กราบเชิญสายดูกาย ดูจิตโดยเฉพาะครับ

ก็ใช่นะพูดอีกก็ถูกอีก

 

แต่ที่แตกต่างไปคืออะไรเป็นประโยชน์และอะไรไม่เป็นประโยชน์ อะไรนำไปใช้ต่อยอดเพิ่มเติมได้ตามวาสนาบารมีเขาอันไหนนำไปใช้ไม่ได้ และที่สำคัญอันไหนยิ่งทำให้เขาจมและจมลงไปอีก ผู้รู้ไม่ควรทำเว้นไว้แต่ผู้ไม่รู้ที่มักทำและทำจนเป็นสันดานนิสัย อุปมาเหมือนเอาช้อนตักอะไรสักอย่างให้หมากินแม้เพียงนิดไม่เต็มช้อนแต่หมามันก็กิน และสิ่งที่ให้กินนั้นมันมีประโยชน์กับหมาไหม สักแต่ให้กินเพราะอาศัยความหิวเป็นเครื่องล่อ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าให้อะไรให้มันกิน มันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจนัก ทั้งผู้ให้และหมาคือผู้รับ

 

ปฏิบัติสลับไปมา
ตามการเหมาะสมของผู้นั้น
ในแต่ละช่วง
.
เริ่มแรกทุกข์มากตอนนั้น
ต้องการดับทุกข์
แล้วเห็นมันทุกข์ที่ใจ
หาวิธีดับตรงน้้น
แต่
วิถีชีวิตไม่เอื้อต่อการนั่งหลับตา
ได้แต่เดินๆ ทั้งวัน
หาอยู่นาน
ทำอย่างไร
.
สิ่งที่ง่ายแต่มีอยู่ของคนเรา
ลมหายใจ
ดูการหายใจของลม
ขณะที่เดิน
เมื่อดูสักแปป (นานหลายเดือนปี ทำเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจ)
จิตจะรวมเป็นหนึ่ง
กับร่างกาย
ดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ขณะนั้น
.
ทั้งหมดจะดูขณะที่เดินอยู่ครับ
บ้างช่วง
ดูการก้าวเดินของ
ร่างกายนานๆ
เงียบๆ
เพลินๆ
จะหันไปพิจารณา
ร่างกาย
.
แต่ตอนที่
เด็ดๆ
เมื่อดูกายเคลื่อนไหว
ได้ที่แล้ว
.
นั่งหลับตา
สมาธิกรรมฐาน
.
ก้าวหน้าไวเลยครับ
ปัจจุบัน
ยังชอบดูกาย
อยู่ครับ
แต่ลม กาย จิต
รวมกันดีอยู่แล้ว
.
หลังนั้น
ที่กาย อสุภะ
และกาม 5 อายตนะ 6

* ขออนุญาตร่วมแชร์สิ่งเล็กน้อยครับ

 

อ่านยาก มันเล็กไปนิดนึง

 

ไป ก๊อปปี้ คำสอน เฮีย อะไรมา ฮับ

ถาม หน่อย

จิต เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

อ้ายที่บอกว่า อยู่กับรู้ เนี่ยะ

 

สังเกต ไหม มัน รวม ไม่จริง

หาอยู่นาน พอได้วิธีการ ลมหายใจ
จิตก้ รวมอย่างงั้น อย่างงี้ แล้ว
สุดท้าย บอกว่า เหลือ กาย อสุภะ

กาย อสุภะ แล้ว เหลือ กาม

พอ กาม แล้วเหลือ อายตนะ6

ทั้งๆที่....

อายตนะ6 ต้องสำรวมก่อน
จน กาม ระงับ มันถึงจะยก
อสุภะ อสุภัง เพื่อ ถอน กาย

รวม ด้วยการเหน ตามความ
เปนจริง

กับ.รวมแบบ วางแผนภาวนา
ล่วงหน้า

กิเลสมันไม่สะเทือน แถม สับขา
หลอก ว่าเปน ด่านสุดท้าย

พูดง่าย จุด finish มันกลายเปน start

พูดอีกแง่คือ "ยังไม่ได้เริ่ม"

 

สักกายาทิฏฐิ ทำให้ไม่เห็น

สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ใครมาพรัดพรากความเห็นของเรา

 

เจตนาของผมคือการนำมา ซึ่งธรรมทาน ครับ แล้วตัวอาจารย์.....