กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,215
    ค่าพลัง:
    +10,107
    สาธุในบทความท่าน9 ครับ เรื่องพระธาตุน่าสนใจมากๆ
     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +4,707
    1. (ปักหมุด30) หน้า49 อันดับที่#803ต่อเนื่องถึงหน้า50
    2. :):):):):eek::eek::eek::eek::eek::eek:
    3. เรื่อง 9@ฝากคำถามถึงอจ.นพ
    4. แบบว่า 4 คืน มา 3 คืนเพื่อนต่างภพมาเยี่ยมถึงหัวเตียงในยามวิกาลคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วนะครับ(ผมคิด)คือผมกังวลเล็กๆอยู่เหมือนกันว่า...ต้นสายปลายเหตุจากอะไรแม้เสียงดังก้องมาทางด้านขวาคือ "ดี"
    5. คืนแรก "มะลิ" หน้าสวยๆ
    6. ผมยาวประบ่า สาวโบราณกึ่งยุคใหม่
      ดูเปี่ยมไปด้วยพรหมวิหาร 4
      เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
      ...นั่งอยู่ตรงปลายเตียงขวามือด้วยสิ

      อย่างนี้จะใช่แปลว่า "ดี"ด้วยหรือไม่ ครับ?

      แต่มาปุ๊บปั๊บ..ไม่ไลน์แจ้งล่วงหน้าก่อน
      ผมสะดุ้ง...รับไม่ไหวเหมือนกัน
      ยิ่งในยามวิกาลห้องมืดๆอย่างนี้

      ...ถามถึงตรงนี้...เห็นภาพผีสาวญี่ปุ่น
      ...ที่ ฮิเมะซัง ใจดี...ดีที่สุด
      ...อุตส่าห์ส่งมาแกทับผีสาวไทย

      จึงขอถามแถมปิดท้ายครับท่านอจ.นพ

      ระหว่างผีสาวไทย กะ ผีสาวญี่ปุ่น
      ผีชาติไหนเฮี้ยน...ดุ...หึงหวงกว่ากัน ?
      คือผมข้องใจจริงๆนะครับท่านอาจารย์นพ
      *ไม่ได้เขียน...เอามัน...เอาฮา*
    (อาจารย์นพโพสต์ตอบ)
    มาด้านขวาถือว่ามาดีหมดนั่นแระ
    ถ้ายืนตรงหัวไหล่ แต่เหมือนมองดูโน้นนี่นั้น คือ ท่านที่ดูแลเราตอนนั้น
    ถ้ายืนตรงเอว จะเป็นพวก กุมารเทพ พวกที่เป็นกึ่งเทพกึ่งสัตว์
    เช่น เสือ สิงโต ที่เป็นเครืองราง อย่าตกใจหละ ส่วนตัวมี พกติดกระเป๋าสะพายอยู่
    ถ้ายืนปลายเท้า ก็จะเป็นภูมิระดับความสูงบนโลกเรานี่หละ
    ยกเว้นพวกภูมิที่สูงกว่าโลกแวะ จะอยู่ตรงปลายเท้า
    มีประกายระยิบระยับ ให้เห็นความแตกต่าง (หมายถึง ญ )

    แต่ถ้าเป็นท่านมีฤิทธิ์มีชื่อ รับรองอลังการงานสร้างเวลาปรากฏตัว

    ถ้ามาด้านซ้าย ให้เตรียมอุทิศส่วนกุศลทำบุญ ทำตัวให้ดี
    เจ้ากรรมนายเวร มาซ้าย แต่เยื้องๆไปไกลหน่อย
    ส่วนถ้าพวกอยู่นานอยากให้เราทำบุญให้ ก็จะอยู่เหนือเอวขึ้นมาไม่เกินไหล่
    พวกนี้ผิวดำด้าน หรือไม่ก็ออกดำเขียว

    เอาหน้ามา จ่อๆ ห่างไม่เกิน คืบ เป็นพวกภูติ แค่มาทดสอบ ส่วนใหญ่แปลงร่างได้
    และพวกนี้ลอยได้ ขาไม่ติดพื้น แต่ถ้านิ่งๆ อุทิศแล้วไม่ไปไหน
    แบบนี้ให้เราระวัง เป็ฯพวกอสูรกาย แต่จะมาหาเฉพาะพวกนักปฏิบัติบางกลุ่ม
    ที่ฝึกวิชาพิเศษเท่านั้น นั่งสมาธิ มีสัมผัสภายในทั่วไป จะไม่ไปให้เสียเวลา
    ถ้ามาตรงๆ มุมประมาณ หน้าฝาก เป็นญาติเราเอง
    ในทำนองเดียว แสงสว่างๆมาด้านซ้าย หน้าฝาก ก็อดีตญาติเรามาดูแลนั่นหละ

    เทพมีฤิทธิ์ก็มักจะมาด้านขวา อยู่ลงไปเยื้องๆ ทางปลายเท้าไปหน่อย
    ส่วนครูบาร์อาจารย์ มาทางอากาศ มีหลายๆกรณี โผล่ๆตรงๆเลยก็มี

    ส่วนถามว่า ผีสาวชาติไหน เฮี้ยนกว่ากัน ตอบไม่ได้ เพราะว่า
    ความหึงหวง เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนตาย คือ หึง ผู้ ชาย หรือคนรัก
    เรียกว่าเสียทองเท่าตัว แต่จะไม่ยอม เสียคนรักให้ใคร
    และความเฮี้ยน ก็เป็นนิสัยในลักษณะที่ หวงสิ่งของ ที่ตนได้ครอบครอง
    เช่น แหวน สมบัติต่างๆ อาจจะรวมทั้งเด็กๆ เป็นต้น คือ ถ้าไปเอาของเค้ามา
    เค้าถึงจะเฮี้ยน แต่อยู่ดีๆ จะมาปรากฏในส้วมแบบหนังไทย
    ในขณะที่กำลังคะระรี่ คงไม่มี ๕๕๕

