กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. เจไดหรือธิส

    เจไดหรือธิส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +359
    ผู้ได๋อยู่ในนั้นครับ
     
  2. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,189
    ค่าพลัง:
    +10,066
    มือสวยนะครับ เพชรด้วย
     
  3. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,806
    ค่าพลัง:
    +4,672

    ....กะว่าสักครู่...จะเข้านอนแล้ว
    พอเจอคำพูดปริศนา...ที่คาใจ
    รวมทั้งเพชรพญานาคบนฝ่ามือ(ใคร)?
    หายง่วงเลย...หายง่วงเลย

    ปล.ไม่ขำ...แต่อยากรู้
     
  4. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,772
    อยากรู้~~~~ เหมือนกันค่าอาจารย์
     
  5. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,772
    บอกหนูหนิพี่แม็ค รับฟังทุกอย่าง
    เราจะต้องมีวันถูกหวยน๊าาา
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    นิทาน เรื่อง เธอคือใคร ?

    เดาเองว่าจะเป็นนางกวัก
    หลังจากที่เล่าให้พระอาจารย์ฟัง
    ว่าใครมาเก็บมะนาวข้างกุฏิอาจารย์
    อธิบายการแต่งตัว บุคคลิก
    แล้วถามอาจารย์ว่าไม่ใช่คนใช่ไหมครับ?
    อาจารย์ยักคิ้วให้ ยิ้มเล็กน้อย
    พร้อมกับพูดว่า อืออออ

    (คือมีคุณป้าอีกท่าน กับหลานที่เป็นเณร
    ก็มาเก็บเหมือนกัน พอดีมี คนที่หาพระอาจารย์อีกคนเห็นเหมือนกัน
    แต่พอคุณป้าท่านนี้เดินมา
    ส่วนตัวพบว่าเป็นคนละ
    คนกับที่ส่วนตัวเห็น เอาแล้วตรู วันนี้มีฮาแน่
    เลยเงียบๆไว้ก่อน
    ไว้รอถามพระอาจารย์ดีกว่า
    เพราะมั่นใจว่า เป็นคนละคนกับที่เห็น
    แน่นอน ไม่ว่า อายุ สีผม การแต่งตัว
    ชักจะมีอะไรสนุกแระ( แต่ยังไม่คิดว่า
    จะไม่ใช่คน )


    แต่ก็ดูจากชุดที่แต่ง เรียบร้อยเกิ๊น
    ใส่ชุดสีน้ำเงิน เป็นคล้ายผ้าถุงดูเรียบ
    เหมือนรีดผ้ามา ยาวถึงตาตุ่ม
    เสื้อพอดีตัว แขนเสื้อเลยศอกหน่อยหนึ่ง
    ผมสีดำมองดูลีบๆแบนๆ
    (คล้ายเวลาเราใส่หมวกนานๆ
    แล้วถอดหมวกออก)
    ไม่ใส่หมวก แต่เหมือนรวบผม
    ไปไว้ด้านหลัง ผิวขาวปกติ ดูผอม
    รูปร่างดูสูงโปร่งแต่เหมือนมีอายุหน่อย
    การยกแขนเรียก คล้ายรูปปั้นนางกวัก
    คือต้นแขนตั้งฉาก ช่วงแขนยกตรง
    ดูมือนางกวัก นะเหมือนกันเลย
    แล้วก็กวักแต่เฉพาะมือเรียก
    แขนจะนิ่งๆ
    (มาสังเกตุภายหลัง)

    พอดีว่า จะเอารถเล็กไปเจิม
    ขับรถมาเห็นเค้ายืนอยู่
    หน้ากุฏิอาจารย์ ด้านข้าง
    แล้วกวักมือเรียก ไอ้เราก็งงๆ
    เอะ เรียกให้เราเอารถไปจอดหรือเปล่า
    อีกใจหนึ่งนึกว่า เค้าเรียกเพื่อนเค้าที่มาด้วย
    แต่ยังไม่เข้าไปเพราะยังไม่ได้เอาขันธ์
    สำหรับเจิม

    ก็ยังไม่แปลกใจ
    เลยจอดรถ ไว้ใกล้ๆ
    ก่อนถึงหน้ากุฎิท่าน
    เลยเดินไปเอาขันธ์สำหรับ
    การเจิมรถ แล้วขับรถเข้าไปจอดหน้ากุฏิท่าน
    ก็ยังพบว่า ก็ยังเห็นเค้ายืนกวักมือเรียก
    ตอนนี้คิดว่า เรียกเราแน่ๆ สงสัยจะให้เอารถมาจอดหน้ากุฏิ
    แต่พอเราลงรถ ดับเครื่องยนต์ เปิดประตู
    มองอีกที เห็น เค้าไปอยู่ข้างกุฏิอาจารย์แล้ว
    เห็นยืนหันหลังให้ แต่บิดตัวมามองเราอยู่

    ไอ้เราก็เอะ ใครวะ? ยืนมองซักพัก
    หน้ากุฏิท่าน รู้จักกันหรือ?
    (คิดในใจ แต่งตัวเรียบร้อย
    อนุรักษ์ความเป็นไทยดีเนาะ
    ป่านว่าจะไปเดินถือป้าย งานกาชาติ
    งานประจำจังหวัด)
    แต่ก็แปลกใจว่า เป็น ญ ทำไมถึงไปอยู่ข้าง
    กุฏิอาจารย์ ทำท่าเหมือนจะเก็บมะนาว

    ซึ่งปกติ ถ้าท่านยังไม่เปิดประตู
    เป็น ญ ด้วย ก็ไม่ควร
    ไปอยู่บริเวณข้างกุฏิท่าน


    และพอดี น้องหมาตัวอ้วนใหญ่
    เดินมาพอดีแล้ว มันก็หยุด ตรงหน้าเรา
    และเห่าเธอพอดี
    ก็เลย คิดว่าไม่มีอะไรมั่ง
    คงเป็นคนปกติ

    ก็เลยมากินข้าวกัน หน้าวัด.
    คุยกับแม่ค้า ว่าใครไปเก็บมะนาว
    ที่ข้างกุฏิท่าน แม่ค้าบอก
    ปกติท่านไม่ให้ใคร ไปแถวนั้น
    (ส่วนกรณีคุณป้าอีกท่าน กับเณร พอดีคุณป้า
    เคยขอ พระอาจารย์ไว้แล้ว)

    แม่ค้าเหมือนไม่เชื่อ
    เราก็บอก เป็นคนนี่หละครับ
    ยืนกวักมือเรียกผมอยู่หน้ากุฏิท่านนี่หละ

    กลายเป็นที่มาของนิทาน
    ว่า “เธอเป็นใคร”

    สุดท้ายก่อนกลับ
    หลังจากที่รู้ว่า ไม่ใช่มนุษย์
    ถามพระอาจารย์ว่า
    ทำไมเค้ากวักมือเรียกครับ

    พระอาจารย์มองหน้า
    พร้อมกับ ฮาาาาา ขำๆ ไปหนึ่งดอก
    (ประมานว่า เจ้า บ่ ฮู้ อีหลี บ้อออออ)

    เอ๊าาา ๕๕๕ ยังไม่ชัวเนาะ ๕๕๕
    เห็นตอน สามโมงเช้าาาาาา ๕๕
    มันคนชัดๆ

    แต่มาเอะใจได้ ๓ ถึง ๔ เรื่อง
    อารมณ์ประมาน ตีเลขเก่ง
    หลังหวยออกไปแล้วนั่นหละ ๕๕๕

