กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ไปนอนละคับ พรุ่งนี้ อาสาฬ
    ผมจะลง อุโบสถ์ ละ
    เด่วจะไปฝึกวิธีที่คุณ นพให้มา บ่อย ๆ นะคับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    นิมิตรอะไรก็ช่าง จะพิศดารล้ำลึกเพียงใดก็ตาม
    เพราะช่วงนี้จิตจะยังอยู่ในช่วงอุปจารสมาธิ
    ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วคือช่วงความถี่สมอง
    อยู่ระหว่าง ๑ ถึง ๓ Hz ซึ่งมันจะยังไม่นิ่ง
    มันยังสามารถปรุงแต่งได้อยู่.เปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ..
    ครูบาร์อาจารย์ท่านจึงแนะนำให้ไม่สนใจนิมิตรไงครับ
    เพื่อสร้างกำลังสมาธิสะสมต่อไปและเพื่อสร้างกำลังสติ
    ทางธรรมในช่วงนี้..เราถึงจะมีกำลังสติทางธรรมและกำลัง
    สมาธิที่มากพอในการรักษาอารมย์และแยกแยะได้ว่า
    นิมิตรไหนจริงนิมิตรไหนเทียม(คือไม่มีประโยชน์)ไงครับ

    .. อ่อๆๆ ของคุณช่วงนี้ระวังด้วยอาจมีนิมิตรกสิณไฟเป็นควันพุ้งออก
    มาจากหน้าอกถ้าหลับตาพร้อมกับเห็นน้ำจริง
    และถ้าลืมตาฝึกอาจเจอควันที่มาพร้อมกัน
    ทางซ้ายขวาควันเยอะเหมือนไฟไหม้ร่วมด้วย.
    และสรุปนะครับว่าถ้ายังไม่เห็นเป็นน้ำจริงๆ
    และเห็นแต่น้ำจริงๆอย่างเดียวเท่านั้น
    ชนิดใสกิ๊ก กระเพื่อมเล็กน้อยแต่ไม่มีฟอง
    ถึงขั้นผิวเรียบนิ่งให้ลืมและไม่ต้องสนใจนิมิตร.
    .ให้ทิ้งไปเลย ไม่ต้องเก็บมาคิดด้วย นิมิตรน้ำที่มันนิ่งจริงๆ
    ก็คือคลื่นความถี่ในสมองเรามันเริ่มนิ่งนั่นหละครับ.
    มันถึงจะสามารถพัฒนาไปสู่คลื่นความถี่ต่ำกว่านี้ได้
    คือ ๐ ถึง ๑ Hz หรือทางปฏิบัติก็คือการไต่ระดับฌาณนั่นหละครับ
    เลยบอกคุณว่าให้ฝึกเข้าช่วงนี้ให้บ่อยๆ ส่วนหนึ่ง
    ก็เพื่อฝึกปรับลดคลื่นความถี่สมองนั่นหละครับ..
    .

    ทั่วๆไปนะครับนิมิตรก็คือมันจะพัฒนาไปเรื่อยๆหลังจากที่เราทิ้ง
    นิมิตรเดิมได้ก่อนจะมาอีกแบบในการฝึกครั้งต่อไป..คุณทำให้ถึงจุดแรก
    ที่บอกก่อนครับ...เด่วจะเกิดเครื่องรู้ย้อนได้เองทุกนิมิตร
    ที่ปรากฏระหว่างทางครับ..และจะสามารถลดระดับคลื่นความถึ่
    ในสมองให้นิ่งก่อนเพื่อพัฒนาไต่ระดับฌาณต่อไปได้ครับ
    นึกออกนะครับ การที่น้ำมันยังกระเพื่อมได้ เพราะคลื่นสมองเรามันยังไม่นิ่ง
    จริงๆนั่นหละครับ.การที่เห็นหลายๆภาพก็คือคลื่นความถี่สมองมันส่วนไป
    ส่ายมานั่นหละครับ..
    ที่สำคัญตอนนี้ เพิกให้เป็น ละให้ถูก
    ไม่ใช่คือจบไม่ต้องสนใจและเก็บมาคิดก็ครับ.

    ปล.ช่วงนี้คิดว่าที่แนะนำมาก่อนหน้าทั้งหมด
    อ่านดีๆน่าจะเพียงพอถึงขั้นอฐิษฐานจิตได้
    ยังไงรบกวนย้อนกลับไปอ่านที่เคยแนะนำ
    มาก่อนหน้าให้เข้าใจถึงหลักการและเทคนิคอีกครั้งนะครับ
    มีอีกแค่ช่วงเดียวคือการที่จิตถูก
    ดึงไปฝึกอีกที่ มีโอกาศจะเล่าให้ฟัง
    ถ้าถึงเวลาที่คุณเข้าสู่โหมดนี้ได้ครับ.
     
  3. Raibliss

    Raibliss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +112
    เรียนถามคุณnopphakanเพิ่มเติมค่ะ ที่ว่าความรู้สึกว่าน้ำกดตรงลิ้นปี่นี่คือต้องรู้สึกว่าหนักไหมคะ หรือต้องทำความรู้สึกอย่างไรคะ แล้วความรู้สึกจะเกิดที่ลิ้นปี่กับจักระ6พร้อมกัน2ที่เลยหรอคะ อ่านแล้วรู้สึกว่าทำยากจังเลยค่ะ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ที่ตรงลิ้นปี่จะรู้สึกว่าหนักๆถูกแล้วครับ..พอเราทำบ่อยๆจะชินเองครับไม่ต้องห่วง
    ส่วนความรู้สึกจะเกิดพร้อมกันนั้นเด่วก็ชินครับ
    และการหัดมองตรงจักระ ๖ บ่อยๆขึ้น จนตัดระบบการใช้ความคิดได้.
    เด่วความรู้สึกมันจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง จักระ ๖ กับลิ่นปี่นั่นหละครับ
    และก็จะเป็นอัตโนมัติด้วยครับ และเป็นไปได้ในชีวิตนี้ให้เลิกพูดคำเหล่านี้
    ไปเลยนะครับ
    (เบื่อ เซง กลุ้ม ทำไม่ได้ ยาก ขี้เกียจ ไม่สำเร็จ ฯลฯ
    ไม่งั้นจะปิดแนวทางเดินของจิตได้อย่างไม่รู้ตัว).
    .และเอาไว้ลองสังเกตุดูได้ครับในอนาคตอันใกล้ๆนี้ว่าจะเป็นอย่างไร.

    ประเด็นนี้ชวนสนทนาทั่วๆไปนะครับ..
    จะว่าไปมันทำไม่ยากนะครับ..เหมือนๆเราปรับระบบหายใจจากหน้าอก
    ให้ถึงท้องนั่นหละครับ.แรกๆก็ติดๆขัดๆเรื่องธรรมดา พอ ๒ สัปดาห์
    ผ่านไปก็เป็นปกติแล้วครับ..การฝึกอย่างนี้ก็เช่นกัน อย่างมากไม่เกิน
    ๒ สัปดาห์ครับ พูดถึงว่าดีไหมส่วนตัวก็ว่าดีนะครับ..ถ้าไม่ทำอย่างนี้
    คงอีกหลายปีครับกว่าจะฝึกสำเร็จได้ซักกอง เผลอๆชาตินี้จะฝึกไม่
    สำเร็จด้วยครับถ้าไม่ทำอย่างนี้

    บางคนก็เพี้ยนไปเลยหรือเลิกฝึกแล้วเปลี่ยนแนวไปเลยก็มี
    เพราะไม่ตัดระบบความคิดออก
    เลยไปปรุงแต่งตอนที่เกิดนิมิตร ยิ่งจะไปกันใหญ่ครับ..
    เพราะเราเน้นไปสร้างให้จิตเกิดกำลังจิตให้ได้ครับ..
    ส่วนตัวเคยดึงกรรมฐานเก่าพวกกสิณให้คนอื่นๆมาแล้ว
    หลายคนมาก..แต่ว่าปัญหาคือสามารถสัมผัสพลังงานได้
    แต่ว่าไม่สามารถนำมาใช้ได้เพราะว่า จิตกำลังไม่พอ
    และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คือ อิทธิบาท ๔ น้อยไปครับ..