    การที่มีวิญญานมาให้เราเห็น และให้เราได้ทำบุญ ณ ถือว่าดีมากแล้ว
    ดีกว่าไม่เคยเห็นเลย แล้วทำบุญไปเรื่อยๆ แบบเชื่อว่าได้ผล
    ๔ วันมา ๓ คืนถือว่า เป็นการเริ่มต้นที่ดี และควรเป็นเช่นนั้น
    ส่วนตัวตอนที่ศึกออกมา...
    ถ้าถามว่า ในรอบ ๒ ถึง ๓ ปีมีวันไหน
    ไม่เจอผีมาหาบ้าง จะพอตอบได้
    แต่ถ้าถามว่า เคยเจอผีแบบนี้ไหม
    ไม่รู้จะตอบยังไงดี ๕๕๕๕ อันนี้โม้...

    พยายามสังเกตุแววตา ดูดีๆจะเขียว
    ถ้าผมเส้นเล็กตรงยาว หน้าจะคม
    ถ้าผมดูหนาตรง หน้าจะวงรีหรือออกกลม
    ถ้าผมดูหนา คล้ายๆไม่หวี หน้าจะดูแข็งแรง คล้ายมีกล้าม
    แต่โดยรวมๆ คือ สวยทุกแบบ ขึ้นอยู่กับว่า จะออกสวยเปรี้ยว
    สวยหวาน หรือสวยเท่ห์ ถ้าเค้ามาดี อย่าไปขัดไปว่าเค้า
    ถ้าเค้ามาลวนลาม ต้องไว้ลาย ลูกผู้ชาย
    ทำเป็นฝืนๆก่อนในช่วงแรก ๕๕๕๕

    ทำไมเป็น ผี สาว ต้องมาสวยๆ ก็ขนาดมาสวยๆคนยังกลัวไง ๕๕๕

    ปล. ถ้าเจอ ผี ญ แบบมีฤิทธิ์ ถ้าเค้าคิดจะลวนลามเรา
    ยังไงเราก็ไม่รอด เพราะฉนั้นให้แล้วก็แล้วไปนะ ๕๕๕
    อย่ามาขอให้ช่วย ตัวใครตัวมันนะ ๕๕๕๕

    บุรุษไร้เงา, 26 สิงหาคม 2018
     
  3. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +4,707
    (ปักหมุดที่30) หน้า50 #994
    :):););):oops::rolleyes::oops::rolleyes:o_Oo_Oo_O

    (Tips&Tricks)วรรคทอง
    (โพสต์โดยอจ.นพ)

    สิ่งต่างๆที่ มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
    มีการเปลี่ยนแปลงได้ รักษาให้อยู่นาน
    ตามใจเราไม่ได้. หรือจับต้องไม่ได้
    เราเรียกว่า นามธรรม
    เช่น อารมย์โกรธ อารมย์ไม่ชอบ ความรู้สึกดีไม่ดี
    คลื่นต่างๆ อากาศ ในที่นี้ รวมทั้งเรื่องภพภูมิต่างๆด้วย.....

    ถ้าตัดภาษาที่ใช้เรียกพวกนี้ออกไป
    หากสังเกตุ แล้วมาดูที่ต้นกำเนิดของมัน เราจะพบว่า
    มันจะเหลือให้ในรูปของพลังงานอย่างหนึ่งเท่านั้น
    อารมย์ก็เป็นพลังงาน ความรู้สึกก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
    คลื่น ก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
    ผีภพภูมิก็เป็นพลังงานเช่นกัน พลังงานต่างๆเหล่านี้
    ปกติมันไม่สามารถที่จะเอาอะไรมาวัดได้
    นอกจากจะมีเครื่องมือในการตรวจจับ
    แต่แม้ว่า เราจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้ว่ามันมีอยู่จริง

    เหมือน ตดนั้นหละ แม้จับต้องไม่ได้ แต่ก็รู้ว่า
    มันมีกลิ่นปนอยู่ด้วยจริงนั่นหละ ๕๕๕
    และพลังงานเหล่านี้ เป็นก็เป็นสื่อนำแรงในตัวเอง
    เหมือนทางวิทย์ที่กล่าวว่า อนุภาคทุกอนุภาคมัน
    มีแรงดึงดูซึ่งกันและกัน แต่พูดไปอาจจะยังไม่เห็นภาพ
    แต่ให้เข้าใจก่อนว่า ก่อนจะเกิดแรงหรือพลังงานเหล่านั้น
    มัน สร้างจากแหล่งพลังงานที่มาจากจิตเรานั้นเอง

    เรียกว่า จิตเป็นต้นกำเนิดพลังงาน. อารมย์ ความรู้สึก
    ผี ภพภูมิ ขึ้นมาเป็นพลังงาน(ทางวิทย์อาจจะเรียกว่าแรง)
    เมื่อมีต้นกำเนิดพลังงาน สร้างให้เกิดพลังงานแล้ว
    อากาศภายนอกดูผิวเพิน
    ก็จะเป็นเสมือนสื่อนำแรงต่างๆเหล่านั้นออกไปภายนอก
    แต่ความจริงแล้ว เมื่อเรามาดูข้อมูลทางธรนีวิทยาของ
    โลกเรานี้จะพบว่า

    ในโลกเรานี้ มันมีสนามพลังแม่เหล็กอยู่แล้วเป็นปกติ
    และเราก็อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของโลก(ถ้าไม่มี
    เวลาเรากระโดด เราจะลอยออกจากโลกไปเลย)
    รวมทั้งมันก็ยังอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงต่างๆ มันจึงหมุน
    รอบดวงอาทิตย์ และ มีดวงจันทร์มาหมุนรอบตัวมัน....