    ๑. แต่งชุดไทยเรียบร้อยเกินไปไหม
    สำหรับคนที่จะมาดูดวงกับพระอาจารย์

    ๒.หลังจาก ที่เอาขันธ์สำหรับเจิมรถ
    เป็นคนเรียกเราให้เอารถมาจอด หน้ากุฏิ
    ก็น่าจะหยุดดู หรือแนะนำอย่างอื่นบ้าง
    (ปกติ ลูกศิษย์ท่านจะบอกว่า ทำอะไรบ้าง
    เช่น เปิดประตูรถไว้ , เวลาเจิม ห้ามอยู่
    บริเวณนั้น ฯลฯ )
    ๓.ท่ากวักมือเรียก ที่มองดูแปลกๆ
    นึกออกไหม เวลาเราเรียกคน
    แขนเรามัดจะขนานพื้น แล้วยกทั้งแขน
    ขยับขึ้นลง แต่นี้ยกแขนเหมือนนางกวัก
    ขยับแต่มือ.
    ข้อ ๔ . คือเวลาที่มองเค้า มันเหมือน
    กับว่า คนนี้ทำไมไม่มีแววตา
    (คือเวลาเรามองหน้าเค้า ตรงลูกตาปกติเค้า
    มันจะเหมือนเป็นสีดำ มองไม่เห็นตาขาว)

    ที่พอเดาได้ อาจเพราะพี่ที่เป็น
    ลูกศิษย์ใกล้ชิดพระอาจารย์ ยังไม่มา
    นางก็เลย ทำหน้าที่แทน ๕๕๕
    แต่ก็ยังรักษาระยะห่างกันอยู่
    เอาว่า เต็มที่ ไม่เกิน ๑๐ เมตร

    นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
    ที่ส่วนตัว ไม่ค่อยอยากเดิน
    สำรวจป่า ตามเส้นทางแหล่ง
    ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ได้
    ทำไว้ตามสถานที่ท่องเที่ยงต่างๆ ๕๕๕

    แห๋มๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นการแต่งตัวแบบสาวๆ
    แล้วมาเรียกแบบนี้อยู่ในป่า
    ขณะที่
    ยังมีแสงแดดอยู่
    รับรองว่า.......................................
    ........
    .........
    .........














    .... เดินตามต้อยๆแน่ ๕๕๕
    ไม่สนแระ จะแต่งแบบไหน
    และตรูคง ไม่คิดหละวะ
    ว่าคนหรือผี ๕๕๕๕



    จบแระ นิทาน ณ วัดป่าแห่งหนึ่ง

    ส่วน สีฟ้า บ้างเรียกว่า ฝอยน้ำ
    เพราะกำเนิดจากน้ำที่เป็นฝอย
    แล้วทาง พยานาค เค้าใช้วิชา
    เกี่ยวกับธาตุให้รวมกันเป็นก้อน
    เพื่อใช้สำหรับ วางบนถาดเวลา
    ที่จะไปถวายพระพุทธฯ

    แต่ พระอาจารย์ให้เรียกว่า
    ลูกแก้วพยานาค ครับ

    ส่วนถ้าที่เรียกว่าเพชร พยานาค ที่ได้จาก
    ตบะ การทำสมาธิ จะมีขนาด
    ประมาน ฝ่ามือเด็กน้อย
    ซึ่งเค้าจะหวงมากๆๆๆๆๆครับ


    ส่วนที่เรียกลูกแก้วหรือเพชรพนานาค
    อีกแบบคือ ที่อยู่ในก้อนหินตามภูเขา
    อะไรประมานนี้ครับ

    ที่ได้มา เพราะอานิสงส์
    ไม่ใช่จากตนเอง
    คล้ายๆ ส้มหล่น
    เพราะท่านไม่เคยบอกว่ามี
    และท่านก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ในตอนแรก

    แต่คนที่นั่งข้างๆ พูดเป็น ๕๕๕

    พอดีเหลือ กัน ๒ คนสุดท้าย
    ท่านลุกเข้าไปเอาในห้องท่าน
    ออกมาให้ครับ

    นี่หละเรียกว่า ส้มหล่น๕๕

    ส่วนมือนั้นเป็นฝ่ามือ
    มารของข้าพเจ้าเอง ๕๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2019
  7. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,189
    ค่าพลัง:
    +10,066
    พี่นพไม่ลองเดินตามเธอไปดูครับ อาจมีเรื่องสนุก 555
     
  8. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,806
    ค่าพลัง:
    +4,672

    ตื่นขึ้นมา...ได้ฟังนิทานแต่เช้าเลย
    ...สนุกมากๆ
    วันนี้วันเสาร์อากาศปลอดโปร่ง เย็นสบายๆ
    ...เป็นวันเดินเที่ยวสบายตามอารมณ์
    และไปทำกิจธุระบางอย่างที่ตั้งใจไว้

    ลมหนาวช่วงกลางจะมาเยือนอีกครั้ง
    ช่วงต้นผ่านไปแล้ว ช่วงกลางคือตอนนี้
    ช่วงปลายยังมีอีกระลอก...

    นับถอยหลังไปแค่ 10 ปี
    ลมหนาวจะสิ้นสุดราวๆมกราคม
    แต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว...ภูมิอากาศก็แปรปรวน
    ...คนก็เปลี่ยน ...ประเทศไทยดูเหมือนจะหนักกว่า


    (ต่อ) นิทานเธอคือใคร ?

    ยังไม่จบครับท่านอจ.นพ
    เพชรพญานาค หรือแก้วพญานาค
    ตรงกลางแก้วใสๆดูเหมือนมีองค์พระ
    (ถ้าเอาขาวๆตรงใต้คางออก)
    ดูคล้ายองค์ลป.ทวด ?

    IMG_20190119_060807.jpg





    ".....ส่วนมือนั้นเป็นฝ่ามือ
    มารของข้าพเจ้าเอง ๕๕....."


    555 ข้าน้อยชอลิ่วเหี่ยว
    ...เช้านี้...ขำออกแร้วว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2019
  9. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,806
    ค่าพลัง:
    +4,672
    เหตุเพราะช่วงนี้ผมพูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ
    เพราะกระแสนี้เห่อแล่นเข้ามาในจิตใจ

    เช้านี้จึงหยิบสิ่งดีๆมาฝากท่านที่สนใจ
    โดยเฉพาะคนใหม่ๆ รวมทั้งตัวผมด้วย
    เพราะภายในมีทริคดีๆ หลายทริคซ่อนอยู่
    (ยกตัวอย่าง 1 ทริคคือที่ผมขีดเส้นใต้
    ตามด้วยตัว
    หนังสือแดงและน้ำเงิน)
    ...อ่านแล้วเกทเลย

    (เริ่มต้นอาจดูหนักๆ แต่พออ่านไปสักครู่จะสนุก..ไม่เบื่อเลย)

    ใครที่เคยรู้ หรือเคยอ่านจากแหล่งอื่นๆมาแล้ว
    หรือฝึกฝนปฎิบัติมานานแล้ว
    ถ้าได้อ่านอีกรอบ...
    เพื่อทบทวนความจำคงเป็นประโยชน์
    (อาจจะยาวหน่อย...จนตาหวานได้ นะครับ)


