***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    .....ก่อนอื่นผมต้องขออนุญาตบอกกล่าวกันก่อนครับ
    สถิติการเจริญสมาธิที่ผมมาโพสนี้ ไม่ได้ต้องการจะมาอวด
    แต่ต้องการจะบอกว่า หลังจากที่ผมค้นพบตัวเองแล้ว การฝึกสมาธิผมเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว มั่นคง และสบายมากๆ



    สถิติสดๆ ร้อนๆ ในเดือนที่ผ่านมานี้เอง
    1 กสิน ฝึก 1 วัน : ถึงกำลังของฌาน 1
    2 หลังจากฝึกกสิน 2 อาทิตย์ ฝึกพลังจักระ ใช้งานได้ทันที
    3 ฝึกอรูปฌานครบทั้ง 4 ใน 1 วัน : ในกำลังของฌาน 1 เหมือนกัน
    4 รวมเวลาทั้งหมดในการฝึกกำลังของจิตจนถึงฌาน 4 ใน 32 วัน (รวมกสิน จักระ และอรูปฌาน)

    ทั้งหมดนี้ แทบไม่ได้ฝึกในสถานที่เงียบๆ เลย
    ขับรถ ที่ทำงาน ห้างสรรพสินค้า บนรถไฟฟ้า โดยส่วนมากลืมตาด้วย ไม่ได้หลับตา มีที่เงียบที่เดียวคือห้องนอน แต่ก็แทบไม่ได้นั่งสมาธิเลย นั่งสมาธิน้อยมากๆ คือฝึกตอนก่อนหลับในอิริยาบทนอน และตื่นนอนก็เจริญสมาธิทันทีในอิริยาบทนอนเหมือนกัน

    *****ที่สำคัญ ถ้าใครค้นพบตัวเองได้อย่างผม ผมเชื่อว่าก็สามารถฝึกสมาธิได้รวดเร็วแบบนี้เหมือนกันครับ*****
     
  2. timezone

    timezone สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +3
    น่าสนใจครับ แต่ไม่เชื่อเพราะยังไม่ได้ลองด้วยตนเอง
     
  3. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณสี่คนหาม
    ชอบครับ....นี่แหละครับ คน "พุทธ" ตัวจริง
     
  4. timezone

    timezone สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +3
    แล้วคุณจะแนะนำวิธีพิสูจน์ในสิ่งที่คุณพูดรึเปล่า!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ธันวาคม 2011
  5. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    แนะนำแน่นอนครับ

    แต่ก่อนอื่นขอท้าวความก่อน เพื่อความเข้าใจอันดี ว่าผมไม่ใช่คนที่เก่งกาจมาจากไหนเลย
    เพียงแต่ค้นพบตัวเองได้ แค่นั้น

    เริ่มต้นเมื่อ 20 ปีก่อน ผมบวชและฝึกสมาธิ (อย่างหนัก) ติดต่อกัน 3 ปี
    ผลที่ได้รับ ไม่น่าพอใจเลย ผมใช้คำว่า ไม่เป็นโล้เป็นพาย

    แม้จะเกิดนิมิต
    มีปีติ ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวลอย น้ำตาไหล (แม้ขณะเดินจงกรม)
    เกิดสุข สุขชนิดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต สุขจนเอาเงินล้านมากองตรงหน้าก็ไม่สน
    มีสมาธิรักษาโรคปวดหัวให้ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
    นั่งเป็น ชม. ได้สบายๆ

    แต่ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ไม่เสถียรเลย เดี๋ยวมี เดี๋ยวหาย
    เดี๋ยวสงบ เดี๋ยวฟุ้งซ่าน กำลังดีๆ ฟุ้งซ่านอีก เหมือนต้องมาเริ่มใหม่ ไม่ก้าวหน้าเท่าไหร่เลย

    จนกระทั่งมาค้นพบตัวเองครั้งที่ 1 ว่าตนเองเป็นวิปัสสนายานิก
    เพราะลองเจริญสติ ตามแนวของหลวงพ่อเทียน แล้วรู้สึกดีมาก
    แก้ปัญหาเรื่องฟุ้งซ่านได้ เดือนกว่าๆ ก็เข้าใจอารมณ์รูปนามได้ (ใครปฏิบัติแนวหลวงพ่อเทียนคงทราบอารมณ์นี้)
    เลยเลิกนั่งสมาธิ มาเจริญสติอย่างเดียว จนสึกออกมา ก็ปฏิบัติต่อ
    ..........แต่.............
    สติที่ฝึก แม้จะทำให้จิตมีการพัฒนาขึ้น รู้สึกว่า โลภ โกรธ หลง ลดลง
    แต่ก็ยังไม่ใช่ สัมมาสติที่แท้จริง ยังตัดความรู้สึกไม่ได้จริงๆ แค่บรรเทาไป
    โดยเฉพาะความรู้สึกว่าเป็น "เรา" เป็นอย่างนี้อยู่ 15 ปี