    และซ้ำร้ายพอช่วงที่ฝึกถึงก่อนจะสร้างให้จิตมีกำลังจิตได้
    ก็ดันไปหลงกับเครื่องรู้พิเศษ ซึ่งมันแสนธรรมดามากๆ
    ที่จะเกิดขึ้นได้ในขณะที่ฝึกกสิณ.ไปบอกก็ไม่ได้นะครับ
    เผลอๆเราจะโดนเค้าด่าด้วย..และเป็นเหตุที่จะใช้ได้แต่ในนิมิตร
    หรือในฝัน มันก็คงไม่ก่อประโยชน์อะไรนอกจากเอาไว้เล่า
    ให้คนอื่นๆฟังเล่นๆ.แล้วคนอื่นๆเข้าจะเห็นเหมือนเรา
    หรือเปล่าหละครับว่าไหม เผลอๆจะว่าเราอีกต่างหาก.
    ถ้าฝึกถึงขั้นใช้พลังงานได้..เราไม่ต้องพูดอะไรมาก
    ทำให้เค้าดูเลย.ก็จบ. ไม่ต้องเสียเวลาบรรยาย
    ศัพท์คุณประกอบคำบรรยายไร้สาระว่าไหมครับ

    ขึ้นว่ากสิณเริ่มต้นมันดูว่าเข้าถึงง่ายครับ
    เพราะว่าเป็นกรรมฐานหยาบๆในช่วงแรก
    ทำให้หลายๆคนหลงไหลมานักต่อนัก
    ไปอ่านจากตำราแล้วโห้มันดูวิเศษจัง
    ยิ่งอยากฝึกอยากมีฤิทธิ์ จะยิ่งทำให้ห่างความสำเร็จออกไปอีก
    และกว่าจะฝึกจนสามารถใช้งานได้
    ก็ต้องมีหลักในการเริ่มต้นประมาณนี้หละครับ

    และจะฝึกจนจิตเกิดกำลังจิตจนสามารถเรียกเป็นพลังงานมาใช้ได้นั้น
    สำหรับกรรมฐานกองนี้ไม่มีคำว่าฝลุ๊กแน่นนอน
    ยังไงก็ต้องฟิดพอตัวหละครับ..แต่ส่วนตัวว่าคุณถ้าเริ่มเข้าใจ
    และสัมผัสกิริยาทางจิตได้อย่างนี้ก็แสดงว่าเดินมาอยู่
    ในแนวทางที่จะสามารถใช้พลังงานได้อยู่แล้วหละครับ
    ทางปฏิบัติเค้าเรียกว่ามีแววครับ.. อีกนิดเดียวเองครับ

    ปล.ประมาณนี้หละครับ
     
  5. Raibliss

    Raibliss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +112
    ขอบพระคุณมากค่ะ แล้วการมองจักระ6นี่มองอย่างไรคะ ตรงเหนือคิ้ว ใช้ความรู้สึกเอาว่าไปรู้สึกตรงเหนือคิ้วไหมคะ และการตัดระบบความคิดออกนี่หมายถึงการปรุงแต่งหรือเปล่าคะ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เข้าใจประมาณนี้ถูกแล้วครับ
    เด่วอธิบายเพิ่มแบบหยายๆให้ฟังนะครับ
    ปกติสมองเราจะแบ่งเป็น ๓ ส่วนมีหน้าที่เคร่าๆดังนี้
    ๑.สมองส่วนหน้าคือพวกการใช้ความคิดต่างๆเราใช้ปกติ
    ในชีวิตประจำวัน ๒.คือส่วนท้ายทอย
    คือควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายบางอย่างและ
    ๓.สมองส่วนกลางตรงกลางกระโหลกเรา
    เป็นตัวเชื่อมกับสมองทั้งส่วนหน้าและส่วนหลัง


    นึกภาพตามนะครับ..ถ้าเราฝึกสร้างทิพย์จักขุหรือฝึกสมาธิอยู่
    ถ้าหากว่ามีการใช้สมองส่วนหน้า..และจิตมันเกิดเป็นทิพย์
    สภาวะความเป็นทิพย์นั้นมันจะยังอยู่ภายใต้ความคิดเราเรียก
    ตามทางปฏิบัติว่าปรุงแต่งนั่นหละครับ.ที่ทำให้เราปวดหัว ตึงศรีษะ
    ตลอดจนใครที่ไปติดนิมิตรแล้วอนาคตเพี้ยนๆทั้งหลายนั่นหละครับ..
    หรือสังเกตุอีกอย่าง ถ้าจิตเป็นทิพย์แล้วคิดขึ้นมาและจิตกลับสู่ร่าง
    กายอย่างรวดเร็วนั้นหละครับ ทางปฏิบัติเค้าชอบเรียกนิวรณ์..
    จึงให้มาสร้างสติทางธรรม เพื่อเป็นความคิดที่ไม่ใช่มาจากสมองส่วนหน้า
    และส่วนท้ายทอย คนที่มีสติทางธรรมเค้าถึงสามารถอยู่ในโหมดเป็นทิพย์
    ได้นานๆนั่นหละครับ เพราะมันไม่ใช่ความคิดที่มาจากสมอง

    ..ที่แนะๆมาก่อนหน้า
    ก็คือวิธีตัดไม่ให้เกิดความคิดตรงนี้มาปรุงร่วมไงครับ...
    ทำบ่อยๆจะสัมผัสความรู้สึกตรงสมองส่วนกลางหรือกลางกระโหลกได้เอง
    ให้พยายามเปิดจักระ ๗ ให้ได้ก่อนเพื่อไม่ให้พลังงานภายในตัวเรากระจุก
    ตัวออกไปเชื่อมภายนอกไม่ได้สำหรับทั่วๆไป แต่หลักๆก็คือ ฝึกการรับรู้
    และใช้สมองส่วนกลางให้ร่างกายเรามันชินครับ..จะทำให้เราตัดสมอง
    ส่วนหน้าได้ง่าย..และใช้ความรู้สึกตาที่ ๓ ตรงเหนือระหว่างได้ดี..
    และจะไม่ปวดศรีษะ..พอจุดตาที่ ๓ มันตุ๊บดันๆ ก็จะมาหมุนวนขวาก่อน
    และก็จะขยายได้เป็นวงกลมใหญ่ขึ้น นึกภาพเอาจานข้าวแบนๆมาปิดหน้า
    ตัวเองนั่นหละครับคือแนวการขยายของตาที่ ๓

