การปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 17 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table46 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ขอกลับมาสร้างบารมีต่อ (22)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table47 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านจึงได้อธิษฐานไว้ในใจว่า "ถ้า ข้าพเจ้ามีบุญบารมีเหมือนอย่างที่หลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร ได้เคยปรารภมาแล้ว ก็ขอให้บรรดาเทพเจ้าเหล่านี้จงได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าจะขอต่อไปด้วยเถิด" แต่ถ้าหากว่า ไม่มีบุญบารมีซึ่งจะสร้างความดีและบารมี หรือพอที่จะทำ ประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาได้แล้ว ก็ขอให้เทพเจ้า เหล่านี้อย่าได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าขอเลย" ท่านอธิษฐานเสร็จก็ได้หันหน้า ประนมมือไปทางเทพเจ้าเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า "พวกท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ เกิดในพาเหียรลัทธิ คือลัทธินอกพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนว่าตายแล้วสูญ ข้าพเจ้าจึงเสียใจมาก ถ้าข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่ทีแรก ข้าพเจ้าจะสร้างความดีให้เต็มที่ ฉะนั้นจึงขอให้กลับลงไปสร้างบารมีโพธิสมภาร เพื่อเป็นการแก้ตัวอีกสักครั้งหนึ่งเถิด" พอท่านได้กล่าวจบลงเท่านั้น เทพเจ้าทั้งหมดก็ได้ยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวคำว่า "สาธุ" พร้อมกัน ด้วยเสียงอันดัง กระหึ่มไปหมด เทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังได้สั่งอีกว่า "ท่าน จะกลับลงไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อท่านกลับลงไป แล้วจงพยายามสร้างความดีให้เต็มที่ เพราะเวลามีจำกัดเท่านั้น" [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] " ในโอกาสนี้โลกมนุษย์ของเรายังนับว่าโชคดีอยู่มาก ที่ยังมีธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีพระพุทธศาสนา ถ้าเราเกิดในสูญญกัป คือกัปที่สูญสิ้นพระศาสนาแล้ว โลกมนุษย์จะลำบากมากที่สุด" และอีกอย่างหนึ่งพระพุทธเจ้าจะมาตรัสูร้ในโลกมนุษย์ แต่ละพระองค์นั้นเป็นของยากมากลำบากมาก กว่าพระ องค์จะสร้างบารมีให้เต็มบริบูรณ์ได้ก็กินเวลาที่ยืดยาวหลายอสงไขย.."


    เทพเจ้าเหล่านั้นก็ยังได้ชี้ให้หลวงปู่ดูดาวต่างๆ พร้อมกับอธิบายให้ฟังอีกว่า "ดูซิสถานที่ ที่มนุษย์และสัตว์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีมากมาย ดังที่เรามองเห็นอยู่บนท้องฟัา ดวงดาวแต่ละดวงทั้งหมดที่มีอูย่จำนวนถึง "..แสน โกฏิดวง " "หรือแสนโกฏิจักรวาล" แต่ละดวงก็เป็นแต่ละจักรวาล แต่ละจักรวาลนั้นถ้าว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว แยกออกเป็นสองประเภท คือประเภทที่มีแสงสว่างในตัวเองและประเภทที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง"

    เราจะสังเกตได้ดังนี้ ถ้าดวงใดมีแสงกะพริบ ...วาบ ..วาบ... และมีแสงวิ่งรอบตัวนั้นเป็นจักรวาลของดวงอาทิตย์ สำหรับไห้แสงสว่างและความอบอุ่นแกโลกอื่น ซึ่งเป็นจักรวาลที่ไม่มี สิ่งที่มีชีวิตอยู่ ถ้าดวงใดมีลักษณะนิ่งๆ ไม่มีการกะพริบตัว ดาวดวงนั้นมีวิญญาณของมนุษย์และสัตว์อยู่ เป็นจักรวาล ที่มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่ายังแยกออกเป็นสามประเภท คือ
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ประเภทที่หนึ่ง
    เต็มไปด้วยความทุกข์ เช่น "..นรก.." เป็นต้น
    ประเภทที่สอง
    เป็นจักรวาลที่เต็มไปด้วยความสุข เช่น "..โลกทิพย์
    หรือ สวรรค์.."
    ประเภทที่สาม
    [/FONT]​
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] เป็นจักรวาลที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันอยู่เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวสมหวังเดี๋ยวผิดหวังวันนี้มีความสุขความเจริญ แต่พรุ่งนี้อาจจะได้รับความทุกข์ได้รับความดือดร้อน หรือวันนี้อาจจะแย่เต็มที แต่วันพรุ่งนี้อาจจะดี จนเด่น อะไรทำนองนี้ประเภทดังกล่าวมานี้ได้แก่ "..โลกมนุษย์.." และ "..พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะต้องมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เพราะโลก มนุษย์มีสิ่งเปรียบเทียบทั้งทางดีและทางชั่วมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ปะปนกันอยู่ "ส่วนนรกและสวรรค์นั้นไม่มีสิ่งเปรียบเทียบเช่น เมีองนรกนั้นก็มีแต่ทุกข์อย่างเดียวส่วนเมีองสวรรค์นั้นก็มีแต่สุขอย่างเดียว
    ฉะนั้นการมาตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงมาตรัสรู้ได้ในโลกมนุษย์แห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น ท่านเรียกว่า ''มงคลจักรวาล..่' คือจักรวาลที่เป็นมงคล.. .? หลังจากนั้น เทพเจ้าทั้งสองที่ได้มารับท่านไปในครั้งแรกนั้น ก็ได้นำท่านกลับ มายังโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และได้นำเข้าไปยังกุฏิหลังเดิม พอ เข้าไปถึงกุฏิก็มองเห็นร่างของท่านนอนอ้าปากตาเหลือกอยู่อย่างเดิม และเทพเจ้าทั้งสองนั้นก็ยังได้กล่าวสอนท่านอีกครั้งหนึ่งเสร็จแล้วเขาจึงได้ให้หลับตา พอท่านหลับตาปุ๊บก็มีความรู้สึกว่าได้เข้าไปอยู่ในร่างเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากร่างกายนั้นปราศจากวิญญาณนานถึง ๑๕ ชั่วโมงแล้ว จึงรู้สึกว่าร่างนั้นแข็งเหมือนท่อนไม้ ท่านต้องใช้ความพยายามค่อยๆ ขยับตัวทีละน้อยๆ จนกระทั่งขยับมือได้ก่อน แล้วก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาบีบปากที่อ้าค้างอยู่นั้นให้หุบลง พอหลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นมานวดกระบอกตา จนตาเริ่มกระพริบได้ ก็ลุกขึ้นนั่ง และค่อยๆ กระเถิบไปที่โอ่งน้ำล้างเท้าหน้ากุฏิ ตักเอาน้ำขึ้นมาฉัน เพราะมี ความกระหายน้ำมาก เมี่อท่านได้ฉันน้ำเข้าไปกะประมาณ ๑ ลิตร ก็รู้สึกว่าค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่คล่องตัวและเกิดอาการหิวขึ้นมา จึงได้ขยับไปตากแดด แล้วก็นวดเฟ้นตามแขนขา ตามข้อต่างๆ ของร่างกายสักพักหนึ่งก็เริ่มยืดแขน ขา และอวัยวะส่วนอื่นๆ ก็เริ่มใช้การได้ดีขึ้น แล้วก็ได้ลุกเดินไปศาลา เพื่อจะฉันจังหัน เพราะรู้สึกว่ามีความหิวมากได้ฉันจังหัน เสร็จเรียบร้อยได้เวลาเที่ยงพอดี รวมเวลาที่โด้สลบไปทั้งหมด ๑๕ ชั่วโมงเศษ

    ในช่วงนี้ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสกราบเรียนถามหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เพิ่มเติมนอกเหนือจากการมรณภาพไปของท่านอีกหลายเรื่อง ท่านก็ได้เมตตาอธิบายให้ฟังจนเป็นที่พอใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ และน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้นำมาลงโดยย่นย่อดังต่อไปนี้ ข้าพเจ้ากราบเรียนถามท่านต่อไปว่า "..ตอนที่ท่าน ได้ไปเห็นความเป็นอูย่ของเทพเจ้าหรือชาวโลกทิพย์แล้ว หลวงปู่ว่าเป็นไปได้ไหม ที่มีตำราหรือตำนานบางเล่ม และ มีคูรบาอาจารย์บางองค์เล่าเรื่องอสูรกับเทวดารบกัน แย่งลูกชิงเมียกันบ้าง ในทำนองเล่าตามเรื่องของพุทธหรือพราหมณ์ก็ไม่ทราบ แต่กระผมตีความหมายเอาเองว่าท่านเล่าเรื่องเทวดาพุทธ เพราะเคยเห็นในตำนานทางพุทธ ่ อันนี้ขอยกไว้เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ที่สงสัยนั้นสงสัยว่า "ทำไมเมืองสวรรค์แท้ ๆ ถึงต้องรบราฆ่าฟันกัน" ในตำนานบอกว่ารบเพื่อแย่งที่อยู่อาศัย และแย่งลูกชิงเมียกัน ถ้าสวรรค์เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกจากโลกมนุษย์ เพราะการแย่งดีชิงเด่นกัน เป็นเรื่องของพวกมนุษย์ที่มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ แต่ถ้าจะว่าอีกอย่างหนึ่งโลกมนุษย์เรายังมีอะไรแปลก ๆ น่าคิดกว่าเมืองสวรรค์อีกก็มี เช่น "สวรรค์เขามีช้างมีม้าเป็นต้น เป็นพาหนะ แต่ เมืองมนุษย์เรามีถึงจรวดหรือเครื่องบิน ฉะนั้นกระผมรู้สึกฉงนใจ เรื่องนี้กระผมเห็นว่ามีความสำคัฌต่อพระศาสนาเป็นอย่างมาก ถ้าหากเป็นอย่างที่กระผมกราบเรียนมานั้นจริง ๆ คนสมัยใหม่นี้คงไม่มีไครอยากไปสวรรค์กัน เพราะ ยังมองไม่ออกว่าเมื่อไปถึงแล้วจะมีความสุขสบายได้อย่างไร เวลานี้ชาวโลกทั้งหลายเขาเบื่อสงครามจนเอือมกันแล้ว แต่พอถึงเมืองสวรรค์ก็ยังมีการทำสงครามกันอีก.."

    ฉะนั้นกระผมจึงขอประทานกรุณาจากหลวงปู่ได้เมตตาช่วยคลีคลายปัญหาดังที่ได้กราบเรียนมานี้ ให้ชาวโลกเขาเห็นจริงตามหลักทางพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างมาก และจะเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง... พอข้าพเจ้าได้กราบเรียนจบลง หลวงปู่ก็นั่ง พิจารณาเหตุผลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า
    " การที่เรารู้ว่าอะไรเป็นสวรรค์ของพุทธหรือไม่ใช่ของพุทธนั้น เราต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนว่า พุทธของเรานั้นมีความหมายอย่างไร และของพราหมณ์มีความหมายอย่างไร ถ้าจะว่าตามหลักทางพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ตรัสไว้ว่าสวรรค์นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญ ไม่มีใครสร้างสรรค์ แต่เกิดขึ้นเองด้วยอำนาจผลแห่งความดีที่ทำไว้ ท่านจึงเรียกว่า " โลกทิพย์.." บุญเป็นสิ่งที่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ และใครก็ลักขโมยไม่ได้ อุปมาเหมือนความรู้ของเราที่มีอยู่ในใจ ก็ไม่มีใครสามารถแย่งชิงเอาไปได้ ฉันใดเรื่องบุญ กุศลก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าหากว่าแย่งเอาไปได้จริง ๆ ก็คงไม่มีใครอยากทำบุญ เพราะถ้าเราเห็นใครทำบุญมาก ๆ ถ้าเผลอเมื่อไรก็มีหวังถูกขโมยเมื่อนั้น แต่แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อสรุปแล้วก็ได้ความว่า "สวรรค์ของพุทธที่แท้จริงไม่มีอิจฉาตาร้อนซึ่งกันและกัน" เมื่อไม่มีการอิจฉา การแย่งดีชิงเด่นก็ไม่มี การเบียดเบียนซึ่งกันและกันก็ไม่มี"

    และอีกอย่างหนึ่ง ที่คุณว่าสวรรค์มีช้าง มีม้า มีรถ มีเกวียนเหล่านี้เป็นต้น เป็นยานพาหนะ ส่วนมนุษย์ของเรามีถึงจรวดและเครี่องบิน เมี่อผมฟังดูก็รู้สึกว่าน่าฟัง ความจริงเรี่อง สวรรค์ที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้น ผมเคยเห็นอยู่ในคำภีร์พราหมณ์ ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก คุณหลวงเสนา ซึ่งเป็นตาของผมท่านเคย เล่าสู่ฟัง ผมจำได้ตั้งแต่สมัยกระโน้น ผมยังนับถีอศาสนา พราหมณ์อย่างเคร่งครัด

    ต่อมาพอผมได้ฟังธรรมทางพระพุทธศาสนา และได้เกิดศรัทธาปสาทะขึ้น จึงได้หันมานับถือพระพทธศาสนา แต่พอมาค้นคว้าตำราของพุทธศาสนาเข้า ก็เจอเรื่องอสูรกับเทวดา เข้าอีก ผมจึงแปลกใจไม่รู้เข้ามาปะปนอยู่ในทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อไร และอีกประการหนึ่งเรื่องเทวดา หรือเทพเจ้าของพุทธ ผมเชื่อว่าไม่ต้องขี่อะไรเป็นพาหนะ เพราะเทพเจ้า ทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่ได้กายทิพย์ด้วยกันทั้งนั้น กายทิพย์เป็นกายที่ละเอียด พอนึกได้ว่าจะไปไหนก็ไปถึงเลย ไม่ต้องขี่ยานพาหนะให้ลำบาก เปรียบเสมือนความคิดของเรา เวลาจะ ไปไหนมาไหน ไม่เห็นว่าความคิดของเราขี่อะไรเลย และก็ไม่ จำเป็นในเรี่องยานพาหนะที่จะให้ความคิดเราด้วยฉันนั้น ในเมี่อเราจะไปไหนก็ได้ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เรื่องยานพาหนะ สมมติว่าใครสัปตนสร้างยานพาหนะให้ความคิดของตัวเองขี่ เพื่อไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เข้า คนคนนั้นก็แย่เต็มที่

    ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า"ตอนที่หลวงปู่ไปถึงโลกทิพย์นั้นแล้ว มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง" ท่านตอบว่า ก็เป็นเหมือนกับทีเล่ามาแล้วนั่นเอง พอไปถึงเข้าก็ปรากฏ ว่ามีอะไรหลายอย่างที่แปลกจากโลกมนุษย์ เป็นต้นว่าปราสาท ราชวังและสถานที่รื่นรมย์ล้วนแต่มีความสวยสดงดงาม ทั้งเป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินทั้งนั้น" "ผมก็ยังถามเขาว่าใครเป็นคนสร้าง เขาก็บอกว่าไม่มีใครสร้าง เพราะที่นี่ของเป็นของเรา จึงเรียกว่า โลกทิพย์'' พอได้ยินคำว่าโลกทิพย์ผมจึงเอะใจ เลยถามเขาว่า นี่ข้าพเจ้าตายแล้วใช่ไหม" "..ใช่ เวลานี้ท่านตายแล้ว " ถ้าตายอย่างนี้ก็ไม่เห็นน่ากลัวอะไร ก็เหมือนกับเรายังเป็นมนุษย์อยู่นี่เอง จะไปไหนมาไหนก็ปรากฏว่า ร่างกายเรานี่ไปด้วยทั้งดุ้นทั้งก้อน เหมือนกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี่เอง เขาจึงเล่าต่อไปอีกว่า .กายคนเรานั้นถ้าว่าโดยส่วนใหญ่แล้วมีสามชั้นด้วยกัน