    **************************************

    คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ

    โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

    ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ
    หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
    หมวดที่ ๒ เตวิชโช
    หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
    หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
    สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
    ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
    หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
    สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
    สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
    สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
    สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า
    สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว
    สำหรับมโนมยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งมีกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ
    สำหรับประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ ต้องการพรหมโลก ต้องการนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
    ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนคล่องแล้ว นอกจากจะยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่าง ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ
    ทิพจักขุญาณ สามารถจะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ รวมความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ
    และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน ๔ และก็ได้ อดีตังสญาณ อนาคตังสญาณ มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไรจะทำอะไรก็ได้
    ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริง ๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม่ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนที่ครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาณ จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก ๒ นาที คิดว่าถ้าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง
    อย่างนี้นักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามาหาวิทยาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อนและก็นั่งอยู่ที่นั่น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอกแต่ว่าจะรู็ด้วยกำลังของจิตที่เป็นทิพย์
    แบบนี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลก ใช้ได้มากกว่านี้
    เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาณ และก็ญาณที่ ๒ ที่จะได้จากมโนมยิทธิก็คือ จุตูปปาตญาณ
    จุตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนหรือสัตว์ หรือ ว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้ารู้ว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็จะทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ
    แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติ สามารถจะทบทวนชาติต่าง ๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้
    แล้วก็ต่อไป เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่าสามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้ายังไม่มาก็ดี เราจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เราสามารถจะรู้ได้ทันที
    และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร
    อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต
    ปัจจุปันนังสญาณ ญาณนี้สำคัญมาก รู้กฏของกรรมที่ทำให้คนมีความสุขหรือความทุกข์ เราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ซึ่งกำลังมีความสุขอยู่เพราะผลความดีอะไรให้ผล ที่มีความทุกข์อยู่เพราะความชั่วอะไรให้ผลทำมาแล้วในอดีต ถ้าหากว่ารู้ญาณนี้ได้ความหนักใจความกลุ้มใจไม่มี
    รวมความว่า มโนมยิทธิ นอกจากจะยกจิตไปสู่ภพต่าง ๆ แล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก ๘ ประการ และก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร เฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวถึง วิชชาสาม ท่านบอกว่า
    ท่านผู้ใดสามารถกระทำจิตไปสู่ภพต่าง ๆ คือว่าไปสวรรค์ก็ได้ไปนรกก็ได้ไปพรหมก็ได้ ไปนรกเปรตอสุรกายได้ ชื่อว่าถึงแก่นของพระศาสนา
    เมื่อบุคคลปฏิบัติกิจเข้าถึงแก่นของพระศาสนาแบบนี้ ถ้าปฏิบัติด้านวิปัสนาญาณ ท่านบอกว่า
    ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้ามีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ ปี
    คำว่า บารมี ก็หมายถึง กำลังใจ กำลังใจที่เราจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ถ้าเราใช้กำลังส่วนนี้ไปช่วยวิปัสสนาญาณ หรือนำวิปัสสนาญาณมาใช้ ก็จะเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์
    และก็เป็นที่น่าเสียดายที่มีกำลังพอแต่ไปใช้กำลังอย่างอื่นอยู่ ถ้ามุ่งต้องการความเป็นพระอริยเจ้าจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องการพระโสดาบันละก็ อย่างช้าก็ไม่เกิน ๑ เดือน ช้ามากเกินไป แต่ว่าคนขี้เกียจก็เร็วมากเกินไป ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจ ๑ เดือนนี่ เร็วมากเกินไป ถ้าขยัน ๑ เดือน ช้าเกินไป เร็วมากเกินไป
    พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านพูดถึงอรหันต์เลย ถ้ามีความเข้มข้นในการปฏิบัติที่เรียกว่ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีกำลังใจอย่างกลางที่เรียกว่า อุปบารมี คือกำลังใจอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้าขี้เกียจมากหน่อย แต่ว่าทำไม่เลิก ทำบ้างไม่ทำบ้าง วันหนึ่งก็ไม่เว้นละ ทำมากทำน้อย นอนน้อยทำมาก สลับกันไปอย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี
    แต่ว่าก็มีเยอะเหมือนกัน ที่ได้ไปแล้วไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้เฉพาะกิจส่วนนี้ก็ยังดีกว่า เพราะหายสงสัย
    ที่พระพุทธเจ้าสอนวิชานี้ไว้เป็นวิชาขั้นต้นของ อภิญญา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์บอกว่า
    คนเราตายไปแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าสร้างผลของความชั่ว ผลของความชั่วจะให้ผล คือไปนรก จากนรกก็ต้องมาเป็นเปรต จากเปรตแล้วก็มาอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
    สัตว์เดียรัจฉานนี่เป็นนานหน่อย ต้องเสวยบารมีมากฆ่าสัตว์กี่ตัว สัตว์ประเภทใดบ้าง ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นเท่าชีวิตที่เราฆ่า ฆ่ายุงไปเท่าไร เอาแค่ยุงอย่างเดียวก็พอมั๊ง
    หลังจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วที่เราทำไว้จะให้ผลเพียงเศษ เช่น
    ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์ เป็นปัจจัยให้คนมีอายุสั้น เพราะทำเขาไว้มาก หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทุกพพลภาพ สุดแท้แต่กฎของกรรม
    กรรมของอทินนาทาน ลักขโมยยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ทรัพย์เสียหายจากไฟไหม้บ้าง ลมพัดบ้าง น้ำท่วมบ้าง ถูกโจรลักขโมยบ้าง
    กรรมของกาเมสุมิจฉาจารที่เราละเมิด เป็นเหตุให้คนในปกครองว่ายากสอนยาก คนที่มีลูกดื้อ ๆ จำให้ดีนะ เคยทำกรรมนี้มาแล้วจะให้พระช่วยได้อย่างไร และ
    กรรมของมุสาวาท เราพูดจริงแต่ไม่มีใครเขาอยากฟัง
    เศษกรรมของการดื่่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคเส้นประสาท หรือโรคบ้า
    ทีนี้ถ้าอาการทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้น อย่าไปโทษใคร ถ้าเราได้ ยถากรรมมุตาญาณ เราจะทราบ ว่ากรรมประเภทนี้ทำให้เราลำบากเราทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนที่จะได้รับเศษของกรรมเราได้รับโทษของกรรมใหญ่ที่ไหนบ้าง ลงนรกมากี่ขุม ท่องเที่ยวนรกแสนสบาย มีความสุขมีที่อยู่ที่อาศัย พญายมเอาอกเอาใจ ไม่ต้องการให้พ้นจากนรกนี่ดีมีวาสนาบารมีสูง
    ออกจานรกขุมใหญ่ ออกจากนรกบริวาร ผ่านยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ออกจากยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ผ่านเปรตอีก ๑๒ ลำดับ จากเปรตมาผ่านอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน กว่าจะเกิดมาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์มาก พระพุทธเจ้าตรัสแล้วหลายสิบองค์ อันนี้เป็นกฎของความชั่วที่เราพึงจะรู้ได้ด้วยกำลัง มโนมยิทธิ ที่ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน
    ด้านของความดีที่เราจะพึงทราบจาก ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เราจะทราบว่าเราเคยเป็นเทวดามาแล้วกี่ครั้ง เคยเกิดเป็นคนมาแล้วเท่าไหร่ แล้วเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มาแล้วเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ชาติไหนมีความสุขมาก ชาติไหนมีความทุกข์มาก ชาติไหนมีฐานะอย่างไร อย่างนี้เราทราบได้
    ทีนี้ถ้าอยากจะทราบว่าบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ บุญประเภทนี้จะให้ผลเราขนาดไหน สมมุติว่าถ้าเราตายขณะนี้เราจะเป็นเทวดาหรือจะไปเป็นพรหมหรือจะไปนิพพาน เราพิสูจน์ได้เลย บุญทำวันนี้พิสูจน์วันนี้ได้ว่าบุญวันนี้จะส่งผลไปถึงไหน
    ถ้าจะถามว่าถ้าปุบปับตายจะมีวิมานอยู่ไหม ถ้าเคยทำบุญก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างศาลา สร้างสาธารณประโยชน์ แม้แต่เขาสร้างโบสถ์ ๑ หลัง เราทำบุญไป ๑ บาท และทำด้วยความเต็มใจ วิมานก็ปรากฏแล้ว คือว่าทำในทันทีวิมานจะปรากฏทันที
    ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่าทุกท่านหรือหลาย ๆ ท่านกำลังเจริญมโนมยิทธิ และก็หลายท่านที่ได้แล้วสามารถพิสูจน์ได้ทันที ก็มาตัดสินใจทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อไหรก็ตามเถอะไม่สนใจ วันนี้หรือก่อนวันนี้ทำบุญเนื่องในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ วิมานจะปรากฏก่อน เราสามารถจะไปดูวิมานได้ทันทีว่าวิมานเราอยู่ที่ไหน
    ทีนี้วิมานนี่อยู่ตามกำลังของบารมีหรือตามกำลังของบุญที่ทำ ถ้ากำลังบุญของท่านถึงขั้น กามาวจรสวรรค์ วิมานก็จะตั้่้งอยู่ที่สวรรค์ กำลังบุญของท่านถึงขั้นของพรหม วิมานจะตั้งอยู่ที่พรหม กำลังบุญความดีของท่านถึงขั้นนิพพาน วิมานก็อยู่ที่นิพพาน คอยอยู่แล้ว ตายเมื่อไรถึงเมื่อนั้น อันนี้พูดถึงผลที่จะพึงได้
    ต่อไปก็ขออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ที่บอกไว้แล้ว ๔ หมวด คือ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้ใช้แนวสมาธิเหมือนกันแต่ใช้กำลังไม่เท่ากัน อันนี้ต้องระวังให้มากนะ กำลังขึ้นต้นไม่เท่ากัน ถ้าใช้กำลังขึ้นต้นผิดไม่มีผล
    สำหรับ สุขวิปัสสโก นี่ท่านเริ่มเจริญสมาธิเล็กน้อยควบคู่กับวิปัสสนาญาณ
    แต่ว่าเรื่องศีลมีความสำคัญมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิไม่มีผล อย่างวันนี้ท่านฝึกมโนมยิทธิ หากว่าศีลของท่านไม่บริสุทธิ์มาก่อน หรือว่าท่านไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของศีล เวลาสมาทานศีลก็ขอให้ตั้งใจสมาทานด้วยความเคารพจริง ๆ ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าท่านไม่มั่นใจในศีล พอไปถึงพระจุฬามณี เขาไม่เปิดประตูให้เข้า อย่างนี้ครูผู้ฝึกเขาจับได้แน่
    ศีลดีพอสมควร แต่ไม่มั่นใจ คือศีลบกพร่อง ทางจุฬามณีเขาไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เข้า ถ้าเราไม่สามารถจะผ่านจุฬามณีได้ก็ไปที่อื่นไม่ได้เหมือนกัน
    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดไม่มั่นใจในศีลของท่านว่าที่ผ่านมาแล้วศีลจะดีพอควรไหม เวลาสมาทานศีลก็จงคิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่านับตั้งแต่เวลาสมาทานไปจนกว่าจะไปจากที่นี้ ศีล ๕ เราไม่มีโอกาสจะขาด ใช่ไหม เราฆ่าใครเขาได้เล่า ลักขโมยใครเขานี้ไม่แน่นะ อย่าไปล้วงกระเป๋าเขานะ บอกว่าผมไม่ลัก แต่ผมล้วงกระเป๋าเขาอย่างเดียว
    เป็นอันว่าทุกคนต้องถือว่าศีลบริสุทธิ์ นี่เป็นพื้นฐานใหญ่

