กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขอบคุณครับ คุณ raming2555 ที่ให้ความสนใจครับ
    และถูกครับที่ว่าทุกวันนี้ผมใช้งานอยู่และใช้เป็นปกติ
    เนื่องจากได้ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิท่านมาแนะเทคนิคให้
    .และการถามกระทุ้ก่อนหน้านั่นก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
    ความรู้..ส่วนตัวผมก็จะได้อธิบายเพิ่มเติมต่อในส่วนที่พอจะอธิบายครับ.
    เพื่อว่าจะได้รับข้อแนะนำจากคุณ raming2555 ด้วยส่วนตัวพอจะรู้ตัว
    ครับว่าเรื่องตบะหรือความเพียร ตลอดจนความชำนาญในการเข้าสมาธิ
    ระดับสูง คงไม่ได้ครึ่งคุณพี่ raming2555 แน่นอน.
    ส่วน link เกี่ยวกับจักระที่เคยเขียนไว้ตามข้างล่างครับ..

    อาการแบบนี้คืออะไร อันตรายหรือเปล่าคะ - หน้า 2 - PaLungJit.org
    http://palungjit.org/threads/อาการแบบนี้คืออะไร-อันตรายหรือเปล่าคะ.531240/page-2
    ประเด็นหลักของมันจริงๆตรงเรื่องจักระมี ๒ ทางคือ ๑.การพัฒนาต่อยอด
    เข้าสู่สมาธิระดับสูงเพื่อนำกำลังสมาธิที่ได้นี้เพื่อการวิปัสนาลดละกิเลส
    ส่วนประเด็นที่ ๒.คือการจัดการพลังงานต่างๆที่เป็นผลมาจากการเปิดจักระ
    จุดต่างๆในร่างกาย ซึ่งมันเปิดได้ที่เท้า ที่มี และทุกส่วนได้.โดยจัดการ
    พวกคลื่นความถี่ต่างๆพวกนี้.ให้มาอยู่ในรูปสนามแม่เหล็กตามแนวแกนกระดูก
    สันหลังครับถึงจะปลอดภัยกับสภาพร่างกายของผู้ฝึกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตครับ
    ส่วนคำถามเด่วไปตอบให้ครับ.
    .
     
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ในฝันทั้งนั้น catt3

    ของเจ๊มีเห็นแบบกลางวันด้วยนะ ภาพพระนี่แหละ สว่างไสวไปหมด เห็นเพราะหลวงปู่ดู่กระมัง ไม่ได้เห็นเอง :p
    เห็นเองได้เมื่อไหร่ ฌานสี่แหงม..
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็ต้องลองดูจ๊ะ..
    ขอบคุณมากค่ะ ดูจิตให้บ้างซิจ๊ะ คุณนพกานต์ :cool:
     
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    หาเรื่องให้โม้จนได้ กลางวันเห็นกะตายังไม่เคยครับ แต่มโนเอาได้ก็ตอนใช้คำบริกรรมติดตาย่อขยาย ผุดกลางอากาศนี่พอไหว
    ดวงแก้วนี่ก็คงคืนไปแล้วตั้งแต่ ม.ปลาย ดวงจันทร์คืนไปสามสี่ปีที่แล้ว
    ตอนนี้มีแต่ตัวหิ้วไปหิ้วมา พินายังไงมันก็ไม่ลง เลยเข้ามาคุยกับคุณ nop.เผื่อมีคำแนะนำดีดี
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    บางข้อผมขอเสริมความเห็นส่วนตัวเข้าไปด้วยนะครับ..ผิดถูกขออภัยมา
    ณ ที่นี้ด้วยครับ..
    1.วิชากสิณในทางพุทธ กับการฝึกตบะของฤษี แตกต่างกันอย่างไร
    ตอบ ส่วนตัวมองว่าไม่ได้แตกต่างกันครับ ณ ตรงนี้และไม่ได้แยกด้วยครับ
    ว่าเป็นทางพุทธหรือตบะของฤษี โดยให้ความเคารพทั้งคู่ เพียงแต่ทางพุทธ
    ผมสังเกตุจากท่านที่เป็นพระมาสอนทางภพภูมินะครับ ท่านจะให้เน้นฝึกกสิณแล้ว
    ดึงให้ไปอยู่ในโหมดที่เน้นวิปัสสนาเป็นส่วนมาก
    คือเน้นเรื่องกิเลสเป็นหลัก และเน้นถึงกิเลสละเอียดด้วยครับ..
    ..ส่วนท่านพระมหาฤษีนั้น
    ท่านจะเน้นไปเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคคอลเทอมต่างๆเพื่อการใช้พลังงานได้จริง
    เช่น การฝึกรวม ฝึกการหนุน ฝีกการเพิ่มกำลัง ฝึกการดึง ฝึกการส่ง
    ประมาณนี้ครับ...

    2.ลักษณะของเม็ดกลมๆเหมือนไข่ปลาหรือหวอดที่ปลาทำเป็นฟองกลมๆใช้วางไข่
    เรียงกลุ่มกันจำนวนหลายเม็ดปรากฎใสเป็นเม็ดเหมือนแก้วเล็กๆนั้น
    เกิดจากอะไรและมีความหมายอย่างไร
    ฝึกต่อไปจะนำไปใช้อะไรได้บ้างครับ