    จนกระทั่งปี 2552 เป็นปีที่ค้นพบตัวเองครั้งที่ 2 คราวนี้พบจริงๆ
    กล้ากล่าวเต็มปากในปี 2553 ว่าทางปฏิบัติมุ่งสู่ความพ้นทุกข์ได้แน่ๆ
    เพราะเห็นสภาพที่ปราศจากตัวตน หรือ อนัตตา ได้จริง...."เห็น" ไม่ใช่การพยายามไปตัด
    เห็นสภาวะนี้ จิตไม่มีความมั่นหมายเป็นเราเอง แค่รู้ ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
    เท่ากับว่า 18 ปีที่ผ่านมา เดินทางผิดตลอด

    จากปี 2552 ถึงเดือนที่แล้ว (พย. 54) รวม 2 ปี 9 เดือน ที่พบทางจริงๆ เจริญสติอย่างเดียว แทบไม่ได้นั่งสมาธิเลย
    เพราะตัวเองสุขภาพไม่ดี มีโรคฮฮร์โมนในสมองผิดปกติ
    วันนี้ไม่ได้ทุกข์กับมันแล้ว แต่ก็เป็นหน้าที่ ที่จะต้องรักษา
    8 ปี ที่หาทางรักษาทุกวิธี ที่คนแนะนำว่าดี หมดเงินเป็นแสน ไม่หาย
    สุดท้ายมารักษาได้ด้วยฌาน !!

    แล้วสาเหตุที่ฝึกได้อย่างรวดเร็ว ก็เพราะสาเหตูจาการเจริญสติครับ
    เจริญถูกทาง สติจะค่อยๆ ต่อเนื่องจนเป็นสายเดียว ไม่ขาดตอน จนเป็นอัตโนมัติ
    เพราะเดินถูกทาง สติจะเกิดแบบมีระบบระเบียบ จนบอกตัวเองได้ว่า ความทุกข์มันอันตรธานไปเรื่อยๆ
    จนถึงจุดที่เป็นอัตโนมัติ ไม่ขาดตอน ทีนี้...ไม่ต้องเพียรเจริญแล้ว....เป็นเอง มีสติเอง ไม่เผลอ หลงสติ
    และตอนนั้น จิตจะเกิดสมาธิขั้นขณิกะเองอย่างอัตโนมัติ ผลจากสติที่ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกำหนดครับ
    เหมือนกับว่ามีการบริกรรมอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ
    เมื่อเจริญสมาธิต่อจากขณิกะ ก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว มีขณิกะรองรับอยู่แล้ว
    ผมก็เริ่มฝึกสมาธิ เริ่มจากกสิน เพื่อรักษาโรคตัวเอง

    นี่ก็เป็นที่มา ว่าทำไมจึงฝึกสมาธิได้อย่างเร็ว
    เกิดจากการที่ค้นพบตัวเองจริงๆ.... อย่างที่บอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2011
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็นะ ฟังดูก็มันส์ดี มีการลงมือปฏิบัติ ไม่ต่ำกว่า 15 ปี จึงมี วันนี้

    แต่ เนื่องจาก คุณนิยมชาวพุทธที่แท้จริง คือ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็เลย
    ต้องจำใจเป็นชาวพุทธดูสักหน่อย

    ตรงที่คุณกล่าวว่า ถึง อนัตตา ผมพิจารณาจาก คำพูด ที่แสดงออก ใคร่
    ครวญดูแล้ว ก็พอจะมั่นใจได้ว่า ไม่ควรเชื่อว่า เข้าถึง อนัตตา

    เพราะ จิตยังไม่ถึงฐาน รู้ไม่ถึงฐาน อนัตตาที่ว่าเห็น มันก็ปลอม

    หากจะให้ถึง ฐาน ผมก็จะอาศัยการปรารภว่า "ตัวรู้" ไอ้ที่เหลือแต่ "รู้"
    นั่นหนะ ต้องแสดงถึง การเกิดดับ ต้องปรารภว่า เห็น "รู้" เกิดแล้วก็ดับ

    หากปรารภแม้แต่ "รู้" มีความเสื่อมสลายหายไป แบบนี้ ค่อยน่าเชื่อหน่อย
    ว่า "รู้อยู่ที่ฐาน" เมื่อ รู้อยู่ที่ฐาน ตัวรู้เองเกิดดับ สิ่งอื่นก็ไม่ต้องไปปรารภ
    ถึง ย่อมแทงตลอดได้ แบบนี้จึงจะเรียกว่า อัตโนมัติมันเกิด อัตต-โน-มติ
    ( คือ ตัดสินได้ทันทีโดยไม่ต้องฟังจากใครที่ไหนเลย ไม่มีตัวเองเป็นคนบอก
    ด้วย เพราะ แม้แต่ รู้ ก็เกิดดับ )