    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]กายธาตุ หมายถึงกายที่หยาบๆ ที่พวกเรามอง
    เห็นด้วยตาเนื้อ กายประเภทนี้สมควรแก่โลกมนุษย์
    กายทิพย์ หมายถึงกายที่ละเอียดต้องเห็นด้วยตา
    ทิพย์ กายประเภทนี้สมควรแก่ "โลกทิพย์"
    กายธรรม หรือ ธรรมกาย ได้แก่กายของพระ
    อรหันต์ ผู้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสที่สมควรแก่ "นิพพาน"
    พอผมฟังเขาเล่าให้ฟังดังนี้จึงรู้สึกซึ้งใจเลยเฉลียวคิดไปถึงอดีต ที่เราเคยเรียนธรรมะมา เพิ่งจะเข้าใจเรี่องกายสามประเภท ในตอนนี้


    [/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไป "แล้วจะเป็นไปได้ ไหมครับที่บางตำนานเขียนไว้ว่า เทพเจ้ารบกัน หรือทำสงครามกัน หลวงปู่ตอบว่า "เป็นไปไม่ได้ พอไปถึงที่นั่นแล้วจิตใจเปลี่ยนหมด มีแต่ความซาบซึ้งและอ่อนโยน แถมยัง มีอานิสงส์แห่งการทำความดีประจักษ์ชัดเจนจนไม่มีข้อสงสัย จะสามารถทำลงได้อย่างไร ผมเข้าใจว่าไม่มีทาง เพราะหิริและโอตตัปปะ มีประจำอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นทีท่านว่า หิริและโอตตัปปะ เป็นเทวธรรม คือเป็นธรรมของเทวดา หรือของเทพเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง และถ้าใครมีธรรมสองอย่างนี้อยู่ในใจจนตลอดชีวิตแล้ว เมื่อตายแล้วมี หวังได้เป็นเทพเจ้าเสวยทิพย์สมบัติอยู่บนสรวงสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย "

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า "เท่าที่หลวง ปู่ได้เที่ยวชมอูย่บนโลกทิพย์นั้น ได้สังเกตเห็นอะไรบ้างที่ ต่างจากโลกมนุษย์ของเรา" หลวงปู่ตอบว่า ''มีมากจนไม่ สามารถจะนำมาเล่าให้หมดทุกอย่างได้แต่ผมจะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังในสิ่งที่จำได้ และเห็นชัด มีดังนี้. " [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในเบื้องต้นที่เราเหยียบย่างเข้าไป จะเห็นต้นไม้เป็น ระเบียบเรียบร้อยและสูงมากสม่ำเสมอกันจริงๆ แม้แต่หญ้า ที่เราเหยียบไปก็มีความสม่ำเสมอกันหมด ไม่มีสูงๆ ต่ำๆ ส่วน ข้างบนต้นไม้จะมีกิ่งก้านเข้าประสานกัน ทำให้เกิดความร่มรี่น และสวยงาม..[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] พอไปถึงแต่ละบ้าน เจ้าของบ้านเขาออกมาต้อนรับ ด้วยไมตรีจิตอันดีงามจริงๆ เป็นให้เข้าไปในบ้านเขาด้วยความพอใจ พูดถึงการต้อนรับ จะไม่มีที่ไหนในเมืองมนุษย์เราเสมอเหมือน แต่ก็น่าแปลกใจว่า ทำไมเทพเจ้าที่มาต้อนรับเราจึงไม่ ปรากฏว่ามีลูกเล็กเด็กแดงอุ้มกันกระจองอแงเหมือนโลกมนุษย์เราเลย มีแต่คนโตๆ เท่านั้น และเวลาทำการปฏิสันถารกับผมนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไรมาต้อนรับ เช่น ข้าวปลาอาหาร น้ำร้อนน้ำเย็น เป็นต้น ส่วนการมาของเทพเจ้า และการไปของผม ซึ่งเขาพาไปชมในที่ต่างๆ ก็ดี ก็ไม่ปรากฏว่าม อะไรเป็นยาน พาหนะขี่ไปเลยแม้แต่อย่างเดียว พอตกลงใจว่าจะไปที่ไหนก็ปรากฏว่าถึงที่ทันที และเวลาเขาพาเที่ยวชมในสถานที่ต่างๆ อยู่นั้น เท่าที่ผมสังเกตดู แต่ละบ้านไม่ปรากฏว่ามีโรงครัวเลย แม้แต่หลังเดียว ตลอดทั้งห้องน้ำห้องส้วมก็ไม่มี เทพเจ้าที่มา ต้อนรับทั้งหมด ก็ไม่เห็นว่ามีท่าทีว่าจะปวดหนักปวดเบา แม้แต่จะเอาของมารับประทานก็ไม่มี ผมเองก็เหมือนกัน เพราะต่างก็มีความเอิบอิ่มและเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น ไม่เคยรู้สึกว่าหิว อะไร นีก็แสดงให้เห็นว่า โลกทิพย์เขาอยู่กันด้วยความอิ่ม คือ
    "..อิ่มบุญกุศล "[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ผมสังเกตดูหลายอย่าง เช่น ภายในบ้านแต่ละหลังเท่าที่ ผมเห็นมาไม่ปรากฏว่ามีผ้าผ่อนท่อนสไบหรือเครี่องประดับประดาอาภรณ์ต่างๆ ตากเกะกะรุงรงไม่มีเลย ในห้องจะเห็นเป็นห้องโถงโล่งโปร่ง มีลวดลายวิจิตรพิสดารสวยสดงดงามมาก ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนในเมีองมนุษย์เราจะเปรียบปาน เครื่องประดับในที่นี้หมายถึงเครื่องประดับปราสาท ไม่ใช่ เครื่องประดับของเทพเจ้าอย่างที่เขียนเรื่องเทวดา ว่าเทวดาใส่ชฎาหัวแหลมๆ อันนีก็ไม่เห็นมีเหมีอนกัน ผมเสียดายที่ผมไม่ใช่นักวาดเขียน ถ้าผมเป็นนักวาดเขียน ผมจะวาดให้ดู ลักษณะของเทพเจ้าที่ผมเห็นมา แต่ก็น่าเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง เท่าที่ผม สังเกตดูเทพเจ้ามีความยิ่งใหญ่ไม่สม่ำเสมอกัน ผมมองๆ ดูเทพ เจ้าบางองค์รู้สึกว่ามีความยิ่งใหญ่มาก มีบริษัทบริวาร ตลอด ถึงปราสาทที่อยู่อาศัยจะมีเครี่องประดับบารมีมากมายจนบอก ไม่ถูกว่ามีอะไรต่ออะไรบ้าง ตรงนี้แหละผมนึกน้อยใจตัวเอง เมื่อมองดูปราสาทของตัวเองแล้วสู้ของเขาไม่ได้ ยิ่งบางองค์ แล้วคล้ายๆ กับจะเป็นเทพเจ้าคนใช้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ จะเป็นเทพเจ้าระดับคนใช้ก็ยังดีกว่าการเป็นพระราชาในเมืองมนุษย์เลยอีก แต่พระเจ้าจักรพรรดินั้นผมไม่เคยเห็น จึงไม่สามารถเอามาเทียบได้ ที่ผมว่าเทพเจ้าคนใช้ในโลกทิพย์ยังดีกว่าพระราชาในเมีองมนุษย์ หมายความว่าโลกทิพย์เขาไม่ได้ทำอะไร ต่างองค์ต่างก็อิ่มในบุญกุศลของตนอยู่ตลอดเวลา เรื่องอิจฉาตาร้อน และกลั่นแกล้ง พยาบาทอาฆาต จองเวรกัน รบราฆ่าฟันกัน เพี่อแย่งดีชิงเด่นกันเป็นต้น จะไม่มีอยู่ในโลก ทิพย์นั้นเลย...[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]สรุปแล้วเรื่องที่จะทำให้กันและกันเดือดร้อนนั้นไม่มี เพราะต่างองค์ต่างก็มีหิริและโอตตัปปะประจำใจอยู่ตลอดเวลา นี่ผมเอาผมไปเทียบดู เพราะในเวลานั้นจิตผมนิ่มนวลและอ่อนโยนจริงๆ และซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ว่ามีความซาบซึ้งอย่างไร เรื่องอายชั่วกลัวบาปไม่ต้องพูดถึง เพราะเห็นผลชัดๆ ถึงขนาดนั้น จิตจึงยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นผม จึงเข้าใจว่า เทพเจ้าที่อยู่ในโลกทิพย์คงเหมือนกันทุกองค์...[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนถามท่านต่อไปอีกว่า เรื่องสวรรค์และนรก เท่าที่กระผมเคยได้เล่าเรียนศึกษามา กระผมเข้าใจว่าเรียงกันเป็นชั้น ๆ เหมือนรังต่อ หรือ เหมือนตึกในทำนองนั้น[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า "แต่ก่อนผมก็เข้าใจในทำนองนั้น เท่าทีผ่มเคยอ่านตามตำรา เหมือนว่านรกนั้นอยู่ใต้ดิน เพราะมีคำว่าธรณีสูบพระเทวทัตลงไปอเวจีมหานรก ที่จริง อันนั้นก็ควรยกให้เป็นเรี่องของตำราไป เพราะว่าผู้แต่งตำรา ท่านจะตีความหมายแค่ไหน เราไม่ทราบได้ บางทีเราอาจจะตี ความหมายของผู้แต่งผิดไป" จะอย่างไรก็ตาม ที่ผมพูดมาทั้งหมดในวันนี้ ไม่ประสงค์จะไปให้ยึดเรื่องตำรา เพราะตำรามีทั้งผิดมีทั้งถูกเป็นเรื่องธรรมดา ข้อสำคัญที่สุดคนที่อ่านตำราเป็นเขาไม่ไปยึดเรื่องตำรา เขาต้องพิจารณาด้วย ปัญญาว่าอะไรดีหรีอไม่ดี อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรบำเพ็ญ จะ ควรเชื่อถีอได้แค่ไหนเพียงไรนั้นเป็นเรื่องของเรา จะต้องกลั่น กรองด้วยปัญญาเสียก่อน เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั้นก็ขอให้ทุก ท่านทุกคนที่อ่านนี้จงพิจารณาดูว่า มีเหตุผลสมควรเชื่อถือได้หรีอไม่ ควรเชื่อหรีอไม่ควรเชื่อด้วยประการใดนั้น โปรด พิจารณาด้วยเหตุผลของแต่ละท่านแต่ละคนเอาเองก็แล้วกัน[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ได้สรุปจบเรื่องการไปสู่โลก ทิพย์ของท่านลงด้วยความปลื้มปิติของทุกท่าน ที่ได้ฟังในวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวโลกทิพย์เสียนาน เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจในเรื่อง นี้จึงได้นำมาลงไว้ในคราวเดียวกันเสียเลย บัดนี้ก็จะได้พาท่าน เข้าสู่เรื่องการออกบำเพ็ญกรรมฐานของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโยต่อไปใหม่[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ภายหลังจากที่ท่านได้หายจากการป่วย ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว ท่านก็ยังได้อยู่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่สีลา อิสสโร ต่อมาอีก เพราะว่าหลวงปู่สีลา อิสสโร นั้น มีข้อวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใสน่าเคารพกราบไหว้สักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง เป็นครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ให้ความเคารพรองลงมาจากหลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร เมี่อหลวงปู่สีลา อิสสโร ไม่สะดวกเรี่องอะไร หรือมีความประสงค์สิ่งใดแล้ว ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือวิสัย หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ท่านจะต้องจัดการสนองเจตนาทุกครั้งไป[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] มีอยู่คราวหนึ่งซึ่งเป็นฤดูหนาว ในปีนั้นจังหวัดสกลนครมีความหนาวเย็นมากกว่าทุกปี หลวงปู่ลลา อิสสโร ได้ ปรารภขึ้นมาว่า " ปีนี้บ้านเราอากาศหนาวมาก ถ้าไม่มีโรง ไฟบรรเทาความหนาวผมคงจะแย่.. เมื่อทราบความ ประสงค์ของครูบาอาจารย์แล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ ชักชวนหลวงปู่หาญ ชุติณธโร และพระภิกษุสามเณรอีกหลาย องค์ช่วยกันก่อสร้างโรงไฟเพื่อถวายครูบาอาจารย์ทันที มีอยู่ วันหนึ่งหลวงปู่สมชายได้ขึ้นไปตีตะปูเพี่อจะมุงหลังคาโรงไฟนั้น จะด้วยเหตใดไม่ทราบได้ไม้อันที่ท่านเหยียบอยู่บนนั้นได้หลุดออก จากกันโดยบังเอิญ จึงเป็นเหตุให้ท่านพลัดตกลงมาจากหลังคาโรงไฟทันที ร่างหล่นลงมากระแทกกับกองไม้ซึ่งกองระเกะระกะอยู่ข้างล่างนั้นเต็มที่ ถึงขนาดสลบหมดสติไป ขาข้างหนึ่ง กระดกหลดหมนได้รอบ พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อหายจากการตกตะลึงแล้ว ก็ได้ช่วยกันหามหลวงปู่สมชายออกมาทำการปฐมพยาบาลจนรู้สึกตัว[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่หาญ ชุติณธโร ได้ไปหาเก็บใบยาสมุนโพรต่างๆ ซึ่งหาได้ง่ายตามป่านั้นมาทำเป็นยาลูกปะคบและทำเป็นยาย่างสลับกันไป ในวันหนึ่งหลวงปู่หาญได้ทำยาสมุนไพรแบบย่าง คือเอาใบยาต่างๆ ที่หามาได้ ปูลงบนเตียงเอาเสื่อปูทับแล้วช่วยกันหามหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นอนทับเสื่อก่อไฟไว้ใต้เตียง โดยให้ความร้อนเผาใบยา ใบยานั้นก็จะระเหือดไอ ขึ้นสู่ตามตัวของหลวงปู่สมชาย เป็นการรักษาพยาบาลแบบโบราณและง่ายๆ แต่ได้ผลดีมาก ได้รักษาแบบปะคบและย่าง สลับกันอยู่หลายวันอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] วันหนึ่งหลวงปู่หาญ ได้หามหลวงปู่สมชายขึ้นย่างบนเตียงเหมือนอย่างทุกวันที่เคยทำมาแล้ว หลวงปู่หาญก็ได้ออกไปช่วยพระเณรก่อสร้างโรงไฟต่อ เนื่องจากใบยาสมุนไพรนั้น ได้ถูกย่างมาหลายวันแล้วก็แห้งกรอบ พอถูกไฟในวันนี้เข้าก็เลยกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี ไฟที่หลวงปู่หาญได้ก่อไว้ใต้เตียงนั้นก็ได้ลุกไหม้ใบยาสมุนไพร และลุกไหม้เสื่อไหม้เตียงที่หลวง ปู่สมชายนอนย่างอยู่นั้น จนกระทั่งความร้อนถึงตัว จะลุกขึ้นหนีก็ลุกไม่ได้ เพราะขาที่หลุดยังไม่เข้าที่ ร้องเรียกพระเณรก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะกำลังทำงานกัน ไฟก็ ลุกไหม้แรงขึ้นๆ จนร้อน ระบมไปทั่วแผ่นหลัง จึงได้ตัดสินใจดิ้นจนตกลงมาจากเตียง ความสูงของเตียงจากพื้นดินก็สูงพอสมควร คนที่กำลังเจ็บอยู่ แล้วก็ต้องมาเจ็บซ้ำเป็นรอบที่สองอีก จนกระทั่งพระเณรที่ทำงานอยู่ได้เวลาพัก หลวงปู่หาญจึงได้เดินมาดู ก็ได้เห็นไฟไหม้เตียงเรียบร้อยไปแล้ว ภายหลังจากรักษาพยาบาลหายเป็นปกติดีแล้ว ก็ยังได้บำเพ็ญศึกษาปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติต่อมาอีกนานพอสมควร แล้วจึงได้กราบลาเพื่อออกหาสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ต่อไป และในครั้งนั้นหลวงปู่สีลา อิสสโร จึงแนะนำให้ไปพักบำเพ็ญที่ วัดบ้านกุดเรือ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโยก็ได้ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์ แนะนำ ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดบ้านกุดเรีอนานพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงโด้กราบลา หลวงปู่สีลา อิสสโร ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยัง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ที่สุดได้ เข้าไปพักบำเพ็ญอยู่ที่วัดพระงามศรีมงคล ซึ่งมีท่านพระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ เป็นเจ้าอาวาส เป็นวัดเก่าที่หลวงปู่มั่นภูริทตตเถร เป็นผู้สร้างไว้ ตลอดระยะเวลาการบำเพ็ญก็เป็นไปได้ดี มากพอสมควรต่อจากนั้นก็ได้ออกเดินทางมุ่งไปทางจังหวัดมุกดาหาร เพี่อแสวงหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ต่อไป[/FONT]
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table48 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]บำเพ็ญธรรมที่ภูเก้า [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พ.ศ. 2496[/FONT] (23)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table49 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=17 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ออก เดินทางจากวัดพระงามศรีมงคล หาสถานที่วิเวกไปทางจังหวัดมุกดาหารในครั้งน ี้ได้มีพระภิกษุสามเณรติดตามไปด้วยหลายรูปเดินไปเรื่อยพักบำเพ็ญไปตามสายทางที่ผ่าน แห่งละคืนบ้างสองคืนบ้างจนกระทั่งเข้าไปถึง ภูเก้า อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร (สมัยก่อนเป็นจังหวัดนครพนม) เห็นว่าเป็นสถานที่ สงบวิเวกน่าบำเพ็ญดี จวบกับเวลาใกล้เข้าพรรษาจะถึงพอดีจึงได้ตัดสินใจอยู่จำพรรษา ณ ภูเก้าแห่งนี้ ๑ พรรษาสำหรับการบำเพ็ญในพรรษานี้ก็เป็นไปได้ดี มาก และมีพระ เณรจำพรรษาอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๘ องค์ ๑ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นประธาน ๒หลวงปู่มุล ธมมวีโร ๓หลวงปู่พรหมา ๔ครูบาสุดใจ ๕ สามเณรสุดชา ๖ สามเณรทองม้วน ๗ สามเณรบุญเถิง ๘ สามเณรไสว ตลอดฤดูกาลพรรษาหลวงปู่สมชายก็นำพาพระ ภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับหลวงปู่สมชายนั้นต้องรับภาระหนักกว่าหมู่เพราะว่าเป็นหัวหน้าคณะ นอกจากจะนำพาปฏิบัติแล้วในตอนกลางวัน ท่านก็ยังได้นำเอาหนังสือบุพพสิกขาวรรณนา มาอ่านและ อธิบายให้พระเณรฟังเกี่ยวกับเรี่องของพระวินัยเป็นประจำตลอดฤดูพรรษา และได้นำพาทำทุกอย่างทั้งเรื่องการบำเพ็ญภาวนา เรี่องข้อวัตรกิจวัตรที่ท่านได้จำลองมาจากหลวงปู่มั่น ท่านก็ได้นำมาถ่ายทอดให้พระเณรฟังและพาปฏิบัติ เป็นต้นว่า การเดินจงกรม นั่งสมาธิ การบิณฑบาต กวาดตาด สวดมนต์ ทำวัตร ท่านจะเป็นผู้นำพาทำทุกวันมิได้ขาด นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ยังได้อบรมสั่งสอนชาวบ้านให้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นจำนวนมาก มีชาวบ้านหมู่บ้านโคกกลาง-บ้านคำนางโอก-บ้านหลุมปึ้ง-บ้านเหล่าน้อย-บ้านแวง-บ้านคำพี -บ้านเป้า-บ้านภู เป็นต้น ญาติโยมทั้ง ๘ หมู่บ้านนี้มีความเลื่อมใสศรัทธาท่านเป็นอย่างมาก[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] [/FONT]</TD><TD width=16> </TD><TD rowSpan=17 width=371>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table50 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่วัดอรัญญวิเวก "บ้านหนองโตนโต้น" พ.ศ. 2497 (24)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table51 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ภายหลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านก็ได้นำพาพระเณรลงจากภูเก้าลงมาพักบำเพ็ญที่ วัด อรัญญวิเวก (วัดบ้านหนองโตนโต้น) ซึ่งเป็นวัดร้าง ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ ชาวบ้าน ทั้งหมดจึงได้ขอกราบอาราธนานิมนต์ให้ท่านได้อยู่อบรมสั่งสอนชาวบ้านที่นี้ต่อไป เนี่องจากญาติโยมในหมู่บ้านแถบนี้เหินห่างจากการได้ทำบุญมาเป็นเวลานานแล้ว ท่านจึงได้อยู่สนองเจตนาของชาวบ้านเรี่อยมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ก็ได้จำ พรรษาอยู่ที่วัดอรัญญวิเวก อีก ๑ พรรษา ในพรรษานี้มีพระภิกษุสามเณร ๑๔ รูปมี หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นหัวหน้า ๒ หลวงปู่มุล ธมมวีโร ๓ หลวงปู่พรหมา ๔ ครูบาสุดใจ ๕ ครูบาสวรรค์ ๖ ครูบาหนูเทพ ๗ สามเณรไสว ๗ สามเณรสุดใจ ๙ สามเณรทองม้วน ๑๐ สามเณรบุญเถิง ๑๑ สามเณรสี ๑๒ สามเณรประไพ ๑๓ สามเณรทองเบ้า ๑๔ สามเณรบุญมา ตลอดพรรษาในปีนี้ท่านก็ได้นำพาประพฤติปฏิบัติเหมือนกับที่อยู่บนภูเก้า ส่วนทางด้านญาติโยมชาวบ้านนั้นก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพราะมีความเลื่อมใสศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย และพระภิกษุสามเณร[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] พอออกพรรษาแล้วญาติโยมก็ได้จัดให้มีการทอดกฐินตามประเพณี รับกฐินเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่จึงถีอโอกาสบอกลาญาติโยมเพื่อจะเดินทางไปหาสถานที่บำเพ็ญภาวนาแห่งใหม่ต่อไป ญาติโยมส่วนใหญ่ถึงกับร้องไห้อาลัยอาวรณ์ ด้วยความสงสารชาวบ้าน หลวงปู่จึงได้ให้ หลวงปู่มุล ธมมวีโร และ หลวงปู่พรหมา กับสามเณรอีกสามรูป อยู่ฉลองศรัทธาญาติโยมต่อไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนหลวงปู่และพระเณรรวม ๘ รูป ก็ได้ออกเดินทางเพื่อไปหาสถานที่บำเพ็ญต่อไป ในระหว่างทางนั้นก็ได้แวะไปกราบ ท่านพระอาจารย์คำ คมภีโร วัดสิลาวิเวก จังหวัดมุกดาหาร และได้พักอยู่ ๒-๓ คืนก็กราบลาออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครพนม การเดินทางของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้นได้แบ่งเวลาดังนี้ คือ เดิน ๕๐ นาที พัก ๑o นาที ค่ำที่ไหนก็หาป่าช้า วัดร้าง หรือเงื้อมถ้ำ ที่มีความสงัดวิเวกพักบำเพ็ญตลอดระยะทาง ที่สุดได้เดินทางมาถึง ถ้ำพระเวส อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เห็นว่าเป็นสถานที่วิเวกวังเวงดีมาก จึงได้เข้าไปพักทำความเพียรอยู่เป็นระยะเวลานานพอสมควร แล้วจึงได้ออกเดินทางต่อไปทางจังหวัดนครพนม ได้เข้าไปพักที่ ป่าช้าบ้านหนองเค็ม เห็นว่าเป็นสถานที่วิเวกดี น่าบำเพ็ญจึงได้พักอยู่ประมาณ ๒-๓ เดือน
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในปีนี้อากาศหนาวจัดมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ถึง ขนาดนกหนาวตายเป็นจำนวนมาก ต้นกล้วยก็เป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว พระเณรทั้งหมดก็หนาวแทบทนไม่ไหว บางองค์เป็นตะคริวเก็งแข็งไปหมดทั้งตัว หลวงปู่จึงได้ปรึกษาพระเณรว่าจะทำอย่างไรดี ผ้าห่มที่นอกเหนือไปกว่าจีวรก็ไม่มีแล้ว ถ้าไม่ได้ผ้าห่มมาเพิ่มเห็นที่จะแย่แน่ ถ้าจะไปหาหรือก็ไม่รู้จักใคร ยังไม่คุ้น เคยกับญาติโยมที่นี่เลยในขณะที่ได้ปรึกษากันอยู่ได้ไม่นานนั่นเอง ก็มีญาติโยมนำผ้าห่มมาถวายเป็นจำนวนมาก สอบถามจึงทราบว่า โยมผู้ชายชื่อว่า อาจารย์เชวง ศิริรัตน์ โยมผู้หญิงชื่อ คุณนายทองพูน ศิริรัตน์ ตั้งแต่บัดนั้นทั้งสองท่านก็ได้ปวารณาตัวขอเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่สมชายมาจนถึงปัจจุบันนี้ ในครั้งนั้นก็ได้อยู่ภาวนาฉลองศรัทธาญาติโยมได้ ประมาณ ๓ เดือนเศษ ก็ต้องอำลาญาติโยมเพี่อหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ต่อไปอีก[/FONT]