    เราจะพบว่า แท้จริงๆแล้ว เราก็อยู่ภายใต้แรงดึงดูด
    ภายใต้สนามพลังงานแม่เหล็ก ตลอดจนภายใต้แรงโน้มถ่วง
    อยู่แล้วเป็นปกติ. พวกนี้ก็เสมือนเป็นสื่อนำแรงนั่นเอง
    เป็นนามธรรมเช่นกัน เราจึงมองไม่เห็นได้ด้วยตาปกติ


    ดังนั้นเมื่อเราแค่คิดอะไรลงไป เมื่อจิตสร้างแรงขึ้นมาแล้ว
    มันก็จะเหมือนว่า เราได้สร้างสื่อนำแรงขึ้นมาเพื่อเข้าไปรวม
    กับสนามพลังงานแม่เหล็ก แรงโน้นถ่วง แรงดึงดูดของโลก
    ใบนี้ไปโดยปริยายนั้นเอง.....

    เคยได้ยินไหม เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาวนั้นหละ.....

    เพราะฉนั้นถ้าเราคิดทำอะไร ที่เป็นกุศล ตัดคำว่า กุศลออกไป
    เหลือแต่แรงนะ เมื่อเกิดแรงขึ้นมา คงไว้ก่อนนะ

    อนุภาคที่เป็นสือนำแรงที่เหมือนกัน ย่อมดึงดูดเข้าหากัน
    พอคุ้นๆไหมคำนี้ และสื่อนำแรง อย่าลืมว่า มันไม่ต้องใช้
    พื้นที่ เมื่อไม่ใช้พื้นที่ ก็ไม่มีระยะทางและเวลามาเกี่ยวข้อง

    ดังนั้น เมื่อมีต้นกำเนิดแรงขึ้นมา แล้วอยู่ภายใต้แรงโน้นถ่วง
    สนามแม่เหล็กโลก. และมีแรงที่อยู่ภายนอกอยู่แล้ว
    ลักษณะคล้ายๆกันดวงจิตที่ไม่มีกาย
    และไปเจอต้นกำเนิดแรงอื่นๆ(จิตดวงอื่นๆ
    ที่สามารถสร้างแรงแบบเดียวกันได้ที่มีกาย)
    แรงในลักษณะเดียวกันที่ออกมา มันก็เป็นเสมือนการ
    ไปเชื่อมแรงชนิดนั้นๆเข้าด้วยกัน มันก็ย่อมมีการดึงดูดซึ่งกัน
    และกัน......นั่นหละเป็นที่มาของการ ชอบอะไรเหมือนๆกัน
    ทำอะไรเหมือนกันเป็นกลุ่ม ในที่นี้รวมทั้งแรงที่ออกฝ่ายดี
    และแรงที่ออกฝ่ายไม่ดี เช่นกัน

    และแรงไม่แน่ใจ คงว่าเล่าไปในกระทู้อื่นมั่ง
    อะตอม มันประกอบด้วยอนุภาค ๒ ส่วน นอกจากนิวเคียส
    และอิเลคตรอน คือ อนุภาคที่เรียกว่า เฟอมิอ้อน กับ บัวซอง
    ซึ่งเฟอมิอ้อน มันเป็นองค์ประกอบสะสาร มันซ้อนทับกันไม่ได้
    อยู่แล้ว แต่ บัวซอง เป็นสื่อนำแรง มันซ้อนทับกันได้ไม่จำกัด
    ซึ่งมันสามารถสร้างสนามแรงให้เกิดขึ้นได้มากมาย.....

    ดังนั้นเมื่อ ผีหรือวิญญาน เป็นพลังงาน และแรงอย่างหนึ่ง
    เค้าสร้างพลังงานขึ้นมา (อยู่บนโลกใบนี้ ก็จะอยู่ภายใต้
    สนามแม่เหล็ก แรงโน้นถ่วง แรงดึงดูดไปในตัว)
    เป็นรูปเป็นร่าง ก็เพื่อเป็นสื่อนำแรง
    ให้เข้ามาเชื่อมกันต้นพลังงานของเรานั้นเอง ทำไม่ต้องมา
    เชื่อมกับเรา ก็เพราะการสวดมนต์ การทำสมาธิ การอุทิศ
    ส่วนกุศลนั้น เป็นเหตุให้จิต สามารถสร้างต้นกำเนิดของแรง
    (แต่เรามักเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า บุญ กุศล แล้วแต่จะเรียก)
    เพื่อไปรวมไปสร้าง ให้แรงพลังงานที่มาจากภายนอกหรือผีนั้น
    เกิดการเปลี่ยนแปลงพลังงานไปในทิศทางเดียวกัน
    ที่จิตได้สร้างขึ้นมา จากการสวดมนต์
    นั่งสมาธิอุทิศส่วนกุศลนั้นเอง

    แต่การสวดมนต์ ก็สามารถสร้างต้นกำเนิดแรง
    ที่จะผลักหรือดึงดูก็ได้
    เราเรียกว่า แรงสนามแม่เหล็ก(มีทั้งขั้วบวกและขั้วลบ)
    ถ้ากรณีเราไปสวดมนต์ แล้วเกิดเป็นขั้วเดียวกัน
    กับพลังงานภายนอกที่สร้างสื่อนำแรงแล้ว
    ก็จะเกิดการผลักกันเกินขึ้น(เราเรียกว่าคาถากันผีนั่นหละ)


    มันก็จะปิดโอกาส ของตัวจิต ที่จะสร้างพลังงานขึ้นมา
    เรียกว่า พลาดโอกาส ในการสร้างพลังงานบุญ กุศล
    ขึ้นมาอย่างที่เราคาดไม่ถึงได้นั้นเอง.....