    ตอบ เกิดจากอะไรตรงนี้เหนือวิสัยที่จะตอบได้ครับ..แต่ทราบว่ามันเป็นปฏิภาค
    นิมิตรครับตรงนี้ ซึ่งถ้าเราไปค้างอยู่ตรงนั้นเลยจะไม่ผลอะไรในเรื่องของความ
    สามารถนำพลังงานมาใช้งานได้จริงครับเพราะว่าจะสร้างกำลังจิตไม่ได้.
    และถ้าไปเล่นการอฐิษฐานจิตก่อนแม้ว่าจะเกิดผลได้จริง
    แต่การนำมาใช้งานในชีวิตปกติจะทำได้ยากสำหรับความคิดผมนะครับ
    ยกเว้นพระที่ท่านชำนาญจริงๆส่วนตัวเคยพบครับ
    ...พอถึงตรงจุดนี้ได้ให้ลดกำลังสมาธิลงมา
    อีกเล็กน้อยจะเข้าสู่โหมดที่จะสามารถปั่นปฏิภาคนิมิตรตรงนี้ ซึ่งพอทำตรง
    นี้ได้แล้ว..มันจะมีกำลังจิตเพียงพอที่จะไปรวมอุคหนิมิตรกสิณกองต่างๆได้
    ซึ่งต่อไปถ้ารวมอุคคนิมิตรกองต่างๆได้แล้ว.ซึ่งจะต้องตั้งต้นให้ได้ก่อนทีละ
    กองนะครับ.จนกระทั่งรวมกองต่างๆได้(มันจะมีเครื่องทดสอบเพื่อให้เรา
    ฝึกรวมอุคคนิมิตรกองต่างๆเพื่อให้ผ่านด่านนั้นให้ได้)..ถ้าผ่านตรงนี้ได้
    ต่อไปพอลืมตาจะเรียกพลังงานกสิณทุกกองที่เราเคยรวมไว้ได้ตรงที่กล่าว
    มาแล้วข้างต้น ให้สามารถขึ้นมาได้ก่อนเป็นพื้นฐานบนฝ่ามือทั้ง ๒ ข้างครับ
    ซึ่งตรงจุดนี้จะสามารถสัมผัสได้หรือคนอื่นๆก็จะสัมผัสได้เช่นกัน...
    แล้วจากนั้นค่อยมาฝึกรวม ฝึกสลับ ฝึกดึง ฝึกขยาย และก็ฝึกหนุนและส่งครับ

    3.กสิณสีทั้ง4สี ถ้าจะเพิ่มกสิณสีน้ำเงิน สีดำ เข้าไปในการฝึกด้วยผลของมันจะเป็นอย่างไร
    ตอบ ไม่เคยรวมกสิณสีน้ำเงินและสีดำเลยครับ ยังไม่เคยทำครับ.
    พึ่งได้ยินนี่หละครับว่ามีกสิณสีน้ำเงินและสีดำด้วยครับ
    เลยตอบไม่ได้ครับ..ส่วนตัวพวกกสิณ ๔ สีมีแต่เรียกพลังงานขึ้นมาดู
    ความแตกต่างของพลังงานครับ.ปกติแทบไม่ได้ใช้งาน.
    รู้แต่ว่ามันใช้งานได้สำหรับในกรณีที่ใช้พลางตัวได้ครับ..

    4.ถ้ายกกสิณขึ้นทั้ง10กองเป็นอุคหนิมิตพร้อมกันเมื่อเดินฌาณไป
    แล้วจนสุดเป็นแก้วใสเป็นประกายได้แล้ว ทรงอารมณ์ไว้เป็นปกติ
    อย่างนั้นแล้ว ต้องทำอย่างไรต่อเพื่อให้สามารถใช้งานได้
    พร้อมกันทั้งหมดโดยไม่ต้องเสียเวลาเลือกกองกสิณ คือทำให้เป็นองค์รวมเพียงองค์เดียว

    ตอบ รวมแค่กสิณสี หรือแยกรวม ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็พอครับ.
    การใช้งานเน้น ๒ ด้านนะครับคือ ๑ ด้านการอฐิษฐานจิต
    ๒.ด้านพลังงาน..
    และถ้าไปถึงประกายใสจะเป็นอย่างที่ผมตอบในข้อ ๒ ถ้าไปเน้น
    ทางด้านการอฐิษฐานนะครับ เช่น ขอให้เกิดเป็นฝนตกลงมาข้างตัวข้าพเจ้า
    (ซึ่งตรงนี้ต้องวางอารมย์ไว้ก่อนระหว่างวันไม่งั้นมันจะนึกอะไรไม่ออกครับ)
    พอกำลังอฐิษฐานจิตจะตกมาช่วงสร้างกำลังจิตให้ปั่นนิมิตรแล้วจิตจะกลับ
    เข้าปฏิภาคอีกครั้ง และจิตก็จะตกมาช่วงสร้างกำลังจิตผลที่อฐิษฐานจะเกิด
    ตรงช่วงนี้ครับ..
    และถ้าเน้นด้านพลังงาน อย่างที่เล่าให้ฟังในข้อ ๒ ครับจะมีด่านขึ้นมา
    ให้เราทดสอบเลือกใช้กสิณและรวมกสิณก่อน ยังๆไงกว่าจะผ่านด่านนี้
    ได้เราก็ต้องรวมให้ได้ทุกกองแน่นอนครับ..ถึงจะใช้พลังงานได้ครับ..
    ที่นี้ การจะใช้พลังงานกสิณได้พร้อมกันในขณะลืมตาปกตินั้น..
    ถ้าจะใช้ทีละกอง คำภาวนาในกองกสิณนั้นๆหรือ นึกๆว่ากสิณอะไรก็ได้
    หรือจะนึกบอกว่าให้รวมก็ได้...แต่ส่วนตัวมีบทคาถาเฉพาะที่ไม่ยาว
    ไม่เกิน ๑๐ คำบอกได้แค่นี้จากครูบาร์อาจารย์
    ที่ท่องแล้วพลังงานกสิณจะรวมกันเกือบทุกกอง.
    แต่ตรงนี้บอกไม่ได้จริงๆครับ.เพราะกสิณบางกองมันทำอันตรายคน
    ง่ายมากเช่น กสิณดิน อย่างที่คุณพี่ raming2555 เขียนเตือนนั่นหละครับ

    .5.จากกสิณเดินต่อไปในทางวิปัสนาญาณต้องทำอย่างไร
    อันนี้ก็ถามเผื่อให้ท่านผู้อ่านหลายๆท่านนะครับ
    เพราะการทำกสิณก็ดีตบะก็ดี มีความเสี่ยงที่จะเดินไปในทางชั่วได้ง่ายด้วยหลงในฤทธิ์ของตน
    การจะหันเข้าหาวิปัสนาญาณเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้
    อาศัยกำลังจากกสิณจะทำให้รู้แจ้งเห็นจริงในข้อธรรม
    ได้ง่ายกว่าการฝึกแนวสุกขวิปัสโก