    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table52 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]บำเพ็ญธรรมที่ถ้ำพระภูวัว (25)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table53 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านมักจะเล่าถวายพระเณรฟังอยู่เสมอๆ ว่า ภูวัวเป็นสถานที่ ท่านได้รับธรรมะมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ภูวัวเป็นสถานที่มีความสงบวิเวก อากาศดี น้ำอุดมสมบูรณ์ สถานที่จะหลบบำเพ็ญก็มีหลายแห่ง แต่สถานที่ สำหรับโคจรบิณฑบาvานันออกจะลำบากไปสักหน่อย เพราะว่าหมู่บ้านอยู่ห่างไกลมากถึง ๗ กม. ทางเข้าออกก็ลำบาก สัตว์ร้ายก็ชุกชุมมาก ถ้าจะไปอยู่ที่นั้นต้องอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา กันเลยทีเดียว พระภิกษุสามเณรทุกองค์เมี่อได้ยินได้ฟังแล้วก็มี แต่ความกระสันอยากจะสัมผัสกับสถานที่แห่งนี้กันทุกองค์ อยากจะบำเพ็ญภาวนาตั้งแต่ยังไม่เห็นสถานที่กันเลย และทุก องค์ก็พร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อปฏิบัติบูชา เหมือนอย่างหลวงปู่ได้เล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าพระเณรอยากไปภูวัวกันทุกองค์ ไม่มีองค์ไหนที่ไม่อยากไป ภายหลังจากอำลาญาติโยมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุสามเณรก็ได้จัดเตรียมสมณบริขารเท่าที่ จำเป็นเพี่อออกเดินทางมุ่งหน้าไปภูวัว หาสถานที่บำเพ็ญต่อไปในครั้งนี้ อาจารย์เชวง และคุณนายทองพูน ศิริรัตน์ พร้อมทั้งญาติโยมชาวบ้านจำนวนมากได้ติดตามไปส่งถึงท่าเรือ ในครั้งนี้ หลวงปู่ได้นำพาหมู่คณะเดินทางโดยทางเรือ ผ่านมาทางอำเภอศรีสงคราม ถึงอำเภอบ้านแพง เวลาบ่าย ๕ โมงเย็นพอดี จึงได้เข้าไปพักที่ป่าช้าริมทางอำเภอบ้านแพง พอไปถึงไม่ทราบว่า ญาติโยมมาจากไหนกันมากมายมาต้อนรับพูดคุยสนทนาเป็นกันเองดีมาก ต่อจากนั้นหลวงปู่จึงได้ให้พระเณรแยกย้ายกันหาที่พักในป่าช้าบ้านแพงนั้น พักอยู่ ๑ คืน รุ่งเช้าออกบิณฑบาตฉันจังหันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อำลาญาติโยมออกเดินทางต่อ และตั้งใจว่าจะเดินทางให้ถึงภูวัวในวันนี้ ได้เดินทางกันตลอดทั้งวันแทบไม่ได้พักกันเลย จนกระทั่งเวลาเย็นมากแล้วก็มาถึงบ้านโพธิ์หมากแข้ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับภูลังกา พักอยู่ที่นี้ ๑ คืน รุ่งเช้า เสร็จภัตกิจแล้วก็ออกเดินทางต่อหลวงปู่ได้พาเดินไปตามโขงหลงแล้วก็ผ่านมาถึงบ้านต้อง บ้านดอนเสียด ได้ม ญาติโยมออกมา ให้การต้อนรับและติดตามไปส่งถึงภูวัว ท่านตั้งใจว่าจะไปปักหลักบำเพ็ญทางด้าน ถ้ำพระ [/FONT]


    ถึงถ้ำพระแล้วก็แยกย้ายกันออกหาสถานที่กางกลด โดยไม่ให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ให้มุ่งภาวนากันจริงๆ จะมารวม กันได้ก็ตอนเช้าเวลาฉันจังหัน เวลาเดียวเท่านั้น สำหรับเรี่อง อาหารการขบฉันนั้นก็ได้มีญาติโยมชาวบ้านนำข้าวสารขึ้นมาไว้ให้สามเณรเป็นผู้เก็บรักษาไว้ และสามเณรนั้นก็มีหน้าที่ในการจัดจังหันเพี่อถวายในตอนเช้าเป็นประจำทุกวัน เว้นไว้แต่ วันไหนที่มีญาติโยมขึ้นมาบำเพ็ญด้วยก็เป็นหน้าที่ของญาติโยมเป็นผู้จัดทำ ส่วนกับข้าวนั้นก็มีเกลือและพริกแห้งเป็นอาหารหลักประจำวัน บางวันสามเณรก็ต้องจัดหาอาหารเสริม ได้แก่ ข่าป่า หวายอ่อน หรือผักหนาม ซึ่งเป็นอาหารประเภทผักป่า ซึ่งพอหาได้บนภูวัวนั้น แล้วนำมาต้มรวมกันกับข้าว ส่วนวิธี หุงข้าวต้มผักนั้น สามเณรจะต้องใช้ข้าวเพียงวันละหนึ่งแก้วต่อพระเณร ๘-๑๐ องค์ แล้วก็ใส่ผักหนาม หัวข่าป่า หรือ หวายอ่อนมากๆ หน่อย ถ้าใช้ข้าวสารเกินกว่าหนึ่งแก้วแล้ว ข้าวสารจะหมดก่อนกำหนด คือ ๑๕ วัน ชาวบ้านจะนำข้าวสารขึ้นมาส่งครั้งหนึ่งเท่านั้น เมื่อสามเณรหุงหาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตีระฆังให้สัญญาณนิมนต์พระที่ท่านภาวนาอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ให้มารวมพร้อมกันเพื่อฉันจังหัน