    ดังนั้น เลยมีคำพูดว่า อย่าสวดมนต์ไล่ผี
    ปรมจารย์ด้านการปราบผี ท่านไม่ได้ใช้
    คาถาหรือฤทธิ์อะไรเลย ท่านใช้เมตตานำ
    ก็คือ ท่านมีสื่อนำแรง ที่มีอนุภาคมากพอ
    ที่จะเปลียนแรงต่างๆภายนอก ให้เปลี่ยนไป
    ตามกำลังของแรง(เมตตา)ท่านนั้นเอง....


    เนี่ย ถ้าเรามามองในต้นกำเนิดของมัน
    เราจะพบเหตุและผลในการเกิดขึ้นได้เอง....
    แต่มันไม่ใช่สากลที่จะพูดแล้วเข้าใจเห็นได้ง่ายทุกคน
    จริงใช้คำพูดในเชิงที่ เอื้อต่อการให้จิตสร้างต้นกำเนิด
    แรงขึ้นมาก่อน เช่น ทำแล้วได้บุญ ทำแล้วได้กุศล
    ทำแล้วจะเป็นโน้นนี่นั้น ฯลฯ ก็เพื่อเป็นอุบายตรงนี้นั้นเอง

    ปล. ตั้งแต่เกิดมาเท่าที่เคยเห็นผีมาตอนเด็กๆ
    หรือโตหน่อย หรือ ย้อนไปไม่นาน หรือจะปัจจุบัน
    ไม่ว่าจะเจอที่ไหน เมื่อไรก็ตาม แบบตาเปล่าๆ
    หรือว่าจะหลับตาเห็น หรือ ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ตาม
    สิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำเลย ก็คือ การไปสวดมนต์ไล่ผี
    เพราะจะตัดโอกาสในการสร้างต้นกำเนิดแรง
    ในทางด้านกุศลของเราได้อย่างคาดไม่ถึงหากไปทำ.....
    และการที่สวดมนต์แล้วพบเห็นโน้นนี่นั้น จะเลิกสวดดีไหม
    นั่งสมาธิแล้วเห็นโน้นนี่นั้น เลยกลัวแล้วเลิก...
    ก็เหมือนการตัดการสร้างต้นกำเนิดแรงฝ่ายกุศลนั่นหละ
    ทางปฏิบัติเค้าเรียกว่า ตัดการสร้างบารมีให้ตนเอง
    อย่างที่เราคาดไม่ถึง เพราะเราอาจจะไม่ได้ย้อนมา
    มองในเรื่องของแรง แต่อยู่ภายใต้สัญญาต่างๆนั่นเอง....

    เล่าให้ฟังเฉยๆ พอขำๆ

    ที่ไม่ใช่ว่าว่าง หรือไม่ว่าง นั่นหละว่าง / กลจิตเป็นแค่เพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง /กายอยู่อย่างไร จิตก็อยู่อย่างนั้น ไม่ใช้กายไม่ใช้จิต นั่นหละสภาวะดับ/ สุดยอดของทุกวิชาคือว่าง
    (อาจาร์ยนพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2024
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +4,707
    (ปักหมุดที่31) หน้า52 #1039
    :(:(:(:oops::rolleyes::oops::rolleyes:o_O


    เรื่อง สสารสิ่งที่มีทั้งมวลและปริมาตร
    ทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้


    (โพสต์โดยอจ.นพ)
    พลังงานในส่วนของการเคลื่อนย้ายสสาร
    หากว่าเคยมีสัมพันธ์กันมาสามารถทำให้เกิดขึ้นได้
    เช่น เราอยู่ดีๆตรงนี้ สามารถไปโผล่อีกที่หนึ่งก็ได้
    แบบตัวเป็นๆนี่หละ จะไปพร้อมกับรถที่ขับเลยก็ยังได้
    หรือของที่เราหาไม่เจอ แล้วอยู่ดีๆมาโผล่ให้เราเจอ
    หรือนั่งๆอยู่แล้วคนรอบๆเราหายไปหมด เหลือแต่
    บุคคลที่ ไม่ใช่เพื่อนและญาติเราปรากฏอยู่แทนในสภาพ
    แวดล้อมที่เหมือนๆเดิม
    ตรงนี้ก็เกิดขึ้นได้ปกติ. อย่างเกจิเก่งๆในอดีต
    พอมีคนเอาแบงค์ไปบริจาค ท่านโยนเข้ากองไฟ
    ปรากฏว่า แบงค์นั้นกลับไปอยู่หัวเตียงที่บ้านเฉยๆเลยก็มี
    คือ การเคลื่อนที่ของสสารรูปแบบหนึ่ง
    บางท่านเวลาเดินทาง บอกให้ลูกศิษย์ไปก่อน
    แล้วท่านก็ไปปรากฏที่ปลายทางก่อนให้ลูกศิษย์งงเล่นก็มี
    คือการเคลื่อนที่ของสะสารที่ไม่ขึ้นอยู่กับกาลและเวลา
    ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอิทธิวิธี ซึ่งมีในท่านที่เก่งๆ
    หรือเป็นเรื่องที่ข้องเกี่ยวในพุทธฯมานานแล้ว
    เพียงแต่ พุทธฯไม่ได้เน้นในเรื่องนี้..เมื่อไม่เน้น
    จึงไม่ได้ถือว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้มีในคำสอนทางพุทธฯ
    เพียงแต่มันมีในวิถีจิตท่านอยู่ในแวดวงพุทธฯ
    ถ้าสังเกตุให้ดี จะเห็นว่า ในท่านที่เกิดมีเป็นปกติ
    ท่านก็จะไม่เน้นในเรื่องนี้เช่นกัน จะเน้นตรงไป
    ยังเรื่องหลักๆของพุทธฯนั่นเอง....
    ปล. ที่พูดมาคือส่วนตัวมีประสบการณ์มาหมด
    แต่ยังไม่อยู่ในจุดที่จะเข้าถึงและเข้าใจ
    ต้นแห่งการกำเนิดได้
    จึงไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่านี้...
    และเมื่อยังไม่สามารถเข้าใจได้
    สิ่งที่ทำได้ก็คือ ไม่ควรไปสนใจกับสิ่งต่างๆเหล่านี้
    ประหนึ่งว่า ไม่เคยเกิดกับตนเอง
    นี้คือ วิธีในการเข้าถึงต้นกำเนิดได้ในอนาคตนั่นเอง
    แต่ไม่รู้ว่า จะใช้เวลาเท่าไรนะ ๕๕๕๕๕ พอขำๆ....