    แล้วเวลาทรงสมาธิ สำหรับสุขวิปัสสโก ก็ใช้สมาธิเล็กน้อยเริ่มต้นควบกับวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิจริง เขาเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ แต่ว่าการเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ นี่ลำบาก จึงลดลงเหลือกำลังอุปจารสมาธิเท่าวิชชาสาม
    ฉะนั้นเวลาเริ่มต้นขอทุกท่านใช้กำลังสมาธิแค่อุปจารสมาธิ ถ้าถึงฌานสมาบัติ กำลังสูงเกินไปเลยความเป็นทิพย์ ถ้าต่ำไปก็ไม่ถึงความเป็นทิพย์
    เหมือนกับกำแพงที่มีช่องน้อย ๆ อยู่ช่องหนึ่ง ถ้าเรามองตาสูงกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น ต่ำกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น เราต้องมองให้พอดี ๆ จึงเห็น
    สำหรับ ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน จิตเกิดเป็นทิพย์ ตอนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตเลยไปถึงฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ ถ้าต่ำกว่าฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ
    ถ้าจะถามว่า อุปจารสมาธิทำอารมรณ์ขนาดไหน ก็ขอตอบแบบตรงไปตรงมาว่าใช้อารมณ์แบบปกติธรรมดา เวลาภาวนาอยู่ การภาวนานี่ต้องคู่กับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเข้าออกทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตมีกำลัง สมาธิ เขาแปลว่า ตั้งใจ
    สำหรับคำภาวนาใช้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ คำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ทำให้กำลังจิตเป็นทิพย์ แต่ว่าคำภาวนาทำให้จิตเป็นทิพย์มีหลายสิบแบบ ไม่เฉพาะแต่ นะ มะ พะ ธะ อย่างเดียว
    แต่ว่าที่เลือก นะ มะ พะ ธะ มาใช้ก็เพราะว่าแบบอื่น ถ้าเราสามารถจะรู้ได้ เห็นได้ ไปได้ ไปท่องเที่ยวในภพต่าง ๆ ได้ แต่คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ต้องจบกิจเรื่องนั้นแล้วกลับมาจึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้
    สำหรับ นะ มะ พะ ธะ นี่ ขณะที่เราไปพบอะไรที่ข้างบน หรือที่ไหนก็ตาม นรกก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม คนข้าง ๆ จะถามได้ทันทีแล้วจะตอบได้เลย ทางโน้นตอบมา ฝ่ายนี้ก็พูด พูดรู้เรื่องกันได้ตลอด
    แบบนี้ควานหามา ๒๓ ปี กว่าจะพบ และแบบอื่น ๆ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นเรื่องสงสัยของคน ผู้ถามอยู่ข้าง ๆ ต้องการจะรู้ว่าพ่อฉันตายแม่ฉันตายไปอยู่ที่ไหน หลับตาปี๋อยู่นาน ลืมตามาก็บอก ทีนี้คนข้าง ๆ อาจจะสงสัย หมอนี่อาจจะโกหกก็ได้
    สำหรับ มโนมยิทธิแบบนี้ ปัจจุบันใช้ นะ มะ พะ ธะ คนข้าง ๆ จะถามได้ทันที และก็เราผู้ไม่รู้ ถ้าไปพบคนตาย จะต้องถามก่อนที่ท่านจะตายรูปร่างลักษณะอย่างไร แสดงให้ดูก่อน ร่างกายจะตายอาการแบบไหน ชี้ให้ชัดว่าคนที่ถามเขารู้เวลานั้นเอาเฉพาะอาการที่รู้ เราก็จะบอกได้ตามปกติว่ามันชัดเจนดี เขามีโอกาสซัก ซักได้ทั้งที่ยังไม่ถอนจากฌานแบบนี้มีประโยชน์มาก
    ฉะนั้นเวลาปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ตามแบบปกติ ไม่ต้องทำจิตให้มันเครียดเป็นฌานอย่าลืมนะ ถ้าเป็นฌานไม่มีผล คือใช้คำภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ
    ถ้าจะควบคู่กับลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าก็นึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกก็นึกว่า พะ ธะ เอาแบบสบาย ๆ นะ อย่าให้เหนื่อย อย่าไปเร่งรัดลมหายใจ อย่าบังคับลมหายใจ อย่าให้เร็วเกินไป อย่าให้ช้าเกินไป ปล่อยลมหายใจไปตามปกติ แค่นึกตามเวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เอาแค่นี้นะ
    แล้วเลาที่ยังไม่มีใครเข้าไปแนะนำ จงอย่าไปนึกอยากรู้ อยากเห็นอะไรเป็นอันขาด เพราะว่าถ้านึกอยากรู้อยากเห็นตอนนั้นจิตซ่านไม่เป็นสมาธิ
    และก็มีปัญหาอันหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย เวลาที่ผู้แนะนำเขาปล่อยให้นั่งภาวนาประมาณ ๑๕ นาที ตอนนี้เราก็รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย รู้คำภาวนาด้วย จิตก็อดซ่านไม่ได้เป็นของธรรมดา ภาวนาไปรู้ลมหายใจเข้าออกไปสัก ๒-๓ นาทีก็เผลอไปคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทน ถ้านึกขึ้นมาได้ก็กลับดึงเข้ามาใหม่
    ถ้าอาการจิตเป็นอย่างนี้ละก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าเพิ่งคิดว่าเราชั่ว ถือว่าที่เราทำไปนั้นไม่ชั่วแล้วก็ไม่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิตมันชอบคิดเรื่องอื่น แต่ว่าถ้าไปคิดเรื่องอื่นแทนที่ ถ้าเรารู้ตัวก็ดึงกลับมาใหม่ ถ้าจิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ มันเป็นแบบนี้แหละ เพราะยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ถ้าจิตจะทรงตัวจริงต้องเป็น ฌานสมาบัติ
    ทีนี้พอได้เวลาก็จะมีผู้เข้าไปแนะนำโดยตรง วิธีนี้ถ้าปล่อยให้ปฏิบัติธรรมดานะ พระเคยทำมาแล้ว ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง บางองค์ ๔๐ ปีไม่ได้ ตายไปเลย ตายไปเยอะ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เป็นเรื่องใหญ่มากเดิมทีเดียวต้องขึ้นต้นด้วยฌาน ๔ ทีนี้กว่าจะได้ฌาน ๔ เขี้ยวเหี้ยน กินหญ้าต่อไปไม่ได้แล้ว
