เรื่องเด่น การจองเวรกันของแม่กระรอกกับงูเขียว (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 6 มิถุนายน 2019.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    การจองเวรกันของแม่กระรอกกับงูเขียว โดย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    234.jpg


    บ่ายสามโมง วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ หลวงปู่ชอบหลังจากท่านสรงน้ำเสร็จแล้ว ท่านให้พระเณรเข็นจงกรมท่าน ที่ศาลาบำเพ็ญกุศลวัดป่าโคกมน

    เณรเมี่ยงเข็นจงกรมท่านไปได้ประมาณ ๒๐ นาที องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกให้เณรเมี่ยงหยุดรถเข็น ท่านกวักมือเรียกให้พระอุปัฏฐากเข้ามาหาท่าน หลวงปู่ชอบท่านบอกกับพระอุปัฏฐากว่า

    “แม่ออก (โยมผู้หญิง) เขาขอให้เราไปช่วยลูกเขา ตอนนี้ลูกเขากำลังจะถูกงูกิน”

    พระเณรห้า-หกองค์ที่เฝ้าท่านอยู่ในตอนนั้น ต่างพากันงงกับคำพูดที่หลวงปู่ชอบท่านบอก พระอุปัฏฐากถามท่านว่า

    “หลวงปู่ งูที่ไหนจะมากินคนได้ ถ้ากินคนได้มันก็ต้องเป็นงูเหลือมเท่านั้น”

    หลวงปู่ชอบท่านบอก

    "บ่แม่นงูมันจะกินลูกคน งูมันจะกินลูกกระรอก แม่มันร้องขอให้เราไปช่วยลูกมัน ตอนนี้งูกำลังอยู่ในฮังมันแล้ว"
    (ตอนนี้งูกำลังอยู่ในรังของมันแล้ว) ฟ้าวไปช่วยมันเร็วๆ (รีบไปช่วยมันเร็วๆ)

    พระเณรก็งงไม่รู้ว่า ท่านจะให้ไปช่วยกระรอกที่ไหน เพราะกระรอกอยู่ที่วัดป่าโคกมนมันมีกระจายกันอยู่ทั่ววัด...

    พระอุปัฏฐากถามท่านว่า
    “แล้วกระรอกมันอยู่ที่ไหนล่ะหลวงปู่”

    หลวงปู่ชอบท่านบอกกับพระว่า
    “อยู่ทางเข้ากุฏิเบอร์สี่ ไปเร็วๆ ลูกมันถูกกินแล้ว”

    พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์พากันเข็นรถหลวงปู่ชอบไปอย่างเร็ว เข็นแบบวิ่งไปเพื่อให้ไปถึงที่เกิดเหตุตามที่หลวงปู่ท่านบอก...

    พอเข้าไปใกล้กุฏิเบอร์สี่ พระเณรทุกองค์ได้ยินเสียงแม่กระรอกร้องเสียงดังเหมือนกับมันกำลังตกใจกระโดดไปมาระหว่างกิ่งไม้ แต่ก็เป็นเรื่องที่แปลกมากพอแม่กระรอกตัวนี้มันเห็นหลวงปู่และพระเณร แม่กระรอกตัวนี้มันรีบลงมาจากต้นไม้มาอยู่ที่พื้นดินต่อหน้าหลวงปู่ มันร้องอยู่ต่อหน้าหลวงปู่ เสียงร้องของแม่กระรอกตัวนี้ดังระงมไปทั่วจนกระรอกตัวอื่นๆ ในระแวกแถวนั้นร้องรับเสียงกันจนดังไปทั่ววัดป่าโคกมน..

    หลวงปู่ชอบท่านชี้มือไปที่โพรงไม้ ท่านบอกกับพระเณรว่า
    “งู มันอยู่ในนั่น”

    แต่ตอนนั้นพระเณรทุกองค์ยังไม่เห็นงู..

    ท่านสมัยรับอาสาปีนต้นไม้เพื่อขึ้นไปดูที่โพรงไม้ ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินประมาณสิบเมตร ท่านสมัยอยากจะพิสูจน์ว่าที่ในโพรงไม้ที่เป็นรังกระรอกมีงูอยู่จริงหรือไม่..

    พอท่านสมัยปีนขึ้นไปถึงโพรงไม้ ท่านสมัยเห็นงูนอนอยู่ในโพรงไม้ โดยมีลูกกระรอกสามตัวที่ยังไม่ลืมตา ไต่ลนลานหนีตายตามสัญชาตญาณการปกป้องดูแลชีวิตของตนเอง

    ท่านสมัยร้องกระโกนลงมาบอกหลวงปู่และพระเณรว่า
    “หลวงปู่ๆ งูเขียวมันอยู่ในโพรงกระรอก สงสัยมันจะกินลูกกระรอกแล้วท้องมันป่องๆ”...

    พระอุปัฏฐากรูปหนึ่งตะโกนบอกท่านสมัยว่า
    “เฮ้ย...ไหม เอางูออกมาจากรังกระรอกเดี๋ยวนี้ ดึงหางมันออกมาเลย”..