    ทีนี้ ผมก็จะอาศัยว่า คุณรู้ยังไม่ถึงฐาน ปรักปรำว่า คุณ ยังมี ตัณหา แฝงอยู่
    อีกมาก เลยไม่แปลกใจเลย ที่ จิตที่ยังมีตัณหา มันผลิกตัวลงไปเกลือกลั๊วเรื่อง
    กสิณ ตกจาก สมาธิ ไปสู่การทำฌาณแบบชาวบ้านๆ

    แต่ความที่ตัณหาไม่สิ้น จึงตกกระไดพลอยโจนไปกับความยินดีในการ มีสิ่งมา
    ย้อมกายย้อมใจให้เห็นเป็นอัตตา เห็นว่าเที่ยง เป็นว่าเป็นเรา เห็นว่า รักษาให้
    อมตะได้ ผลิกไปสู่การเห็นผิดทีละน้อยๆ จนหมดสภาพเป็นชาวพุทธในที่สุด

    ห่างจากการปรารภ อมตธรรม ในแบบพุทธ ไปสู่ อมตแบบพรหม

    อย่าลืมนะ ผมกล่าวแบบ คนไม่เชื่อง่าย ไม่อาศัยเชื่อ ก็เลยจำต้อง พูดแบบไม่เชื่อ
    ไปตามเนื้อหา ไม่ได้เจตนาจะไม่เชื่อ หรือยกว่า คุณโกหก แต่อย่างใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2011
  7. saintyom

    saintyom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +776
    พี่ฝึกกสิณยังไงครับ ขอเล่าให้ฟัง เป็นวิทยาทานหน่อย
     
  8. KelG

    KelG สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +5
    คุณเข้าฌานระหว่างขับรถอย่างไรครับ
    ฝึกพลังจักระ แล้วใช้ได้ทันที หมายถึงใช้ทำอะไร???
    อรูปฌาณ 4 ภายใน 1 วัน เก่งจังนะครับ ขนาดพระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรข้ามภพข้ามชาติยังต้องฝึกอยู่เป็นแรมเดือน แรมปี
     
  9. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณ saintyom
    กสิน ผมฝึกด้วยความบังเอิญนะครับ เรื่องค่อนข้างยาว ขอเล่าที่มาสั้นๆ ก่อนนะครับ

    วันนั้นเป็นวันที่ผมป่วย มีไข้ ไข้ของผมจะร้อนๆ อึดอัดที่บริเวณหน้าอก ผมก็กินยาชื่อ Gofen ไป ประมาณครึ่งชม. ผมรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่หน้าอก แล้วไข้ผมก็ลดลง
    ผมจึงได้ไอเดียว่า เอ้...ปกติเราป่วย มีอาการมึน แสบๆ ในหัวอยู่ เราน่าจะใช้ความเย็นแบบนี้ไปรักษาได้
    วันนั้น ผมขับรถพาแม่ไปอยู่ ตจว หนีน้ำท่วม ผมเริ่มมึน ง่วง และแสบที่บริเวณเบ้าตา
    ผมกำหนดจิตเข้าไปดู ที่อาการนั้น จนเห็นจุดที่เกิดเวทนาจริงๆ เป็นจุดเล็กๆ ผมพอจะรับรู้ได้ว่ามันมีลักษณะร้อน
    ผมจึงเอาสัญญาความเย็น ที่จำได้จากยา Gofen นั้น ไปแทนที่ตรงที่มีเวทนาร้อนๆ ตรงนั้น ไม่นาน (ประมาณ 5-10 นาที) มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งความเย็นเช่นนี้ เป็นลักษณะเย็นของกสินน้ำ

    หลังจากนั้น อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหัวผม ผมก็จะใช้กสินเข้าไป "บำบัด" ในลักษณะนี้
    แต่ด้วยที่ผมป่วยมาก อาการหนึ่งหาย ก็จะมีอาการอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาแทน เช่นหายมึน ก็จะง่วง หายง่วงก็จะแสบตา อาการโดยส่วนใหญ่คือง่วง .....แต่ง่วงหลายแบบมาก กสินที่ใช้จึงต้องใช้กสินหลายอย่าง บางทีความเย็นเข้าไปดับอาการไม่ได้ ก็ต้องใช้กสินอื่น เช่น กสินลม ไปปัดเป่า ในกรณีที่มีเวทนาจับเป็นก้อน ฯลฯ ....ตรงนี้คงอธิบายค่อนข้างลำบากครับ

    วันแรกที่ผมใช้กสินจัดการกับเวทนา เป็นเวลาทั้งสิ้น 5 ชม. กับการขับรถจาก กทม ไป เขาค้อ สู้กันอย่างที่เรียกว่า ถึงพริกถึงขิง บางทีง่วงจนจะวูบอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ยอม สู้กับมัน จนมันหายไปจนได้ ในที่สุด อาการต่างๆ ก็หายไปหมด ในวันนั้น
    ซึ่งปกติผมจะเป็นทุกวัน วันละหลายๆ เวลา เป็นแล้วบางทีต้องนอน เพราะไม่ไหว แต่วันนั้น อาการผมหายไปได้ครึ่งวันครับ