    ต่อมาท่านเจ้าของมาแนะนำบอกว่า ปฏิบัติอย่างนี้ (แบบเก่า) มันไม่มีผล เพราะว่ากำลังของคนไม่พอ ท่านก็แนะนำบอกว่า ให้ขึ้นต้นด้วยอุปจารสมาธิ ใช้กำลังของวิชชาสามแทน การใช้กำลังของวิชชาสามแทนนี้ก็อ่อนไปหน่อย การเคลื่อนไหวตัวรู้สึกตัวน้อย ๆ เป็นที่น่าสงสัย
    ถ้าหากว่าใช้กำลังเดิม คือกำลังของฌาน ๔ เวลามันออกมันรู้ตัวเหมือนอกจากกระบอกไม้ มันพุ่งตรงออกจากโพรงไม้หรือออกจากถ้ำ มันรู้ตัวเลย ก็จะปรากฏชัดเป็นแสงสว่างในอากาศ แสงสว่างเป็นลำบ้าง เป็นแสงทั่วไปในอากาศบ้าง จะปรากฏเห็นกายข้างในมันพุ่งตรงออก ไปไหนก็มีรู้สึกเหมือนเราไปเอง
    แต่ว่ากำลังแบบนี้เวลานี้ท่านพุทธบริษัทยังรับไม่ได้กว่าจะรับได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี ที่สอนมาแล้วระยะต้น เมื่อปี ๒๕๐๘ ได้มาประมาณ ๘๐ คน หลังจากนั้นมาอีก ๑๐ ปี ไม่มีใครได้เลย เพราะกำลังไม่พอ ต่อมาท่านเจ้าของจึงแนะนำบอกว่า ให้ลดกำลังลงเหลือกำลังของวิชชาสาม
    ทีนี้กำลังของวิชชาสามมีสภาพคล้ายความฝัน เป็นที่น่าสงสัย กำลังของวิชชาสามก็คือใช้กำลังของอุปจารสมาธิแทนฌานสมาบัติ
    ทีนี้มาจุดหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย คือ คำว่า ทิพจักขุญาณ
    คำว่า ทิพจักขุญาณ นี่ไม่ใช่แปลว่า ลูกตาเนื้อเป็นทิพย์ ญาณ เขาแปลว่า รู้ ทิพจักขุญาณ เขาแปลว่า มีความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ อย่าลืมนะว่าความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ เพราะว่าเรายังไม่ได้ใช้ฌาน ๔ ถ้าใช้ฌาน ๔ ตัวนี้ไม่ต้องอธิบายเพราะมันออกไม่รู้ตัว เมื่อใช้กำลังของวิชชาสามกำลังลังอ่อนลง ไม่สามารถจะมีความเข้มแข็งแบบนั้นได้ ต้องใช้ความสังเกตเป็นเกณฑ์
    ถ้าหากว่าศีลดี สมาธิดีพอสมควร ไม่มากนักการตัดสินใจด้านพระนิพพานน้อยเกินไป อย่างนี้ทิพจักขุญาณจะเกิดอย่างอ่อน เกิดความรู้สึกของใจ ความรู้สึกทางใจนี่มันจะมีความรู้สึกอันดับแรกว่าเป็นอะไรต้องตอบทันที ตัวแรกเป็นตัวแท้แล้วก็แน่นอน
    และเวลาที่ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าทำใจให้สบายคิดว่างานที่เราทำจะมีผลดีหรือผลชั่ว อารมณ์แรกมันบอกปั๊บต้องเชื่ออารมณ์นั้นทันที
    ทีนี้ถ้าหากว่าถ้าอารมณ์มันอ่อน เมื่อเวลามีผู้เข้าไปแนะนำ หลังจากภาวนาไปแล้วประมาณ ๑๕ นาที เขาจะให้สัญญาณบอกว่าพักได้ แล้วต้องสังเกตนะ ถ้าท่านผู้ใดมีคนไปนั่งข้างหน้า เขาจะแนะนำ ขอให้ท่านผู้นั้นเลิกภาวนาเสียเลย อย่าภาวนา แล้วก็เลิกรู้ลมหายใจเข้าออก ปล่อยใจสบาย ๆ เพราะตอนนั้นไปภาวนาไม่ได้ ขวางกัน ให้ฟังคำแนะนำของผู้แนะนำ
    ถ้าผู้แนะนำเขาแนะนำว่ายังไงให้ตัดสินใจไปตามนั้น ถ้าเห็นว่ากำลังใจเริ่มเป็นทิพย์พอสมควร เขาจะถามว่า
    “มีความรู้สึกว่ามีผู้ใดอยู่ข้างหน้าบ้าง...?”
    ไม่ใช่หมายถึงตัวเขา ถ้าสมาธิอ่อน ความรู้สึกมันว่ามีก็ตอบว่ามี อย่ายั้งตัวนะ ถ้ายั้งตัวแน่หรือไม่แน่ ตรงนี้ตัวกิเลสคือนิวรณ์ ตัวสงสัยจะขวางทันที คือผิดหมด ถ้าเราเกิดความรู้สึกครั้งแรกว่ามีก็ต้องตอบว่ามี
    ถ้าเขาถามว่า “ผู้ที่มาอยู่ข้างหน้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
    ความรู้สึกมันว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตอบทันที อย่ายั้งตัว ถ้ายั้ง ถอยหลังไม่ได้ ผิด
    ถ้าเขาถามว่าแต่งตัวสีอะไร ก็ตอบตามความรู้สึกถ้าคนข้าง ๆ เขาสีแดง ของเราเขียวก็ตอบเขียวอย่าตามเขานะ เพราะความเป็นทิพย์ของเทวดา พรหม หรือพระอรหันต์ ย่อมสามารถจะทำให้คนเห็นสีต่างกันในขณะเดียวกัน
    ถ้าเป็นอย่างนี้สัก ๒-๓ วาระ ครูเขารับรองว่าถูกต้อง กำลังใจจะดีขึ้น ตอนนี้อารมณ์จิตจะเป็นฌานเอง คำว่าเป็นฌานอย่าไปบังคับมันนะ มันจะเป็นของมันเอง เมื่ออารมณ์จิตเริ่มเป็นฌาน ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้นบ้างตามพอสมควร
    ตอนนี้ภาพที่เรามองไม่เห็นจะมีความรู้สึกว่ามีเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ มันไม่ปรากฏภาพมาก่อน แต่ความรู้สึกจะเกิดขึ้นกับใจ เมื่อจิตเริ่มเป็นฌานภาพจึงปรากฏขึ้นกับใจ
    หลังจากนั้นไปครูเขาจะแนะนำในการตัดขันธ์ ๕ การตัดขันธ์ ๕ มีความสำคัญมาก คือเอาจิตมุ่งพระนิพพานโดยเฉพาะ คิดว่าถ้าตายชาตินี้ เมื่อตายเมื่อไหรขอไปนิพพานจุดเดียว ตัดสินใจแน่นอนละก็ไปถึงนิพพานแน่
    หลังจากนั้นเขาจะพาไปพระจุฬามณี ซึ่งตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าขั้นถึงจุฬามณีพึงทราบได้เลยว่าขณะนั้นจิตเป็นฌาน ๔ ภาพจะเกิดความสว่างไสวมาก เขาจะพาไปนมัสการพระ ให้เห็นเทวดาหรือพรหม
    หลังจากผ่านพระจุฬามณีแล้วเขาจะพาตรงไปพระนิพพาน ที่เราว่านิพพานสูญนั้นน่ะ เราจะได้ทราบว่านิพพานไม่สูญ ถ้านิพพานสูญก็ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนไปนิพพาน
    นี่พูดถึงว่าสำหรับจิตที่มีกำลังอ่อน แต่ว่ามีมากท่านด้วยกันที่มีความเข้มแข็งทางจิต จิตสะอาดจริง พอเริ่มได้รับคำแนะนำจากครูไม่กี่คำจิตจะสว่างจ้า เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนกับเห็นคนในเวลากลางวัน เครื่องแต่งกายละเอียดละออเพียงใดก็ตาม ก็สามารถจะเห็นได้
    ฉะนั้น ผู้จะปฏิบัติมโนมยิทธิ ขอให้ตั้งใจ ถ้าสมาทานศีล ขอให้สมาทานศีลด้วยความเคารพ คิดว่าเวลานี้เป็นผู้มีศีล แล้วก็ภาวนา อย่าลืมใช้คำว่าภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ ควบคู่กับลมหายใจ เวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เวลาภาวนาอยู่จงอย่าอยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งหมด จนกว่าจะมีครูเข้าไปแนะนำ