    ท่านสมัยเป็นคนที่ไม่กลัวงู ท่านสมัยถอดอังสะแหย่เข้าไปในโพรงไม้ เพื่อให้งูเขียวมันฉกผ้าอังสะ พองูเขียวฉกผ้าอังสะแล้วเขี้ยวของมันก็ติดที่ผ้าไม่สามารถถอดเขี้ยวตัวเองออกมาได้ ท่านสมัยจึงถือโอกาสนี้จับคองูเขียวโยนมันลงมาที่พื้นดิน..

    พระอุปัฏฐากเดินไปจับงูเขียวแล้ว นำมาให้หลวงปู่ชอบท่านดู งูเขียวนี้เป็นงูเขียวพระอินทร์ มีลำตัวขนาดใหญ่พอๆ กับขวดกระทิงแดง ความยาวของงูตัวนี้ประมาณหนึ่งเมตร ที่ท้องของมันป่องๆ จับดูที่ท้องของมันเป็นลูกๆ ลักษณะคล้ายกับมีตัวกระรอกหรือหนูอยู่ที่ในท้องของมัน..

    หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า
    “มันกินลูกกระรอกไปแล้วตัวหนึ่ง ตอนนี้มันอิ่มแล้ว แตมันบ่ยอมหนี มันจะนอนอยู่กินลูกเขาที่เหลือในรังอีก”..

    องค์ท่านพูดขึ้นว่า
    "รู้อยู่ว่าชาติเชื้อหน่อเนื้อเจ้ากินมังสาเป็นอาหาร เขาเคยทำลายลูกเจ้า เจ้ากะมาทำลายลูกเขา เจ้าก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ บ่มีไผ๋ได้สุขจากเรื่องนี้ ต่อไปนี้อย่าทำลายกันอีกเด้อ จบกันซ่ะแต่ชาตินี้ อย่าจองเวรกันอีกต่อไป”..

    แล้วองค์ท่านก็สั่งพระเณรให้นำงูตัวนี้ไปปล่อยที่นอกวัด เพื่อเป็นการแยกคู่กรณีต่างสายพันธุ์ ไม่ให้มันมารบกวนกันอีกต่อไป..

    เรียนถามองค์ท่านว่า หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า มีงูเขียวมันมากินลูกกระรอก องค์ท่านตอบว่า
    “ได้ยินเสียงแม่ออก ร้องขอความช่วยเหลือ อาจารย์ๆ ช่วยลูกข้าน้อยด้วย ลูกข้าน้อยถูกงูกินแล้ว เราเลยกำหนดดูที่มาของเสียงนี้ เห็นงูมันกำลังกินลูกกระรอก ก็เลยบอกพวกท่านให้พากันมาช่วยลูกกระรอกตัวอื่นๆ ที่เหลือ กรรมของงูเขียวกับกระรอกตัวนี้ พวกมันเคยพรากแก้วตาดวงใจกันมาหลายภพหลายชาติ พอมาถึงชาตินี้กระรอกมันเลยถูกงูเขียวมากินลูกของมัน”..

    เรียนถามองค์ท่านว่า แล้วหลวงปู่มาเกี่ยวข้องอะไรกับงูเขียวและกระรอกตัวนี้ถึงได้มาช่วยแยกเขาออกจากกัน

    องค์หลวงปู่ชอบบอกว่า
    “อดีตชาติตอนที่เราเกิดอยู่ทางนครพนม ปัจจุบันที่เราเกิดในตอนนั้นอยู่ในเขตท่าอุเทน เราเป็นพ่อผัวของงูเขียวกับกระรอกตัวนี้ เมียมันบ่ถูกกัน อิจฉากัน อยู่ตลอดเวลา พอเมียใหญ่ท้อง เมียน้อยกะวางยาให้เมียหลวงตกลูกตกเลือด พอเมียหลวงตกลูกแล้ว ก็รู้ว่าเมียน้อยเป็นผู้ทำลายลูกเจ้าของ มันเลยพยาบาทอาฆาตจองเวรกันไว้”..

    “จิตใจของสองคนนี้มันตกต่ำ พอตายไปแล้วพวกมันก็พากันมาเกิดเป็นเดรัจฉาน นับจากชาตินั้นเป็นต้นมา พวกมันก็เบียดเบียนกันมาอยู่ตลอด สลับภพสลับชาติกันอยู่แบบนี้ จนมาถึงในชาติปัจจุบันนี้แหละ พวกมันเกิดเป็นเดรัจฉานชาติใด ก็พากันเกิดเป็นแต่เดรัจฉานตัวเมียอยู่อย่างนั้น เบียดเบียนฆ่าลูก กินลูกกันอยู่อย่างนั้น จนถึงชาติปัจจุบันนี้แหละ”..