    เอ๊ะๆๆๆ...ตาที่ ๓ น้องเปิดมานานแล้วนะอาจไม่รู้ตัว..ลองๆทำอย่างนี้นะ
    ยกนิ้วโป้กับนิ้วชี้มือขวาขึ้นมาตรงต่ำแหน่งตาที่ ๓ นะ ห่างหน้าฝากซัก
    ประมาณ ๑ ซม. นิ้วโป้อยู่ล่างนิ้วชี้อยู่บนห่างกันประมาณ ๒ ซม.
    แล้วขยับเฉพาะนิ้วชี้เบาๆลงมาหานิ้วโป้(กดนิ้วชี้ลงเบาๆซัก ๑ ซม.)
    อย่าให้นิ้วชี้มาชนนิ้วโป้ จะรู้สึกว่ามีอะไรตึงๆแล้วค้างนิ้วชี้ไว้นะครับ
    จากนั้นให้ย้ายมือขวา(นิ้วชี้นิ้วโป้ค้างไว้เหมือนเดิม)
    ออกไปตรงๆจากหน้าฝากซักประมาณ
    ๑๕ ซม.แล้วค้างไว้อีก จากนั้นกางนิ้วชี้และนิ้วโป้ออกพร้อมกันอย่างเร็ว
    สังเกตุดูว่ามีอะไรวิ่งย้อนมาตุ๊บๆชนตรงต่ำแหน่งตาที่ ๓ นั้นหละครับ.
    เป็นหลักสังเกตุเคร่าๆ.ต่อไปก็แค่ขยายให้มันใหญ่ขึ้น หรือฝึกขยาย
    ไปข้างหลัง.จะทำให้เรารู้พิกัด ของคนหรือสัตว์ที่มองเราได้แม้กระทั้ง
    ความสูงได้..ประมาณนี้ ลองทำเล่นๆดูซัก ๓ ถึง ๔ รอบจะสัมผัสได้เอง

    ปล.ประมาณนี้หละ ;)
     
  7. Raibliss

    Raibliss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +112
    ทำแล้วรู้สึกนิ้วร้อนๆเลยค่ะ ทำไมไม่เคยรู้สึกตุ๊บๆตรงตำแหน่งนั้นเลยก็ไม่รู้ค่ะ การที่เราทำสมาธิ เจริญสติในชีวิตประจำวันก็จะช่วยในการเสริมตาที่3ใช่ไหมคะ งี้ในชีวิตประจำวันเวลาเราอยู่เฉยๆ บางทีหน้าเรามันเหมือนมีอะไรอยู่ใต้ผิวหน้าตรงแก้ม ไม่ก็รู้สึกหนักๆตรงบริเวณบางจุดบนแก้ม มันเกี่ยวข้องกันไหมคะ ขอบคุณมากเลยค่ะคุณnopphakan จะลองทำดูเรื่อยๆนะคะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมขออนุญาตรบกวนสอบถามคุณnopphakanอีกนะคะ แหะๆ พอดีไม่มีอาจารย์ ทำเองเลยกลัวๆ มีคนบอกจะปฏิบัติต้องมีอาจารย์ชี้แนะ เลยกลัวจะผิดแนวทางแล้วเตลิดเปิดเปิง เพี้ยนกู่ไม่กลับค่ะ แหะๆ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    เด่วจะเล่าภาพรวมๆให้ฟังนะครับ เพื่อเสริมความมั่นใจแนวทาง
    การปฏิบัติของตนเองที่ผ่านมา ไม่งั้นถ้าไม่อ่านไว้อาจจะเกิด
    เป็นนิวรณ์ขึ้นมาในจิตตนเองได้..
    สำหรับทั่วๆไปการสะสมสมาธิเล็กๆน้อยด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการนั่งสมาธิแบบพิธิการ
    ล้วนแล้วเป็นการส่งเสริมการสร้างสติทางธรรม และส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องของ
    นามธรรมทั้งหลาย ให้เข้าใจวัตถุประสงค์มากกว่าเน้นเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เห็น
    สิ่งที่เกิดว่ามันคืออะไรครับ จะทำให้เราแยกจิต แยกความคิดที่เกิดจากจิต
    แยกความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรมที่เป็นฝ่ายออกรมย์ออกจากกันได้
    อย่างชัดเจนเป็นส่วนๆ รวมทั้งเห็นกิริยาต่างๆของมันได้..
    ถ้ายังไม่เข้าใจตรงนี้..ความเข้าใจต่างๆแม้ว่าจะอ่านมาดีแค่ไหน รู้มากแค่ไหน
    ก็จะยังอยู่ในสภาวะของสมมุติ เป็นสภาวะที่ไม่ได้ทำให้จิต ลด ละ คลายกิเลส
    ได้จริงๆยังอยู่ภายใต้ความคิดที่เกิดจากจิตอยู่
    และสำหรับคนปฏิบัติที่มีความสามารถพิเศษเกิดขึ้นได้ เราก็จะดูความสามารถ
    ในการเข้าถึงความสามารถพิเศษตรงนี้ รวมแม้กระทั้งการเกิดขึ้นของเครื่องรู้
    หรือความสามารถพิเศษต่างๆที่เกิดขึ้นจริงเพื่อเอาไว้เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นได้
    ว่าเราสามารถปฏิบัติแล้วเกิดผลขึ้นได้จริงๆนั่นเองครับแต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก
    แต่ข้อดีก็คือ จะทำให้เข้าใจและเห็นความคิดต่างๆที่เป็นฝ่ายนามธรรมได้ง่ายนั่นเองครับ