    มีเรื่องตลกว่า บางทีผมนึกถึงความเย็นไม่ออก ผมก็ไปซื้อลูกอมเมนทอลมากิน แล้วก็เอาสัญญาตรงนั้น ไปจัดการกับเวทนา หรือบางทีนึกถึงความร้อนไม่ได้ ก็เอามือไปอังกระจกรถ พอรู้สึกถึงความร้อน แล้วก็เอาสัญญานั้นมาใช้ครับ

    นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกกสินของผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2011
  10. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คณ KelG

    1 ผมเข้าฌานขณะขับรถ ตามที่เล่ามานะครับ แต่คงไม่ใช่สมาธิที่ลึก ผมจะคอยสังเกตุตัวเอง ถ้าเริ่มไม่สนใจสิ่งแวดล้อมแล้ว ต้องถอนออกมา มิฉะนั้น จิตจะไปจมอยู่ ไม่สนใจโลกภายนอก อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้...แต่โดยปกติ ผมฝึกสติมามาก จึงไม่ค่อยเผลอจนจิตเข้าไปจมในฌาน

    2 พลังจักระ ก็ใช้รักษาโรคตัวเองเหมือนกัน แต่มีประสิทธิภาพดีกว่ากสิน เบานุ่มนวลกว่า ประนีประนอมกว่า และรักษาได้เร็วกว่า

    3 พระพุทธเจ้าตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านฝึกอรูปฌานในเวลาเท่าไร ตำราก็ไม่ได้ระบุไว้นะครับ
    บอกเพียงแต่ท่านฝึกได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญท่านมีฌาน 4 มาก่อน ท่านอาจจะเร็วชนิดที่ "ดั่งใจนึก" เลยก็ได้ เราไม่มีทางรู้หรอกครับ
    และที่สำคัญกว่านั้น กรุณาอย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับบรมครูครับ ผมไม่มีวันที่จะเสมอเหมือนท่านได้เลย
    ....การคิดแบบนั้นจะเป็นกรรมของคุณเองเสียเปล่าๆ
     
  11. โฮดี้๐๐

    โฮดี้๐๐ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +14
    ทำไมไม่ใครอยากเป็นคนธรรมดาบ้างล่ะครับ ฮิฮิฮิ
     
  12. จอมพล GAY

    จอมพล GAY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +219
    เอาเข้าจริง ผมเชื่อว่าใครๆก็อยากมีอิทธิฤทธิ์ อยากมีพลังพิเศษเหนือคนอื่น ควบคุุมฟ้าดินได้ อยากมีแบบที่คนอื่นไม่มี
    ไม่ก็ไปนิพพานดับหายไปเลย...... (รึเปล่า?)

    คหสต. ^^
     
  13. โฮดี้๐๐

    โฮดี้๐๐ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +14
    นั้นสิครับคุณจอมพลไม่มีใครอยากเป็นคนธรรมดา แต่เคยคิดกันไหมครับว่าคนเราทุกวันนี้ธรรมดาจริงๆหรือเปล่า
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายสองคน คนหนึ่งเป็นจิตแพทย์อีกคนเป็นนักธุรกิจ
    วันหนึ่งนักธุรกิจถามจิตแพทย์ว่า "เฮ้ เพื่อนเป็นอย่างไรบ้าง น่าสงสารนายนะที่ทุกวันนี้นายต้องเจอกับคนบ้าตลอดเวลา"
    จิตแพทย์ตอบว่า"มันก็ไม่แย่นักหรอกเพื่อน ฉันจะรู้สึกแย่มากกว่าถ้าเจอคนปกติ"
    นักธุรกิจถามว่า"ทำไมล่ะเพื่อน"
    จิตแพทย์ตอบว่า"ก็ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นคนปกติเลยล่ะ ถ้านายเจอเขาอย่าลืมพามาหาฉันนะเราต้องรักษาเขาแล้วล่ะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2011
  14. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +635
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนา
     
  15. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +635
    มีเรื่องตลกว่า บางทีผมนึกถึงความเย็นไม่ออก ผมก็ไปซื้อลูกอมเมนทอลมากิน แล้วก็เอาสัญญาตรงนั้น ไปจัดการกับเวทนา หรือบางทีนึกถึงความร้อนไม่ได้ ก็เอามือไปอังกระจกรถ พอรู้สึกถึงความร้อน แล้วก็เอาสัญญานั้นมาใช้ครับ