    เรื่อง ทำไมจึงฝัน เหตุที่ทำให้ฝัน
    เอามามันเกิดจาก ๑. สัมผัสภายในของเราเอง
    บวกกับ ๒.ความคิดของเราที่ดึงเอาเรื่องเกี่ยวกับ
    การเห็นนามธรรมได้บวกกับ ๓.กะแสที่จรเข้ามา
    จากในอดีต ทั้ง ๓ ส่วนที่กล่าวมานี้
    มันทำงานร่วมกัน....จึงเกิดเป็นเรื่องราวอย่าง
    ที่เอามาเล่าให้ฟังนั้นหละ
    ข้อ ๓ ถามว่า มาได้อย่างไร ก็จากดวงจิตเราเอง
    ในอดีตนั้นหละที่เคยมีสัมผัสมาก่อนแล้วไปมีเมตตา
    กับดวงจิตนั้น ในลักษณะที่เราไปพูดไปสัญญากับเค้าเอง
    เช่น. สมมุตินะ ชาติหนึ่งไปเจอลูกแมวกำพร้า แล้วเราเกิดชอบ
    และบอกไปว่า มาๆอยู่ด้วยกัน เด่วจะเลี้ยงดูเองนะ
    ไม่ต้องห่วง อะไรประมาณนี้ พูดพอให้เห็นภาพ....

    ดังนั้น ฝันแบบนี้ ไม่ได้เกิดจาก เทพบันดาลหรือว่าธาตุ
    ร่างกายพร่อง ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะตีความ
    ออกมาเป็นตัวเลขได้ เข้าใจเนาะ ๕๕๕๕๕๕

    แต่วิธีแก้นะมีและควรจะแก้.....
    คือถ้าเราพอรู้เหตุแล้ว...
    ควรจะต้องตัดซะ เพราะไม่งั้น
    มันก็จะกลายเป็นกระแสจรอย่างหนึ่ง
    ที่ยังทำให้เราต้อง วกวนพบเจออยู่ ณ ปัจจุบัน

    ถามว่า ทำไมเราเห็นในลักษณะแบบนี้
    ก็ย้อนไปดูเหตุ ทั้ง ๓ ข้อที่ทำให้เกิด
    แล้วจะเข้าใจว่า มันเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ. เก๊ทเนาะ...

    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) 29 สิงหาคม 2018

    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:;););)

     
  5. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +147
    พระโสดาบัน พระสกิทา พระอนาคา เข้าแล้วออกได้หรือคะ แล้วดื่มหล้าไม่ได้ขาดสติก็ถือว่าไม่ผิดศีล คุยกะผุ้ชายคนนึงเค้าบอกว่าถ้าไม่ปฏิบัติบ่อยๆก็หลุดได้ เค้าบอกอ่านหนังสือมา เถียงกันอยุ่นานมาก
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,442
    ค่าพลัง:
    +35,042
    เป็นคำถามที่ดีนะ เรื่องนี้เล่าแล้วสนุก เพราะปฐมบทเริ่มต้น
    หลังจากพระพุทธฯเสด็จปรินิพพานไปประมาณ ๑oo ปีแล้วนะ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปัจจุบันยังคงถกกันอยู่
    ในภาพรวมรับฟังได้ ให้ถือว่าเป็นข้อมูลหนึ่ง แต่จะยังไปสรุป ชี้ชัดอะไรยังไม่ได้
    ไม่มีใครผิด ใครถูก ขึ้นอยู่กับว่า รับรู้ข้อมูลมาจากไหน ปฏิบัติได้เข้าถึงเพียงใด
    เอาอะไรเป็นเกณฑ์ในการชี้วัด ระดับต่างๆ ดังนั้นวางใจเป็นกลางๆ
    แล้วค่อยมาเทียบดูว่า ตำรากล่าวไว้ว่าอย่างไร(กรณีเป็นทางการ)
    ส่วนในทางปฏิบัติ(ก็เป็นเรื่องปัจจัตตัง) แต่ก็ยังยึดถือไม่ได้
    ส่วนตัวมีข้อมูลที่จะเขียนบอกเอาไว้ให้เป็นแง่คิด
    เป็นหลักสังเกตุเอาไว้ดังต่อไปนี้


    สมมุติฐานเบื้องต้น
    1.พระฯต่างๆตั้งแต่โสดาฯ ถึง พระอรหันต์ เป็นระดับต่างๆของ พระอริยะบุคคล
    2.มีการวัดแบ่งระดับต่างๆ โดยอ้างอิงจากการละสังโยชน์ ๑o ได้กี่ข้อเป็นเกณฑ์
    3.ระดับต่างๆ เป็นสภาวะธรรม เป็นนามธรรม


    คำถามเบื้องต้น
    1.ระดับพระฯต่างๆ ตั้งแต่โสดาฯถึง อรหันต์ มีเข้ามีออก มีขึ้นมีลงหรือไม่?
    2.การแบ่งระดับต่างๆ จากการละสังโยชน์ ใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดระดับได้จริงหรือไม่?
    3.ระดับต่างๆเป็นนามธรรม สามารถชี้วัด ตรวจสอบได้หรือไม่?