    สติทางธรรมตรงนี้ต้องเคยเข้าถึงสมาธิระดับแยก
    กายกับจิตได้หรือระดับที่จิตออกจากกายได้จริงๆหรือออกไปแล้วเห็นกายตัวเองอีกกาย
    ถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่มีสติทางธรรมพอที่จะควบคุมจิต.ถ้ารู้ตัวก็จะมาเจริญสติในชีวิต
    ประจำวันต่อเพื่อที่จะควบคุมจิตให้ได้ขณะที่แยกกับกายเด็ดขาดถึงจะรู้ว่าตัวเอง
    มีกำลังสติทางธรรมมากน้อยเพียงใด กิริยาที่สติทางธรรมน้อยหรือไม่มีก็คือ
    จิตออกไปแบบควบคุมไม่ได้นั่นหละครับ แต่ส่วนมากจะเข้าใจผิดคิดว่า
    ตัวเองเก่งในเรื่องการถอดกายถอดจิตเป็นเหตุให้ขาดการเจริญสติและไม่พ้น
    สภาวะความคิด สติทางธรรมตัวนี้จะเป็นตัวที่คอยควบคุมพฤติกรรมของจิต
    ควบคุมความคิด เพื่อให้จิตคลายใจ ออกจากความคิดที่เกิดจากจิตตรงนี้(สมองส่วนหน้า)
    ความใจออกจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)ซึ่งถือว่า
    เป็นวิบากกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด การที่สามารถตามทำความเข้าใจ
    ขันธ์ ๕ นามธรรมนี้ได้ด้วยใจที่เป็นกลางให้รู้เห็นตามความเป็นจริงในสภาวะปัจจุบัน
    ทุกเรื่อง(ทางปฏิบัติเรียกวิปัสสนา) จนจิตยอมรับ เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ น่าเบื่อ
    เป็นสาเหตุของความทุกข์จิตถึงจะวางขันธ์ ๕ นามธรรมเรื่องนั้นๆ
    แต่ทางปฏิบัติต้องทำความเข้าใจทุกเรื่อง และกว่าที่จิตจะวางได้แต่ละเรื่อง
    ก็ต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จิตจะยอมรับและวางได้(เราเรียกว่าการใช้ปัญญาทางธรรม)และไม่ใช่
    ว่าจิตจะยอมวางง่ายๆนะในแต่ระเรื่อง บางครั้งมันต้องเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกบ่อยๆ
    ถึงจะเกิดปัญญาทางธรรมาวางได้..
    คนที่วางไม่ได้ เช่น บางเรื่องผ่านมา สิบ ยี่สิบ สามสิบปีแล้วยังเก็บมาคิด
    หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยที่ผ่านมาไม่นานก็เก็นมาปรุงแต่งมาคิด
    นั่นหละครับคืออาการจิตวางไม่ได้....แต่พอจิตวางได้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    จิตก็จะไม่เกิด(คือไม่ปรุงร่วม
    กับความคิดและไม่มีอารมย์ร่วมกับขันธ์ ๕ นามธรรมตัวนี้)
    จิตก็จะสงบและก็จะเข้าสู่
    สภาวะจิตว่างได้
    ว่างในที่นี้ไม่ใช่สงบแบบที่ใช้กำลังสมาธิแบบนักปฏิบัติทั่วๆไปเข้าถึง
    ว่างในที่นี้คือ ว่างจากเกิด ซึ่งจะส่งผลต่อกิริยาทางกายได้หลายแบบแม้ว่าในเวลาปกติ
    คนที่เริ่มสัมผัสกับความว่างอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจริงๆ แม้ว่าเพียงเสี้ยววินาที
    ความเข้าใจทางนามธรรมก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเป็นปกติ
    ตลอดจนเกิดเครื่องรู้ทางปัญญาต่างๆมากมายเพราะว่า
    จะมองเห็นได้ไกลกว่า ยกตัวอย่าง เห็นพระบางรูปที่มีฆารวาสถามไหมครับ
    ที่ท่านบรรยายได้ออกมาเป็นคำพูดได้มากมาย หรือพระบางท่านที่ธรรม
    บรรยายธรรมได้อย่างล้ำลึกพิศดาร ก็เพราะส่วนหนึ่งจิตท่านเข้าถึง
    สภาวะความว่างอย่างที่กล่าวมาแล้วได้จริงๆ..สังเกตุดีๆจะแตกต่างจาก
    การบรรยายของท่านที่ได้มาจากการศึกษาตำรา.ลองวิเคราะห์ดูเองได้ครับ
    หน้าที่เราในชีวิตประจำวันนะครับ
    นอกจากการเจริญสติการฝึกสมาธิหรือว่าเราจะฝึกกรรมฐานกองใดๆก็ตามทั้ง ๔๐ กอง
    หรือจะฝึกวิชาพิเศษ วิชาเฉพาะที่ได้จากครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิทั้งหลายนั้น ล้วนแล้ว
    แต่มีเป้าหมายเพื่อมุ้งเน้น.เอากำลังสมาธิที่ได้ตรงนี้จากการฝึก แล้วมาหนุนการวิปัสสนา
    อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเพื่อให้จิตคลายใจออกจากความคิด
    ออกจากขันธ์ ๕ นามธรรมทั้งสิ้น พวกเครื่องรู้ต่างๆ ความสามารถทางจิตต่างๆที่เราได้รับ
    จากการฝึกนั้น..เป็นเพียงสิ่งที่จะเกิดหรือมีขึ้นได้ตามแนวทางการปฏิบัติของตนเองได้เป็น
    ปกติธรรมดา..ไม่ว่าเราจะฝึกแบบไหน หรือ มีจริตมาแบบไหนๆก็ตาม เป้าหมายก็เพื่อหนุน
    การไป ลด ละ กิเลส ด้วยกันทั้งสิ้น

    ที่เค้าติดๆกันเพราะว่าไปติตตรงเครื่องรู้ต่างๆ ความสามารถทางจิตต่างๆที่เกิดระหว่าง
    การฝึกกรรมฐานๆกองต่างๆแล้วเผลอนำไปใช้ในทางที่ไม่ได้ส่งเสริมในการลดละกิเลส
    เลยเป็นเหตุให้ห่างไกล..เป้าหมายที่แท้จริง....
    การที่พี่แนะนำให้คุณน้องก็เหมือนกัน..เราแนะนำให้ตามจริตเฉพาะบุคคลเพื่อให้เดิน
    ทางตามแนวปฏิบัติ ณ เวลานี้ได้เท่านั้น..ความสามารถทำได้นอกเหนือความสามารถ
    ปกติวิสัยของมนุษย์ที่เกิดขึ้นนั้น..ก็เพื่อใช้ตรวจสอบแนวทางการปฏิบัติของตนเอง.
    ซึ่งถ้าปฏิบัติตามแนวใดๆก็ตาม ย่อมต้องสามารถพิสุจน์ได้และตรวจสอบได้ด้วยตนเอง
    เพื่อเป็นการยืนยันว่าเรายังอยู่ในเส้นทางเดิน ที่จะสามารถไปสู่ปลายทางได้เช่นกัน
    ส่วนใครที่จะใช้ความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นตรงนี้..ไปใช้เพื่อประโยชน์ใดๆก็ตาม
    ที่เป็นกุศลหรือเพื่อประโยชน์ทางธรรม ก็สุดแล้วแต่เค้า.เพราะแม้ความสามารถบางอย่าง
    ก็ต้องมีการสะสมบารมี สะสมประสบการณ์เพื่อที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เช่นเดียวกัน
    กับการทำตามเข้าใจขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์ทุกๆเรื่องที่ผุดขึ้นมา
    เพื่อให้รอบรู้เท่าทันในกองสังขารต่างๆ..โดยที่ไม่ลืมสิ่งหนึ่งคือ เพื่อหนุนให้ถึงปลาย
    ทางที่แท้จริงให้เร็วขึ้นนั้นเองครับ..

    จากนั้นพวกอริยมรรค ๘ ข้อต่างๆหลังจากที่ความเห็นชอบ
    ข้อแรกเปิดทางให้มันก็จะตามมาได้เองของมัน
    เป็นอัตโนมัติในการดำเนินชีวิต...ตลอดจนความเข้าใจได้ในเรื่อง
    ของอริยสัจ ๔ นั่นหละครับก็จะมาเอง หากไปเปิดเทียบเคียงดู
    จะพบว่าพฤติกรรมตลอดจนกิริยาของจิตเรามันจะเดินไปเองได้
    ตามตำราที่ได้กล่าวอ้างไว้ข้างบนแบบแยบยลในตัวเองครับ