    ตอบ เรื่องที่คุณraming 2555 เขียนเตือนพอเข้าใจครับ.แต่ไม่ต้องห่วง
    ครับ..ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบการใช้งานจากทางภพภูมิแล้ว
    .จะถูกจำกัดในเรื่องของอำนาจของกสิณสำหรับใช้งานได้จริง
    ..และถูกจำกัดในเรื่องการรวมกสิณ
    ทุกกองเพื่อใช้งานครับ เพราะจริงๆแล้วความสามารถในการใช้งานได้จริงๆ
    ในแต่ละกองนั้นล้วนแล้วแต่มีพันธมิตรคอยสนับสนุนการใช้งานทุกกอง.
    จะแตกต่างจากการใช้งานได้จากกำลังจิตเราเพียวๆครับ.
    และกสิณบวกลักษณะการใช้งานของเราจะนำมาซึ่งอาวุธพิเศษ
    จากทางภพภูมิ ตรงนี้คิดว่าคุณ พี่ raming2555 จะพอเข้าใจครับ.
    ส่วนการต่อยอดต้องต่อไปอรูปฌานครับ หรือต่อยอดไปทางวิชาเดินธาตุครับ
    เพราะจิตมักจะไม่น้อมเพื่อการวิปัสสนาในสภาวะอารมย์สมาธิระดับฌาน
    เนื่องจากมีความเคยชินปกติในชีวิตประจำและผลจากการใช้งานครับ.
    การต่อยอดมีหลักเริ่มต้นง่ายๆคือจะเริ่มต้นที่แสงหรือเริ่มต้นที่เส้นสาย
    หรือ ตั้งต้นกสิณอย่างน้อยไว้ก่อน ๔ กองก็ได้ครับ..ทุกอย่างเหมือน
    กันคือ ปั่นมันรวมกันจนเหลือขนาดเท่าเข็ม
    (ปกติมันจะวงใหญ่และอยู่ข้างนอกกายเป็นปกติ)
    และดึงมันกลับมาที่ฐานกาย จะเหนือสะดือ
    หรือตรงหน้าอก หรือ ตรงหน้าฝากก็ได้ แต่แนะนำตรงหน้าอกเพราะ
    มุมมองในการเห็นจะกว้างที่สุด และตัวจิตต้องมีเมตตาพอควรถึงจะพอ
    ทำได้ ส่วนผลที่ได้แตกต่างกันไป..พอรวมได้แล้ว และจิตกับกาย
    เริ่มแยกกันเด็ดขาดให้สังเกตุการลงลงของแสง
    (จริงๆจะเริ่มเกิดตอนเข้าปฐมฐานก่อนคือแสงสว่างรอบตัวเรา
    เหมือนเปิดไฟสปอตร์ไลท์สีขาวแต่อาจมองไม่เห็นต้นกำเนิดแสง)

    ถ้าไม่หลับก่อนแล้วจิตกับกายแยกกันจะเกิดแสงคล้ายตอนปฐมฌาน
    จากนั่นแสงที่ลดลงมามันจะย้อนกลับมาสว่างเท่าเดิม..การวิปัสสนา
    จะเริ่มได้ตั้งแต่สมาธิจะไต่เข้าฌาน ๑ คือสังเกตุได้มีแสงรอบตัวแล้ว
    ที่ยังมีเรื่องผุดมาได้ สมาธิไม่มาก ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ถึงจะเข้าโหมด
    อรูปอย่างที่เล่า และการพิจารณาของมันจะเป็นไปตามลำดับของมัน
    เองได้ในโหมดอรูปฌาน ซึ่งส่วนตัวถึงขั้นที่ ๓ และทำได้ไม่กี่ครั้ง
    ส่วนทางเดินธาตุถึงวิญญานธาตุ.ซึ่งโหมดวิญญานธาตุกิริยาที่เกิด
    แตกต่างจากอรูปฌานก็คือเรื่องของเส้นสายพลังงานที่ออกจากตัว
    ในขณะที่นั่งครับส่วนผลที่ได้.ทางจิตเรื่องการวางกิเลสคงไม่สามารถ
    อธิบายได้ดี เท่ากับฝึกให้เข้าถึงได้อย่างที่กล่าวมาครับ..

    ปล.ผมตอบได้เท่านี้หละครับ..ตามภูมิที่มีครับ..
    คุณพี่ raming2555 มีอะไรเพิ่มเติมผมพร้อมรับคำแนะนำเสมอครับ..
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    โห้ยๆๆๆๆๆๆมันก็เริ่มจากในฝันก่อนทั้งนั้นหละครับ ๕๕๕ และก็พัฒนามาเป็นใน
    สมาธิและต่อยอดจากในสมาธิขึ้นมาเป็นใช้งานได้สัมผัสได้
    ส่วนจะใช้ได้แค่ไหนแล้วแต่บุคคล.ส่วนมากเรามักจะสู้ท่านที่เป็นพระ
    ไม่ค่อยได้ด้วยครับ....แต่ถ้าจะเอาเหาะได้ไม่ว่าคุณ ปุณฑ์ คุณ jit และผม
    คงไม่น่าจะได้ชาตินี้แน่นอนหาตังค์ขึ้นเครื่องบินดีกว่าครับ....๕๕๕๕
    ของคุณ ปุณฑ์ ดูที่แนะนำไปก็น่าจะพอแล้วมั่งครับ..
    อุตสาห์ไม่เอ่ยชื่อพระเลี่ยงใช้คำว่า บุญฤิทธิ์ น่าจะพอเข้าใจได้.
    ส่วนเรื่องการปฏิบัติของทั้งคุณ jit and คุณ ปุณฑ์ ผมบอกไปแล้วนะ
    หรือยังตกหล่นตรงไหนหรือเปล่า สามารถพูดคุยได้ครับ..
    ลองอ่านๆที่เขียนตอบคุณ raming 2555 ไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ
    เพื่อว่าจะได้แนวทางหรือเทคนิคอะไรเพิ่มเติมครับ...

