มีในตนเอง มาเผยแพร่
    บอกไปแล้วว่า การปฏิบัติ มันแปลก คือ พูดในสิ่งที่ไม่มีในตน
    พูดในส่วนที่ตนไม่มีประสบการณ์ มันจะส่งผลถึงตัวเราเองนั่นหละ
    ทุกวันนี้ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือครับ การติด กิริยาทางนามธรรม
    ที่ไร้สาระ แต่กลับคิดว่า สุดยอดนั่นก็ใช่ บอกว่าไม่มีความเฉลียวในการปฏิบัติ
    ทุกวันนี้ ฝึกอะไรได้สำเร็จหรือไม่
    ใช้งานที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆหรือสาธารณะ
    ได้ซักอย่างหรือไม่ หรือมั่นใจว่า จะกี่เดือนใช้สมาธิแล้วได้ผลคือพอใจ
    นี่ไม่เรียกว่า ใช้งานได้หรอกครับ
    ใจคุณ คิดแต่ใช้เพื่อประโยชน์ตนเองเป็นหลัก
    ดังนั้น จึงไม่มีแวว ของนักปฏิบัติที่จะมีความสามารถพิเศษอะไร
    ดังนั้น ประเด็นนี้ อย่าเบี่ยงเบน พูดให้คนอื่นๆเข้าใจว่า ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่อง
    เผยแพร่ธรรมะของครูบาร์อาจารย์
    ในส่วนที่ผมไม่เห็นด้วยคือ คุณไม่มีประสบการณ์
    แต่นำคำสอน ที่เป็น สมถะมาเผยแพร่ อ่านแล้ว เข้าใจนะ



    ในส่วนของการนำธรรมะคำสอนครูบาร์อาจารย์ ณ เผยแพร่ หรือ แจกนั้น
    แม้ว่า บุคคลนั้นจะได้อ่านหรือไม่ได้อ่านก็ถือว่าเป็นบุญ ส่วนนี้
    ใครก็ทราบ ในเนทก็มีบอก พิมพ์คำค้นก็เจอ
    ไม่ต้องเอามาโยงเพื่อให้เห็นว่า ความเห็นตนเองถูกต้อง
    และเพื่อยกตนเอง เหมือนที่ชอบอ้างมาก่อนหน้านั้นหรอกครับ ^_^
    แต่ควรตั้งให้ถูกห้องด้วยนะครับ เข้าใจไหม
    ห้องนี้ ไม่ใช่ห้อง พุทธศาสนากับธรรมะนะครับ


    เพราะว่าเป็น ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐



    ๙. แสดงธรรม ให้ธรรมะและข้อคิดที่ดีกับผู้อื่น แสดงธรรมนำธรรมะไปบอกกล่าว เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับฟัง ให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นเรื่องของความจริง ความดี ความงามก็เป็นบุญ (ธรรมเทศนามัย)
    อ้างอิง http://www.kanlayanatam.com/sara/sara41.htm
    หรือ
    9. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ — by teaching the Doctrine or showing truth)
    อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%BA%D8%AD%A1%D4%C3%D4%C2%D2%C7%D1%B5%B6%D8

    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม

    การแสดงธรรมเป็นบุญประการหนึ่ง และทำให้พระศาสนาดำรงมั่นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะมีการแนะนำสั่งสอนสืบต่อกันมา แม้เราทุกคนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะได้อาศัยครูบาอาจารย์ หรือ พ่อแม่แนะนำสั่งสอน หรือ อ่านหนังสือธรรมที่ท่านผู้รู้ธรรมได้แต่งหรือเขียน หรือรวบรวมไว้

    การแสดงธรรมนี้ จัดเป็นทานอย่างหนึ่ง เรียกว่า "ธรรมทาน" เป็นทานที่มีผลมากกว่าทานทั้งปวง ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้พระธรรมชนะการให้ทั้งปวง

    ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนจะให้ทานก็ดี จะรักษาศีลก็ดี จะเจริญภาวนาก็ดี ก็ต้องอาศัยได้ฟังธรรมมาก่อน เขาจึงได้ทำบุญประเภทอื่น ๆ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมมาก่อนแล้ว คนจะไม่ทำบุญอันใด แม้ใครจะทำบุญบ้างตามอัธยาศัยของตน แต่บุญนั้นก็มีผลน้อย เพราะทำไม่ถูกวิธี เพราะขาดผู้แนะนำสั่งสอน

    การแสดงธรรมที่จัดว่าเป็นบุญนั้น ไม่ได้มีเพียงพระภิกษุสามเณรเท่านั้นที่แสดงได้ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ย่อมแสดงได้ หรือทำบุญข้อนี้ได้ทั้งสิ้น

    การแสดงธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงบนธรรมาสน์เสมอไป ที่ใดก็แสดงหรือแนะนำสั่งสอนได้ เช่น ในบ้าน ในป่า ตามถนนหนทาง ในรถ ในเรือ แม้ในเครื่องบิน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือทางสถานีโทรทัศน์ และการสอนในชั้นเรียน เป็นต้น

    บุญอันเกิดจากการแสดงธรรมนั้น ไม่ใช่การพูดอย่างเดียว แม้การเขียนหนังสือธรรมะ การพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือการให้ทุนในการพิมพ์หนังสือธรรมะออกเผยแพร่ก็จัดเข้าในบุญข้อนี้ทั้งสิ้น

    แม้การบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือซื้อหนังสือธรรมะ หรือพระไตรปิฎกถวายพระ ถวายไว้ประจำวัด หรือแจกคนทั่วไป ก็จัดเป็นธรรมทาน คือ บุญอันเกิดจากการให้ธรรมะเป็นทานได้เช่นกัน

    แม้การแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ลูกหลาน หรือญาติมิตร ให้เข้าถึงธรรม ให้ประพฤติธรรม ให้รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ก็จัดเป็นบุญในข้อแสดงธรรม การที่พ่อแม่แนะนำสั่งสอนลูกให้ประพฤติดี หรือพี่แนะนำน้องให้ละชั่วประพฤติดี ก็จัดเป็นบุญข้อนี้ทั้งสิ้น


    หลักการแสดงธรรม

    การแสดงธรรมจะมีประโยชน์มากก็ต่อเมื่อผู้สอนผู้แสดงมีจิตเมตตาหวังให้ประโยชน์ต่อผู้ฟังจริง ๆ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า นักเทศน์ หรือ ผู้แสดงธรรม จะต้องมีคุณสมบัติ ๕ ประการคือ

    ๑. แสดงธรรมโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ

    ๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ

    ๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง

    ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ

    ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือ ไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น


    หากผู้สอนธรรม แสดงธรรมหรือเขียนหนังสือธรรมะ ท่านใดมีคุณสมบัติ หรือใช้หลักการแสดงธรรม ๕ ประการนี้แล้ว ผลแห่งการแสดงธรรมและบุญอันเกิดจากการแสดงธรรมจะมีมาก
    อ้างอิง http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/pra-thep-visut-kawee/pra-thep-visut-kawee-02.htm


    ตอบ ก็แสดงว่าเชื่อ ก็นั่นไงคุณเชื่อ รู้ได้ไงว่าคนอื่นๆจะว่าคุณคิดไปเอง
    แต่ผมเคยถามคุณเกี่่ยวกับประสบการณ์เรื่อง กสิณ
    และบอกว่าไม่ต้องตอบก็ได้
    แต่คุณ ก็คุยฟุ้งเรื่อง กิริยาทางสมาธิ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลยกับกสิณ
    และยังมั่นใจอีกว่า มันที่สุด ทั้งๆที่ เป็นกิริยา ที่ฟ้องว่า สมาธิและสติเราอ่อน งงไหม

    ย้ำว่า ส่วนตัวถามเกี่ยวกับเรื่องกสิณนะครับ
    ดังนั้น ตั้งสติให้ดีๆ เพราะรอบนี้ รอบที่ ๓ แล้วนะครับ