    ที่มาบทความ

    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/mano/naenam.html
     
  10. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,772
    อยากไปแล้วววค่าอาจารย์
    อยากไปดูต้นมะนาว
    จะทำตาม คำสอน ของท่านพระครู
    และอาจารย์นพ อย่าเคร่งครัด
    (พอบอกมีร้านข้าวหน้าวัด หิวข้าวเลยย)
    ช่วงนี้ถูกสั่ง งดน้ำตาลคะ
    วูบบ่อย พ่อกลัวเจนเป็นเบาหวาน
    กินข้าวต้องยั้งไว้ เดี๋ยวถูกด่า
    ทุกวันนี้ กลายเป็นอิอ้วนประจำบ้าน
     
  11. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,772
    ส้มลูกใหญ่มากเลยละค่ะอาจารย์นพ
    (หมูมีความตาลุกวาว อิจฉาตาร้อน5555)
    แอบเห็นสีขาวๆ เหมือนคนยืนอยู่เลย

    ชื่ออาจารย์9 เอาสะแบบลูกเห็นภาพเลยคะ
    ไม่เหี่ยวหรอกม้างง
     
  12. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    IMG20190117104553.jpg IMG20190117103910.jpg IMG20190115143629.jpg IMG20190115141015.jpg IMG20190115141513.jpg IMG20190115102933.jpg
     
  13. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,772
    สวยจังพี่แม็ค พี่ไปมาหรอจ้า
    ชอบภาพแรกมากก
     
  14. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    ไปเชียงใหม่มา กำลังวางแพลนไปหาพระครูอยู่เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2019
  15. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,189
    ค่าพลัง:
    +10,066
    วัดอะไรอ่ะครับ สวยจัง
     
  16. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    จำชื่อไม่ได้
     
  17. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,772
    สาธุๆ จ้าพี่
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนนี้ นิทาน โม้ระดับจักรวาลเลยทีเดียว..

    สำหรับวิชานี้ ส่วนตัวพอง้องๆแง๋งๆ
    และความสามารถ ระดับหางอึ่งอ่างนะครับ
    และก็บอกไว้ก่อนว่า พอมีสัมพันธ์กับท่านเจ้าของวิชา
    แต่ไม่ใช่วิชาพิเศษนี้นะครับ..
    ๑๐ ปีก่อน เคยถูกพระเกจิท่านหนึ่ง
    ชวนให้ไปอยู่วัด ด้วยการคุมงานก่อสร้างที่วัด
    มีเงินเดือนให้ และท่านจะสอนวิชานี้ให้..
    แต่ยังรู้สึกว่า แปลกๆ เลยบอกปฏิเสธไป
    แต่ที่รู้แบบงูๆปลาๆนี้
    ก็ฝอยเป็นน้ำท่วมทุ่งได้บ้าง....

    บอกไว้ก่อนนะครับ พระราชฯ นั้น
    ท่านมีมีคอนเน๊กติง กับระดับ
    พระอัครสาวกระดับขวาของ
    พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ณ ครับ
    เรียกว่า ถ้าย้อนสืบเชื้อต้นตระกูล
    จะพบได้เลย ประหนึ่งเป็นญาติกันมาก่อน.....



    เอตทัคคะ ด้านวิชาพิเศษนี้ คือ
    พระจูฬปันถก.....เก่งที่สุดในสามโลก
    ชื่อนี้ ควรต้องที่จะรู้จัก....

    แต่ก่อนจะคุยวิชาพิเศษนี้......
    ควรแยกความเข้าใจจากบทสนทนาที่เคยได้ยิน ได้อ่าน
    มาให้ดีๆ
    '' เรียกว่า ความเข้าใจเบื้องต้น ''
    ระหว่าง ๑.บทความพระฯที่สอนฆารวาส
    แล้วฆารวาสอ่านมาปฏิบัติ และความ
    สามารถทำได้จริงของฆารวาส
    และความเข้าใจตนเองของฆารวาส

    ๒.พระฯสนทนา กับ ฆารวาส เกี่ยวกับวิชานี้

    ๓.ฆารวาส คุย กับฆารวาส ด้วยกันเองเกี่ยวกับวิชานี้.....

    ควรแยกให้ๆดี กับคำว่า
    ''กำลังพื้นฐานเบื้องต้น..... ''
    ของการเริ่มต้นฝึกหรือใช้งาน....

    ทั่วไปจะมี ๒ ระดับ คือ
    ๑. ระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย ซึ่งนับคนได้
    ส่วนมากจะเป็น พระสงฆ์ พระเกจิ ต่างๆ
    ซึ่งกำลังพื้นฐานเริ่มต้น ระดับกำลังสมาธิระดับ ฌาน ๔
    (ระดับกำลังที่เข้าไปถึง เข้าไปพัก เพื่อเริ่มต้น
    รวมทั้งกำลังสมาธิใช้งานได้ในชีวิตประจำวันปกติ
    ก็มีพื้นฐานใช้งานได้จริง เฉียดๆระดับกำลังระดับฌาน ๔)
    กลุ่มนี้ ประกอบด้วยพื้นฐานสมาธิที่ดี
    มีกำลังจิตเป็นปกติย้ำว่ามีกำลังจิต
    พูดง่ายๆว่า ภูมิต้านทานสิ่งไม่ดีภายนอกมีเป็นปกติ
    ใช้งานในทางที่เป็นประโยชน์
    สาธารณะ กลุ่มเหล่านี้ ความสามารถหลักๆก็คือ
    เรื่องเจโตฯ กับ เรื่องสายตาที่ดีกว่าปกติทั่วไป
    และเรื่องการสื่อสารทางด้านนามธรรมต่างๆ.....
    การไปในระดับนี้ จะเป็นการอุปโลกน์ กายอีกกายขึ้นมา
    เรียกง่ายๆว่า กายทิพย์ เป็นกายนามธรรมอีกกาย
    ที่ค่อยๆออกจาก ร่างกายปกติ ออกไปอยู่ใน
    มิติที่ ๕ หรือในระบบภพภูมิ แบบมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้นๆ
    เหมือนเราไปเดินตลาด มองเห็นทุกคน ทุกคนก็เห็นเรา
    พูดคุยกันได้ ประมาณนี้.
    ย้ำว่า ระดับนี้ นับคนได้......และเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
    ก็คือ จะมีความเฉลียดในการอฐิษฐานจิตเป็นทุน.....
    ถึงจะพอเรียกว่า มีแวว...