    แชร์เรื่องสัญญาที่จำมาจากความฝันด้วยคนค่ะ คือช่วงหนึ่งพยามจะแผ่เมตตาอัปมัญญา ก็แผ่ไปตามคำแนะนำ ทำไปตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่ลึกๆในใจรู้ว่าแม้ ใจจะบอกแผ่ออกไป แต่ไม่มีกระแสเมตตาออกมา ไม่รู้จะทำอารมณ์เมตตาให้ออกมาจากใจอย่างไร ก็ครุ่นคิดไปจนนั่งหลับเลยค่ะ แล้วก็แว๊บไป(ฝันไป)เห็นมีลูกหมาน้อยๆอยู่ในมือเรา มันน่ารักมาก ใจคิดอยากจะหานมมาป้อนคิดเอ็นดูมัน มีความรักความปรารถนาดีไหลรินไปยังมันอย่างมากมาย (ใครรักสัตว์คงนึกออกนะคะว่าเวลาเห็นลูกหมาที่น่ารักจนอยากกอดอยากกลืนมันเป็นยังไง) รู้สึกเต็มอิ่มกับอารมณ์ในความฝันนั้นแล้วก็ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอลืมตามาก็ อ๋อ! อารมณ์เมตตาไม่มีประมาณ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนมันเป็นอย่างนี้เอง จึงได้เอาสัญญาอารมณ์นั้น จำมาใช้เหมือนกันค่ะ

    ส่วนเรื่องเข้าฌานตอนขับรถ อันนี้ไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวหรอกค่ะ นอกจากจะเล่าว่า เมื่อเรียนกสินอากาศกับหลวงปู่เจือ หลวงปู่จะทักว่าเป็นไง นึกท้องฟ้าอยู่หรือเปล่า ถ้าตอบว่านึก แล้วตอนเดินทางมานึกหรือเปล่า ก็ตอบว่านึก(เพราะนั่งมาพี่สาวขับรถ) ถ้าพี่สาวบอกว่าไม่นึกค่ะเพราะขับรถอยู่ หลวงปู่จะบอกว่า ทำไมไม่นึก นึกคืออยู่ในขณิกะสมาธิ นึกตลอดเวลา คุยอยู่นี่ก็นึก (อันนี้ถ้าใครฝึกการทรงรูปพระหรือสิ่งใดเป็นอารมณ์อยู่คงเข้าใจนะคะ) การนึกคือใจอยู่ที่เรา แต่ใจเห็นฟ้านะคะ ไม่ได้เอาสมองหรือประสาทตาไปร่วมด้วย(หากชำนาญแล้ว ระยะฝึกใหม่ๆยังต้องใช้เพราะมันชินกับการใช้กายอยู่)

    สิ่งที่คุณเขียนมาเลยไม่ได้สงสัยอะไรค่ะ ได้รับความรู้ ขอโมทนาด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ธันวาคม 2011
  16. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +1,163
    อนุโมทนาครับ บุญกุศลใหญ่
    เข้าใจในคำว่า สติอัตตโนมัติ ควรแก่การงาน และรักษาโรคได้จริง ผมเป็นโรคภูมิแพ้ และ ปวดหัว หายได้ จากการเจริญสติ ให้มีพลัง แล้วแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หมั่นตรวจสอบ กำหนดจิตอธิษฐาน จนทุกวันนี้ดีขึ้น

    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ผมฝึกมาทางสายดี จนสติเดี่ยวนี้เป็นอัตตโนมัติไปแล้ว
     
  17. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอบอกกล่าวกัน 2 เรื่องครับ

    1 การที่ผมฝึกฌานนี้ เพราะผมต้องการเป็นคนธรรมดานะครับ ไม่ได้ต้องการมีอะไรพิเศษกว่าคนธรรมดา พูดแบบนี้งงไม๊ ผมเป็นคนไม่ธรรมดามา 8 ปีแล้ว ป่วยตลอด ไม่ปกติเลย จนปีนี้แทบจะทำงานไม่ได้อยู่แล้ว หมดทางรักษาแล้ว มาพบฌานโดยบังเอญว่าบรรเทา และเริ่มรักษาโรคเรื้อรังของผมได้ จึงฝึกมาแกมโดนบังคับน่ะครับ เพราฉะนั้นฌานที่ผมฝึกนี้ เป็นไปเพื่อรักษษโรค ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ใช่เป็นไปเพื่อไปเห็นอะไรๆ หรือมีฤทธิ์เดชอย่างใดๆ เลย ผมเชื่อพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้นะครับ
    "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ"

    2 ที่ผมมาโพสนี้ ไม่ใช่โพสเล่นๆ หรือจะมาอวด แต่เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น สามารถแกะรอยในสิ่งที่ผมได้รับ
    ผมไม่เสียชาติเกิดแล้วครับ ที่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ ชีวิตผมที่เต็มไปด้วยปัญหาชีวิตแทบทุกๆ ด้าน ทั้งสุขภาพ การงาน ครอบครัว รุมเร้าจนทุกวันนี้...แต่ผมกลับหัวเราะได้ทุกวัน ถามเพื่อนๆ ผมดูก็ได้ว่าผมอารมณ์ดีแค่ไหน