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในครั้งนี้ได้บำเพ็ญอยู่ที่ภูวัว ประมาณ ๓ เดีอน ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ชาวบ้านก็ได้นำข้าวสาร พริกแห้ง เกลือมาส่งทุกๆ ๑๕ วันต่อ ๑ ครั้ง ครั้งหนึ่งจะได้ข้าวสารประมาณครึ่งถัง จะให้ดีหรือมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะความยากจนของครอบครัว แต่ทุกคนก็ทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างจริงจัง และอีก อย่างหนึ่งถนนหนทางที่จะนำมาของขึ้นไปส่งก็ลำบากมากและเสี่ยงอันตรายนานาชนิด ผู้ที่จะนำเสบียงไปส่งจะต้องเป็นชายวัยฉกรรจ์ และต้องมีความชำนาญป่าจริงๆ ทางขึ้นภูวัวสมัย นั้นก็ไม่เหมือนสมัยนี้ต้องปีนป่ายเถาวัลย์ไต่ขึ้นไปตามหน้าผาที่สูงชัน โดยเอาเสบียงทั้งหมดมัดติดกับหลังไม่ให้หลุด ถ้าหากพลาดท่าเสียทีก็หมายถึงชีวิตกันเลยทีเดียว ถ้าไม่มีความเลี่อมใสศรัทธาหรีอมีความทรหดอดทนจริงๆ จะทำไม่ได้เลย การ บำเพ็ญภาวนาของพระภิกษุสามเณรก็รู้สึกว่าจะเป็นไปได้ดีมาก ทุกท่านทุกองค์ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งกลางวันและกลางคืนแทบจะไม่ต้องพักผ่อนกันเลยทีเดียว แต่พอมานึกถึงความลำบากของญาติโยมที่จะต้องคอยส่ง เสบียงแล้วก็เห็นใจและสงสารญาติโยมชาวบ้าน ในครั้งนี้จึงอยู่ ได้ประมาณ ๓ เดีอนจึงได้ลงจากภูวัว [/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้นำพาหมู่คณะลงมาจากภูวัวแล้ว ก็ได้นำพาไปกราบคารวะ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร แต่ไปไม่พบ ทราบว่าท่านไปบำเพ็ญที่ ถ้ำขาม จึง ได้ออกเดินทางต่อไปจนถึงถ้ำขาม ได้กราบนมัสการหลวงปู่ฝั้น อยู่ฟังธรรมและปฏิบัติอยู่กับท่านที่ถ้ำขามประมาณ ๑๕ วัน จึงได้กราบลาหลวงปู่ฝั้น เพื่อไปหาสถานที่บำเพ็ญภาวนาทาง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table54 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หนองท่มท่ากะดัน พ.ศ. 2498 (26)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table55 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=18 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ภายหลังจากได้กราบลาหลวงปู่ฝั้น ลงมาจากถ้ำขามแล้ว หลวงปู่ก็ได้นำพาหมู่คณะมุ่ง หน้าไปทางอำเภอวานรนิวาสได้ไปพักอยู่ที่ บ้านหนองแอก บ้านหนองท่มท่ากะดัน และ บ้านดงหม้อทอง ได้สับเปลี่ยนที่บำเพ็ญระหว่างสามหมู่บ้านนี้มาเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงเวลาเข้าพรรษา จึงได้ตกลงใจพาหมู่คณะไปจำพรรษาที่ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดัน ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้มาจำพรรษาที่บ้านดงหม้อทอง และท่านพระอาจารย์สภาพ ธมมปญโญ ก็ได้มาจำพรรษาที่บ้านหนองแอก ทั้งสามหมู่บ้านนี้อยู่ไม่ห่างไกลกันนัก พอถึงวันอุโบสถหนึ่งๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็ได้มารวมกันสวดปาฏิโมกข์ และ ก็ได้สนทนาถึงเรื่องอุบายวิธีการปฏิบัติซึ่งกันและกัน เป็นประจำตลอดฤดูกาลพรรษา[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดันนี้มีสภาพเป็นป่าแฝกสมัยนั้นเสือยังชุกชุมมาก จึงได้ช่วยกันปลูกกุฏิทีเดียว ๑๔ หลัง พระเณรได้ช่วยกันบูรณะพัฒนาสภาพป่า ป่าช้าให้โล่งโปร่ง เพื่อสะดวกในการบำเพ็ญสมณธรรม ตลอดพรรษาพระ เณรทุกองค์ก็ได้เร่งทำความเพียรกันทั้งกลางวันและกลางคืน กลางวันหลวงปู่ก็ได้นำหนังสือบุพพสิกขาวรรณนา ซึ่งเป็น หนังสือเกี่ยวกับพระวินัยมาอ่านถวายความรู้แก่พระภิกษุสามเณรเป็นประจำทุกวันตลอดพรรษา ในวันพระ หลวงปู่ก็ต้องเป็นภาระอบรมสั่งสอนชาวบ้านที่มารักษาศีลฟังธรรม โดย หลวงปู่อบรมด้วย นำภาวนาด้วย แต่ตอนกลางคืนเวลาพระเณรเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ ต้องคอยระมัดระวังเสือให้ดีเพราะไม่รู้ว่ามันจะแอบมาคาบไปเมื่อไร กุฏิหลังไหนที่เห็นว่าจะ เป็นทางผ่านของเสือ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายแก่พระเณรแล้ว หลวงปู่จะต้องไปอยู่กุฏิหลังนั้น เพื่อคอยระมัดระวังอันตรายอันจะเกิดขึ้นกับหมู่คณะ และให้พระเล็กเณรน้อยอบอุ่นใจมากขึ้น ท่านมีนิสัยรักหมู่คณะตลอดมา สิ่งไหนที่ไม่ดี หรีออาจจะเป็นอันตรายแก่หมู่คณะ หรีอครูบาอาจารย์ ท่านจะต้องขอรับเองเสียก่อนก่อนที่อันตรายนั้นจะไปถึงหมู่คณะ หรือครูบาอาจารย์ ได้พักบำเพ็ญที่ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดัน ๑ พรรษา พอออกพรรษาแล้วก็ได้อำลาญาติโยมผู้ให้การอุปถัมภ์ มีสารวัตรแสนพ่อออกจารย์ลี-พ่อออกจารย์บุญ และแม่ออกนา เป็นต้น เสร็จแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ผ่านบ้านหนองยอง บ้านหนองแข็ง จนกระทั่งถึงริมฝั่งโขง และถึงบ้านโพนแพง ใน ช่วงนั้นพอดีตรงกับงานนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนแพง จึงได้พากันเข้าไปนมัสการรอยพระบาทก่อนออกเดินทางต่อ เห็นมีประชาชนเดินทางไปนมัสการกันเป็นจำนวนมากไม่ขาดระยะ เพราะเชื่อกันว่าเป็นรอยพระบาทที่ศักดิ์สิทธิ์มาก สำหรับฝั่งตรงข้ามคือด้านประเทศลาว ก็มีรอยพระบาทอย่าง เดียวกันนี้อีกหนึ่งรอย เรียกกันว่ารอยพระบาทบ้านโพนสัน ก็ เชื่อกันว่าเป็นของจริงและศักดิ์สิทธิ์อีกเช่นกัน ในสมัยนั้นจึง เป็นธรรมเนียมที่ว่าเมื่อนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนแพงแล้ว ก็ต้องข้ามไปนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนสันทางฝั่งลาวด้วย จึงจะถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งทีเดียว[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table56 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]มุ่งสู่นครเวียงจันทน์ (27)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table57 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ภายหลังจากที่ได้ไปกราบนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนแพงแล้ว หลวงปู่ก็ได้พาข้ามไปทางฝั่งลาว เพื่อนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนสันอีกครั้งหนึ่ง ที่ บ้านโพนสันนี้มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่องค์หนึ่ง หลวงปู่จึงได้ลองยกเพื่อเสี่ยงทายว่า ..คณะของท่านทั้งหมดจะเดินทางไป ถึงนครเวียงจันทน์หรือไม เมื่อไปถึงแล้วจะมีอุปสรรคอย่างใดหรือไม่.. แล้วหลวงปู่ก็ได้ลองยกองค์พระปรากฏว่ายกขึ้นได้เพียงคืบเดียวก็กลับหนัก และยกไม่ขึ้นอีกเลย จะลองยกอีกเท่าไรก็ยกไม่ขึ้น ซึ่งเป็นเรี่องแปลกมาก[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ต่อจากนั้นหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้พาหมู่คณะ พระเณรออกเดินทางมุ่งตรงไปยังนครเวียงจันทน์ วันนั้นเดินได้ประมาณ ๕ กม. ก็บังเอิญมีรถยนต์ผ่านมา คนขับได้จอดรถแล้วลงมาถามว่า "พระคุณเจ้าจะเดินทางไปที่ไหน ไม่ทราบ" หลวงปู่ตอบว่า "อาตมาและคณะมีความประสงค์ที่จะเดิน ทางไปยังนครเวียงจันทน์" เจ้าของรถคันนั้นจึงได้กราบอาราธนานิมนต์ไห้ขึ้นรถ เพราะว่ากำลังจะไปนครเวียงจันทน์พอดีจึงนับว่าเป็นโชคของคณะเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงได้สั่งให้นำบริขารขึ้นรถ เมื่อรถวิ่งไปถึงนครเวียงจันทน์แล้ว หลวงปู่ก็ได้บอกให้ คนขับรถช่วยไปส่งที่ วัดจอมไตร บ้านดงนาซก คนขับก็ช่างมีน้ำใจ ได้นำท่านหลวงปู่และคณะไปถึงยังวัดจอมไตรด้วยความเรียบร้อยเป็นอย่างดี


    เมื่อไปถึงวัดจอมไตรแล้ว ก็ได้มีพระเจ้าของถิ่นออกมาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่แปลกว่าพระที่วัดนี้มีแต่หลวงพ่อหลวงตาอายุมากๆ กันทั้งนั้น และได้เข้าไปกราบ ท่านพระอาจารย์อ่อนสี นาหิโย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส เสร็จแล้วจึงแยก ย้ายกันไปสู่ที่พักที่ทางเจ้าอาวาสสั่งให้สามเณรพาไปส่ง วัด จอมโตรเป็นวัดคณะธรรมยุตที่มีชื่อเสียงในประเทศลาว แต่มีพระเณรไม่มากนัก มี หลวงพ่อลิด-หลวงพ่อลา-หลวงพ่อหอม- หลวงพ่อคิ้ม และสามเณรอีก ๔-๕ องค์เท่านั้น ในระหว่างนั้นท่านพระอาจารย์อ่อนสี ได้อาพาธเป็นวัณโรคชนิดร้ายแรง อยู่ในระหว่างอันตราย หลวงปู่จึงได้มีโอกาสช่วยรักษา พยาบาลบางครั้งก็ต้องข้ามกลับมาซื้อยาที่กรุงเทพฯ นำไปรักษา แต่อาการก็ไม่ทุเลาลงเพราะอยู่ในขั้นหนักมากแล้วหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ให้การดูแลรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีจนถึงที่สุด ท่านพระอาจารย์อ่อนสี ก็ได้มรณภาพในเวลาต่อมา คือในปี พ.ศ. ๒๔๙๙


    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    บรรดาพระภิกษุสามเณร และญาติโยมชาวบ้าน ตลอดทั้งบุคคลชั้นนำของประเทศลาวก็ได้มีมติให้หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นประธานดำเนินงานจัดการเรื่องศพของท่านพระอาจารย์อ่อนสี เมื่อได้จัดบำเพ็ญกุศลตามประเพณี พอสมควรแก่เวลาแล้ว จึงได้จัดงานถวายเพลิงศพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสมเกียรติที่สุด