    เพื่ออยากพิสูจน์ว่า งูเขียวตัวที่จับอยู่นี้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย พระอุปัฏฐากท่านนี้จึงใช้มือกดไปที่โคนหางของงู เมื่อกดไปที่หางของงูแล้วไม่ปรากฏมีเดือยของงูโผล่ออก จึงรู้ว่างูเขียวตัวนี้เป็นตัวเมียตามที่หลวงปู่ชอบท่านได้บอกไว้...

    จากนั้นหลวงปู่ท่านพาพระเณรนำงูเขียวตัวนี้ไปปล่อยที่ทุ่งนาทางเข้าบ้านโคกแฝก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกมนประมาณสามกิโลเมตร พอถึงจุดที่ปล่อยงู หลวงปู่ชอบท่านบอกให้ปล่อยงูไว้ที่นี่เขาถึงจะปลอดภัย พระจึงปล่อยงูลงที่ข้างทาง งูเมื่อถูกปล่อยแล้วก็ไม่เลื้อยหนีในทันที งูเขียวตัวนี้หยุดมองมาที่หลวงปู่และพระเณรประมาณสอง-สามนาที

    หลวงปู่ชอบท่านยกมือขึ้นแล้วพูดว่า
    “จบๆ กันซ่ะ บ่จองเวรกันอีกแล้ว จากนี้ไปให้อยู่กันเป็นสุขๆ”

    งูเขียวตัวนี้เหมือนกับรู้คำขององค์ท่าน พอหลวงปู่ท่านว่าจบสักพัก งูเขียวตัวนี้มันก็เลื้อยเข้าไปในพงหญ้าที่อยู่ในทุ่งนา และหายไปจากสายตาของพระเณรที่นำมันไปปล่อย..

    ระหว่างเข็นรถเข็นของหลวงปู่กลับมาที่วัดป่าโคกมน ท่านไหมถามหลวงปู่ว่าหลวงปู่รู้ได้ยังไงกับอดีตพวกนี้

    หลวงปู่ท่านบอกกับท่านไหมว่า
    “อยากรู้ก็ให้ภาวนาจนได้เจโตฯ ภาวนาจนให้ได้จุตูปปาสานุสติญาณ ทุกอย่างท่านก็จะรู้ด้วยตนเอง”..

    ท่านสมัยถามว่า แล้วใครล่ะคือลูกชายหลวงปู่ในชาตินั้น..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบตอบท่านไหมว่า
    "แล้วใครล่ะที่มันมาถามเราอยู่ตอนนี้”..

    ท่านสมัยได้แต่ยิ้มแห้งๆ พระอุปัฏฐากที่เป็นหัวหน้าคณะท่านจึงชี้มือมาที่ท่านสมัย และบอกกับท่านสมัยว่า
    “เรื่องทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท่านนั่นแหละเป็นตัวการ รู้ตัวหรือยังล่ะตอนนี้ ท่านปึก”.. ท่านสมัยได้แต่ยิ้มรับชะตากรรม

    เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของกงกรรมกงเกวียนที่มันเวียนวนเข้ามาหากัน

    ตกกลางคืนหลังจากพระเณรทำวัตรสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่หลวงปู่ท่านอบรมพระเณรลูกหลาน พระอุปัฏฐากได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบอีกครั้ง หลวงปู่ท่านเล่าเท้าความถึงอดีตชาติของท่านในตอนนั้นให้พระลูกเณรหลายฟังว่า..

    “ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจะอุบัติขึ้น ชาตินั้นเราเกิดเป็นนายช่างทำหม้อทำไหขาย มีลูกสองคน คนโตเป็นผู้ชายเจ้าชู้หลายเมีย ปัจจุบันมาเกิดเป็นท่านไหม ลูกสาวคนน้อยเป็นคนฮู้ผู้ดี เป็นคนมีศีลธรรม ได้แต่งงานกับพ่อค้าขายผ้า มีลูกด้วยกันสี่คน ลูกคนหนึ่งก็คือท่านนี่ล่ะ ลูกสาวลูกเขยตายไปแล้ว ก็ไปเป็นเทวดาอยู่ชั้นดาวดึงส์จนเท่าทุกวันนี้ ลูกชายชาตินั่นมันกะได้มาบวชดูแลพ่อมัน ชาตินั้นถ้าบ่ได้ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า ชาตินี้มันก็บ่ได้บวชกับเขาดอก บุญมันได้สร้างมากับพระปัจเจกเพิ่นถึงได้มาบวชในชาตินี้”..

    พระเณรทุกองค์เมื่อได้ฟังองค์ท่านหลวงปู่ชอบเล่าให้ฟัง พระเณรทุกองค์ต่างยกมืออนุโมทนาในความเมตตาขององค์ท่าน ที่หลวงปู่ชอบท่านได้แสดงให้กับพระลูกหลานเณรฟังในวันนั้น ทุกองค์ได้แต่นั่งฟัง ไม่มีใครคัดค้าน เพราะไม่มีใครที่มี “ความรู้พิเศษ” ในเรื่องแบบนี้เท่าองค์ท่าน..

    #ที่มา จากหนังสือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอรหันต์ ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยุค



    ----------
    ขอบคุณที่มา
     

แชร์หน้านี้

Loading...