    ถ้าจะกล่าวกันแรงๆ วันนี้ ผมไม่รู้จักคำว่าทุกข์เลย...มันน้อยจนไม่รู้จะเทียบกับอะไรดี ทุกข์เมื่อก่อนเหมือนภูเขาทั้งลูก แต่ปัจจุบัน เหมือนกรวดสักเม็ดนึงได้ล่ะครับ

    ผมจะแนะทางปฏิบัติตามประสบการณ์ตรงของผม เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ทุกๆ ท่านนะครับ
    ผมเชื่อว่า ทุกๆ คน ถ้าปฏิบัติได้ถูกทางจริงๆ จะทำได้เหมือนผม หรือใกล้เคียง (หรือเก่งกว่า)ผมได้ ในเวลาอันสั้นด้วย

    ลองติดตามดูนะครับ ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ ผมให้ลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง

    จะเชื่อหรือไม่ จะลองหรือไม่...เวลาคุณทุกข์คุณทุกข์คนเดียยว ไม่มีใครมาทุกข์กับคุณหรอกครับ อย่างดีก็มาแสดงความเห็นใจ....แต่มันมีทางพ้นทุกข์ได้ ผมกล้าการันตี
     
  18. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอบคุณทุกท่านที่อนุโมทนา ขอให้กุศลผลบุญคืนกลับไปร้อยเท่าทวีคูณนะครับ อย่าย่อหย่อนทำความเพียรนะครับ

    คุณ "บุคคลทั่วไป 3 คน" ...ขอตอบดังนี้ครับ
    เรื่องสมถะที่คุณบอกว่าผม "จิตที่ยังมีตัณหา มันผลิกตัวลงไปเกลือกลั๊วเรื่องกสิณ ตกจาก สมาธิ ไปสู่การทำฌาณแบบชาวบ้านๆ " ผมได้อธิบายไปแล้วนะครับ ว่าผมกลับมาฝึกฌานเพราะอะไร

    ส่วนเรื่อง รู้ ที่คุณกล่าวว่า
    "หากจะให้ถึง ฐาน ผมก็จะอาศัยการปรารภว่า "ตัวรู้" ไอ้ที่เหลือแต่ "รู้"
    นั่นหนะ ต้องแสดงถึง การเกิดดับ ต้องปรารภว่า เห็น "รู้" เกิดแล้วก็ดับ"

    ผมขอตอบด้วยกลอนของพระอาจารย์ของผมนะครับ

    "ผู้ปฏิบัติเห็นในสิ่งที่เกิดดับ ...แต่สิ่งไม่เกิดไม่ดับเขากลับไม่เห็น
    แม้ว่าเข้าเพียรเฝ้าภาวนาทั้งเช้าเย็น... ก็จะไม่เห็นซึ่ง อนัตตา"
     
  19. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอเล่าต่อนะครับ

    ผมมาถึงบางอ้อว่าตัวเองเป็นคนมีจริตทาง "วิปัสสนยานิก" คือ ต้องใช้สติ นำ
    ฝึกสมาธิก็จะมีแต่ความคิดฟุ้งซ่าน จิตรวมยาก รวมแล้วก็ทรงอารมณ์ได้ไม่นาน
    อันนี้เป็นข้อคิดสำหรับคนที่ฝึกสมาธิแบบสมถะ ถ้าฝึกมานานแล้ว มีแต่คิดๆๆ ควรเปลี่ยนเส้นทางเดินนะครับ
    ผมจึงเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติมาเจริญสติ ...ทิ้งสมาธิทั้งหมดที่กรำฝึกมา 3 ปี และก็ไม่ได้ใช้อีกเลย (เพราะใช้อะไรไม่ค่อยได้)
    ก็เจริญสติมาเรื่อยตลอด 10 กว่าปี...ทิ้งสมถะไปเลย ...แต่ที่ผ่านมา ก็ยังเจิญสติไม่ถูกทาง เป็นมิจฉาสติอยู่

    กาลเวลากลับมาถึงปัจจุบัน...ผมพบสติที่เป็นสัมมาสติจริง สติบริสุทธิ์ที่พาให้พ้นทุกข์ได้จริง
    รู้ได้ว่าที่ผ่านมา เดินทางผิด ฝึกแล้วเหมือนก้าวหน้า แต่จริงๆ พายเรือในอ่าง... วนไปวนมา
    ฝึกสติ...เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจว่า มันก็จะเกิดสมาธิ
    มีครับ ขอยืนยัน...เป็นสมาธิแบบธรรมชาติ ซึ่งมีความแตกต่างจากสมาธิแบบที่เพ่ง หรือกำหนด ในสไตล์สมถะ
    เป็นสมาธิที่มีอาการ "น้อยๆ และซ่อนอาการอยู่ลึกๆ " สัมผัสได้ยาก จนกว่ามันจะแสดงตัวออกมาจริงๆ
    แต่ขอย้ำอีกที ต้องฝึกสติที่เป็นสัมมาสติจริงๆ ...ไม่งั้นสมาธิไม่ค่อยเกิด ...ถึงเกิดก็ไม่เป็นธรรมชาติ และใช้อะไรไม่ค่อยได้
    สมาธิธรรมชาติแบบนี้ มันจะรียบๆ ไม่โลดโผน แต่จะ "ดีปลาย" ครับ ...สมาธิแบบนี้จะใช้ประโยชน์ได้จริงๆ เมื่อ...
    ....สติต่อเนื่องเป็นสายเดียว ไม่ขาดตอน....