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] เมื่อได้จัดการถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์อ่อนสี เสร็จเรียบร้อยลงแล้ว หลวงปู่ก็ตั้งใจว่าจะนำพาหมู่คณะไปหา สถานที่บำเพ็ญตามสถานที่วิเวกในเมืองลาวนั้นไปเรื่อยๆ แต่ พอพระภิกษุสามเณรและประชาชนชาวบ้านได้ทราบว่าหลวงปู่จะเดินทางต่อ จึงได้พร้อมใจกันมาขออาราธนานิมนต์ให้ท่านได้เป็นประธานบริหารวัดจอมโตร และคณะสงฆ์ธรรมยุตทั้งหมดในประเทศลาว แทนท่านพระอาจารย์อ่อนสี เพราะว่าคณะสงฆ์และประชาชนมีความเลี่อมใสศรัทธาต่อข้อวัตรปฏิบัติ และพอใจในความรู้ความสามารถของหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยคณะของท่านจึงได้อยู่ที่วัด จอมไตรเพื่อฉลองศรัทธาพระภิกษุสามเณรและประชาชนต่อมาอีกระยะหนึ่ง ในระหว่างนั้นก็ได้นำพาพัฒนาก่อสร้างถาวร วัตถุไว้ที่วัดจอมไตรเป็นจำนวนมาก เช่น ได้สร้างอุโบสถ ๑ หลัง ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง กุฏิคอนกรีตอีกหลายหลัง และก็ได้ สร้างส้วมซึม ๑๐ กว่าห้อง ได้เปลี่ยนจากระบบส้วมป่อยตาม วัดต่างๆ ในประเทศลาวให้มาใช้ส้วมซึมทั้งหมด ซึ่งเป็นการ พัฒนาด้านสุขอนามัยของวัดและบ้านให้เหมาะสมและถูกต้อง ด้วยประการทั้งปวง
    [/FONT]
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table58 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่ประเทศลาวครั้งที่ 1 (28)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table59 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=16 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] จำพรรษาที่ประเทศลาวครั้งที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๙๙) เมื่อฤดูกาลพรรษามาถึงก็ได้ อธิษฐานจำพรรษาที่วัดจอมไตร ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในระหว่างพรรษาหลวงปู่ก็ได้นำระเบียบ อันดีงามที่เคยใช้สมัยอยู่ในประเทศไทยไปเผยแพร่ในประเทศลาว เช่นตอนกลางวันให้ พระเณรทุกองค์มาประชุมกัน แล้วท่านเป็นผู้อ่านหนังสอบุพพสิกขาวรรณนา พร้อมทั้งได้อธิบายถึงหัวข้อธรรมะวินัยให้เข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติกันให้ถูกต้อง เช้า-เย็น ให้มีการทำวัตรสวดมนต์เป็นประจำวัน สลับกับการบำเพ็ญภาวนา เวลาบ่ายสาม โมงให้มีการทำความสะอาดปัดกวาดบริเวณวัด ตอนกลางคืนหลังจากทำวัตรค่ำแล้ว ให้มีการเดินจงกรมและนั่งสมาธิกันทุกคืน [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ส่วนทางด้านญาติโยม หลวงปู่ก็ได้เทศนาอบรมสั่งสอนทุกวันธัมมัสสวนะ ให้มีการรักษาอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถและอบรมสั่งสอนให้รู้จักทำความสงบจิตใจ ด้วยการฝึกสมาธิ กันเป็นประจำ ญาติโยมส่วนใหญ่ที่มาให้การสนับสนุนในสมัยนั้น ล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นนำของประเทศ เช่น เจ้าสาย-เจ้าคำแสน เป็นต้น การเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศลาวในครั้งนั้นเป็นไปได้ดีมากพอสมควร จนเป็นที่เชื่อถือของพระภิกษุ สามเณรและประชาชนในประเทศลาวเป็นจำนวนมาก ทาง ด้านพระสงฆ์ในประเทศลาวก็ได้หันเข้ามาเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยเพิ่มขึ้น ประชาชนชาวบ้านเห็นพระภิกษุสามเณรมีสิกขาวินัยดีกว่าก่อนมาก ก็หันเข้ามาให้ความสนับสนุนอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดี[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table60 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่ประเทศลาวครั้งที่ 2 (29)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table61 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] จำพรรษาที่ประเทศลาว ครั้งที่ ๒ (พ ศ ๒๕๐๐) ภายหลังจากหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้นำพาพระภิกษุสามเณรเดินหาสถานที่วิเวกเพี่อ บำเพ็ญสมณธรรมตามสถานที่ต่างๆ ของประเทศลาว เป็น เวลานานจนเกีอบจะได้เวลาเข้าพรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงได้นำพาพระภิกษุสามเณรกลับมาเตรียมตัวเพี่อจำพรรษาที่วัดจอมไตร บ้านดงนาซก ประเทศลาว อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๒ เนื่องจากพรรษาแรกหลวงปู่ได้ ปลูกฝังศรัทธาญาติโยมไว้เป็นอย่างดีแล้ว ด้วยการประพฤติดีปฏิบัติชอบ สร้างสรรค์และนำพาทั้งด้านธรรมและวัตถุ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของบุคคลทั่วไป เมื่อมีฝ่ายสนับสนุนก็มีฝ่ายขัดขวาง ตลอดพรรษาได้มีประชาชนชาวบ้านทุกระดับชั้น มาทำบุญที่วัดจอมไตรกันเป็นจำนวนมาก เป็นประวัติการณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนกระทั่งวัดในนครเวียงจันทน์จำนวนหลายวัดนั้น ไม่ค่อยมีญาติโยมไปทำบุญ หรีอสนับสนุนเหมือนแต่ก่อน หันมาสนับสนุนที่วัดจอมไตรกันจนเกือบหมด จึงเป็น เหตุให้พระเณรวัดอื่นๆ ตั้งข้อรังเกียจ หาทางโจมตีให้ร้ายทุกวิถีทาง คอยยุแหย่ให้ชาวบ้านรังเกียจ และไม่ให้ชาวบ้านไปทำบุญที่วัดจอมไตร โดยกล่าวหาว่าเป็นพระปลอมบ้าง เป็นพระคอมมิวนิสต์บ้าง เป็นไส้ตกจากเมืองไทยบ้าง สุดแล้วแต่เขาจะว่ากัน บางครั้งเขาแจ้งตำรวจให้มาจับไปสอบสวน [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในพรรษานี้ไม่ค่อยสงบเหมือนพรรษาแรกเท่าไรนัก เพราะว่าเป็นช่วงที่ประเทศลาวได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ และมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ให้ไปเป็นระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่มีกษัตริย์ ไม่มีศาสนา ให้ เสมอภาคกันทั้งหมด พระสงฆ์ในเมีองลาวทั้งหมดจึงถูกใช้เป็น เครี่องมือในการทำงานของพวกเขา พระสงฆ์ถูกเปลี่ยนระบบ จากเคยมีระเบียบวินัยมีสิกขาบทต่างๆ เป็นเครี่องควบคุม ให้เป็นพระสงฆ์ที่ไม่มีสิกขาวินัยทั้งหมด โดยหลงเชื่องมงายกับพวกเขา ซึ่งเขาพยายามกล่าวว่าสิกขาวินัยนั้นไม่มีประโยชน์เป็นเรื่องยุ่งยาก ลำบากต่อการรักษา จะทำอะไรตามใจชอบก็ไม่ได้ ถ้าไม่ถือสิกขาวินัยแล้วก็สบาย จะทำอะไรก็ได้ไม่ผิด พระ สงฆ์ส่วนใหญ่ก็เอียงคล้อยไปกันเป็นจำนวนมาก แล้วหันเข้า โจมตีพวกเดียวกันที่รักษาสิกขาวินัยว่าเป็นพวกงมงายไร้สาระ และอะไรต่ออะไรอีกมากมาย แต่สรุปแล้วก็มีไม่มากนักสำหรับฝ่ายที่ต่อต้านโจมตี ส่วนใหญ่ส่วนมากล้วนแล้วแต่มีความเลื่อมใสศรัทธา คอยเป็นกำลังช่วยสนับสนุน แต่ถึงอย่างไรเหตุการณ์ก็ไม่เรียบร้อยเท่าไรนัก [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ พิจารณาเห็นว่าเหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศลาว เริ่มมี ปัญหาวุ่นวายเกี่ยวแก่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ท่านจึงได้นำพาหมู่คณะ ทั้งหมดข้ามกลับมาทางฝั่งไทย และก็ได้เดินหาสถานที่วิเวกมา เรี่อยๆได้มากพักอยู่ที่วัดป่าศรัทธารวม จังหวัดนครราชสีมา พอดีในช่วงนั้นทางรัฐบาลไทยได้จัดให้มีงานทำบญฉลองสมโภชครบ ๒๕๐๐ ปี หรือ ๒๕ พุทธศตวรรษ พอออกจากวัดป่าศรัทธารวม ก็ผ่านไปทางอำเภอโนนสูง บ้านดอนใหญ่ บ้านหัวหนอง และที่สุดก็ได้พักทำความเพียรอยู่ที่ ป่าช้าบ้านเดิ่น เห็ดหิน นานถึงสองเดีอนเศษ[/FONT]
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table62 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]รับนิมนต์กลับประเทศลาว (30)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table63 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในระหว่างที่กำลังสนุกเพลิดเพลินอยู่กับการบำเพ็ญ ภาวนาในแถบจังหวัดนครราชสีมานั้น ก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเดินทางกลับไปยังประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือภายหลังจากได้ ข้ามออกมากจากประเทศลาวแล้ว ประเทศลาวก็ได้เปลี่ยน แปลงระบบการปกครองจากประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกทำลายล้าง สถาบันศาสนา กำลังถูกย่ำยี พระสงฆ์ดีๆ ที่มีความเคร่งครัดทางเรี่องสิกขาวินัย ถูกต่อต้านขับไล่ให้ออกจากประเทศ บางองค์ก็ถูกนำไปสัมมนา ชนิดไม่ต้องกลับมาเหยียบแผ่นดินอีกต่อไปก็มี พระที่เลวๆ ย่อ หย่อนต่อพระธรรมวินัยถูกยกย่องสรรเสริญว่าเป็นพระดี ทั้งนี้ ก็เพื่อเขาต้องการให้ชาวบ้านเบื่อหน่ายต่อการประพฤติปฏิบัติ ของพระสงฆ์หรือเพื่อทำลายล้างสถาบันศาสนาทางอ้อมนั่นเอง[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] คณะผู้บริหารบ้านเมืองของประเทศไทยและประเทศลาว จึงได้กราบอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยคณะพระสงฆ์ซึ่งเป็นบริวารของท่าน เดินทางกลับไปประเทศลาวอีก เพี่ออบรมสั่งสอนประชาชน และเพื่อช่วย ปรับปรุงระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ในประเทศลาวให้ดีขึ้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงได้รับนิมนต์ แล้วก็ได้เดินทางกลับไปประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปลาย ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อ ข้ามไปถึงแล้วก็ได้ปรับปรุงระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ในประเทศลาวหลายอย่าง ให้พระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติ เคร่งครัดเป็นตัวอย่างของชาวบ้าน และได้อบรมสั่งสอน ประชาชนชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ให้เป็นผู้ที่รักชาติ รักพระศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลชั้นผู้นำของประเทศ เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่วายเว้นที่จะต้องถูกพวกคลั่งลัทธิใหม่โจมตีต่างๆ นานา เพราะว่าท่านไปขัดขวางการดำเนินงานของพวกเขา บางครั้งเขามาจับตัวไปสัมมนาที่นครเวียงจันทน์ เท่าที่ ทราบนั้นถ้าพวกเขาได้รับพระองค์ไหนไปสัมมนาแล้วละก็ จะไม่ ได้เห็นพระองค์นั้นได้กลับมาอีกเลยแม้แต่องค์เดียว แต่สำหรับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้นพวกเขาถือว่าเป็นพระที่สำคัญมากองค์หนึ่ง เขาจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงมากนัก เพียงแค่จับไป ขังไว้ในคุกขี้ไก่ แล้วก็ปล่อยตัวกลับมาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่ารวมถึง ๖ ครั้งด้วยกัน เมื่อท่านกลับออกมา ท่านก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนประชาชนอย่างเดิมอีกเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ จึงเป็นการไปขัดขวางการเผยแพร่ลัทธิของพวกเขา

    ครั้งที่ ๗ พวกคลั่งลัทธิเหล่านั้นได้พากันมาจับเอาตัวท่านไปอีก ครั้งนี้ทราบว่าเขาต้องการนำไปสัมมนาชนิดที่ไม่ต้องกลับมาอีกต่อไป ในครั้งนี้ทราบว่ามีพระองค์ สำคัญ ๆ ในนครเวียงจันทน์ถูกจับมาด้วยอีก ๓ องค์ เขาได้นำพานั่งเรือล่องไปตามลำน้ำโขง และก็ไม่ทราบว่าเขาจะพาไปยังแห่งหนตำบลใด แต่เท่าที่ทราบว่าพวกเขาได้จับ เอาพระองค์สำคัญๆ ไปสัมมนาแบบเดียวกันนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เห็นพระที่ไปด้วยนั้นได้กลับมาแม้แต่องค์เดียว ในครั้งนี้ก็คงจะเช่นกัน ทุกองค์ทราบดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเองต่างองค์ต่างก็ร้องขอชีวิต ร้องขอความเมตตาจากพวกคลั่งลัทธิทั้งหลายเหล่านั้น ตลอดระยะทางที่เรือล่องไปตามลำน้ำ โขงนั้น


    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่สำหรับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้นท่านไม่เคย สนใจเลยว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง ท่านนั่งสงบนิ่ง เงียบ กำหนดทำสมาธิภาวนาของท่านไปตลอดทาง โดยไม่ร้องขอชีวิตจากใครทั้งสิ้น ไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับท่าน เรือเพชรฆาตล่องไปตามลำน้ำโขงกะว่าไปไกลพอสมควร เมื่อถึงสถานที่สงัดปลอดภัยจากสายตาของผู้คนที่จะพบเห็นแล้ว นาทีหฤโหดก็ได้ เกิดขึ้นในบัดนั้น ปากกระบอกปืนได้ถูกหันยังเป้าหมายคือ พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ ที่นั่งร้องขอชีวิตอยู่นั่น ทีละองค์ๆ ๆ เป็นภาพที่น่าสลดสังเวชเป็นอย่างยิ่ง สามองค์ผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปากกระบอกปืนได้หันมายังองค์ที่สี่ซึ่งเป็นองค์สุดท้าย "จะด้วยเดชเดชะบารมีหรือเหตุบังเอิญก็ไม่ทราบได้ เพชรฆาตที่กำลังยกปืนจ้องอยู่นั้นถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงนั่ง แล้วค่อย ๆ คลานเข้ามากราบที่เท้าและกล่าวคำขอขมาลาโทษ"