    บทนำ
    จากประเด็นคำถามข้อที่ 1
    . เริ่มต้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 100 มีการสังคายนาครั้งที่ ๒ แบ่งเป็น ๑.เถรวาทคือยึดตามการปฐมคายนาครั้งที่ ๑ และ ๒.ฝ่ายอาจริยวาท เรียกกลุ่มตนว่า นิกายมหาสังฆิกะ มาจากภิกษุชาววัชชีที่แยกไปร่วมสังคายนา เรียกว่าการสังคายนาครั้งนี้ว่า มหาสังคีติ โดยยึดถือตามมติ ครูบาร์อาจารย์ตนเอง ต่อมา พ.ศ. ประมาณ 200 ยังแตกออกเป็น 18(ตามบาลี)-20(ตามสันสกฤต)นี่คือปฐมบทของการเข้าออกและขึ้นลงของระดับพระอริยะต่างๆ
    -นิกายมหีศาสกะ เป็นฝ่าย อาจริยวาท แยกมาจาก เถรวาท กล่าวว่า พระอรหันต์ไม่เสื่อม พระโสดาบันเสื่อมได้
    ข้อสังเกตุ ต้นกำเนิดมาจาก พราหมณ์ หลังจากบวช นำพระเวทมาผสมพุทธพจน์
    -นิกายสรวาสติวาท แยกจาก เถรวาท กล่าวว่า พระอรหันต์เสื่อมได้
    ข้อสังเกตุ พระอุปคุต ตั้งขึ้น แยกมาจาก นิกายมหีศากะ บ้างเรียกว่า เป็นฝ่ายสาวกยาน
    -มหาสังฆิกะ กล่าวว่า อสุจิสามารถเคลื่อนได้ แม้ในระดับพระอรหันต์หากถูกยั่วโดยมาร
    ข้อสังเกตุ เชื่อว่า พระพุทธฯ มี ธรรมกาย(การที่บอกระดับคุณธรรม) สัมโภคกาย(กายเฉพาะ) และ นริมาณกาย(กายที่ใช้ในการโปรด) นับถือพระโพธิสัตว์
    ** ข้อสังเกตุ อีก 15-18 นิกายไม่ได้กล่าวถึงเรื่อง ระดับพระอริยะต่างๆ


    จากประเด็นคำถามเบื้องต้นข้อที่ 2 ตามตำรามีบอกว่า
    ระดับโน้นนี่นั้น ตัดสังโยชน์ได้กี่ข้อ ถามว่า
    จะชี้วัดได้อย่างไรเมื่อเป็นสภาวะนามธรรม
    เป็นจริงๆไหม หรือเป็นไปตามรำตาแล้วนึกคิดไปเอง
    ใครบุคคลอื่นๆมาบอกได้ไหม? หรือรู้ตัวเองได้จริงไหม?
    ดังนั้นตามตำรา จึงสามารถใช้เป็นเครื่อง
    มือในการตรวจสอบเบื้องต้นได้ แต่จะเป็นดังที่เขียนหรือไม่เป็นอีกประเด็น
    ดังนั้นจึงยังชี้ชัดอะไรไม่ได้ เพียงแต่ใช้อ้างอิงได้ เช่น ตำรากล่าวว่า.....


    ประเด็นคำถามข้อที่ 3 สามารถตรวจสอบ ชี้วัดได้หรือไม่
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ไม่ใช่กิเลส แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วภายนอกเป็นปกติ
    แต่ตัว โทสะ โมหะ โลภะ อย่างใดอย่างหนึ่งที่อยู่ในจิต ส่งออก(ส่งตัววิญญาน
    การรับรู้)ไปดึง สิ่งต่างๆเหล่านั้นเข้ามาปรุงแต่ง จนกลายเป็นตัวตน เรียกว่า
    กิเลส หมายเหตุ เป็นกระบวนการเกิดเป็นกิเลส อ้างอิงจาก พระเกจิระดับจิตธาตุ
    ท่านหนึ่งกล่าวไว้
    ข้อสังเกตุ โทสะ โมหะ โลภะ ทุกคนมีอยู่แล้วในจิต ตั้งแต่ก่อนมีกาย เพราะหาก
    ไม่มีสิ่งนี้เป็นองค์ประกอบ จะไม่มีการเกิดเป็นคนได้ เพียงแต่จะเห็นหรือแสดงให้
    เห็นชัดเจนในช่วงเวลาใด