    ปล.อ่านภาพรวมที่เขียนให้อาจยาวหน่อยให้ดีๆนะครับ จะเข้าใจอะไรๆพอสมควร
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เอ๊า!! ขออภัยมัวแต่ฝอยไปซะยาวลืมตอบประเด็นคำถาม๕๕๕
    ความรู้สึกตุ๊บๆ.เป็นกิริยาเริ่มแรกก่อนตาที่ ๓ เปิด
    ถ้าใครเคยเปิดได้แบบธรรมชาติมาก่อนมันจะไม่รู้สึกตรงนี้
    และของเราเปิดมานานแล้วแต่ไม่รู้ตัวไงครับคือมันข้ามจุดนี้มาแล้ว..
    .วิธีการดึงๆที่บอกเอาไว้ตรวจสอบการเปิดของตาที่ ๓ ได้
    มีอะไรให้ลองทำเล่นๆอีก แต่ยังไม่บอกกิริยานะ
    ลองใช้นิ้วชี้ทั้ง๒ มือนะวางตรงกันแต่อย่าชนกัน
    ตรงต่อแหน่งตาที่ ๓ นึกภาพคนเอาตาเราอีกลูก
    มาเสียบไว้ตรงจักระ ๖ นะ แล้วเรากำลังเขี่ยเปลือกตาอยู่
    แล้วลองแตะๆเบาๆ นิ้วชี้ซ้าย
    แตะๆเบาๆไปทางด้านซ้าย(คือเขี่ยเปลือกตาข้างหนึ่ง)
    นิ้วชี้ขวาแตะๆเบาๆไปทางด้านขวา(เขี่ยเปลือกตาอีกข้าง)
    พอรู้สึกสัมผัสอะไรได้ให้ค้างไว้ และวาดนิ้วทั้ง ๒ อ้อมศรีษะ
    ให้ไปชนกันทางศรีษะด้านหลังแล้วปล่อยดู สังเกตุกิริยาดูได้
    เค้าเรียกการฝึกขยายวงการมองเห็นของตาที่ ๓ เอาไว้ทำดูขำๆ.

    ส่วนกิริยาที่เกิดใต้ผิวตรงแก้มหรือบางจุดให้สังเกตุอย่างนี้นะครับ..
    ถ้าเหมือนมีอะไรเดินบนผิวเหมือนกับแมลงเดินคือรู้เลยว่าเป็นเท้าแมลง
    พวกนี้เป็นการทดสอบชนิดหนึ่งถ้าเจออย่างนี้แสดงว่ากำลังจะ
    เข้าสมาธิในระดับที่สงบและต่อยอดไต่ระดับได้ฌานได้...

    ส่วนอีกกรณีถ้าเจอกรณีใต้ผิวหนัง แล้วมีกิริยาแป๊บๆ จี๊ดๆคล้ายๆมัน
    เลือยได้คล้ายงู หรือแป๊บๆว๊าบเป็นวงๆ จุดๆ.และเลือยไม่ตรงและก็มาหยุดๆเอาดื้อๆ.
    พอหยุดแล้วจะเป็นตึงๆหนักๆออกแน่นเล็กน้อย..
    .พวกนี้เป็นกิริยาที่ร่างกายสามารถปรับธาตุ
    เพื่อซ่อมแซมส่วนที่ธาตุร่างกายบกพร่องได้.

    ซึ่งพวกนี้เป็นผลมาจากพลังงานภายนอกที่เข้ามาเองแบบเราอาจไม่รู้ตัว
    ถ้ากิริยาอย่างนี้เค้าจะเรียกธาตุทองทำงานครับ
    นักปฏิบัตบางคนที่เค้านั่งสมาธิมานานๆที่อยู่ดีๆโรคภัยต่างๆที่เป็น
    มันหายเองได้อย่างน่าอัศจรรย์หรือเคยเป็นโรคบางอย่างมาก่อน
    พอมาฝึกสมาธิแล้วตรวจไม่พบนั่นหละครับ...

    .ซึ่งธาตุทองนี้เป็นพลังงานที่มีอยู่ภายนอกเป็นพลังงาน
    บางอย่างที่จะมีได้สำหรับผู้ปฏิบัติบางคน..หรือบางคนถ้าเคยไปเป่าทองมา
    หรือได้รับการเป่าทองคำดำผ่านอากาศหรือเป่าทองคำทิพย์ผ่านอากาศ
    มาก็สามารถมีได้ครับ..เวลาที่ธาตุทองพวกนี้กำลังรักษา(ปรับธาตุ)เค้าจะ
    วิ่งๆไปได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย.และจะไม่ไปไหนต่อจนกว่าจะรักษา
    ตรงต่ำแหน่งนั้นแล้วเสร็จ.เราจึงรู้สึกตึงๆหนักๆหน่อยนั่นหละครับ..

    ปล.ลองอ่านๆดูว่าเป็นประมาณที่เล่าให้ฟังไหม พอจะเข้าใจเหตุแล้วเนาะ.
    .
     
  10. Raibliss

    Raibliss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +112
    พอเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ แต่สงสัยอย่างนึงว่าทำไมตาที่3มันเปิดเองตามธรรมชาติ หรือว่าไปทำอะไรที่ไปกระตุ้นมันโดยไม่รู้ตัว แล้วบางคนที่เปิดเองแต่มีอาการตุ๊บๆก็มีได้ใช่ไหมคะ สงสัยว่าต่างกันอย่างไรค่ะ ขอบคุณคุณพี่nopphakanมากนะคะที่ช่วยเข็นออกมาจากถ้ำ เหมือนอยู่ในถ้ำเลยค่ะ555 ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้คุณnopphakanมาอธิบายอะไรหลายๆอย่าง รวมทั้งในบอร์ดอื่นๆด้วยทำให้เข้าใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบพระคุณจิงๆค่ะ:z2
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เด่วจะเล่าเป็นนิทานเรื่องสมมุติเปรียบเทียบให้ฟังนะครับ..๕๕๕ ขำไว้รอล่วงหน้า
    นาย A ไม่เคยฝึกสมาธิเลยแล้วจู่ๆก็ดันเห็นผีได้ และมาฝึกสมาธิเพิ่ม
    เติมก็ยังเห็นผีได้อีกแต่เห็นแต่ระดับเดิมๆ
    นาย C เกิดมาไม่เคยเห็นผีเลย..พอมาฝึกสมาธิถึงจะเริ่่มเห็นผีได้..
    แต่ไม่ได้เป็นเครื่องประกันได้ว่าทั้งนาย A และ นาย C เป็นคนเก่ง
    และดีนะครับ อ่านดูได้ข้อคิดอะไรบ้าง.
    .


    สมมุตินะว่านาย A นอกจากจะมีนิสัยขี้อิจฉา
    ฉลาดน้อยมากแล้วดันชอบเจือกอวดฉลาด.แถมทำตัวชั่วๆ
    แต่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันดี.
    นิสัยแบบนาย A ส่วนมากจะรักษาศีล ๕ ไม่ได้ด้วย
    นาย A จะเห็นอย่างมากระดับผีมีฤิทธิ์หลอกเอาว่าเป็นเทพโน้น เทพนี้
    และมีความชำนาญมากในการเห็นผีระดับวิญญานเร่ร่อนต้องการบุญ
    แล้วไปจับไปขังเค้ามาเอาไว้เพื่อใช้งานสนองกิเลสตน

    .คบค้าสมาคมพวกกุมารทองแบบวิญญานเร่ร่อนแบบบังคับเค้ามา
    แถมยังฝึกกสิณได้บางกองแต่ดันว่าคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก
    ทั้งๆที่ความสามารถที่ตนเองทำใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเกิดผล
    ส่วนคนที่เค้าฝึกได้จริงๆใช้เวลาไม่เกินสองนาทีอย่างมาก..กรณีนี้
    คือตาที่ ๓ เค้าเปิดเองแต่สังเกตุนะครับ..ว่าเห็นได้ในระดับไหน.
    และจะไม่รู้ตัวด้วยครับ.ไม่ทันพวกวิญญานมีฤิทธิ์มันหลอกเอา
    สังเกตุจากลักษณะนิสัยที่เล่าให้ฟังนะน่าจะเดาได้ไม่ยาก
    การเห็นระดับไหนได้เป็นเครื่องชี้วัดระดับจิตเราได้ด้วยครับ.
    แต่พวกแบบนาย A มักจะคิดว่าตัวเก่งและรู้ไปทุกเรื่อง
    แต่พอให้มาเขียนมาบรรยายเขียนไม่เป็นแต่เรื่องติ
    เรื่องวิจารณ์คน เรื่องขี้โม้ ทับถมเนี่ยระดับโลก
    พวกแบบนี้ถ้ารวมนิสัยกับสิ่งที่เห็นได้แล้วเค้าเรียกว่า
    พวกตามาร หรือ ตาปีศาจ ต่อท้ายด้วยสมญานามว่า สันดานจรเข้น้อยครับ..