    ปล.ทั่วๆไปไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง..
    :)
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เรื่องอาวุธ อาจจะดูเพี้ยนๆก็จริง.ผมเรียกว่าธนูทิพย์ครับ ปกติมันจะมีแต่คันธนูแต่ว่า
    ไม่มีสาย แต่สายธนุจะมาได้ตอนที่จะใช้งานถ้าเชื่อมเส้นสายพลังงานได้
    ส่วนตัวพอรู้ว่าทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้อีกบ้างครับ
    แต่ประเด็นนี้ไม่ขอคุยออกสื่อ
    ...ถ้าสนใจสามารถแนะนำวิธีการใช้งานและการนำไปใช้งาน
    แบบสัมผัสได้ในขณะตาเปล่าให้ได้ครับ..แต่ว่าขอหลังไมค์

    ส่วนหลักการสังเกตุเกี่ยวกับตบะฤาษีกับกสิณอย่างพุทธวิธีก็ความเห็นคล้ายๆกันครับ
    ทั้งคำภาวนาตอนรวมกสิณก็เห็นด้วยครับและใช่เลยครับ ใช้ได้เช่นกัน แต่ของผมที่ต้องเฉพาะหน่อยเพราะ
    ว่าจะเพิ่มอีกธาตุหนึ่งเข้าไปรวมด้วยเฉยๆครับ.เพราะว่าเป็นการไปฝึกเพิ่มเติมมาครับ..

    ส่วนหลักที่จะน้อมสู่ไตรลักษณะถือว่าเป็นเทคนิคเฉพาะบุคคล ส่วนตัวมองว่าดีเหมือน
    กันครับ..แต่กำลังสมาธิมักจะไม่พอในการรักษาอารมย์รวมทั้งการเข้าถึง แต่ถ้าทำได้
    อีกก็จะพยายามลองเอาหลักการตรงนี้ของคุณ raming255 ไปใช้ดูครับ..ส่วนเรื่องอื่นๆก็ประมาณนั้นครับ.

    ขอบคุณครับ
     
  8. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เข้ามาขอความรู้ค่ะ จากที่ลองอ่านๆดูนี่ดิฉันคงเข้าข่ายเพ่งตบะหรือเปล่าคะเนี่ย ช่วงนี้คงได้หันมาฝึกจริงๆจังๆบ้างแล้วค่ะ คงมีเวลามากขึ้น
    ที่ดิฉันลองเพ่งอยู่คือพระอาทิตย์ค่ะ เมื่อก่อนชอบมองดวงจันทร์มาก เดี๋ยวนี้ช่วง ๑๑ โมงเช้าก่อนเที่ยงแสงจะลอดกระทบพื้น ดิฉันมองผ่านแสงที่แสบตา (จากพื้นบ้าน) จนเห็นพระอาทิตย์เป็นวงกลมข้างในจะสีหม่นออกทึบ รอบๆวงพระอาทิตย์จะออกสว่างโร่ มีกระแสวิ่งรอบวง แสงที่วิ่งรอบๆวงนี้จะเห็นที่ดวงจันทร์เช่นกัน ดิฉันมักจะจำรายละเอียดนิดหน่อย แต่ก็มีแค่นี้ค่ะ ส่วนก่อนที่จะเห็นเป็นวงหรือทั้งดวงนั้น แสงจะไปรวมกลุ่มกันโดยรอบ บางครั้งเป็นสีแดงแทน แบบนี้ตาจะเสียมั๊ยคะ

    ช่วงที่สวดมนต์ เดินจงกลม หรือบางครั้งที่ทำอะไรอยู่ จะมีแสงวับๆแวมๆ ที่หางตา ดวงไม่ใหญ่ แต่รู้ว่าจุดแสงสีขาว คือผลข้างเคียงหรือเปล่าคะ

    อ่านๆดูดิฉันยังใช้สมองส่วนหน้าในการช่วยจำรูปร่างค่ะ

    ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ของคุณ rungdao ถึงแม้ว่าจะใช้สมองส่วนหน้าในการจำมาก่อน
    แต่ปัจจุบันนี้ตัวจิตมันพอจะสร้าง
    ภาพขึ้นมาได้เองแล้วครับ แค่ฝึกอีกนิดหน่อยเพื่อให้เคยชิน
    .สังเกตุจากการเห็นแสงแว๊ปๆดวงเล็กขาวๆ
    ที่เวลาเราหันไปมองมันชอบจะหายไปนั่นหละครับเป็นตัวบอก..
    แสงพวกนี้ยังใช้บอกได้ว่า ถ้าเห็นแล้วหายแสดงว่าจิตเราเริ่มทำงาน
    และเข้าสู่สมาธิได้แล้วเล็กน้อย และถ้ามันค้างนานกว่าปกติหน่อย
    คือช่วงที่จิตเริ่มเข้าสู่สภาวะเป็นทิพย์ครับ..
    .เฉพาะฉนั้นไม่จำเป็นต้องไปเพ่งวัตถุอีกแล้วครับ.
    โอกาสที่สายตาจะเสียในอนาคตอีก ๑๐ ปีข้างหน้าจะสูงครับ..
    ตอนนี้แค่ตัดระบบการใช้สมองส่วนหน้าและมองผ่านตาที่ ๓ หรือจักระ ๖
    ภาพก็จะขึ้นมาได้แล้ว.และก็ใช้หลักการในการให้จิตสร้างภาพ
    ขึ้นมาตรงจากตรงนี้ก็จะสามารถฝึกทั้งแบบหลับตาและลืมตาต่อยอด
    ไต่ระดับจากนี้ได้ครับ..
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เอาแค่จุดเดียวครับ คุณพี่ raming2555 ช่วงนี้เน้นฝึกการสร้างกำลังจิตครับ.
    ให้ตัดทั้งการสร้างนิมิตรน้ำและจิตไปอยู่หน้าฝากครับ
    คือจริงๆนิมิตรน้ำมันจะปรากฏให้เห็นประมาณลิ้นปี่อยู่แล้ว
    ถ้าจิตเราตอนนั้นอยู่ตรงเหนือระหว่างคิ้วนะครับ..
    และก็อย่าดึงจิตให้ลงไปตรงลิ้นปี่...ถ้าไปลงมาตรงลิ้นปี่มัน
    จะสร้างกำลังจิตไม่ได้แต่ถ้าใช้ในกรณีที่เราฝึกใช้งานกำลังจิตถึงจะได้ครับ.
    และถึงจะไม่จุกที่ลิ้นปี่..เพราะว่าจิตมันเหนี่ยวกันระหว่างตรงลิ้นปี่
    และตรงจุดเหนือระหว่างคิ้วครับสังเกตุดูได้ว่านอกจากจะจุกตรงลิ้นปี่
    มันยังตึงๆเป็นแนวเหนือลิ้นปี่ขึ้นไปร่วมด้วย
    .เพราะถ้าให้มันลงมาอยู่ตรงลิ้นปี่เลยเหมาะสำหรับการใช้นิมิตรน้ำเพื่อไต่ไปอรูปฌาน
    (แต่ต้องปั่นจิตให้เล็กลงและรวมกับนิมิตรน้ำเป็นหนึ่งเดียว
    .แบบนี้มันจะไปทางวิชาเดินธาตุโบราณครับ).