    ตำรา บอกว่า พระอริยะเบื้องต้น หมายถึงผู้ที่จิตตกกระแสธรรม พระเกจิตสายวัดป่าฯ
    มากความสามารถท่านหนึ่ง กล่าวว่า กิริยาที่จิตตกกระแสธรรม หมายถึง กิริยาที่จิต
    สามารถแยกรูปแยกนามได้ คือ สามารถเห็นได้ว่า
    ตัวความคิด ตัวจิต ตัวขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    เป็นฝ่ายอารมย์นั้นเป็นคนละตัวกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นสำหรับการเดินปัญญาได้
    โดยที่จะไม่เป็นปัญญาทางโลกหรืออาจจะเป็นวิปัสสนึกได้
    เมื่อสามารถเดินปัญญาได้ (หมายถึงผ่านการแยกรูปแยกนามได้แล้ว)
    นอกจากเกิดเป็นปัญญาทางธรรม ตัวจิตจะเกิดกิริยาอย่างหนึ่ง
    เรียกว่า การคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติของตัวจิตเอง
    **กิริยาเดินปัญญาหรือวิปัสสนา คือ กิริยาที่จิตมีสภาวะเป็นกลาง
    คือไม่มีความคิด ไม่มีขันธ์ ๕ ส่วนนาม มาปรุงร่วมกับจิต
    หากมีอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรุงร่วม จะยังเป็นปัญญาทางโลกอยู่
    หรือหากเข้าใจไปว่าเป็นสภาวะเป็นกลาง จะเผลอไปนึกว่า
    เป็นสติ เป็นปัญญาแล้วเผลอไปวิปัสสนา ส่งผลให้เกิดกิริยาที่เรียกว่า วิปัสสนึก

    **ถามว่า จะทราบได้อย่างไร ว่าจิตมีสภาวะเป็นกลาง ตอบว่า มาจากเครื่องมือตัวหนึ่ง
    เรียกว่า สติทางธรรม ที่ได้มาจากการเจริญสติ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะวิธีอะไรก็ตาม
    อยู่เพียงให้มีฐานอยู่ที่กาย และยังทำให้ทราบ กิริยาที่จิตคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    **สติทางธรรม จะทำให้ทราบ กิริยา จิตกระเพื่อม ก็คือ
    ตัวจิต ยังรวมกับ ความคิด หรือ ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่


    ตัวชี้วัดจากข้อสังเกตุ
    สมมุติอ้างอิงให้เชื่อว่า จิตพระอรหันต์ไม่มีการเกิดแล้ว
    คือคลายตัวเองได้แล้วตามธรรมชาติ
    โดยอ้างอิงจากสังโยชน์ 10 อ้างจากอรรถกถาจารย์
    เช่น กำจัดกิเลสหมดสิ้น ไกลจากกิเลส พ้นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นต้น
    ด้วยเหตุนี้ เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่เฉพาะเวลาที่ท่านตื่นนอน
    สมมุติว่า ประมาณ 14 ถึง 16 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน
    จิตท่านจะไม่เกิดเลย แต่ร่างกายยังทำงานอยู่


    ข้อสังเกตุที่ค้นพบ หรือ Gab แม้ว่าอาจจะไม่มีนัยยะสำคัญ
    1.สามารถใช้ระยะเวลาการเกิดของจิต เป็นเครื่องชี้วัด ระดับพระอริยะต่างๆได้หรือไม่?
    ตัวอย่างการชี้วัด เช่น สมมติ อ้างจากเวลาตื่น 16 ชั่วโมง ของพระอรหันต์ และแบ่ง
    ระดับต่างๆออกเป็นจำนวนเท่ากันออกเป็น 4 ส่วน นั่นหมายความว่า
    -บุคคลทั่วไป จิตเกิดตลอดได้ 16 ชั่วโมงต่อวันหรือน้อยกว่ามากกว่าบ้างเล็กน้อย
    -พระโสดาบัน จิตคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    ไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน บวกลบได้เล็กน้อย
    - พระสกิทาฯ จิตคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    ไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน บวกลบได้เล็กน้อย
    - พระอนาฯ จิตคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง บวกลบได้เล็กน้อย
    -พระอรหันต์ จิตไม่เกิด หรือ คลายตัวเองได้ ตลอด 16 ชั่วโมง
    ข้อสังเกตุ ระยะเวลาการคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ สามารถรับรู้ได้ด้วยตนเอง
    หากมีสติทางธรรม
    ข้อดี หากใช้หลักการนี้ จะไม่เกิดสภาวะหลงตน หลงเข้าใจไปเองได้


    ข้อย้อนแย้งที่ค้นพบ ผู้ปฏิบัติบางท่าน เข้าใจว่าตนเอง ได้ระดับโน้นนั้นนี้
    แต่ไม่ทราบกิริยาจิตคลายตัวเองตามธรรมชาติเป็นอย่างไร

    ข้อย้อนแย้งต่อมา ผู้ปฏิบัติ ไปอ่าน สังโยชน์ 10 แล้วระมัดระวังตนเอง
    เพื่อให้ละสังโยชน์ให้ได้มากที่สุด จึงเกิดคำถามว่า สภาวะที่ได้เป็นเพราะ
    ตัวจิตเป็นอย่าง สังโยชน์จริงๆ หรือ ตัวจิตเกิดการกระทำ ตั้งใจให้เกิดตามสังโยชน์