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] แทนที่เพชรฆาตนั้นจะนำท่านไปทางฝั่งลาว แต่กลับ นำท่านมาส่งขึ้นทางฝั่งไทย และขอร้องไม่ให้ท่านข้ามกลับไปอีก เพราะเขาเกรงว่าหัวหน้าใหญ่เขาทราบเข้า ตัวเขาจะต้องมีความผิดด้วย เมื่อมาถึงฝั่งไทยแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปพักอยู่ที่ วัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย ต่อจากนั้นจึงได้สั่งให้ญาติโยมอีกคณะหนึ่ง ข้ามไปรับพระเณรคณะของท่านที่ยังตกค้างอยู่ที่ฝั่งลาวกลับมาทั้งหมด คณะพระเณรทุกองค์ทั้งหมดได้พักอยู่ที่วัดศรีเมือง ไม่นานนัก ก็ได้ย้ายไปพักบำเพ็ญที่ วัดอรุณรังษี ได้พักอยู่ประมาณ ๘ เดือน หลวงปู่ได้นำพาบำเพ็ญภาวนาด้วย และได้นำพาพัฒนาวัดไปด้วย ได้ช่วยกันสร้างรั้วเพื่อกั้นเขตวัด ทำเป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดีพร้อมล้อมลวดหนามรอบบริเวณวัด และได้ก่อสร้างเสนาสนะอื่นๆ อีกหลายอย่าง อยู่ที่นี่จนถึง ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านจึงได้พาออกจาก วัดอรุณรังษี และได้ลงมาทางจังหวัดนครราชตมา ได้เวียนไปเวียนมาอยู่หลายแห่ง อยู่ที่วัดป่าสาลวัน บ้าง มาอยู่ที่วัดป่า ศรัทธารวมบ้าง ต่อมาก็ได้ย้ายลงมาทางอำเภอปากช่อง ลงไป ถึงอำเภอแก่งคอย และได้ไปพักอยู่ที่ บ้านพระบาทน้อยระยะหนึ่ง[/FONT]
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table64 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่วัดเขาไทรสายัณห์ พ.ศ. 2501 (31)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table65 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] พอจวนใกล้จะเข้าพรรษาในปีนั้นจึงได้หวนกลับมาจำพรรษาที่วัดเขาไทรสายัณห์ อำเภอ ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ และในปีนี้หลวงปู่โง่น โสรโย ก็ได้จำพรรษาอยู่ด้วยกัน ในพรรษาปีนี้ หลวงปู่สมชายก็ได้เร่งความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ดูเหมือนๆ กับหลวงปู่จะทดลองผลสมาธิบางอย่าง คือ ๗ วัน ท่านจะฉันจังหันครั้งหนึ่งบ้าง บางครั้งก็ ๑๕ วันฉันจังหันครั้งหนึ่งบ้าง และยังได้อธิษฐานเนสัชชิกังคะทุกวันตลอดพรรษา คือไม่เอนกายลงนอนจำวัดทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับ ตอนกลางวันนั้นหลวงปู่สมชายก็ยังได้ช่วยหลวงปู่โง่น โสรโย ก่อสร้างอีกด้วย ในช่วงนี้พอดีทางวัดกำลังก่อสร้างโบสถ์และวิหารบนยอดเขา ทั้งหลวงปู่สมชายและพระเณรจึงได้ช่วยงานในครั้งนี้อย่างเต็มที่[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] สำหรับหลวงปู่สมชายนั้น เหมีอนกับท่านต้องการให้ พระเณรได้ประจักษ์กับผลของสมาธิ นอกจากท่านจะถือ เนสัชชิกังคะ ๗ วัน ๑๕ วันฉันจังหันครั้งหนึ่งแล้ว ในตอน กลางวันท่านยังสามารถช่วยทางวัดแบกปูนจากข้างล่างขึ้นไปบนเขาได้อีก โดยแบกครั้งละ ๒ ลูก หนึ่งวันท่านสามารถแบกได้ถึง ๔๒ ลูก ถ้าเทียบกับคนงานที่ทางวัดได้จ้างแบกแล้วนั้น คนงานแบกได้เที่ยวละ ๑ ลูก ตลอดวันคนงานแบกได้เพียงวันละ ๒๐ ลูกเท่านั้น จึงเป็นเรี่องแปลกสำหรับข้าพเจ้าผู้ได้พบเห็น จึง พิจารณาได้ว่าหลวงปู่ท่านเอากำลังจากส่วนไหนของร่างกาย มาทำงานได้อย่างนี้ ถ้าไม่ใช่กำลังจากผลของสมาธิแล้ว คนเราธรรมดาๆ จะไม่สามารถทำได้อย่างนั้นแน่นอน นอกจากจะได้ช่วยทางวัดแบกปูน ขนวัสดุสิ่งของขึ้นไปก่อสร้างแล้ว ยังไม่พอ ท่านยังได้ลงมือก่อสร้างจนกระทั่งโบสถ์และวิหารทีวัดเขาไทรสายัณห์สำเร็จเรียบร้อย ถ้าเรามีโอกาสผ่านไปก็จะเห็น ตระหง่านอยู่บนยอดเขานั่นเอง ตลอดระยะเวลาที่อยู่วัดเขา ไทรสายัณห์นี้ ก็ได้ คุณหลวงปริญญาโยควิบูลย์ และได้ คุณหมอเรือง เป็นผู้อุปถัมภ์ และในปีเดียวกันนี้ คุณหลวงปริญญา โยควิบูลย์ ก็ได้อุปสมบทบุตรชาย คีอ ร.ต. ทิวา เมื่อทำการ อุปสมบทแล้วก็ได้นำมาฝากให้ศึกษาธรรมจากหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย แลัวในปีเดียวกันนี้ อาจารย์ณรงค์ แสงมณี ก็ได้อุปสมบทและได้มาจำพรรษาด้วยกัน พอออกพรรษาแล้ว อาจารย์ณรงค์ แสงมณี ก็ได้ลาสิกขาเพี่อไปปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อ แต่สำหรับท่านพระอาจารย์ทิวา อาภากโร นั้นได้มีความซาบซึ้งในรสชาติของการปฏิบัติธรรม จึงได้ลาออกจากราชการ ขอรับใช้พระศาสนามาตลอด จนถึงปัจจุบันนี้
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    พอออกพรรษาในปีนั้น หลวงปู่สมชายก็ได้นำพาพระ เณรไปบำเพ็ญที่ภูวัว ในครั้งนี้ท่านพระอาจารย์ทิวา อาภากโร ก็ได้ขอติดตามไปบำเพ็ญอีกองค์หนึ่ง หลวงปู่ได้พาหมู่คณะพระ เณรเดินผ่านไปทาง ปากกระดิ่ง มุ่งคล้า และได้พักอยู่ที่ปากกระดิ่ง ๑ คืน พอรุ่งเช้าก็ข้ามมาทางมุ่งคล้า แล้วออกเดินทางต่อไปภูวัว กะว่าจะไปขึ้นทางด้านทิศเหนีอ แต่วันนี้ขึ้นยังไม่ถึงภูวัว มืดอยู่ตรงเนินเขาพอดี แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้หยุดการเดินทางแต่อย่างไร ได้เดินลึกเข้าไปเรี่อยๆ ไกลพอสมควร เห็นว่าดึกมากแล้ว ท่านจึงได้สั่งให้หยุดการเดินทางในกลางป่านั้น และได้ จัดการกางกลดเข้าพักผ่อนเอาแรงเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการ เดินทางมาตลอดวัน ข้าพเจ้าได้ดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] รุ่งเช้าของวันใหม่หลวงปู่สมชายได้พาออกเดินทางต่อเวลาประมาณ ๘ โมงเช้าก็เดินทางมาถึง ถ้ำแกลบ ถ้ำแกว ถ้ำฝุ่น และได้ออกบิณฑบาตที่ หมู่บ้านทุ่งทรายจก ได้ข้าวเหนียวองค์ละปั้น กับข้าวได้งากับปลาร้าอย่างละ ๑ ห่อ ได้กลับมาฉันจังหันที่ถ้ำฝุ่น หลวงปู่สมชายเห็นว่าข้าวและ กับที่บิณฑบาตในวันนี้ได้น้อยเนื่องจากญาติโยมไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ท่านจึงได้เอาข้าวในบาตรของท่านออก มาแบ่งเฉลี่ยถวายพระเณรเพิ่มเติมจนหมด เกรงว่าพระเณรจะฉันไม่อิ่ม เมื่อแบ่งข้าวถวายพระเณรเสร็จแล้ว ท่านก็ได้ให้พระเณรฉันกันไปเรื่อย ๆ สำหรับตัวหลวงปู่ไม่ได้ฉันจังหันในเช้าวันนั้นเลย ท่านไปนั่งภาวนารอเวลาพระ เณรฉันจนเสร็จจึงได้ออกหาสถานที่บำเพ็ญกัน "..นิสัยเอื้อเฟื้อ เสียสละ " แบ่งปันกับหมู่คณะนั้นหลวงปู่มักแสดงให้เห็นอยู่เสมอ ๆ จนบางครั้งพระเณรเกรงใจจนทำอะไรไม่ถูก ์[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในครั้งได้บำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำแกลบ ถ้ำฝุ่นได้ไม่นานนัก ก็ได้เคลี่อนย้ายเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญไปที่ถ้ำพระ เพราะเห็นว่า สถานที่สงบวิเวกดี อากาศดี น้ำก็สะดวกอุดมสมบูรณ์ สถานที่ หลบภาวนาก็มีมาก การมาอยู่บำเพ็ญในครั้งนี้ก็เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนๆ คือ พระเณรไม่ต้องออกบิณฑบาตร (เพราะไม่มีที่จะบิณฑบาต) ญาติโยมเอาข้าวสารมาฝากไว้ให้สามเณรเป็นผู้หุงหา จัดเตรียมอาหารถวายพระ เหมือนกับสมัยที่ขึ้นมาครั้งแรกๆ นั้นคีอ ใช้ ปี๊ปต้มข้าวใส่ผักหนาม หรือข่าป่า และหวายอ่อนด้วยข้าวสาร ๑ แก้ว ต่อพระเณร ๑๗-๑๘ องค์ พอได้ฉัน ให้มีชีวิตได้อยู่เพื่อการบำเพ็ญภาวนาไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ได้บำเพ็ญภาวนาอยู่บนภูวัวครั้งนี้ถึง ๔ เดือน [/FONT]
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table66 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่ถ้ำเป็ด พ.ศ.2502 (32)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table67 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ภายหลังที่ได้ลงมาจากภูวัวแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้นำพาหมู่คณะพระเณรทั้งหมดออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดสกลนคร ตั้งใจว่าจะไปจำพรรษาที่ ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก ตำบลส่องดาว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ของ ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ถ้ำเป็ดเป็นสถานที่สงบสงัดวิเวก น่าบำเพ็ญอีกแห่งหนึ่ง ครูบา อาจารย์ฝ่ายกรรมูฐานจึงมักไปบำเพ็ญหาความสงบกันเป็นประจำไม่ค่อยขาดระยะ ในระหว่างพรรษานี้ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติกันเต็มที่ทุกองค์ ส่วนหลวงปู่สมชายนั้นท่านต้องมีภาระในการ อบรมสั่งสอนประชาชนในวันธัมมัสสวนะอีกด้วย ญาติโยมชาวบ้านใกล้ๆ นั้นก็ได้มาให้การอุปถัมภ์อุปัฏฐากอย่างดี มีบ้านหนองม่วง และบ้านหนองแวง เป็นต้น ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในเขตนี้ก็มี กำนันทอน ผู้ใหญ่จารย์ดี พ่อออกคล้าย พ่อออกคิ้ว แม่ออกเขียน และคุณไสว ศิริบุศย์ เป็นต้น ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเคารพนับถือหลวงปู่สมชายมาก ในระหว่าง พรรษาปีนี้ก็ได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่สีลา เทวมิตโต แห่งวัดโชติการาม บ้านหนองบัว ซึ่งอยู่ห่างถ้ำเป็ดประมาณ ๖-๗ กม. ได้อาพาธ หลวงปู่ก็ได้นำพาพระเณรไปเยี่ยมไข้หลายครั้ง บางครั้งก็ได้ปฏิบัติดูแลท่าน เพราะว่าหลวงปู่สีลา เทวมิตโต นั้นก็เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีลูกศิษย์เคารพนับถีอมากมาย มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตนั้นอีกองค์หนึ่ง ลูกศิษย์ลูกหาทุกฝ่ายก็พยายามช่วยกันรักษาพยาบาล เพื่อต้องการให้ท่านมีชีวิตสืบต่อไปอีก ถึงแม้ว่าจะพยายามกันขนาดไหนก็แล้วแต่ อาการของหลวงปู่สีลา มีแต่ทรุดลงทุกวัน และท่านก็ได้ มรณภาพในระหว่างพรรษาปีนั้น เมื่อหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ทราบข่าวการมรณภาพของหลวงปู่สีลา เทวมิตโต แล้วก็ตั้งใจ ว่าจะไปร่วมงานศพของครูบาอาจารย์ แต่การไปร่วมงานศพ ครูบาอาจารย์นั้นจะไปแต่ตัวหรือไปแบบมีอเปล่าๆ นั้น ก็ออกจะดูน่าเกลียดไป จึงได้เรียกญาติโยมมาปรึกษา ถึงการจะไปงานศพครูบาอาจารย์ในครั้งนี้ ถ้าได้หน่อไม้ไปร่วมในงานนี้บ้างก็จะเป็นการดี จะได้ประกอบอาหารเลี้ยงแขกคนที่มาร่วมในงาน จึงขอให้ญาติโยมพากันขึ้นไปบนเขาหาเก็บหน่อไม้ให้สัก ๒-๓ กระสอบ เพื่อจะได้นำไปร่วมใน งานครั้งนี้ บรรดาญาติโยมทั้งหมดเมี่อทราบจุดประสงค์ของหลวงปู่สมชายแล้วก็ได้จัดหามีด หากระสอบ รีบออกเดินทางขึ้นไปบนเขาเพื่อหาหน่อไม้ทันที ญาติโยมทั้งหมดได้เดินทางไป หาหน่อไม้ ตั้งแต่เช้าจนเที่ยงกว่าแล้ว ก็ยังไม่ปรากฏว่าจะได้หน่อไม้แต่อย่างไร เพราะเนื่องจากในช่วงนั้นใกล้ออกพรรษาแล้ว หน่อไม้ที่เคยมีอยู่ก็ถูกชาวบ้านขึ้นไปหามาประกอบ อาหารกันทุกวัน ที่พอจะมีหลงเหลืออยู่บ้างก็เป็นลำต้นสูงๆ ไปหมดแล้ว และบ้างก็เพิ่งจะปริ่มดินขึ้นมาอยู่ในกลางกอ สรุปแล้วก็คือจะหาหน่อไม้ไปร่วมในงานจำนวนมากๆ เช่นนี้นั้นคงไม่มีทาง คณะชาวบ้านที่ได้ขึ้นไปหาหน่อไม้เดินวนเวียนกัน จนหมดแรงไปตามๆ กัน จึงได้พากันกลับลงมาจากบนเขาเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ว่า "พวกกระผมได้พากันขึ้นไปหา หน่อไม้ตั้งแต่เช้าจนบ่าย ป่านนี้แล้วยังไม่ได้หน่อไม้เลยแม้แต่หน่อเดียว เพราะว่าหน่อไม้บนเขานั้นพวกกระผมก็ได้ขึ้นไปหามาทำอาหารกินกันทุกวัน แต่กว่าจะได้แต่ละ หม้อนั้นก็แสนยากแสนลำบาก ยิ่งเอาจำนวนมาก ๆ อย่าง นี้ด้วยแล้วเห็นจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ หรือบางหน่อก็ติดปลายลำเป็นต้นไปหมดแล้ว"[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]
    เมื่อหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้รับแจ้งจากญาติโยมดังนั้นแล้ว จึงนั่งพิจารณาว่า "เอ..? จะทำอย่างไรดี ถ้าไม่ได้สิ่งของไปร่วมในงานครูบาอาจารย์ในครั้งนี้เราก็ไม่ควรไป เพราะนิสัยของเรานั้นจะไปงานไหนก็แล้วแต่จะไม่ไปเอาหรือมีแต่จะเอาไห้เท่านั้น ยิ่งครั้งนี้ด้วยแล้ว ซึ่งเป็นงานของครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเราไปมือเปล่าโดยที่ไม่ มีอะไรติดมือไปร่วมงานเลยเราก็ไม่ควรไป และควรจะรีบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเสียให้ไกล เพื่อหมู่คณะจะได้รู้ว่าเราไม่อยู่ ถ้าเราขืนอยู่แล้วไม่ไปร่วมงานก็เห็นจะน่าเกลียด" หลวงปู่ได้นั่งพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงได้ปรารภกับญาติโยมว่า "อาตมาเห็นจะไปร่วมในงานครูบาอาจารย์ครั้งนี้ไม่ได้แน่แล้ว และก็เห็นว่าจะอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้อีกด้วย.. เมื่อบรรดาญาติโยมได้ยินได้ฟังดังนั้นแล้วต่างคนต่างก็ตกอกตกใจไม่รู้ว่าจะทำประการใดดี จึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า ไม่วีธิไหนที่ครูบาอาจารย์จะไปร่วมในงานครั้งนี้ได้ ขอให้บอกพวกกระ ผมเถิดครับ แต่ขออย่างเดียวขอให้ท่านอาจารย์อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกกระผมที่นี่ต่อไป อย่าได้หนีจากพวกกระผมก็แล้วกัน"


    หลวงปู่จึงปรารภขึ้นว่า "..เอาอย่างนี้ อาตมาขอให้ พวกเราทุกคนนี้ทดลองขึ้นไปหาหน่อไม้บนเขาอีกสักครั้งหนึ่ง ถ้าได้หน่อไม้ไปร่วมงานครูบาอาจารย์ อาตมาก็จะขออยู่กับญาติโยม ณ ที่นี้ต่อไป แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ อาตมาก็เห็นจะอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้แน่.."

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    การขึ้นไปหาหน่อก็พึ่งจะลงมายังทันจะหายเหนื่อยเลย แต่ทุกคนก็ขันอาสาขอขึ้นไปหาหน่อไม้ลองดูอีกสักครั้งตามที่หลวงปู่ต้องการ ว่าแล้วต่างคนต่างก็ฉวยมีดฉวยกระสอบคนละอย่างสองอย่าง เดินขึ้นเขาไปตามทางเส้นเก่าเพื่อค้นหา หน่อไม้เป็นรอบที่สอง ต่างคนต่างก็เดินไปคิดไป ว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะได้หน่อไม้ตามที่หลวงปู่ต้องการได้ ป่านี้ทั้งป่าก็แทบจะไม่มีหน่อไม้ลัดออกมาอยู่แล้ว เพราะลัดออกมาก็ไม่ทันคนกินในขณะที่ทุกคนกำลังเดินคิดถึงเรี่องการหา หน่อไม้อยู่นั้น สายตาทุกคู่ก็จ้องจับอยู่ที่แห่งเดียวกัน ทุกคนแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเองเลย ความมหัศจรรย์บังเกิดต่อ หน้าต่อตาทุกคน อย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลย



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ฝูงลิงตัวโต ๆ ไม่ทราบว่าออกมาจากที่ไหนมากมายเต็มป่าไปหมด ลิงทุกตัวเหมือนรู้หน้าที่ ต่างก็ปีนขึ้น ไปหักหน่อไม้แล้วก็โยนออกมากองระเนระนาดเต็มทาง เดินไปหมด บ้างก็หักแล้วเอาเหน็บไว้ที่กอกะสูงขนาดศีรษะพอเอามือยื่นไปหยิบถึง บ้างก็เอามือขุดล้วงเข้าไปในกอพอชักมือออกมาก็มีหน่อไม้ติดมือออกมาด้วยทุกครั้งไป นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ไม่ว่าชาวบ้านจะเดินทางไปทางไหน พวกลิงเหล่า นั้นก็จะออกเดินนำหน้าแล้วหักหน่อไม้ออกมากองตามทาง ตลอดไปผิดกับที่ขึ้นมาครั้งแรกจะหาหักเองยังหาไม่ได้เลย แต่ครั้งนี้เพียงแต่เก็บใส่กรอบอย่างเดียวก็แทบจะเก็บไม่ทัน ทั้งงงทั้งสงสัย ทั้งตื่นเต้น บางคนตื้นตันจนน้ำตาไหล ความสงสัยจึงมีเกิดขึ้นกับทุกคนว่า "..ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา บาง คนอูย่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงอายุ ๖-๗๐ ปี ยังไม่เคยเห็นลิงป่าประเภทนี้เลย สมัยก่อนนั้นก็เคยมีอยู่บ้าง แต่เป็นลิงอีกประเภทหนึ่งและต่อมาก็ได้พากันหนีไปจากป่านี้ กันจนหมดสิ้นเพราะกลัวภัยจากพวกมนุษย์นั่นเอง.."ุ[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] วันนี้จึงนับว่าเป็นวันแห่งความมหัศจรรย์แห่งชีวิตของบรรดาญาติโยม บางคนถึงกับอุทานออกมาว่า "..ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่เอง.. เมื่อพากันเก็บหน่อไม้ใส่กระสอบได้มากพอสมควรแล้ว จึงได้พากันลำเลียงลงจากเขา บรรดาพวกลิงทั้งหลายก็หมดหน้าที่ได้พากันวิ่งเข้าป่า หายไป เมื่อบรรดาญาติโยมได้ลำเลียงหน่อไม้ลงมาถึงถ้ำเป็ดอย่างทุกลักทุเลแล้วก็ได้พากันนำเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาสดๆ ร้อนๆ นั้นเข้าไปกราบเรียนถวายหลวงปู่สมชายทราบอย่างตื่นเต้น และปลื้มปีติกันทุกคน[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] จึงเป็นอันว่าการที่จะเดินทางไปร่วมงานศพหลวงปู่สีลา เทวมิตโต ก็เป็นไปตามเจตนาทุกประการ และได้นำหน่อไม้ไปร่วมในงาน เพื่อปรุงอาหารถวายพระภิกษุสามเณรและเลี้ยงแขกคนที่มาร่วมในงานครั้งนั้นอย่างอุดมสมบูรณ์[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้นำคณะพระเณรมาช่วย จัดงานเตรียมงานตั้งแต่เริ่มงานจนกระทั่งถวายเพลิงศพหลวงปู่สีลา เทวมิตโต เสร็จเรียบร้อยก็ได้พาคณะกลับไปบำเพ็ญที่ถ้ำเป็ด ต่อมาอีกระยะหนึ่ง พอดีในช่วงนั้นสามเณรประไพ รูปเหลี่ยม อายุครบพอที่จะบวชเป็นพระได้แล้ว หลวงปู่จึงได้พาสามเณรประไพ กลับไปยังบ้านเกิดเพื่อที่ทำการญัตติ สามเณรประไพ ในครั้งนั้นก็ได้เดินทางกลับมาจังหวัดมุกดาหารได้ไปพักอยู่ภูเก้า ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็ได้พาสามเณรประไพไป ทำการญัตติ ที่วัดศรีมงคลเหนือ จังหวัดมุกดาหาร และก็ได้กลับมาพักที่ภูเก้าอีกระยะหนึ่ง จึงได้พากันลงมาจากภูเก้า เดินทางไปอำเภออำนาจเจริญ พักอยู่ที่วัดอ่าอยู่ประมาณ ๓ เดือน แล้วก็เคลื่อนลงมาทางจังหวัดอุบลราชธานี มาจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ พอเข้าเขต จังหวัดสุรินทร์ ฝนตกหนักมาก ทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่ได้หยุดพัก เดินต่อไปเรี่อยๆ ได้เข้าไปขอพักที่ วัดตะเคียน ทั้งเปียกทั้งหนาวสั่นกันทุกองค์ กะว่าจะพักพอหายเหนื่อยหายหนาวก็จะออกเดินทางต่อ ก็พอดีชาวบ้านที่นั้นคน หนึ่งชื่อว่า อาจารย์ประยูร ได้เข้ามากราบเรียนและขอนิมนต์หลวงปู่สมชาย และคณะไปพักบำเพ็ญที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไปประมาณ ๑ กม. หลวงปู่พร้อมด้วยพระเณรได้พากันไปดู เมื่อไปเห็นแล้วก็รู้สึกว่าแปลกดีมาก สวยงาม เป็นลักษณะปรางค์ปราสาทเก่าแก่มาก มีลวดลายวิจิตรพิสดารงดงามจริงๆ แต่เสียดายไม่มีใครบูรณะ จึงดูรกและ ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ เถาวัลย์เต็มไปหมด แต่ก็มองดูครึ้มๆ น่ากลัวดี มีความสงบสงัดวิเวกมาก หลวงปู่จึงได้ตกลงที่จะจำ พรรษาที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น[/FONT]
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table68 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง (33) [/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=table69 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD> [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงได้นำพาพระภิกษุ สามเณรจำพรรษาอยู่ทีปราสาท เขาพนมรุ้ง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ในพรรษานี้มี พระภิกษุสามเณรทั้งหมด ๑๒ องค์ด้วยกัน ชาวบ้านแถบนี้ เป็นเขมรกันทั้งหมด แต่เขาก็มีความเคารพเลื่อมใสพระพุทธศาสนา และมี ความศรัทธาต่อพระสายปฏิบัติเป็นอย่างดี จึงสะดวกและ ง่ายต่อการอบรมสั่งสอน ตลอดพรรษาหลวงปู่ก็ได้เทศนาอบรมสั่งสอนนำพาให้รักษาศีล ๕ ศีล ๘ และให้รู้จักการภาวนาอีกด้วย นอกจากนั้นหลวงปู่ก็ยังได้นำพาชาวบ้านพัฒนาบูรณะตกแต่งปราสาทนั้นให้สะอาดสะอ้าน สวยงามขึ้น ร่มรื่นให้เป็นสถานที่น่าบำเพ็ญภาวนา น่าอยู่อาศัยไม่น่ากลัว เหมือนแต่ก่อน ในพรรษานี้หลวงปู่ก็ได้มีโอกาสศึกษาภาษา ท้องถิ่นของชาวบ้านไปด้วย ท่านจึงสามารถพูดภาษาเขมรได้ เป็นอย่างดี ในพรรษานี้การบำเพ็ญก็เป็นไปได้ดีมากกันทุกองค์ แต่ก็อยู่ได้เพียงพรรษาเดียว พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สมชายก็ได้พาหมู่คณะออกเดินทางจากปราสาทเขาพนมรุ้ง ตั้งใจ ว่าจะลงไปบำเพ็ญภาวนาทางภาคใต้[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table70 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]บำเพ็ญธรรมในแดนกะเหรี่ยง (34)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table71 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] พอออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นี้แล้ว หลวงปู่สมชายก็ได้ ปรารภกับหมู่คณะพระเณรว่าอยากจะไปหาสถานที่บำเพ็ญทางภาคใต้สักระยะหนึ่ง จึงได้บอกลาญาติโยมชาวบ้านที่นั่น แล้วก็พากันออกเดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟ มีชาวบ้านติดตามไปส่งกันเป็นจำนวนมาก ได้นั่งรถไฟไปลงที่หัวลำโพง ต่อจากนั้นก็นั่งรถยนต์ไปลงที่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดินทางไปถึงอำเภอหัวหินแล้ว ก็ได้เข้าไปพักที่ วัดราชายตนะบรรพต ซึ่งมี ท่านพระอาจารย์ฉลวย เป็นเจ้าอาวาส แต่ไม่ได้อยู่ที่วัดล่างได้พากันขึ้นไปอยู่บนหลังเขา ซึ่งมีอีกวัดหนึ่งตั้งอยู่บนนั้นมีความสงบสงัดดีมากได้พักอยู่ประมาณ ๒-๓ เดีอน หลวงปู่สมชายก็ได้พาหมู่คณะเข้าไปหาสถานที่วิเวกลึกเข้าไปในป่าอีก ได้เดินบุกป่าฝ่าดงเข้าไปถึงข้างในดงดิบ ซึ่งเป็นป่าดงดิบจริงๆ เขาเรียกว่าทุ่งกะสังและเลยเข้าไปอีกเรียกว่าไร่สุดใจ ไทรเอน ห้วยสัตว์น้อย ห้วยสัตว์ใหญ่ พอเดินไปถึงห้วยสัตว์ใหญ่ก็ได้พบกับค่าย ตชด.มีเจ้าหน้าที่ประมาณ ๕ นาย ซึ่งมาคอยดูแลรักษาป่าอยู่ที่นี่ เรียกว่า ค่ายห้วยสัตว์ใหญ่ หลวงปู่กะว่าจะเดินทางเข้าข้างในต่อไปอีกเรี่อยๆ แต่พวก ตชด. เขาขอร้องไม่ให้เข้าไปเพราะว่าเป็นเขตแดนของพม่า เกรงว่าจะ ไม่ปลอดภัยอาจจะเป็นอันตรายได้ พวก ตชด. เขาเห็นหลวงปู่ พาพระเณรเข้าไปบำเพ็ญภาวนาในป่านั้น พวกเขาพากันดีใจ เป็นการใหญ่ พวก ตชด. ก็ได้พากันช่วยจัดหาสถานที่ให้พัก ช่วยทำที่บำเพ็ญให้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากค่ายของพวกเขามากนัก พวก ตชด1 เขาได้หุงข้าวมาถวายวันละ ๑ จาน เขาจะถวายมากกว่านั้นก็ไม่ได้ เพราะเสบียงของเขามีจำกัด บรรดาสามเณรที่ติดตามไปด้วยจึงต้องช่วยกันหาอาหาร ประเภทผัก และยอดไม้มาเสริมทุกวัน เช่น ผักกูดมูเซอ มะละกอป่า บางวันก็เอาหยวกกล้วยป่า เอามาต้มให้สุกแล้วก็ถวายพระฉันได้ฉันกันพอมีชีวิตอยู่ปฏิบัติธรรมไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ก็อยู่กันได้ถึง ๔ เดีอน ต่อจากนั้นหลวงปู่ท่านให้พระ เณรกลับออกมาพักรอที่หัวหิน สำหรับตัวหลวงปู่ได้แยกไปตามลำพัง เดินทางต่อเข้าไปในป่าลึก เข้าไปจนถึงเขตอำเภอปราณบุรี ต่อเข้าไปจนถึงเมืองมะริด หรือเมืองทวาย ประเทศพม่า ในแถบนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ หลวงปู่จึงได้พักบำเพ็ญอยู่กับพวกกะเหรี่ยง ได้ไปพักบำเพ็ญอยู่ที่บ้านป่าแดง บ้านป่าดี และบ้านป่าละอู พักอยู่เป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้วก็ได้เดินทางต่อ ชาวกะเหรี่ยง ก็เป็นชาวป่าอีกเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามป่าพวกเขาไม่เคยเห็นพระไม่รู้จักพระ นับถีอภูตผีปีศาจสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของ พวกเขา เนื่องจากยังไม่เคยมีพระเข้าไปอบรมสั่งสอน พวกเขา จึงยังไม่รู้จักพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งอันประเส่ริฐ[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] หลวงปู่สมชายเข้าไปอยู่กับพวกกะเหรี่ยงในครั้ง นั้นแทบเอาชีวิตไม่รอดบางครั้งไม่ได้ฉันอาหารเป็นเดือนๆ บางครั้งก็ฉันผักป่าหรือยอดไม้ใบไม้ ให้พอประทังชีวิตอยู่ได้เท่านั้น จนกว่าจะทำความเข้าใจกับพวกกะเหรี่ยงได้ ก็เล่นเอาสังขารร่างกายแทบแย่ เพราะพูดภาษาฟังกันไม่รู้เรี่องแต่พอรู้เรี่องกันบ้างแล้ว หลวงปู่ก็พยายามแนะนำให้พวกเขา หันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐ แทนการ นับถือภูตผีปีศาจนั้น เมี่อทำความเข้าใจกันได้บ้างแล้วหัวหน้ากะเหรี่ยงเขาก็เป็นผู้นำลูกบ้านของพวกเขา มาให้การอุปถัมภ์บำรุงอย่างดี รู้จักทำบุญให้ทาน รู้จักหาอาหารมาใส่บาตรถวายพระ ในขณะนั้นก็ยังฟังภาษากันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง บางครั้งบอกอย่างหนึ่งเขาก็ไปทำอีกอย่างหนึ่ง


    หลวงปู่ยังเคยเล่าเรื่องตลกที่ท่านได้ประสบมาสมัยที่ อยู่กับพวกกะเหรี่ยงให้พระเณรฟัง มีอยู่วันหนึ่งภายหลังจาก พวกกะเหรี่ยงได้นำอาหารมาถวายหลวงปู่ พอหลวงปู่ฉันจังหัน เสร็จจึงเรียกพวกกะเหรี่ยงมาบอกว่า "พวกญาติโยมทั้งหลาย วันพรุ่งนี้ถ้าจะมาให้เอาจอบเอาเสียมเอามีดมาด้วยคนละอัน มาช่วยกันทำทางเดินจงกรมให้อาตมาหน่อยนะ'' พวก กะเหรี่ยงพอได้ยินหลวงปู่สมชายพูดจบลงแล้ว จึงได้พากันเดิน ทางกลับบ้านกันโดยเร็วไม่รอช้า ครู่ใหญ่ต่อมาพวกกะเหรี่ยง ทั้งหมดนั้นก็เดินทางกลับมาพร้อมข้าวของติดมือมากันด้วย หลวงปู่มองเห็นแต่ไกล ท่านก็นึกดีใจว่า "เออ.. พวกกะเหรี่ยงนี้ดีจริง บอกให้มาทำวันพรุ่งนี้ กลับมาทำให้ในวันนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราคงได้เดินทางเดินจงกรมใหม่แน่ ๆ' แต่ พอพวกเขาเข้ามาถึงหน้าหลวงปู่แล้ว เขาก็พากันเอาอาหารที่ เขาถือมานั้นวางไว้ตรงหน้าท่านมากมายก่ายกองเต็มไปหมด แล้วเขาก็นั่งรอให้หลวงปู่ฉันของเขาอีก



    หลวงปู่เห็นการกระทำซึ่งเขาก็ทำด้วยความจริงใจ และทำด้วยความซื่อนั่นเอง หลวงปู่จึงได้บอกให้พวกกะเหรี่ยงเหล่านั้นนั่งทานกันเองจนหมดเรียบร้อย สำหรับตัวหลวงปู่ก็ได้ แต่นั่งยิ้มถึงความซื่อของพวกกะเหรี่ยงอยู่องค์เดียว



    หลวงปู่สมชายได้พักบำเพ็ญอยู่กับพวกกะเหรี่ยงได้ประมาณ ๔ เดือน ท่านจึงได้เดินทางกลับออกมาหาหมู่คณะ พระเณรที่ได้เดินทางแยกออกมารออยู่ก่อนแล้ว รวมเวลาที่เข้าไปอยู่ที่หัวหิน ปราณบุรี มะริด ทวาย เป็นเวลา ๘ เดือนเศษ เมี่อได้ออกมารวมกันครบหมดแล้ว จึงได้ปรึกษากันว่าจะเดิน ทางลงไปทางใต้ต่อไปเรี่อยๆ หรือว่าจะเดินทางกลับเมืองอีสานดี ก็ได้รับคำแนะนำจากท่านพระอาจารย์ทิวา อาภากโร ว่า ''หลวงปู่น่าจะลองไปทางภาคตะวันออกดูบ้าง โดยเฉพาะ ที่จังหวัดจันทบุรี มีสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมที่สงบวิเวกหลายแห่ง และชาวจันทบุรีก็มีความเลื่อมใสในพระพทธศานา มีความเข้าใจต่อระเบียบข้อปฏิบัติของพระกรรมฐานเป็นอย่างดี เนื่องจากพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร หลายองค์เคยได้ผ่านมาเผยแพร่หลักธรรมไว้ก่อนแล้ว หลายต่อหลายองค์ด้วยกัน เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (ท่านเจ้าคุณพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์) หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านพ่อลี ธมมธโร (ท่านเจ้าคุณ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ และหลวงปู่มหาบัว ญาณสมปนโน (ท่านเจ้าคุณ พระราชวิสุทธิญาณโสภณ) เป็นต้น"

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เมื่อได้รับคำแนะนำดังนั้น ก็ได้ตัดสินใจเดินทางมาจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรจำนวน ๑๐ รูป เมี่อปี พ. ศ. ๒๕๐๔ และได้มุ่งตรงไปที่วัดเขาน้อยสามผาน ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เพราะว่าเป็นสำนักปฏิบัติที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่งมี ความร่มรื่นสวยงามตามธรรมชาติ อีกทั้งความสงบวิเวกก็ดีมาก จึงเหมาะแก่การเจริญสมณธรรมยิ่งนัก หมู่บ้านโคจรบิณฑบาต ก็อยู่ไม่ไกล พอไปมาได้สะดวก นับว่าเป็นสถานที่สัปปายะอีก แห่งหนึ่ง ซึ่งควรแก่การบำเพ็ญกรรมฐาน



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] แต่พอได้ติดต่อสอบถามหัวหน้าสำนักแล้ว ปรากฏว่ากุฏิที่พักมีจำกัด พระภิกษุสามเณรได้เข้าอยู่ครบตามจำนวนหมดแล้ว และจะรับได้อีกไม่เกิน ๕ องค์เท่านั้น ถ้ามากกว่า ๕ องค์แล้ว ก็จะไม่สะดวกต่อการบำเพ็ญเท่าที่ควร คณะของ หลวงปู่สมชายมี ด้วยกันทั้งหมด ๑๐ องค์ และไม่ประสงค์ที่จะ แยกกันจำพรรษาอีกด้วย จึงต้องพิจารณาหาที่จำพรรษาแห่งใหม่ต่อไป ท่านจึงดำริในใจว่า "..ภายในจังหวัดจันทบุรีนี้ ถ้าเราจะไปเสาะแสวงหาสำนักต่าง ๆ เพื่อจำพรรษาก็ยังไม่ ทราบว่าจะพอมีสำนักใดที่จะจำพรรษากันทั้งหมดนี้ได้ เนื่องจากไม่เคยมา จึงไม่รู้จักมักคุ้นกับใครเลย ถ้าจะเดินทางกลับเมืองอีสาน เวลาก็เหลือน้อยเต็มที เกรงว่าจะไปไม่ทันเข้าพรรษา ประกอบกับทั้งค่าโดยสารในการเดินทางก็หมดลงพอดี.."[/FONT]