    ซึ่งสติมาถึงตอนนี้ มันจะเป็นสมาธิขั้น "ขณิกะ" อยู่ตลอดเวลา ...หมายความว่า มันพร้อมจะพัฒนาเป็น "อุปจาระ" ได้ทุกเมื่อ
    ลองคิดว่า ถ้าเราสามารถบริกรรมต่อเนื่องได้ตลอดเวลาซิครับ บริกรรมอะไรๆ ได้โดยไม่ลืมหรือขาดตอนเลย
    มันจะฝึกอะไรๆ ได้ง่าย ถูกไม๊ครับ ...นิวรณ์รบกวนได้น้อย จิตเข้าสมาธิง่าย

    คงเป็นเรื่องที่ฟังแล้ว... เอาเรื่องพอสมควร สำหรับคนที่ฝึกสมถะมา ...."บริกรรมต่อเนื่องได้ตลอดวัน"
    บางคนต้องเข้าใจว่าผมจะต้องฝึกอย่างหนักหนาสาหัส...
    (ผมเคยพบครูบาอาจารย์ที่บริกรรมได้แบบนี้ ...ก็แค่ไม่พูดกับใครเลย นั่งหลับตาอย่างเดียว 7 ปีเองครับ อิอิ)

    แต่ ไม่ใช่เลย.... ถ้าฝึกสติอย่างถูกวิธี เป็นสัมมาสติดังที่กล่าวแล้ว
    มันจะมีการพัฒนาไปเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ต้องฝึกหัดหนักหนาอย่างที่เข้าใจ
    มันเป็นกลไกตามธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ปราศจากความรู้สึกเป็น "เราผู้ฝึกสติ"
    เป็นวิธีการ "เห็น" การพัฒนาการของธรรมชาติล้วนๆ เห็นความเป็นจริงตามธรรมชาติ
    เห็นทุกข์ โทษของสิ่งปรุงแต่ง เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงความคิดปรุงแต่ง...
    เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในสิ่งทั้งปวง คลายความยึดมั่น ปล่อยๆๆๆๆ
    จนสุดท้าย ปล่อยทั้งหมด สลัดคืนกลับทุกสิ่งสู่ธรมชาติเดิมๆ และจิตก็เป็นหนึ่งอยู่
    ไม่เกาะกุมสิ่งใด จึงเกิดเป็นสมาธิแบบต่อเนื่อง เพราะการไม่เข้าไปเกาะกุมอารมณ์นั้น
    เป็นขบวนการตามธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร ...แต่ก็ยอรับว่าลึกซึ้งครับ

    เปรียบเทียบว่าจิต (ในระดับลึก / ผมมักเรียกว่าจิตวิญญาณ) จิตมันแยกตัวออกจาก ความรู้สึก นึก คิด เป็นเอกเทศอยู่
    แต่ทุกสิ่งก็ยังดำเนินไปอย่างปกติ เหมือนเดิม รู้สึกนึก คิด มีอารมณ์ต่างๆ มีตามปกติ
    มีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่ แต่จิตไม่ติด ไม่เข้าไปจับ ไปยึด.... เข้าข่าย "มีแต่ไม่เอา"
    กินข้าวยังอร่อยเหมือนเดิม... แต่ไม่ติด กินของอร่อยหรือไม่อร่อยก็ได้ กินแล้วรสชาตดไม่ตราตรึงในจิต
    จิต(ในส่วนลึก)ไม่เกาะกุมสิ่งใดๆ เลย แม้แต่ความสุข....ความสุข "มีแต่จิตไม่เอา สุข สนุก แต่จิตไม่ติด"
    ที่สำคัญที่สุด...มันเป็นเอง...ไม่ต้องกำหนด หรือ กระทำการใดๆ ให้มันเป็นเช่นนั้น

    จิตเป็นเอกเทศ มีการดำรงตนแบบไม่หลงเข้าไปปรุงอารมณ์ ไม่เกาะเกี่ยวอารมณืใด จึงมีอาการเป็นขณิกะอยู่ตลอดเวลา
    ของผมนี่....ยกเว้นเวลาหลับครับ หลับแล้วก็แล้วไป ไม่รู้สึกตัว...แต่ฝันน้อยลงนะ ไม่ค่อยฝัน นอนหลับดีด้วย
    ถ้าจิตพัฒนากว่านี้ ผมเชื่อว่า ต้องรู้ตัวในขณะหลับด้วย เพราะหลวงพ่อฯ (พระอาจารย์ผม) ท่านเป็นแบบนั้น