    ถามอีกรอบว่า ถามว่า คุณรู้ได้อย่างไรเมื่อคุณไม่มีประสบการณ์ กสิณ ว่าท่านทำได้
    ตอบว่า เพราะเชื่อก็ได้ว่าท่านทำได้ ก็จบ

    ไม่ต้องอารัมบท ว่าเพราะท่านมีความสามารถด้านทายใจ การทักอะไรนั่นนะ
    มันเกี่ยวอะไรกับ เรื่องกสิณครับ เข้าใจไหม


    กรุณาตอบให้ตรงประเด็นด้วยนะครับ อย่าเบี่ยงเบน
    ส่วนตัวนะรู้ว่า ท่านทำได้ ไม่ใช่เพราะเชื่อ
    แต่เพราะมีประสบการณ์มาก่อน จึงเชื่อ


    ทุกวันนี้ก็เลยยังงงว่า คุณรู้ได้ไงว่าท่านทำได้
    ในเมื่อคุณไม่มีประสบการณ์ งงไหม?
    รู้เพราะท่าน ทำนายทายทักคุณได้ หรือครับ
    ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับ กสิณ นี่หรือ ????
    เข้าใจ ตรรกะแบบนี้ไหม...
    ประสบการณ์เกี่ยวกับ กสิณ เกทไหม
    หรือต้อง ไปเรียนการอ่าน ภาษาไทยมาใหม่

    นิสัย เบี่ยงเบน ยกตนเอง ขาดตรรกะ ควรเลิกได้แล้วนะครับ
    ไม่ฉลาดยังพอทำเนา แต่นิสัย เบี่ยงเบน ขาดตรรกะ ไม่ยอมรับ
    ความจริงใช้ไม่ได้นะครับ เข้าใจไหมครับ นี่นะที่ถาม ตรงไหน
    บอกว่า ต้องเก่งเท่าท่านครับ อย่านั่งเทียนเขียน นิสัย เหมือนเด็กไม่รู้จักโต ขากตรรกะ...

    ''อ้อรู้ได้ไงท่านทำได้จริง เมื่อคุณยังทำไม่ได้ และคุณไม่เคยมีประสบการณ์ ในการถามท่านเรื่องกสิณแบบส่วนตัว งง แทนหรือแค่เชื่อ''

    คุณจะเชื่อเรื่องของคุณ ไม่ใช่ตรรกะแบบขาดเหตุผล ข้างบน
    ต้องเก่งเท่านั้น เอามาจากไหน ? เรื่องปริญญา ยิ่งไปกันใหญ่ ออกทะเลไปไกล
    เค้าเรียกว่า แถข้างๆคูๆ เพื่อที่จะให้เห็นว่า สิ่งที่ตนเองคิดถูกต้อง
    อย่างนี้ ไม่ใช่แววของนักปฏับติ ที่จะมีอะไรพิเศษหรอกครับ


    นิสัย เบี่ยงเบน ยกตนเอง ขาดตรรกะ ควรเลิกได้แล้วนะครับ
    ''อ้อรู้ได้ไงท่านทำได้จริง เมื่อคุณยังทำไม่ได้ และคุณไม่เคยมีประสบการณ์ ในการถามท่านเรื่องกสิณแบบส่วนตัว งง แทนหรือแค่เชื่อ''
    เอาแต่เบี่ยงเบน เอาแต่แถเพื่อที่จะชนะ ปัญญาเลยมืดบอด มองอะไรไม่เห็น
    ถ้าสมมุติ คุณเห็นใคร เหาะเหินเดินอากาศได้คาตา
    นั่นคือ คุณมีประสบการณ์แล้วครับ

    หรือถ้าคุณมีประสบการณ์ ในกรรมฐานกองนั้น แล้วคุณมาถามใคร
    ถ้าบุคคลนั้นแนะนำและคุณทำตาม แล้วเห็นผลได้ และเชื่อไม่แปลก