    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในขณะที่กำลังกังวลใจอยู่นั้น ก็ได้มี ญาติโยมจำนวน ๒ คน เดินเข้ามาในที่พัก พอมาถึงก็พากันนั่งลงกราบ ๓ ครั้ง เป็นการแสดงความเคารพตามธรรมเนียมของชาวพุทธ เมี่อนั่ง ลงในที่อันสมควรแก่ตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงได้เริ่มเรื่องสนทนาสอบถาม ได้ทราบชื่อว่า ชื่อ นายจอม แพทย์- ประทุม และนายเฉลิม ทวีธรรมหลวงปู่สมชายจึงถามต่อไป ว่า " ที่โยมเดินทางมานี้มีธุระอะไรบ้าง" นายจอม แพทย์- ประทุม กราบเรียนว่า "..พวกกระผมมาหานิมนต์พระไปจำ พรรษาที่วัดเนินดินแดง " " วัดอยู่ที่ไหน " "วัดของพวก กระผมอยู่ในเขตตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี " นายจอม แพทย์ประทุม ได้เล่าต่อไปอีกว่า " พวก กระผมเป็นตัวแทนของชาวบ้านเนินดินแดงและบ้านบึงบอน เมื่อวานนี้พวกกระผมได้ไปหานิมนต์พระภิกษุสามเณรตามวัดต่าง ๆ หลายวัด มีวัดเขาแก้ว และวัดจันทนาราม เป็นต้น แต่ก็ไม่มีพระภิกษุสามเณรองค์ใดประสงค์จะไปจำพรรษาในป่าเลยแม้แต่องค์เดียว เนื่องจากท่านต้องการ จะอยู่ศึกษาเล่าเรียนทางด้านพระปริยัติธรรมกัน พวกกระ ผมก็ร้สึกเห็นใจท่าน จากที่หวังแห่งสุดท้ายได้แก่ที่ วัดจันทนาราม ก็ได้ทราบว่าคณะของพระคุณเจ้ายังไม่ได้ทีพักจำพรรษา พวกกระผมรู้สึกดีไจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รีบพากันมา และขอถือโอกาสกราบอาราธนาพระคณเจ้าไปจำพรรษาที่วัดเนินดินแดง เพื่อโปรดพวกญาติโยมในป่าด้วยครับผม "หลวงปู่งจึงถามต่อไปว่า "พวกโยมมีความประสงค์ ต้องการนิมนต์กี่องค์ " " แล้วแต่พระคุณเจ้าจะเห็น สมควรพอแบ่งไปได้เท่าไร แต่อย่างน้อยก็สัก ๔-๕ องค์ก็ยังดี "" คณะของอาตมามีด้วยกันทั้งพระภิกษุสามเณรรวม ๑๐ องค์ และก็ไม่มีความประสงค์ที่จะแยกกันจำพรรษา ต้องการที่จะอยู่จำพรรษาในสำนักเดียวกันทั้งหมด.." เมื่อนายจอมได้ฟังดังนั้นก็ลังเล ทั้งสองจึงหันหน้าเข้าปรึกษากันว่า " เราจะทำอย่างไรดี ถ้าเรารับไปหมดทั้งสิบองค์ก็ไม่ทราบ ว่าหมู่คณะจะเห็นด้วยหรือไม่ เกรงว่าจะให้การอุปถัมภ์บำรุงได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะประชาชนชาวบ้านยังมี จำนวนน้อย " พอปรึกษากันอยู่พักหนึ่งทั้งสองจึงมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องกลับไปปรึกษาหมู่คณะดูก่อน ได้ความว่าอย่างไร วันพรุ่งนี้จึงจะมากราบเรียนให้พระคุณเจ้าทราบ เมื่อ ตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันกราบลาหลวงปู่สมชายเดินทางกลับ[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] พอนายจอม แพทย์ประทุม และนายเฉลิม ทวีธรรม เดินทางกลับมาถึงบ้านก็รีบปรึกษาหารือกันทันที ปรากฏว่าทุกคนไม่ขัดข้อง ยินดีให้เป็นไปตามความประสงค์ของหลวงปู่สมชายและพระภิกษุสามเณรทุกอย่าง หลังจากได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเตรียมรถไปรับหลวงปู่สมชายพร้อม ด้วยพระภิกษุสามเณร ซึ่งได้รออยู่ที่วัดเขาน้อยสามผาน แต่วัน นี้คณะที่ไปรับไม่ได้พบหลวงปู่ เนื่องจากท่านได้เดินทางไปธุระที่ ปากน้ำแขมหนู อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี และ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจึงได้รับเอาพระภิกษุสามเณรคณะ ของหลวงปู่สมชายที่ยังเหลืออยู่นั้น เดินทางล่วงหน้ามาก่อน เพี่อจะได้มาจัดเตรียมสถานที่ไว้คอยหลวงปู่[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] บรรดาพระภิกษุสามเณรเมี่อทราบจุดประสงค์ดังนั้น ก็ได้พากันจัดบริขารลงไปใส่รถ พอเรียบร้อยแล้วรถจิ๊บวิลลี่(จิ๊บกลาง) ของนายหริ ก็ได้นำพระภิกษุสามเณรออกเดินทางจากวัดเขาน้อยสามผาน มุ่งหน้าสู่ วัดเนินดินแดงทันที วิ่งไปตามเส้นทางอันขรุขระทุรกันดาร เพราะสมัยนั้นการคมนายัง ไม่สะดวกเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ จากวัดเขาน้อยสามผานจน กว่าจะมาถึงวัดเนินดินแดงได้ ก็เสียเวลาไปหลายชั่วโมง ทั้งๆ ที่ ระยะทางก็ห่างกันไม่มากนัก ประมาณ ๓๐ กม.เท่านั้น[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] เมี่อรถจิ๊บวิลลี่ได้พาคณะพระภิกษุสามเณรมาถึงวัด เนินดินแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้นพระภิกษุสามเณรก็ได้ ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่รอรับหลวงปู่สมชาย ส่วนคณะญาติโยมมี นายจอมแพทย์ประทุม นายเยื้อน รุ่งเรืองศรี นายบุญชู วงศ์สวาท นายแสวง คณะศาสตร์ พร้อมด้วยญาติโยมอีกหลายคนก็ได้จัดรถลากซุงของ นายบุญชู วงศ์ส วาท ไปรับหลวงปู่ที่วัดเขาน้อยสามพรานซึ่งเป็นรอบที่สาม เมื่อกลับมาถึงวัดเนินดินแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดี[/FONT]



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] เนื่องจากระยะเวลากระชั้นชิดมาก บรรดาญาติโยม จึงไม่สามารถจัดสถานที่พักให้เพียงพอกับจำนวนพระภิกษุสามเณรได้ พระภิกษุสามเณรจึงต้องพักรวมกันอยู่กุฏิละหลายๆองค์ จนกว่าจะจัดที่พักให้เรียบร้อยได้ก็เสียเวลาไปหลายวัน [/FONT]
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table72 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่วัดเนินดินแดง[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พ.ศ. 2504 (35) [/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table73 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=11 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ปี พ.ศ.๒๕๐๔ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงได้นำพาพระภิกษุสามเณร จำพรรษาอยู่ที่ วัด เนินดินแดง ตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี วัดเนินดินแดงตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆ มีดินสีแดง มี ลักษณะเป็นป่าไม้ธรรมชาติ มีต้นไม้เรียงรายอยู่ทั่วบริเวณวัด ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมให้ความร่มรื่น เย็นสบายตลอดเวลา[/FONT]




    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ตั้งแต่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย มาพักอยู่ที่วัดเนินดินแดง ท่านก็ได้เริ่มพัฒนาทั้งภายในและภายนอก ภายในได้แก่ การนำพาพระภิกษุสามเณรเดินจงกรมนั่งสมาธิเจริญเมตตาภาวนา เป็นประจำทุกวันมิได้ขาด เทศนาอบรมสั่งสอนชาวบ้านให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบจนชาวบ้านมีความเลี่อมใสศรัทธา มีความซาบซึ้งในธรรมะ และมีความเลี่อมใสในพระศาสนา มากขึ้นเป็นลำดับหลายคนเลิกละจากอบายมุขเครี่องมัวเมาต่างๆ บางคนเลิกจากการเป็นนายพราน หันหน้าเข้าหาวัด ประกอบความดีกันก็หลายคน[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ส่วนภายนอกนั้น หลวงปู่ก็ได้นำพาชาวบ้านพัฒนาก่อสร้างเสนาสนะ มีกุฏิ และศาลาการเปรียญ เป็นต้น ศาลาที่ ชาวบ้านเตรียมไว้ครั้งแรกนั้นยังไม่เรียบร้อย เพียงแต่เอาไม้ กระดานวางไว้ใช้ชั่วคราว ประมาณสิบกว่าแผ่น พอให้พระเณร ได้นั่งฉันจังหันได้เท่านั้น หลวงปู่จึงได้พาชาวบ้านจัดทำจนเป็นที่เรียบร้อย พรรษาแรกนี้แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลย เพราะว่าอยู่ในระหว่างการพัฒนาและปรับปรุงสถานที่ ต่อจาก นั้นก็ได้จัดสร้างกุฏิที่พักขึ้นอีกเป็นลำดับ จนเพียงพอกับจำนวน พระภิกษุสามเณร



    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ - พ.ศ. ๒๕๐๕ - พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยคณะพระภิกษุสามเณรที่ได้ติดตามท่านมาทั้งหมดนั้น ก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเนินดินแดงอย่างปกติสุขตลอดมา ท่านก็ได้นำพาชาวบ้านก่อสร้างพัฒนาวัดให้มี ความเจริญสมบูรณ์ขึ้นเป็นลำดับต่อมา วัดเนินดินแดงนับว่า เป็นวัดแรกที่ท่านได้จัดสร้างขึ้น ในจังหวัดจันทบุรี[/FONT]
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table74 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]แสวงธรรมบนเขาสุกิม พ.ศ. 2507 [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif](36) [/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table75 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=11 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๗ คุณโยมห่อ สูญญาจารย์และคุณโยมขวัญ ใจงาม ได้ไปกราบอาราธนานิมนต์ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรจากวัดเนินดินแดง จำนวน ๙ รูป เพื่อมาเจริญพระพุทธมนต์ ณ ที่หมู่บ้านคลองพลูกระต่อย (ปัจจุบันเป็นบ้านเขาสุกิม) ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ประชาชนชาวบ้านเห็นว่าเป็นโอกาส ดีจึงได้กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย พร้อม ด้วยพระภิกษุสามเณรให้ขึ้นมาพักบำเพ็ญบนเขาสุกิม เพราะ เห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีความสงบวิเวกน่าจะเป็นสถานที่บำเพ็ญสมณธรรมได้ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร เมื่อได้ขึ้นมาถึงบนเขาสุกิมแล้ว ก็พิจารณาเห็นว่าบนภูเขา แห่งนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมเป็นอย่างยิ่ง คือมี ลักษณะเป็นสภาพป่าดงดิบหนาทึบเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ๆ เงียบ สงบ สงัด อากาศดี น้ำก็อุดมสมบูรณ์ และในครั้งนั้นก็ได้มีพระภิกษุสามเณรที่สนใจในการปฏิบัติธรรม ติดตามขึ้นมาด้วยจำนวน ๔ รูป มีพระ ๒ รูป สามเณร ๒ รูป รวมกับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ด้วย จึงเป็น ๕ รูป มีอุบาสกอุบาสิกาติดตามขึ้นมาปฏิบัติธรรมด้วยจำนวน ๑๐ คน[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ในระยะแรกๆ คณะพระภิกษุสามเณรและผู้ปฏิบัติได้ปักกลดภาวนาอยู่ตามโคนไม้บ้าง เงื้อมหินบ้าง ซึ่งมีอยู่ทั่วไปบนภูเขานั้น ทุกท่านทุกองค์ก็ได้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ กันอย่างจริงจังเป็นการทดลองชิมลางสถานที่อยู่หลายเดือน รู้ สึกว่าเป็นที่พอใจแก่พระภิกษุสามเณร และผู้ปฏิบัติธรรมกันทุกท่านทุกคน เพราะว่าสถานที่เป็นสัปปายะอันควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ทั้งหมดก็ได้อยู่บำเพ็ญภาวนามาจนกระทั่งใกล้จะเข้าพรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๐๗

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table76 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 bgColor=#ffffcc align=center><TBODY><TR><TD width=385>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]จำพรรษาที่เขาสุกิม พ.ศ. 2507 - ปัจจุบัน (37)[/FONT]</TD><TD width=379> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table77 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=770 align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=19 width=375>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ฤดูกาลพรรษาปีพ.ศ.๒๕๐๗ ผ่านมาถึงแล้วหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงมีความตั้งใจว่าจะ อยู่จำพรรษา ณ สถานที่แห่งนี้ต่อไป ในระหว่างนั้นเป็นฤดูฝน การบำเพ็ญไม่สะดวกเท่าที่ควร เนื่องจากเมืองจันทบุรีนั้นเป็นเมืองที่ฝนตกชุกตลอด ทั้งปี ประชาชนชาวบ้านบางส่วนเมื่อได้ทราบความประสงค์ของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย และคณะผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างกุฏิชั่วคราวขึ้น จำนวน ๑๕ หลัง ศาลาโรงฉัน ๑ หลังเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระภิกษุสามเณรและผู้ปฏิบัติธรรม กุฏิและศาลาดังกล่าวนั้น ได้จัดสร้างกันเป็นแบบชั่วคราว หลังคามุงด้วยใบระกำและใบจาก ปูพื้นด้วยเปลือกไม้สำรอง ข้างฝากั้นด้วยเปลือกไม้สำรองบ้าง กั้นด้วยใบระกำบ้าง แบบพอได้อาศัยหลบแดดหลบฝนชั่วคราวเท่านั้น[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งเป็นพรรษาแรกนี้ ได้มีพระภิกษุจำพรรษาจำนวน ๗ รูป สามเณร ๔ รูป รวมเป็น ๑๑ รูป มีผู้ปฏิบัติธรรมร่วมจำพรรษาด้วยอีกหลายท่าน ตลอดฤดูกาล พรรษาก็ได้บำเพ็ญสมณธรรมเป็นปกติสุข และได้ดี่มรสชาติของการปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคน ตลอดฤดูกาลพรรษา เมี่อออกพรรษาแล้วก็ยังได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ ณ สถานที่เดิมต่อมาเรี่อยๆ


    ปี พ.ศ.๒๕๐๘ ก็ได้อยู่จำพรรษาต่อมาอีกหนึ่งพรรษา ในปีนี้มีพระภิกษุ ๘ รูป สามเณร ๖ รูป รวมเป็น ๑๔ รูป มี อุบาสกอุบาสกผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก


    ๒ พรรษาผ่านไป หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็ไม่ ได้คิดจะสร้างเสนาสนะที่เป็นถาวรขึ้นแต่อย่างไร ก็ยังอยู่กระต๊อบแบบชั่วคราวนั้นต่อมาเรื่อยๆ เพราะตั้งใจว่าจะอยู่บำเพ็ญเป็นการชั่วคราวเท่านั้น

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    พอเริ่มเข้าปี พ.ศ. ๒๕๐๙ อุบาสกอุบาสิกาผู้สนใจ ในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากได้ดี่มรสชาติของการปฏิบัติ จึงเกิดความซาบซึ้งในพระศาสนา และมีความ เลี่อมใสศรัทธาในปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย และพระภิกษสามเณร ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่น นั้นก็ให้ความสนใจในการอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดี

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]
    ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นได้เล็งเห็นความสำคัญของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ซึ่งเป็นประมุขประธานสงฆ์เป็นผู้นำที่ดี มีความสามารถทั้งในด้านการปฏิบัติธรรม การบริหารการปกครองตลอดทั้งมีความรู้ความสามารถในด้านอื่นๆ ประชาชนชาวบ้านทุกท่านทุกคนจึงม ความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะเห็นเขาสุกิมแห่งนี้เป็นวัดที่สมบูรณ์ มีความเจริญ รุ่งเรืองในโอกาสต่อไปเป็นอย่างยิ่ง[/FONT]


    [​IMG]


    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก

    http://www.moohin.com/061/061k013.shtml
     

แชร์หน้านี้

Loading...