    มันจะข้ามการสร้างกำลังจิตไปอรูปเพื่อการวิปัสสนาเลย
    แต่มันจะไปได้ตรงโหมดวิญญานธาตุแทนครับ.
    ..ผมเดาว่าพี่อาจจะติดตรง
    ที่เคยทำตบะหรือเข้าสมาธิระดับสูงมาก่อนหน้านี้ก็ได้ครับ..
    ส่วนถ้าเห็นภาพนิมิตรน้ำใสได้แล้ว จากการมองผ่านจุดระหว่างคิ้ว..

    ...อย่าเข้าใกล้นิมิตรครับเพราะว่ามันจะผ่านไปเหมือนที่เป็น บางคนอาจจะไป
    โผล่อีกมิติหนึ่งหรือไปสถานที่อื่นๆถ้ากำลังสติไม่พอในช่วงนั้น..
    หรือว่าถ้าไกลไปจะปั่นนิมิตรน้ำเพื่อสร้างกำลังจิตไม่ได้ครับ...
    ให้รักษาระยะห่างของจิตเราไว้ ระยะห่างตรงนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าเท่าไร.
    เพราะขึ้นอยู่กับฐานกำลังสมาธิเป็นเกณฑ์..มีรูปที่พอจะใกล้เคียง
    เอาไว้ให้ดูเทียบเคียง ๒ รูปครับ

    รูปที่ ๑ คือให้ตัดเส้นเชื่อมระหว่างวงกลมกับนิมิตรน้ำออกนะครับ..
    นี่คือรูปของระยะห่างและมุมมองที่จะสามารถเริ่มบังคับนิมิตรน้ำได้
    ระยะห่างที่เหมาะสมต้องหาเอง ส่วนวงกลมข้างบนก็คือจิตเรา
    ตอนแรกจะเป็นอย่างนี้ก่อนเพื่อล๊อคระยะในการบังคับนิมิตรน้ำ.
    นิมิตรน้ำจะเริ่มหมุนได้คล้ายๆดังรูป.


    [​IMG]

    ส่วนรูปที่ ๒ เมื่อสามารถล๊อคระยะบังคับนิมิตรน้ำได้ และเริ่มบังคับนิมิตรน้ำได้
    น้ำจะหมุนคล้ายดังรูป.. ต่างกันตรงที่น้ำจะหมุน
    ลงข้างล่างไม่ใช่หมุนขึ้นข้างบนเหมือนรูปครับ.แต่มันจะมี
    ลักษณะสีอ่อนขึ้นมาคล้ายๆรูปครับ..
    .

    [​IMG]

    และพอเราผ่านตรงจุดนี้ไปได้ ต่อไปตอนที่เรารวมอุคคนิมิตร กสิณกองต่างๆ
    ในนิมิตร.เราถึงจะไปใช้กสิณกองต่างๆในนิมิตร เพื่อให้ผ่านด่านทดสอบ
    ที่เกิดต่อมาในอนาคตได้ครับ..มีทริคเล็กน้อยครับคือ การผ่านด่านอย่ารวม
    พร้อมกันทุกกองก่อนเป็นอันขาดนะครับ
    เพราะการจะผ่านด่านก็ต้องใช้
    กสิณในกลุ่ม(ดิน น้ำ ลม ไฟ) ทุกกองแต่ว่ามันจะให้เราใช้ทีละกองก่อน
    นะครับแล้วค่อยๆมารวมกับอีกกอง.ซึ่งตอนนั้นเราจะทราบเองว่า
    ต้องใช้กองไหนก่อน...จนกระทั่งรวมครบทุกกองถึงจะผ่านครับ
    ถ้าผ่านด่านหลังจากนี้.จะสามารถเรียกเป็นพลังงานขึ้นมาสัมผัสได้จริงครับ
    ส่วนเรียกเป็นพลังงานขี้นมาได้แล้ว..วิธีการหนุน ส่ง ดึง อัด เด่วค่อยมาว่ากันต่อครับ

    ปล.ประมาณนี้ครับ..
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตอบ. ประมานข้างบนที่แนะเพิ่มครับ และง่ายซิครับของคุณraming2555 ได้เปรียบตรงกำลังสมาธิสะสมอยู่แล้วครับ ประมานนี้ครับ
     
  12. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เอาแค่จุดเดียวครับ คุณพี่ raming2555 ช่วงนี้เน้นฝึกการสร้างกำลังจิตครับ.
    ให้ตัดทั้งการสร้างนิมิตรน้ำและจิตไปอยู่หน้าฝากครับ
    คือจริงๆนิมิตรน้ำมันจะปรากฏให้เห็นประมาณลิ้นปี่อยู่แล้ว
    ถ้าจิตเราตอนนั้นอยู่ตรงเหนือระหว่างคิ้วนะครับ..