    ไม่ใช่แถไปเรื่อย ว่าต้องเชื่อในสิ่งที่ใครบอก ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์
    เข้าใจไหม มีประสบการณ์มาก่อน
    แล้วถามค่อยเชื่อ แบบคุณคือ เชื่อแบบไม่มีประสบการณ์ แล้วแถ ?
    ต้องฉลาดบ้างนะครับ อย่าให้ความยึดมันในความคิดตนเองมาบดบังนะครับ
    คุณนี่ กลายเป็น คนยึดแบบไร้ตรรกะ เพียงเพื่อจะเอาชนะแบบค้างๆคูๆ

    อย่าสำคัญตนเองผิดครับ ปกติคุณโพสก็ไม่มีใครมาตอบ
    อยู่แล้วหละครับ มีแต่ผมนี่หละครับ และอย่าเอาเรื่องบุญมาอ้างเลย
    บาปนะได้แน่ๆ ไปอ่าน
    ผู้แสดงธรรม จะต้องมีคุณสมบัติ ๕ ประการคือ
    อ้างอิง http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/pra-thep-visut-kawee/pra-thep-visut-kawee-02.htm

    ที่แน่ยิ่งกว่า คือ การปฏิบัติที่ไม่ก้าวหน้า และ

    นิสัย เบี่ยงเบน ยกตนเอง ขาดตรรกะ จิตใจคับแคบแบบนี้
    และไม่รู้อะไรควรไม่ควร น่าจะเลิกได้แล้วนะครับ

    ห้องพุทธศาสนา และ ธรรมะ มีอยู่แล้ว ไม่ใช่โพสไปในหลายๆห้อง
    โดยไม่ดูกฏระเบียบอะไรเลย.......


    การนำคำสอน เกี่ยวกับ การปฏิบัติมาลง ในห้องนี้ไม่มีใครเค้าว่าหรอกครับ
    ถ้า คุณ นำมาเพื่อ แนะนำบุคคลอื่นๆ ในทางปฏิบัติ
    ในกรณีที่ สมาชิก มีการตั้งกระทู้ถาม
    ซึ่ง ในห้องนี้ ก็มีบุคคลที่ ทำอย่างนี้ประจำอยู่


    ไม่ใช่ เอะอะ อ้างแต่เรื่องบุญ ทั้งที่เป็นโหมด สมถะ จะตั้งกระทู้ก็ตั้ง
    ไม่ดูเลยว่า ในเวบ มีการเตรียมให้แล้ว เรื่อง บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ก็มี
    ทำเป็นไม่สนใจ ไม่รู้จัก ระเบียบวินัย การอยู่ร่วมในสังคม นำคำสอน
    มาตั้งกระทู้ โท่งๆ แทบไม่มีใครมาตอบ มีแต่ข้าพเจ้านี่หละ เข้าไปเสริมในส่วนประสบการณ์
    ปาก อ้างไปเรื่อย ว่าคนไปปฏิบัติตามได้สมาธิ ได้ฌาน ก็จะได้บุญ เป็นบุญของตนเองทั้งๆที่ ตนเอง ไม่มีประสบการณ์ในหัวข้อ ที่ตั้ง แม้มีประสบการณ์บ้าง
    ก็นำมาเล่าแต่เรื่อง ตนเอง กิริยาที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นเลย
    เล่าไป ยังมั่นใจว่า กิริยา ไร้สาระของตนเป็นที่สุด......