    ตัวอย่างชวนให้พิจารณา ในเกณฑ์ที่ร่างกายปกติ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย
    สมมุติ นาย ก ปฏิบัติจน จิตคลายตัวเองได้ 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นปกติ
    (เทียบตื่น 16 ชั่วโมง) หากนาย ก เกิดการโต้แย้ง
    เกิดการเดินทาง สนทนาพูดคุย เกิดการค้นคว้าข้อมูล ไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
    ถามว่า วันนั้น นาย ก เป็นระดับ สกิทาหรือ โสดาบัน ?
    ตอบว่า ขึ้นอยู่กับว่า ในเวลา ที่โต้แย้ง เดินทาง สนทนา ฯลฯ จิตนาย ก ได้เกิดหรือไม่
    ถามว่า วันหนึ่ง นาย ก คนเดิม มีเรื่องให้คิดมากมาย มีเรื่องกลุ่มใจ เกิน 4 ชั่วโมง?
    ตอบว่า ขึ้นอยู่กับว่า นาย ก ใช้ความคิด หรือ ใช้ปัญญาที่เกิดจากการเดินปัญญา
    ถามว่า นาย ก คนเดิม เกิดไม่ได้นึกคิดอะไร ว่างๆทั้งวัน จิตคลายตัวได้เพิ่มเป็น 12 ชั่วโมง
    ถามว่า วันนั้นจะถือว่า นาย ก เป็นสกิทาฯ หรือ อนาคาฯ
    ตอบว่า เราชี้วัด ระดับต่างๆ การคลายตัวของจิตได้ตามธรรมชาติ
    ในสภาวะปกติระหว่างวัน แม้วันนี้จะเป็น อนาคาฯ แต่พรุ้งนี้หละ จะยังเป็น อนาคาฯ เหมือนเดิมไหม
    หาก นาย ก ต้องไปพบปะ สนนทา กลับผู้คน ตามงานที่ต้นรับผิดชอบ หรือตาม
    สภาพสังคม
    ถามว่า นาย ก คนเดิม หากเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาทั้งวัน วันนั้น นาย ก อยู่ระดับใด


    ข้อสังเกตุหลัก จะเน้นที่ กิริยาที่จิตคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    เหตุเพราะ อาจไม่สามารถตอบได้ว่า เมื่อเวลาใกล้จะตาย
    เราจะสามารถมีสติรู้ตัว ทราบได้หรือไม่ว่า จิตขณะนั้นเป็นอย่างไร
    ตลอดจนสามารถควบคุมได้หรือไม่ เนื่องจากความเสื่อมของร่างกาย
    ด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติของจิตในเวลาใช้ชีวิตปกติจึงเป็นเรื่องสำคัญ
    สำหรับบุคคลทั่วไป
    ** ข้อยกเว้น ท่านที่รู้ตัวว่า ตนเองจะตาย แล้วนั่งสมาธิก่อนตาย
    **ข้อสังเกตุ ในความเป็นจริง ก่อนจะตาย คิดว่าจะลุกมานั่งสมาธิได้ไหม?
    คิดว่าทำได้อย่างนั้นจริงหรือไม่ มีใคร
    เคยเห็น ญาติ คนรู้จัก ตนเองก่อนตาย เป็นอย่างนั้นหรือไม่ เคยเห็นกี่ท่าน
    หรือเห็นอยู่ในท่านอน
    ** ไม่นับท่านที่ตายไม่ธรรมชาติ


    ที่เขียนมาทั้งหมด ให้เป็นข้อมูล ว่าเรื่องแบบนี้ มีการโต้แย้ง
    กันมาล่วงมา ๒ooo กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังหาข้อสรุป ชี้ชัดที่ตรงกัน
    ไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างเชื่อไม่เหมือนกัน ฝ่ายสาวกที่มาจากพราหม์เชื่ออีกอย่าง
    ฝ่ายที่นับถือมหายานเชื่ออย่าง ฝ่ายพระอุปคุตเชื่ออีกอย่าง ฝ่ายที่แยกมา สังคายนา
    กลับกลุ่มตนเองเชื่ออีกอย่าง ถ้าเหตุเหมือนกัน จะไม่เกิดการแยกไปเป็น
    นิกายต่างๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ณ ปัจจุบัน
    จะยังมีการโต้แย้งกันอยู่ในเรื่องทำนองนี้
    จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปโต้แย้ง หรือ หาข้อสรุปใดๆ

    ด้วยเหตุที่ สภาวะระดับต่างๆเหล่านี้เป็นนามธรรม
    ถามว่า วันนี้เรามีเครื่องมือ สติทางธรรม ที่จะคอยตรวจสอบ
    ด้วยตัวเราเองแล้วหรือยัง ก่อนที่จะเป็นให้ความสนใจ
    ในเรื่อง ระดับต่างๆเหล่านั้น
    ถามว่า ฝ่ายต่างๆที่แยกไปเป็นนิกายต่างๆ ทำไมถึงเชื่อแบบนั้น
    ทั้งที่ พื้นฐานสมาธิระดับ ระดับสภาวะจิตที่เราเชื่อว่า
    เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญานทั้งนั้น

    แล้วตนระดับใด? ผู้ที่ไปโต้แย้งระดับใด? ผู้ที่สรุป ชี้ชัด ระดับใด?
    ความสามารถทางจิตระดับใด?สภาวะจิตระดับใด?
    บ้างอ้างปฏิบัติมาก่อน บ้างอ้างปริยัติมาก่อน ใครถูก ใครผิด?


    มุมมองของผู้เขียนกล่าวว่า
    การเป็นผู้ฟังที่ดีเช่น ครับ ครับผม คะ อืม อ้อเป็นอย่างนี้เอง
    เป็นผู้พูดที่ดี เช่น จากข้อมูลนี้บอกว่า.. ท่านนั้นกล่าวว่า
    ตำรานี้บอกว่า....เป็นต้น จะยังให้เกิดปัญญาร่วมกันขึ้นมาได้
    ตย. ตอนพระพุทธฯ ที่มี นิครณ์ มากล่าวโน้นนี่นั้น
    ท่านมิได้ตำหนิใดๆ ท่านปล่อยให้พูดจนจบ
    ท่านเพียงบอกว่า

    "ที่เธอกล่าวมาถูกของเธอ แต่ของเราเป็นอย่างนี้......"
    เป็นสภาวะที่ ไม่ห่ำหั่นกัน
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...