    คุณนพคะ บอกวิธีการสร้างกำลังจิตแบบง่ายๆให้หน่อยค่ะ ดิฉันกำหนดโดยไม่ใช้สมองส่วนหน้า รู้สึกว่าภาพออกมาช้ามากและไม่แจ่มเหมือนเดิมค่ะ บางทีเป็นสีอื่นค่ะ แต่ยังเป็นวงหรือดวงๆอยู่ และพอเผลอปรุงแต่งเมื่อไหร่ดิฉันจะลุกเดินจงกลมทันที แบบนี้พอไหวไหมคะ

    แล้วอาการฟ้าแลบนี่ (ตอนลืมตา) ไม่ต้องไปสนใจใช่ไหมคะ

    ลองใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ดูตรงหน้าผากเหมือนกันค่ะ มีความรู้สึกเสียวๆ รู้สึกเหมือนดึงอะไรออกเช่นกันค่ะ แต่พอปล่อยมือไม่มีอาการดีดกลับแต่อย่างใด

    ปล. จุดสีฟ้านี่โดนแทรกหรือเปล่าคะ คือหมายถึงกสิณโทษ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เป็นวงกลมมีความสว่างในตัวมีขอบเห็นรูปร่างชัดเจน เท่าหัวเข็มหรือหัวไม้ขีด ไม่เป็นไรคับ ต่อไป จะเห็น สีน้ำเงิน
    เขียว ส้ม แดง ทอง เป็นปกติ ไม่ว่าหลับตาแป็บแล้วลืม รายระเอียดค่อยว่าอีกที
    ตอนนี้ให้เฉยๆก่อนคับไม่ต้องสนใจ. ประมานนี้ครับ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    การหมุนจะหมุนเหมือนพายุงวงช้างหรือทอร์นาโดถูกแล้วครับ แต่ว่าจะลงข้างล่างครับ ต้องเริ่มจากนิ่งก่อนแล้วค่อยหมุนนะครับ.
    ถ้าลักษณะขึ้นข้างบนยังถือเป็นนิมิตรขวางสังเกตุได้มันมักจะหมุนได้เอง
    ก่อนเราจะบังคับด้วยครับ และอย่าให้ไปทะลุออกตรง
    ท้ายทอยครับ..เพราะเด่วเป็นว่ามันจะไปเชื่อมและดูดวิญญานแทน.
    ซึ่งการเชื่อมโดยการไปดูดวิญญานตรงนี้ส่วนมากจะเป็นระดับที่ยังไม่ดีครับ
    ถ้าเราไม่เคลียพวกนี้ออกไป.จะส่งผลต่อร่างกายเราได้โดยที่ไม่รู้ตัวครับ..
    โดยปกติถ้าเผลอไปหมุนตรงนี้ ให้อุทิศส่วนกุศลไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยครับ
    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  15. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ถ้าคิดได้ คิดด้วย ช่วยพินิจ
    หากไม่คิด ขอทำช่วย ด้วยอาสา
    ทำไม่ได้ ให้ช่วยดู เป็นหูตา
    ดูไม่ได้ ช่วยเมตตา อย่าขวางทาง



    ขอบคุณค่ะ
     
  16. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ ดวงกสิณต้องตั้งได้นานเท่าใดคะ จึงจะผ่านขั้นนี้ไปได้ และต้องให้ใสและสว่างชัดเจนทุกๆสีก่อนหรือเปล่าคะ วันนี้ดิฉันกำหนดจุดเดิม มีความรู้สึกชัดเจน แต่ไม่หนักไม่หน่วงไม่ปวดหัวเวียนหัว แต่มีความรู้สึกตึงๆบนจุดที่กำหนด แบบนี้ถูกต้องไหมคะ และวันนี้ดิฉันกำหนดดวงกสิณได้ชัดเจนกว่าเมื่อวาน แต่ก็ยังไม่แจ่มเหมือนเดิมค่ะ ดิฉันสังเกตุว่าเวลาที่จิตนิ่งจะกำหนดภาพกสิณได้เร็วกว่าปรกติ

    สรุปคือ วันนี้ทำได้ดีกว่าเมื่อวาน แต่ค้างได้ไม่นานค่ะ ไม่ถึง ๑๕ นาที และไม่ติดต่อกันด้วยค่ะ อ้อ และก็ไม่สว่างด้วยค่ะ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ทั่วๆไปนะครับ..ความนานของการตั้งดวงกสิณได้ในสมาธิ
    ไม่ใช่ประเด็นสำคัญมาก...ที่เราควรเน้นคือการมาตรวจสอบตรง
    ประเด็นความชำนาญในการตั้งดวงกสิณได้ช้าหรือเร็วในชีวิตประจำวันครับ.
    เอาว่าลืมตาอยู่ตอนไหน แล้วลองสร้างขึ้นมาจากจิตแล้วเห็นเป็น
    ขอบๆได้ พอมีเค้าลางๆได้ ถือว่าอยู่ในระดับที่มีแววจะใช้งานได้ในอนาคต
    .และการไม่ปวดศรีษะแสดงว่าเริ่มตัดการใช้สมองแล้วฝึกใช้ตัวจิต
    สร้างภาพได้ดีขึ้นมันจะค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆตามแต่ความเพียรเฉพาะบุคคล
    และความรู้สึกตึงๆบนจุดที่กำหนดเป็นเรื่องปกติ.
    ซึ่งจะตึงแต่ไม่มีอาการทางศรีษะนั่นหละครับ..


    ที่นี้ตอนฝึกตัวภาพกสิณจะแจ่มไม่แจ่มก็ไม่ต้องสนใจเช่นกันครับ
    เพื่อตัดความอยากส่วนละเอียดตรงจุดนี้ออกไป...
    และถ้าเราสามารถตั้งภาพนิมิตรได้เร็ว
    ให้ระวังเรื่องภาพนิมิตรหลอกที่มันมักจะสวยกว่าภาพนิมิตร
    ที่เราตั้งใจฝึก จะขึ้นมาอยู่ใกล้ๆภาพนิมิตรที่ทำการฝึก
    ระวังอย่าเผลอไปสนใจก็พอ..
    .พอภาพนิมิตรตั้งต้นมันขึ้นมาได้ตอนไหนก็ตาม.พอเราตั้งภาพได้
    ซักระยะหนึ่งแล้ว(การรักษาภาพจะเป็นการฝึกสร้างกำลังสติทางธรรมและฝึกสะสมสมาธิ
    ประเด็นนี้ควรทำแต่ไม่ต้องให้ความสำคัญมาก
    คือได้แค่ไหนก็แค่นั้นถ้าขี้เกียจก็เลิก.ประมาณนี้ครับ.)