    ส่วนนาย C เริ่มเห็นผีได้ตอนที่ฝึกสมาธิ เป็นธรรมดาที่จะต้อง
    สัมผัสกิริยาต่างๆที่จะเดินไปสู่ตาที่ ๓ ได้เป็นปกติ.และก็ขึ้นอยู่กับ
    ว่านาย C จะทำตัวอย่างไร ถ้านาย C รู้จักอุทิศส่วนกุศล มีความอ่อน
    น้อมถ่อมตน รู้จักมารยาททางสังคม มีเมตตา ไม่มีนิสัยยกตนข่มท่าน
    มีความมั่นคงในศีล ฝึกสมาธิต่อเนื่อง..การที่นาย C จะพัฒนาความ
    สามารถในการเห็นของตาที่ ๓ ก็จะสูงกว่านาย A แน่นอนในอนาคตครับ
    และสิ่งที่เห็นได้อีกอย่างที่แตกต่างกันคือ สามัญสำนึกพื้นฐานครับ



    พวกนี้นะจิตเดิมมันเคยทำอะไรได้มาก่อน.พอเข้าถึงช่วงอารมย์ได้
    ไม่ว่าจะตั้งใจคือรู้ตัวหรือว่าไม่ตั้งใจคือไม่รู้ตัว.
    มันก็เกิดกิริยาทางจิตได้ของมันเองปกติ..
    บางคนเค้าสะสมบารมีมาดี สามารถเข้าถึงได้ในกำลังสมาธิไม่สูง
    หรือว่าฝึกแล้วสัมผัสได้เร็ว เข้าถึงได้เร็ว ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ
    ที่ยกเปรียบเทียบนิทานสมมุติลักษณะนิสัยนาย A นาย C ให้ฟัง
    ส่วนทั่วๆไปถ้าเป็นเรื่องกำลังจิตในระดับที่เพียงพอสำหรับภูมิป้องกัน
    ตัวเองจากพลังงานภายนอกต่างๆ และใช้งานได้จริง สัมผัสได้จริงๆนั้น
    ยังไงก็ต้องมาฝึกเองครับ..วัดกันที่อิทธิบาท ๔ นั่นหละครับ..

    ปล. พอจะเข้าใจมากขึ้นหรือยังครับ.คุณน้อง..
    ..
     
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็อปเขามา..

    ๑. ปฐวีกสิณ
    ปฐวี แปลว่าดิน ดินที่จะเอามาทำเป็นดวงกสิณนั้น ท่านให้ใช้ดินสีอรุณอย่างเดียว ห้ามเอาดินสีอื่นมาปน ถ้าจำเป็นหาดินสีอรุณไม่ได้มาก ท่านให้เอาดินสีอื่นรองไว้ข้างล่างแล้วเอาดินสีอรุณทาทับไว้ข้างบน ดินสีอรุณนี้ ท่านโบราณาจารย์ท่านว่าหาได้จากดินขุยปุย เพราะปูขุดเอาดินสีอรุณขึ้นไว้ปากช่องรูที่อาศัย เมื่อหาดินได้ครบแล้ว ต้องทำสะดึงตามขนาดดังนี้ ถ้าทำเป็นลายติดพื้นดิน ก็มีขนาดเท่ากัน
    ขนาดดวงกสิณ วงกสิณที่ทำเป็นวงกลมสำหรับเพ่ง อย่างใหญ่ท่านให้ทำไม่เกินเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ คืบ ๔ นิ้ว อย่างเล็กไม่เล็กกว่าขอบขัน ระยะนั่งเพ่งบริกรรม ท่านให้นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลกว่า ๒ คืบ ๔ นิ้ว ตั่งที่รองวงกสิณ ท่านให้สูงไม่เกิน ๒ คืบ ๔นิ้ว ท่านว่าเป็นระยะที่พอเหมาะพอดี เพราะจะได้ไม่มองเห็นรอยที่ปรากฏบนดวงกสิณ ที่ท่านจัดว่าเป็นกสิณโทษ เวลาเพ่งกำหนดจดจำ ท่านให้มุ่งจำแต่สีดิน ท่านไม่ให้คำนึงถึงของและริ้วรอยต่าง ๆ จนเกิดอุคคหนิมิต
    "อุคคหนิมิต " แปลว่านิมิตติดตา อุคคหนิมิตนี้ ท่านว่ายังมีกสิณโทษอยู่มาก คือภาพที่เห็นเป็นภาพดินตามที่ทำไว้และขอบวงกลมของสะดึงย่อมปรากฏริ้วรอยต่างๆ เมื่อเข้าถึงอุคคหนิมิตแล้วท่านให้เร่งระมัดระวังรักษาอารมณ์สมาธิและนิมิตนั้นไว้ จนกว่าจะได้ปฏิภาคนิมิต ปฏิภาคนิมิตนั้น รูปและสีของกสิณเปลี่ยนจากเดิม คือกสิณทำเป็นวงกลมด้วยดินแดงนั้น จะกลายเป็นเสมือนแว่นแก้ว มีสีใสสะอาดผ่องใสคล้ายน้ำที่กลิ้งอยู่ในใบบัวฉะนั้น รูปนั้นบางท่านกล่าวว่า คล้ายดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกปิดบัง เอากันง่ายๆ ก็คือ เหมือนแก้วที่สะอาดนั่นเอง รูปคล้ายแว่นแก้ว จะกำหนดจิตให้เล็กโตสูงต่ำ ได้ตามความประสงค์ อย่างนี้ ท่านเรียกปฏิภาคนิมิต เมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วท่านให้นักปฏิบัติเก็บตัว อย่ามั่วสุมกับนักคุยทั้งหลาย จงรักษาอารมณ์กายใจให้อยู่ในขอบเขตของสมาธิเป็นอันดี อย่าใส่ใจอารมณ์ของนิวรณ์แม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะแม้นิดเดียวของนิวรณ์ อาจทำอารมณ์สมาธิที่กำลังจะเข้าสู่ระดับฌานนี้สลายตัวได้โดยฉับพลัน ขอท่านนักปฏิบัติจงระมัดระวังอารมณ์ รักษาปฏิภาคนิมิตไว้ คล้ายกับระมัดระวัง บุตรสุดที่รัก ที่เกิดในวันนั้น