    ดีไม๊ครับมีสมาธิขั้นขณิกะ คุ้มครองจิตอยู่ตลอดเวลา...ความทุกข์เข้าแทรกไม่ได้เลย
    เรียกให้ถูก ความทุกข์มันถูกปรุงไม่ได้ จิตอยู่นอกเหนือการปรุงทุกข์แล้ว
    เป็นเอกเทศจากความทุกข์ ...เหมือนอยู่ในดินแดนที่ความทุกข์ไปไม่ถึง...(เปรียบเทียบนะครับ)
    ผมจึงมีสมาธิน้อยๆ รองรับจิตใจอยู่ตลอดเวลา เป็นของมันเอง....
    สมาธิแบบเบาๆ ธรรมชาติๆ ไม่หนักแบบสมถะด้วย ...ฝึกสมถะ ใครสังเกตุให้ดี สมาธิมีน้ำหนักนะครับ

    ตานี้...คงเข้าใจกันอีกว่า ต้องใช้เวลานานมากๆ ถึงจะมีสมาธิแบบนี้ได้
    ก็ 2 ปี 4 เดือนครับ ...นานไม๊ครับ เมื่อก่อนฝึก 3 ปี ไม่เป็นโล้เป็นพาย
    แต่วันนี้ ใช้เวลาน้อยกว่านั้นอีก ...มีผลเหลือคณานับ ไม่มีความทุกข์บีบคั้นจิตใจเลย
    ทุกวันนี้ก็แนะนำคนอื่นๆ ให้ฝึกสติที่จะพาพ้นทุกข์นี้อยู่นะครับ และก็ใกล้จะมีคนที่มีขณิกะ ตลอดเวลาแบบผมแล้ว
    น่าจะใช้เวลาน้อยกว่าผมอีก คะเนดูว่าไม่ถึง 2 ปีแน่ๆ ....เผลอๆ ปีเดียวด้วย...น่าสนไม๊...
    มีขณิกะตลอดเวลาแล้วจะไปฝึกสมถะอะไรก็รู้สึกว่าไม่ยาก
    เคยได้ยินคำนี้ไม๊ครับ ....ฌานกีฬา
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    <!-- google_ad_section_end -->

    กล่าวคำครู ออกมาก็ดีแล้ว แต่ เชื่อไหมว่า คำครูที่ท่านพูด ท่านพูดถึง จิตอรหันต์
    คำว่า อนัตตาแท้จริง ก็หมายถึงง สิ้นสงสาร สิ้นภพสิ้นชาติ

    แต่เวลาเราฟังธรรม เราไม่เข้าใจว่า ท่านพูดถึง ภูมิจิตตรงไหน เพื่อเป็นการชี้วิมุตติ

    ไอ้คนฟังควรจะฟังแต่ มรรค หรือ วิธีปฏิบัติ แต่พอได้ยินการชี้ วิมุตติ จิตมันร่าเริง
    ที่ได้สดับเรื่องวิมุตติ ก็เลยไปคว้าเอาปิติ แล้ว ปรุงสิ่งที่เป็น วิมุตติกลับมาเป็น มรรค
    แล้ว สำคัญผิด ตามด้วยการ อมไว้ หรือ จนิตนาการ หรือ ชิงสุกก่อนห่าม

    ดังนั้น ต้องพยายามวางจิตให้ดีๆ อย่าได้หยิบเอาส่วนวิมุตติ มาเป็น มรรค

    อย่าทะลึ่ง บอกว่า กูเห็นจิตอรหันต์ ธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ดับแล้ว ทั้งๆที่ยัง
    เป็นผุถุชนธรรมดา หรือ เป็น เสขะบุคคลก็ตามที เพราะ มันจะมั่วทันที

    สรุปคือ ต้องกลับมาเห็น ตัวรู้ นั่นแหละเกิดดับไปก่อน ไปตลอดสายการปฏิบัติ
    ตราบที่ยังไม่เสร็จกิจ จะรีบร้อนโกหกพกลมว่า ข้ามีจิตแบบอรหันต์แล้ว ฟังแล้ว
    มันก็น่าสงสาร

    พอปฏิบัติได้ไม่เท่าไหร่ สำคัญว่าสำเร็จอรหัตถมรรค อหรัตถผลแล้ว มันก็ขาดๆ
    เกินๆ ทำให้ ตัวตัณหาพลิกไปปรุงแต่งการหวงกาย หวงใจ รักษากาย รักษาใจใน
    แบบ พวกพราหมณ์เขาทำกัน แล้ว ย้อมใจ ปะผุธรรมที่พร่องด้วยคำว่า ฌาณกีฬา

    กลับไปภาวนา รู้ให้ถึงฐานของจิตก่อน ลองทบทวนดู
     

แชร์หน้านี้

Loading...