    ..ต่อไปเรื่องที่จะตามมาก็คือ เรื่องของการไต่ระดับ
    ฌานครับ..ซึ่งช่วงไต่ระดับได้นี้ มันจะข้ามเรื่องเกี่ยวกับเวลาไปครับ.
    บางครั้งเรานึกว่าแค่ไม่กี่นาทีในนิมิตร
    แต่ถ้ามาดูเวลาบนโลกมันจะขยับเป็นชั่วโมง...
    เพราะฉนั้นประเด็นนี้อย่าเอาเผลอเอาเรื่องเวลามาเป็นเกณฑ์
    ในการนั่งเป็นอันขาด..และถ้าจะให้ดีมิควรไปคิดเปรียบย้อน
    กับที่เคยทำผ่านมาได้แล้วในอดีตในทุกกิริยา
    (หมายถึงตอนที่กำลังฝีกนะครับ)
    .เพราะกิริยาทางจิต ๑๐ วันมันก็แตกต่างกันได้
    เราจะดูแค่วันต่อวันพอ..แต่เอามาเล่าให้ฟังเพื่อเป็นแนวทางในการแนะนำ
    ได้อย่างนี้ไม่เป็นไรครับ.
    .
    ที่นี้ตอนที่เริ่มรักษาภาพอยู่แบบรักษาอารมย์ไปเรื่อยๆ โดยปกติก่อนจะไต่
    ระดับฌานได้มักจะมีเรื่องที่ผุดขึ้นมารบกวนจิตใจ ตรงนี้ให้แก้ด้วยการเทียบ
    กับสังโยชน์ ๑๐ หรือ อริยสัจ ๔ หรือเรื่องการตัดร่างกาย เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    เป็าหมายเพื่อให้เรื่องที่ผุดขึ้นมารบกวนตรงนี้มันวางให้ได้ก่อน มิฉนั้นมันจะ
    ทำให้เราเลิกปฏิบัติตรงจุดนี้ก่อน...ถ้าวันไหนไม่มีเรื่องมาผุด อาการอาจจะ
    คล้ายๆว่าเราเผลอหลับแต่ไม่หลับ..ให้ตั้งสติให้ดีถ้าระลึกรู้ตัว อย่าเผลอลืม
    ตาถ้าฝึกหลับตานะครับ.และอย่าเผลอไปดึงลมหายใจกลับมาเป็นอันขาด
    ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตาฝึก...

    ให้สังเกตุนิมิตรที่ขึ้นมาตอนนั้น.ว่ามีความสว่างในตัวเองหรือยัง.ถ้ามีให้กำหนด
    บังคับนิมิตรผ่านตรงจักระ ๖ ให้ได้ทันที..ไม่ว่าจะย่อหรือขยาย จะหมุนซ้าย
    หรือขวา หรือจะทำให้หายแล้วขึ้นมาใหม่..อย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่จะคิด
    ออกได้ ณ เวลานั้น..ทำได้เพียงไม่กี่วินาทีตรงนี้.
    (แรกๆจะรู้สึกเหนื่อยมากถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา)
    ถ้าออกจากอารมย์ตรงนี้มาใหม่ๆอาจหลับเป็นตาย
    คล้ายคนสลบได้เรื่องปกตินะครับ.
    .จะสามารถทำให้จิตเกิด
    กำลังจิตขึ้นมาได้ครับ..ส่วนต่อไปถ้าเราจะสร้างตรงนี้ ก็ค่อยๆเพิ่มเวลาในการ
    บังคับนิมิตร ณ อารมย์ที่ว่านี้ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้เริ่มจากวินาที
    เป็นหลายๆวินาที(หมายถึงเวลาในการบังคับภาพนะครับ)
    ถ้ารักษาอารมย์ได้นานแต่ไม่บังคับภาพ
    มันจะไปได้กำลังสมาธิแทนไม่ได้ตรงกำลังจิต
    ก็จะเพียงพอในระดับที่จะเรียกเป็นพลังงานขึ้นมาสัมผัสได้แล้วครับ...

    พอทำตรงนี้ได้ ในเวลาลืมตาปกติก็จะสามารถเกิดนิมิตรขึ้นมาให้เราเห็นได้
    แม้ว่ากำลังสมาธิไม่ต้องมาก...เราก็จะสามารถมาฝึกการใช้กำลังจิตต่อได้
    ไม่ว่าจะทางหน้าฝากหรือทางมือ ซึ่งตรงนี้เป็นการฝึกใช้กำลังจิต
    ไม่ใช่การสร้างกำลังจิต ซึ่งมักจะปรากฏกิริยาอย่างนี้ได้ เมื่อเริ่มสร้างกำลังจิตได้
    แต่จะสามารถเข้าถึงตรงนี้ได้ ก็จำเป็นต้องสร้างในโหมดสมาธิกำลังสูงให้ได้
    หลายๆวินาทีมาก่อนเป็นฐานครับ...

    ปล.ประมาณนี้ อ่านดูแล้วคิดว่าพอจะแนวทางนะครับ..
     