    ๒. อาโปกสิณ
    อาโปกสิณ "อาโป" แปลว่า "น้ำ" กสิณแปลว่า "เพ่ง" อาโปกสิณแปลว่า "เพ่งน้ำ" กสิณน้ำมีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ท่านให้เอาน้ำที่สะอาด ถ้าได้น้ำฝนยิ่งดี ถ้าหาน้ำฝนไม่ได้ท่านให้เอาน้ำที่ใส แกว่งสารส้มก็ได้ อย่าเอาน้ำขุ่น หรือสีต่างๆมา ท่านให้ใส่น้ำในภาชนะเท่าที่จะหาได้ ใส่ให้เต็มพอดี อย่าให้พร่อง การนั่ง หรือเพ่งมีอาการอย่างเดียวกับปฐวีกสิณจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต อุคคหนิมิตของอาโปกสิณนี้ปรากฏเหมือนน้ำไหวกระเพื่อม สำหรับปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนพัดใบตาลแก้วมณี คือใสมีประกายระยิบระยับ เมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วจงเจริญต่อไปให้ถึงจตุตถฌาน บทภาวนา ภาวนาว่า อาโปกสิณัง

    ๓. เตโชกสิณ
    เตโชกสิณ แปลว่า "ไฟ" กสิณ "เพ่งไฟ" เป็นอารมณ์ กสิณนี้ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้จุดไฟให้ไฟลุกโชนแล้วเอาเสื่อหรือหนังมาเจาะทำเป็นช่องกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้ว แล้ววางเสื่อหรือหนังนั้นไว้ข้างหน้า ให้เพ่งพิจารณาไปตามช่องนั้น การนั่งสูง หรือระยะไกลใกล้ เหมือนกันกับปฐวีกสิณ การเพ่ง อย่าเพ่งเปลวไฟที่ไหวไปมา ให้เลือกเพ่งแต่ไฟที่มีแสงหนาทึบที่ปรากฎตามช่องนั้นเป็นอารมณ์ ภาวนาว่า เตโชกสิณัง ๆ ๆ ๆ ๆ หลายๆ ร้อยพันครั้งจนกว่านิมิตจะเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเป็นดวงเพลิงตามปกติ สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นมีรูปคล้ายผ้าแดงผืนหนา หรือคล้ายกับพัดใบตาลที่ทำด้วยทองหรือเสาทองคำที่ตั้งอยู่ในอากาศ เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วท่านจงพยายามทำให้ถึงจตุตถฌานเถิด ผลที่ตั้งใจไว้จะได้รับสมความปรารถนา

    ๔. วาโยกสิณ
    วาโยกสิณ แปลว่า "เพ่งลม" การถือเอาลมเป็นนิมิตนั้น ท่านกล่าวว่าจะถือเอาด้วยการเห็น หรือจะถือเอาด้วยการกระทบก็ได้ การกำหนดถือเอาด้วยการเห็น ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดถูกต้องปลายหญ้าหรือปลายไม้เป็นอารมณ์เพ่งพิจารณา
    การถือด้วยการถูกต้อง ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดมากระทบตัวเป็นอารมณ์ สมัยนี้ การถือเอาลมกระทบ จะให้พัดลมเป่าแทนลมพัด หรือถือเอาการเห็นต้นหญ้าต้นไม้ที่ไหวเพราะลมพัด จะใช้ลมเป่าให้ไหวแทนลมธรรมชาติก็ได้ เมื่อเพ่งพิจารณาอยู่ให้ภาวนาว่า วาโยกสิณัง ๆ ๆ ๆ
    อุคคหนิมิตของวาโยกสิณนี้ ปรากฏว่ามีการไหว ๆ คล้ายกับกระไอแห่งการหุงต้มที่มีไอปรากฏมากระทบจักษุ พูดให้ชัดเข้าก็คือ มีปรากฏการณ์คล้ายตามองเห็นไอน้ำที่ต้มเดือดแล้วนั้นเอง มีอาการปรากฎขึ้นอย่างนั้น
    สำหรับปฏิภาคนิมิต มีอาการปรากฏภาพเหมือนไอน้ำที่ลอยขึ้น แต่ไม่เคลื่อนไหวหรือคล้ายกับก้อนเมฆบางที่ลอยอยู่คงที่นั้นเอง อาการอื่นนอกนี้เหมือนปฐวีกสิณ

    ๕. นิลกสิณ
    นิลกสิณ แปลว่า "เพ่งสีเขียว" ท่านให้ทำสะดึงขึงด้วยผ้าหรือหนังกระดาษก็ได้แล้วเอาสีเขียวทา หรือจะเพ่งพิจารณาสีเขียวจากใบไม้ก็ได้ ทำเช่นเดียวกับปฐวีกสิณ
    อุคคหนิมิต เมื่อเพ่งภาวนาว่า นีลกสิณัง ๆ ๆ ๆ อุคคหนิมิตนั้นปรากฏเป็นรูปที่เพ่งนั่นเอง

    ๖. ปีตกสิณ
    ปีตกสิณ แปลว่า "เพ่งสีเหลือง" การปฏิบัติทุกอย่างเหมือนนีลกสิณ แต่อุคคหนิมิตเป็นสีเหลือง ปฏิภาคนิมิตเหมือนนีลกสิณ นอกนั้นเหมือนกันหมด บทภาวนา ภาวนาว่าเป็นปีตกสิณัง ๆ ๆ

    ๗. โลหิตกสิณ
    โลหิตกสิณ แปลว่า ไเพ่งสีแดง" บทภาวนา ภาวนาว่าโลหิตกสิณัง ๆ ๆ ๆ นิมิตที่จัดหามาเพ่ง จะเพ่งดอกไม้สีแดงหรือ เอาสีแดงมาทาทับกับสะดึงก็ได้ อุคคหนิมิตเป็นสีแดง ปฏิภาคนิมิตเหมือนนีลกสิณ

    ๘. โอทาตกสิณ
    โอทาตะกสิณ แปลว่า "เพ่งสีขาว" บทภาวนา ภาวนาว่า โอทาตกสิณัง ๆ ๆ ๆ สีขาวที่จะเอามาเพ่งนั้น จะหาจากดอกไม้หรืออย่างอื่นก็ได้ ตามแต่จะสะดวก หรือจะทำเป็นสะดึงก็ได้นิมิต ทั้งอุคคหะและปฏิภาคก็เหมือนนีลกสิณ เว้นไว้แต่อุคคหะเป็นสีขาวเท่านั้นเอง

    ๙. อาโลกสิณ
    อาโลกสิณ แปลว่า "เพ่งแสงสว่าง" ท่านให้หาแสงสว่างที่ลอดมาตามช่องฝาหรือช่องหลังคา หรือเจาะเสื่อลำแพน หรือหนังให้เป็นช่องเท่า ๑ คืบ ๔ นิ้ว ตามที่กล่าวในปฐวีกสิณ แล้วภาวนาว่า อาโลกสิณัง ๆ ๆ ๆอย่างนี้ จนอุคคหนิมิตปรากฏ อุคคหนิมิตของอาโลกสิณเป็นเสงสว่าง ที่เหมือนรูปเดิมที่เพ่งอยู่ ปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเป็นเสงสว่างหนาทึบ เหมือนกับเอาแสงสว่างมากองรวมกันไว้ที่นั่นแล้ว ต่อไปขอให้นักปฏิบัติ จงพยายามทำให้เข้าถึงจคคุถฌาน เพราะข้อความที่จะกล่าวต่อไปก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในปฐวีกสิณ

    ๑๐. อากาศกสิณ
    อากาสกสิณแปลว่า "เพ่งอากาศ" อากาสกสิณนี้ ภาวนาว่า อากาสกสิณัง ๆ ๆ ท่านให้ทำเหมือนในอาโลกกสิณคือ เจาะช่องฝาเสื่อหรือหนัง หรือ มองอากาศ คือความว่างเปล่าที่ลอดมาตามช่องฝา หรือหลังคา หรือตามช่องเสื่อหรือผืนหนัง โดยกำหนดว่า อากาศ ๆ จนเกิดอุคคหนิมิต ซึ่งปรากฏเป็นช่องตามรูปที่กำหนด ปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏคล้ายอุคคหนิมิต แต่มีพิเศษที่บังคับให้ขยายออกให้ใหญ่เล็ก สูงต่ำได้ตามความประสงค์ อธิบายอื่นก็เหมือนกสิณอื่น
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอบคุณครับคุณ ปุณฑ์ ที่ยกตำรามาให้อ่านเพิ่มเติม
    ว่าแต่คุณ ปุณฑ์ ไม่ฝึกจริงๆจังลองดูบ้างหรือครับ
    จิตมันให้อยู่นะครับ.แถมฝึกแล้วจะได้เปรียบคนอื่นๆ
    ตรงเข้าสมาธิระดับสูงได้ดีกว่าคนทั่วๆไปด้วย
    หรือว่ายังไม่สดวกครับช่วงนี้ เน้นด้านอื่นๆอยู่หรือเปล่า..
     
  14. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ฤทธิ์ฝึกยาก - -'
    ที่สังเกตนะ
    ในฝันจะเหาะได้ตลอด มีใครมาพาไปเที่ยวบ้าง เป็นสมาธิของเขายังไม่ใช่ของเราจ๊ะ
    แต่ก่อน(วัยรุ่น)ทำฌานได้เสมอ
    หนึ่งชัวโมงต้องได้ปฐมฌานแต่ไม่เคยไปไหน มีแต่พิจารณาธรรม

    หลังๆทิ้งไปนาน
    แบบที่เป็นสมถะ จะเป็นแนวแสงสว่างค่ะ
    ตอนนี้ แค่พอจิตสงบ จะมีแสงแดงเรืองๆใต้หลังตาก่อน แล้วบางทีก็จะไปสู่ความสว่างทีหลัง

    แนะนำได้ค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    .ขออนุญาตแนะนำเลยแล้วกันครับ
    .สีแดงถ้าเคยเห็นแบบวงกลม
    เท่าหัวเข็มหมุดหรือหัวไม้ขีดได้ แบบสว่างในตัว พอหันไป
    มองแล้วหาย แสดงว่าสะสมบารมีมาทางฤิทธิ์ครับ.
    แต่ถ้าแสงออกสีส้มแต่สว่างจร้าและไม่เย็นเห็นในช่วง
    จิตเป็นทิพย์ยังเป็นปิติอย่างหนึ่งอยู่ครับ..
    ให้ฝึกกสิณด้วยการมองภาพพระแบบลืมตาครับ
    ควบกับสวดคาถาสายหลวงสายบุญฤิทธิ์ครับ(น่าจะพอทราบ)
    จะช่วยส่งเสริมกันได้ดี.หลักสังเกตุที่เริ่มได้ผลคือ
    จะมีแสงสว่างส่องมารอบตัวเราในขณะที่ลืมตามอง
    ภาพพระ.ส่วนคาถาจะได้ผลคือ ขณะสวดมนต์
    จะมีไอหรือควันลอยออกจากตัวหรือจากมือเรา
    มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าครับ
    ..
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ไม่ได้นั่งสมาธิภาวนาตามแบบแผนมาเกือบปีเลยไม่มีประสบการณ์แปลกๆมาเล่า
    ช่วงนี้ก็เหลือแค่ปิตินิดๆหน่อยๆ คุณnopphakan พอจะมีคำแนะนำไหมครับ
     
  17. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    กสิณสีทุกสีฝึกง่าย ติดตาได้ง่าย
    เว้นกสิณสีขาวฝึกยากที่สุด
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    อ่านจากที่คุณ Nopphakan บรรยายมา ก็รู้ได้ว่าคุณ Nopphakan ทำได้มานานหลายปีแล้ว และยังย้อนกลับไปทบทวนสิ่งที่ทำได้มาแล้วจนละเอียดทุกขั้นตอน เป็นที่น่าสรรเสริญและยินดีด้วยครับ...
    ส่วนตัวผมต้องระงับการฝึกไปตั้งแต่11ขวบเมื่อได้เห็นสิ่งชั่วในดวงใจ คาดว่าแก่ๆตัวไปแล้วหมดแรงจะคิดชั่วพูดชั่วแล้ว อาจจะลองฝึกดูบ้าง...เนื่องจากครูบาอาจารย์ท่านก็ห้ามเอาไว้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นเหตุให้คนตายอีกเป็นจำนวนมาก จึงต้องหันไปฝึกในส่วนอื่นๆไปก่อน...
    วิชาหนึ่งที่อยากรู้และคงถามเอาจากครูบาอาจารย์ทางภพภูมิไม่ได้ คือ วิชาจักระ ซึ่งคาดว่าคุณ Nopphakan ศึกษาและใช้งานอยู่ ถ้ามีกระทู้ที่เคยเขียนไว้แล้วก็ขอให้ช่วย Link ให้ด้วยนะครับ...
    ที่ผมจะต้องศึกษาเอาไว้เพราะคาดว่าน่าจะมีพื้นฐานมาจากวิชาปราณ ซึ่งผมจะเอาไว้ใช้สำหรับปรับธาตุบางอย่างครับ...
    ขอบคุณครับ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ของคุณฝึกแบบไหนก็ได้นะคับ ไม่มีสีเทาปนๆในจิตด้วย คิดว่าพอจะเห็นตัวอย่างคน ที่จิตมีสีเทาๆปนมาแล้วนะครับ
    .ในบางกระทู้. พวกปิติเราต้องข้ามไปครับ แต่จะข้ามไปได้
    ตอนที่มันจะเริ่มไต่ระดับฌานต้องหาหลักธรรมมาพิจารณาร่วม
    ให้ความคิดที่มันจะผุดขึ้นมาวางลงให้ได้ก่อน
    และรักษาอารมย์ไว้ พอเราเผลอๆแต่ไม่หลับ
    เด่วมันจะก้าวหน้าไปของมันได้เองแบบพรวดพราดแล้วต่อไปจะเข้าใจกิริยาต่างๆ
    ที่ไปตอบผมอีกกระทู้ได้เองครับ
    ส่วนจะต่อทางไหนจริงๆมาคุยกันต่อได้ครับ
     
  20. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ขอบคุณครับ
    ตามคำถามที่คุณ nopphakan ตั้ง คงต้องไล่ตามปฏิจจสมุปบาท ช่วงนี้นั่งไล่ดูไม่ไหว ไม่ได้ฝึกแบบเคร่งเหมือนเมื่อช่วงสองสามปีที่แล้ว ที่มีเรื่องให้คุยฟุ้งได้ตลอด
    ช่วงนี้ได้เข้ามาอ่านเห็นคุณ nop. ตอบคำถามได้กระจ่างเย็นขึ้น อนุโมทนาครับ
    ปล.ผมเองก็คงมาแนวเดียวกับพี่ ป.ปุณฑ์นะครับ พวกเหาะ เดินบนน้ำ สั่งลมฝน ในฝันทั้งนั้น
    ของที่เห็นได้ก็ผ่านมานานแล้ว เอาเป็นสาระอะไรไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...