    เจตนา มันจะเป็นตัวฟ้อง ว่าจะได้บุญหรือไม่ได้บุญนะครับ
    เล่าแต่เรื่อง ตัวเองกิริยาไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆ
    ยึดแต่ความคิดตนเอง เอาแต่เบี่ยงเบน ขาดตรรกะเพื่อ
    เอาชนะในความคิดที่ตนเองยึด จิตใจก็คับแคบ
    ยังกล้าอ้างเรื่อง บาปเรื่องบุญ

    ที่สำคัญคือ ให้ความสำคัญตนเองผิด ตั้งกระทู้โท่งๆ
    ตั้งไปหลายห้อง ไม่มีใครมาตอบ ตั้งกระทู้ทั้งๆที่ ห้อง พุทธศาสนา ธรรมะ
    ก็มีอยู่แล้ว ยังจะอ้างเป็นวรรคเป็นเวรเรื่อง บุญเรื่อง บาปอยู่ได้

    ควรพิจารณาตนเอง ก่อนที่จะกล่าวว่า จะไม่คุยกับใครนะครับ

    หวังว่า กะลา ที่เปิดนะครับ เอามาพร้อมหลักฐาน ขนาดนี้
    ยังจะ เบี่ยงเบน ไหม......


    เครเนาะ...... พ่อคนไม่มีแวว นำเสนอแต่โหมดสมถะ เรื่องพิเศษ
    แต่ปากอ้างว่า เสนอธรรมะ อ้างบุญอ้างปาบ
    นำเสนอไม่ถูกห้อง ถูกกาลก็ยังไม่รู้ตัว ไม่ต้องมาบอกเรื่องไม่มีต้อง
    การคุยกับข้าพเจ้าหรอกครับ ทำเป็นพูดยกให้ตนเองดูดี ....

    ตั้งกระทู้ไป ไม่รู้กี่ห้อง มีใครไปตอบบ้างไหม นอกจากข้าพเจ้า
    ยังไม่รู้ตัว ยังสำคัญตนเองผิดอีก....


    Screenshot (33)_LI.jpg
     
  17. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ความเห็นส่วนตัว
    คือรักษาน้ำใจกันไว้เถิดนะคะ
    มาเป็นกำลังใจคะ
     
  18. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ให้รักษาน้ำใจกันไว้เถิดนะคะ
    กาลนี้คนไม่สำคัญ
    กาลหน้าจะสำคัญ

    กาลนี้คนสำคัญ
    กาลหน้าจะไม่สำคัญ


    รู้เขารู้เรา
    เราต่างรู้
    เรายังใช้ไม่ถูกกาล

    ใช่กาลหน้าจะใช้ไม่ได้
    จริงๆเราเสมอกัน
    ต่างกันที่เวลา

    อนุโมทนาคะ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ความเห็นส่วนตัวนะครับ
    น้ำใจเป็นสิ่งที่ควรมี
    แต่ใช้ไม่ได้กับทุกคนครับ

    คนไม่มีความเฉลียวฉลาดทางปฎิบัติ
    แต่รู้ตัวเอง
    รู้จักถ่อมตนเองบ้าง
    หัดเจียมความสามารถตนเองบ้าง
    ไม่สำคัญตนเองผิด ไม่เข้าใจว่าตนมีดี
    ยังถือว่าพอจะมีแววฝึกสำเร็จบ้างครับ

    แต่คนไม่เฉลียวฉลาดในการปฎิบัติ
    ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนมีมาก
    เน้นทำเพื่อตัวเองเป็นหลัก
    สำคัญตนเองผิด ไม่รู้การถ่อมตน
    ยกตัวยกตน เรียกว่า ไร้แวว

    คำว่า กาลหน้า คงใช้งานได้
    หรือฝึกสำเร็จ คงไม่ใช่ชาตินี้
    และไม่รู้ว่าชาติไหน สำหรับบุคคล
    ประเภทนี้

    คงได้แต่คิดว่าได้ คิดว่าใช่
    ทุกชาติไป


    เล่าให้ฟังเฉยๆครับ
    บุคคลประเภทนี้มีเยอะครับ
    เจอได้ทุกที่ โดยเฉพาะตามวัด
    ที่เน้นวิชาพิเศษ

    คุยเรื่องตนเองระดับชาติ
    แต่ความสามารถใช้งานระดับ
    เตรียมอนุบาล หรือใช้ไม่ได้เลย

    คุณ นี เคยเจอไม่ใช่หรือ?

    เล่าให้ฟังเฉยๆครับ ^_^
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...