  18. ตุ้มโฮม

    ตุ้มโฮม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +497
    ขอสอบถามท่านNoppakan การตั้งกสิณรูปพระ และการฝึก จะใช้แนวทางตามที่ได้อธิบายคุณรุ้งดาวได้หรือไม่ หรือมีข้อแตกต่างกันอย่างไรครับ
    (ควรตั้งภาพไว้ที่ใด ปกติตั้งไว้ข้างนอก บริเวณหน้าผาก ปัจจุบันตั้งไว้กลางกาย ทำให้มองได้นานกว่า ระฝึกได้บ่อยกว่า ..และรู้สึกว่าจะเชื่อมพลังได้บ้าง เพราะเวลาระลึกถึงพระ รูปพระจะมาพร้อมกับพลัง สามารถรับรู้ได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2014
  19. คีรีวัตร

    คีรีวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +693
    อยากฝึกดูครับ ได้ผลยังไงหรือติดขัดตรงไหนอยากขออนุญาตคุณนพช่วยชี้แนะด้วยนะครับ จะลองฝึกตามข้อความเก่าทั้งที่คุณนพเขียน และสมาชิกท่านอื่นโพสไว่ก่อนหน้านี้ครับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    หลักการและเทคนิคคล้ายคลึงกันเลยครับ.ถ้าจะฝึกสร้างกำลังจิตตั้งไว้ข้างนอก
    ถูกแล้วครับและเทคนิคการสร้างกำลังจิตก็ตามๆที่เล่ามา
    หลักๆคือ ให้จิตสร้างภาพจากตัวจิตเองให้ได้ แล้วให้จิตบังคับภาพนั้นให้ได้
    จิตก็จะมีกำลังจิตได้ คล้ายๆได้ออกกำลังกายให้ตัวเอง ประมาณนี้
    ซึ่งจะสามารถต่อยอดไปทางวิชาเดินธาตุได้จะขี้นไปวิญญานธาตุได้ก่อน
    ซึ่งมีความจำเป็นพื้นฐานทางด้านกำลังจิตจากตรงนี้ก่อนไม่งั้นภูมิต้านท้าน
    ต่อพลังงานภายนอกที่ไม่ดีเราจะยังไม่เพียงพอ..ซึ่งจะไป
    จะได้มรรคผลอีกแบบหนึ่งคือจิตจะตัดเรื่องการยึดติดร่างกายได้ดี
    เป็นเหตุให้เราตัดเรื่องความยึดมั่นถือมั่นในตนได้ด้วยครับ.....
    ..และถ้าตั้งไว้ในกายด้วยภาพพระต่างๆ จะไปได้ตรงกำลังสมาธิ
    นึกภาพออกนะครับ คือ จิตสร้างภาพได้ แต่ไม่ได้ออกกำลังกาย
    ก็จะได้ในเรื่องของกำลังสมาธิที่เข้าถึงการที่จิตแยกกับกายและอยู่กับภาพ
    เหมาะสำหรับการฝึกเพื่อการอฐิษฐาน.ตรงนี้เราจะเสียเปรียบและ
    ต่อยอดได้ช้าเพราะส่วนใหญ่ทำได้ท่านจะอยู่ในรูปของพระสงฆ์.
    คือต้องหายใจเข้าได้ถึงฌาน ๔ ในครั้งเดียว.เหมือนๆหลวงพ่อมีชื่อ
    ในอดีตที่ลงคำสอนไว้นั่นหละครับ..ถ้าฆารวาสฝึกโอกาสจะเข้าถึงได้น้อย
    และเหมาะสำหรับการไต่ระดับเพื่อเอากำลังสมาธิไปใช้ในโหมด
    อรูปฌานเพื่อวิปัสสนาตามโหมดอรูปฌานให้ได้เพื่อลดละกิเลสครับ

    เพราะเป็นการทรงความดีอยู่ตลอดภายใต้การควบคุมภายใต้พระท่านนั่นๆ..
    แต่ว่าต้องรวมจิตให้เป็นหนึ่งถ้าอยู่ในกาย.ถึงจะต่อยอดไปอรูปได้
    และต้องสร้างกำลังสมาธิจากการเพิกรูปและทำให้รูปกลับมาให้ได้
    ถึงจะมีกำลังสมาธิพอที่จะต่อยอดอรูปฌานแบบ
    ได้ผลได้ถ้าไปอรูปด้วยภาพพระนะครับ....
    ถ้าจะไปอรูปด้วยกสิณเลยก็ตามที่เคยเล่าๆตามหลักการปั่นนิมิตร
    ให้เล็กลงแล้วน้อมเข้ากายนั่นหละครับ..แต่จะข้ามเรื่องกำลังจิต
    ในระดับขั้นที่เราจะเรียกเป็นพลังงานกสิณกองต่างๆขึ้นมาใช้ได้..
    ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการผลทางด้านไหน..ตรงนี้แล้วแต่ความชอบครับ.
    ส่วนพวกเครื่องรู้ต่างๆจะเกิดขึ้นเองได้ ตามจิตตนที่เคยได้ทำมา
    และความชำนาญในเครื่องรู้แต่ละด้านก็จะแตกต่างกันไปตามอุปนิสัย
    เฉพาะบุคคลครับ..แต่ของคุณ ตุ้มโฮม มีจริตในการเชื่อมพลังงานภายนอกได้ด้วย
    แสดงว่าจิตมันเริ่มจะไปสู่โหมดวิญญานธาตุได้แล้ว.
    แต่ควรจะต้องสร้างจิตให้มีกำลังจิตเป็นพื้นฐานไว้ครับ
    เราถึงจะมีความสามารถแยกแยะพลังงานภายนอกต่างๆ
    ได้ว่าอันไหนดีหรือไม่ดี.. รวมทั้งเอาไว้ป้องกันตนส่วนหนึ่ง
    และมีภูมิต้านทานป้องกันพลังงานภายนอกที่ไม่ดี
    ที่จะเข้าแทรกเราได้ด้วยครับ....

    ปล.ที่เคยแนะๆนำการดึงตาที่ ๓ ไปใครทำได้ส่วนมาก
    ระดับสมาธิไปสู่วิญญานธาตุได้ทั้งนั้น เพียงแต่ไม่รู้ตัวเฉยๆครับ
    แต่การจะไปก็ต้องไปตามขั้นตอน.หากว่าใครไปด่วนรีบร้อน
    ไปหลงความสามารถพิเศษหรือเครื่องล่อต่างๆทางด้านกิเลส
    อาการจะไม่ต่างจากบุคคลที่โดนวิญญานครอบงำจิตได้ครับ
    ประเด็นหลักอะไรก็ตามเราต้องสร้างให้มีหรือเกิดขึ้นด้วยตัวเราเองครับ
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...