    และ ๒. ระดับทั่วไป คือ ระดับกำลังพื้นฐานระดับอุปจารสมาธิ
    พบเห็นได้ทั่วไป เหมือนเราไปเดินตลาดเปิดท้าย.....
    ระดับนี้ เห็นได้ ไปได้ แต่ไม่มีส่วนร่วมในเหตุนั้นๆ..
    สามารถดูและเห็นได้ เช่นกัน.....
    เราจะเจอคำสอน ในกลุ่มนี้ ประมาณว่า
    อารมย์สูงไปหรือต่ำไป จะมองไม่เห็นนั่นหละครับ......


    แต่ว่า ปัญหาระดับจักรวาล มันก็คือ..........
    ความเข้าใจคลาดเคลื่อน.....
    ในเรื่อง '' ความเข้าใจเบื้องต้น ''
    ย้อนไปอ่าน ข้อ ๑ ถึง ๓ ข้างบนดู

    โดยเฉพาะในระดับ '' กำลังพื้นฐานเบื้องต้น ''

    มักจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ในเรื่องนี้
    ด้วยไม่ว่า จะความเข้าไม่ถึงจริงๆ หรือความ
    เข้าใจตนเองคลาดเคลื่อนอะไรก็ตาม.......

    ที่เริ่มต้น ด้วยกำลังระดับอุปจารสมาธิ....
    แต่เข้าใจว่า ตนเองเริ่มต้นด้วยกำลังระดับฌาน ๔
    หรือไปในระดับฌาน ๔ นั่นเอง.........



    ทั้งๆที่ ณ เวลาใช้ปกติ ไม่มีกำลังจิตใช้งานอะไรได้.....
    ความรู้ความเข้าใจทางด้านนามธรรมไม่ดีพอ....
    ความเข้าใจ ในเรื่องการปฏิบัติของระดับสมาธิไม่ดี......
    และที่จะเป็นกันส่วนมาก คือ มักจะทำตามตรงข้าม
    กับปฏิทา ของท่านพระราชฯ ท่านผู้ที่นำมาถ่ายทอด
    เรียกว่า อะไรที่ท่านเคยห้าม ถึงแม้ปากจะบอกศรัทธาท่าน
    เคารพท่าน เป็นบิดาท่านหนึ่ง แต่ก็ยังทำตรงกันข้าม
    ปฏิปทาของท่าน.........


    *********ท่านบอกว่า ไปรู้ไปเห็นแล้ว ให้มาวิปัสสนา
    ตัดร่างกายต่อ เพื่อจะได้ ไม่ยึดตัวตน ลดอัตตาตัวตน
    แต่ก็ เอามาคุยกัน สนทนากัน ว่าไปโน้นนี่นั้นมา
    อวดกัน ว่าตนไปได้ เห็นได้ ทำอย่างไรจะเห็นชัดขึ้น
    ทำอย่างไรจะไปได้อีก...........
    ******** ท่านบอกว่า ห้ามไปเป็นหมอดู
    แต่ก็มา รับดูดวง แก้กรรม ทำนายทายทักใชว์มุข
    ว่าคนคนนี้ มีเทพโน้นเทพนี้ มีโน้นมีนั่นติดตาม
    ******** ท่านบอกว่า รู้อดีต รู้อนาคต รู้วาระที่มาของ
    คนของสัตว์ได้ แต่อย่าไปสน รู้ของตัวเองได้
    แต่อย่าไปยึด. แต่ก็เที่ยวไปรู้อดีตโน้นนี่นั้น
    แล้วก็คุยฟุ้ง. และพอรู้ของตัวเองแล้วก็ยึด
    และยึดจนกลายเป็นตัวตน เสมือนปัจจุบัน
    ตนเองเป็นอดีตที่เคยผ่านมา และยึดแต่
    อดีตที่ เท่ห์ๆ หล่อๆ ดีๆ แล้วเอามาตั้งชื่อปัจจุบัน
    เอามาเป็นตัวตน. พอตอนที่เป็น กบ เป็นเขียด
    เป็นมด เป็นแมลงสาบ ไม่เอามาพูดให้ใครฟัง.......
    ทั้งๆที่ พุทธศาสนา ก็สอนให้อยู่กับ ปัจจุบัน
    อย่าพูดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วด้วยความอาลัย
    อย่าไปพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง..........
    ******** พอรู้แล้วเห็นแล้ว เชื่อว่า ภพภูมิมีจริง
    บาปบุญมีจริง มันก็มีอีกพวก ที่ถนัดในการ
    ใช้มุขอดีตชาติ ว่าน้องเคยเป็นอะไรกับพี่มาก่อนนะจะ
    เราเคยเป็นคู่กันมาก่อน เธอเคยเป็นของพี่มาก่อน
    หนูเคยเป็นของป๋ามาก่อน สุดท้าย ก็จบลง
    ด้วยวิชา ปั่นท้ายม้าคะนองฤิทธิ์. ผิดลูกผิดเมีย
    วุ่นวายทางโลก ทางสังคม ไปร้อยแปดพันเก้า......
    ******* ท่านบอกว่า พิสูจน์ภพภูมิ บาปบุญได้แล้ว
    ก็เร่งปฏิบัติ เพื่อความไม่ประมาท แต่ก็จะมี
    ที่ เอาไปคุย ไปบรรยายว่า ตนเคยทำได้ เคยได้มาได้
    ในกำลังระดับฌาน ๔ แต่พอให้แนะ ให้สอนกรรมฐาน
    กลับอยู่ภายใต้ความคิด อยู่ในอาการหลงตัวเอง
    คิดว่า ตนเองปั่นภาพได้ เล่นภาพได้ ในเวลาปกติ
    เป็นกำลังระดับฌาน ๔ แล้วก็ยึดว่า ตนเก่งเหนือกว่าใคร
    ทางด้านสมาธิ. เวลาเดินประหนึ่งตนเป็นเทพบุตร
    เป็นเทพธิดา ลงมาเกิด แต่พอให้แสดงความสามารถ
    ใช้งาน เพื่อช่วยคน ที่ถูกกระทำ จากแนวสมาธิอื่นๆ
    ที่ไม่ใช่พุทธฯ เงียบกริ๊บ ทำไม่ได้.....
    ******* เต็มไปกลุ่มขี้อ้างยกตนเช่น พอสอน นาย ก
    แต่นาย ก ไม่เห็นเหมือนตน ไม่รู้เหมือนตน จะบอกว่า
    นาย ก บารมีน้อย ไม่สะสมมาใหม่
    จะมีแต่พวกที่มากบารมี จะเห็นจะรู้เหมือนตน
    ทั้งๆที่ ตนเองนั่นหละ ที่ดูจริตคนไม่ออก
    ไม่เข้าใจอะไรจริงๆ และมีอัตตาตัวสูง......


    สมาธิเราไม่ได้วัดกันที่ เคยเข้าได้ เคยทำได้
    เราจะดูกันตรง ความสามารถทำได้ ณ เวลาปัจจุบัน
    ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ

    การจะไปถึงระดับ กำลังพื้นฐาน ใช้งานได้
    เหมือนท่านเจ้าของวิชา.....ในทางปฏิบัติ
    นั่นหมายว่า. บุคคลนั้น สามารถ
    ทำได้ภายใน ลมหายใจเข้าออกเพียงแค่ครั้งเดียว....
    ถึงได้บอกว่า นับคนได้ ส่วนมากที่เห็นจะเป็นพระสงฆ์

    ดังนั้น บุคคลที่จะทำอย่างนี้ได้ ไม่ต้องไปถามอะไรมาก
    ในเรื่องสมาธิ......

    อีกอย่างก็ต้องมาดูที่ วิปัสสนาของแต่ละท่านร่วมด้วย
    ซึ่งจะทำให้วิชานี้ เป็นแบบสัมมาทิฐิ คือไม่มีเสื่อม
    และมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ ตามแต่ระดับการยึดเกาะ
    สิ่งต่างๆภายนอกจนมาเป็นกิเลสในใจตน
    ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่อง ของวิปัสสนา การเดินปัญญานั่นเอง.....


    สังเกตุดู คำพูด ท่านพระราชฯ. จะแนะเทคนิคการนำไปใช้
    ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ในการอยู่ร่วมกับสังคมได้
    และมักจะพูดเสมอว่า ถ้ายังใช้ประโยชน์ที่เป็นสาธารณะ
    ก็หมายความว่า ท่านยังอยู่กับผู้นั้น......

    ไม่ใช่เอะอะ เอาท่านไปอ้างยกตน ข่มคนอื่นๆ
    ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ปฏิปทา ที่ท่านได้เคยห้ามไว้ต่างๆนาๆ
    เอาไปเปิดสำนึกดูดวง ยังเอาท่านมาอ้างอีก
    อวดตัวยกตน คิดว่า ตนรู้ พอมีความเห็นต่าง
    ก็เอาท่านมาข่ม เอาท่านมาอ้าง กล่าวหาความเห็นต่างๆ
    และชอบใช้ มุข บาปบุญ มาขู่มาอ้าง เมื่อเกิดความเห็นต่าง
    ด้วยเพราะเพราะยึดในสิ่งที่ตนรู้เห็น แล้วคิดว่า
    เป็นที่สุดในการรู้นั่นเอง........


    สายวิชาพิเศษนี้ ฝึกได้ เรียนรู้ได้
    แต่ต้องอยู่ให้เป็น เพราะ ๙๐ %
    จะนอกแนว เพราะมักจะทำตรงข้าม
    กับปฏิปทาของท่านนั่นเอง......
    เพี้ยน วิกลจริต เฝื่อ(การรู้เห็นอยู่ภายใต้ความคิดตน)
    ไร้กำลังจิต ขาดความชำนาญทางด้านสมาธิ


    เอาว่า นิทานเรื่องนี้ มันลึกลับ ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
    ตัวท่านที่ นำวิชานี้ มาถ่ายทอดที่เป็น
    พระฯมีชื่อนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงท่านครับ

    แต่ปัญหา ไม่ใช่วิชาพิเศษนี้ แต่มันเกิดจาก ความไม่เข้าใจ
    ของพวกที่สืบๆมา แล้วยึดท่านเป็นที่สุด
    ที่ชอบเอาท่านมาอ้างในทาง
    ที่ทำให้ท่านเสื่อมเสียนั่นหละครับ.....

    ส่วนตัวเรียกพวก นี้ว่า ''พวกนอกคอก ''
    ถ้าเราได้เล่าประสบการณ์ ให้ฟัง
    ที่เคยมี กับกลุ่มเหล่านี้มา....
    จะพบว่า โห้เป็นไปได้หรือ มีนิสัยแบบนี้ด้วยหรือ.....

    เช่น ซักปี ๕๒ มีชายท่านหนึ่ง เป็นระดับอาจารย์
    ยกกายมาหา แต่ตอนนั้นไม่สนใจ
    และมี ญ ท่านหนึ่งตั้งต้นเป็นอาจารย์
    เที่ยวสอนคนอื่นๆ ทักมา บอกว่า มาๆลองเล่นกันดู
    คือ ให้ทายว่า ใส่เสื้อสีอะไร แต่งตัวอย่างไร...
    ส่วนตัวบอกว่า เห้ย ! มันใช่หรือ ไม่เล่นได้ไหม
    เพราะไม่รู้เรื่อง และไม่ค่อยชอบ และเพราะปกติ
    ปกติเห็นเค้าจะใช้ ฝึกทายว่า วันนี้เดินออกจากบ้าน
    จะเจอ ญ หรือ ช ก่อน แต่งตัวอย่างไร...แต่ท่านนี้
    กะว่า จะโชว์ ปัญหาคือ ตอนนั้น มันไม่ได้เห็นแต่
    เสื้อนั่นหละครับ มันดันไปบอกรายละเอียดภายใน
    พอพูดไปหละ เลิกคุยกับข้าพเจ้าเลย
    หาว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอย่างโน้นอย่างนี้....
    ก็ตรูบอกไปแล้ว ว่าไม่อยากเล่นแบบนี้....

    ยังมีอีกนะ ระดับที่เป็นอาจารย์ ขี้เกียจคุย....

    แต่ระดับที่เก่งจริงๆ มีแน่ อย่างที่บอก
    แต่ไม่ใช่ฆารวาส.......

    ดังนั้น เวลาจะคุย วิชาพิเศษนี้
    ต้องดูว่า ผู้สนทนาเป็นใคร
    ความเข้าใจเบื้องต้น
    ความสามารถในการใช้งานได้จริงแบบไหน
    เป็นสากลหรือไม่ เราสามารถสังเกตุ
    จากสิ่งต่างๆที่ท่านทำได้
    เราก็พอ ประมาณได้ว่า
    ท่านมาตามปฏิปทา มีความสามารถ
    อยู่ในระดับไหนได้เอง........


    ผลของสมาธิจากวิชาพิเศษหรือกรรมฐานพิเศษ
    กองไหน อะไรก็ตาม ที่ ยังรู้เองเห็นเองเฉพาะตน
    แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้คนอื่นๆรับรู้ได้เหมือนตนเอง....
    ให้เราเงียบๆไว้ ฮาๆไว้ก่อน เป็นกลางๆไว้ก่อน
    เราจะสามารถอยู่ร่วมได้กับทุกสังคมอย่างแยบยลได้เอง....

    รู้ได้ เห็นได้ ทำได้ เรื่องตลก แต่ อย่าไปสน รู้เรื่องของเราพอ
    ไม่รู้ ไม่เห็น ทำได้ ก็ช่างมัน ฮาไว้ก่อนและอย่าไปยึด

    บางเรื่องไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้หรอก
    บางเรื่องที่เลี่ยงได้ ก็ควรเลี่ยงซะ.........

    อนาคต มันถึงจะเป็นผลของสมาธิ
    ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของตัวจิตเราได้เอง......


    จบ การโม้ระดับจักรวาล...ให้มุมมองเพื่อ
    เพิ่มการสังเกตุ พอขำๆ...
     
  19. เจไดหรือธิส

    เจไดหรือธิส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +359

    สาธุ ครับ
     
  20. กาแฟโบราณ2สอ

    กาแฟโบราณ2สอ วันหนึ่งอยากเดินเข้าป่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +2,772
    ว้าววว เมื่อก่อน เจนเคยคิดว่า
    อยากเห็น บุคคล ที่อยู่ต่างภพ
    ตั้งแต่เด็กแล้วคะอาจารย์ ที่รู้สึกอยากมีความสามารถพิเศษ
    เพราะเหงา ถูกพ่อแม่ส่งตัวไปอยู่กับปู่ย่าตั้งแต่เด็ก
    ไปเรียนในเมือง ถึงขั้น เคยขอกุมารน้อยจากตาไปด้วย
    และเคยพูดไว้ มาให้เจอหน่อยนะ
    (เป็นการพูดขึ้นมาเพราะความเหงา อยู่กับครอบครัวที่แปลก
    ไม่มีความสุข กับคน เลยอยากมีผีเป็นเพื่อน )
    แต่เจน ก็ไม่เคยเจอเลยคะอาจารย์
    คนที่เขาบอกว่าเจอ คือ อา น้องสาวพ่อ เขาว่าเขามีเซ้น
    แต่สำหรับเจน เขาเหมือนคน สามวันดีด้วยสี่วันร้ายใส่
    เขาเจอ เด็กวิ่งเล่นไปหยอกไปกวนเขา
    กวนอาอีกคนด้วยค่ะ แต่เจนไม่เคยเจอ

    เขาเลยมาถามว่า เจนได้เอาอะไรเข้าบ้านด้วยมั้ย
    ก็ตอบไปว่า จ้า เอากุมาร สุดท้าย ต้องได้เอาคืนคุณตา
    เพราะเขาเหวี่ยงใส่ จบเลย ฝันที่อยากมีเพื่อนเป็นผี

    เดี๋ยวนี้ ไม่เอาแล้วจ้าาาา
     

แชร์หน้านี้

Loading...