การฝึกสะเดาะกุญเเจเเละอิทธิวิธี

ในห้อง 'ประสบการณ์ ผลของการสวด' ตั้งกระทู้โดย noonei789, 3 มีนาคม 2016.

?
  1. ปฐวีกสิณ(กสิณดิน)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เตโชกสิณ(กสิณไฟ)

    50.0%
  3. วาโยกสิณ (ธาตุลม)

    50.0%
  4. อากาสกสิณ (อากาศ)

    0 vote(s)
    0.0%
  5. อาโลกสิณ(กสิณแสงสว่าง)

    0 vote(s)
    0.0%
  6. อาโปกสิณ (ธาตุน้ำ/ของเหลว)

    0 vote(s)
    0.0%
  7. โลหิตกสิณ(กสิณสีเเดง)

    0 vote(s)
    0.0%
  8. นีลกสิณ(กสิณสีเเดง)

    0 vote(s)
    0.0%
  9. ปีตกสิณ(กสิณสีเหลือง)

    0 vote(s)
    0.0%
  10. โอทาตกสิณ(กสิณสีขาว)

    50.0%
Multiple votes are allowed.
  1. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    มีคนถามว่า "ที่วัดท่าขนุน มีพระอยู่กลางสระน้ำ ที่แหงนหน้ามองฟ้า ตรงนั้นหมายความว่าอย่างไรครับ" หลวงพ่อบอกว่า "นั่นเป็นรูปพระอุปคุต"

    แล้วท่านก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า "สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านจะจัดงานฉลองพระเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน กับ ๗ วัน ท่านรู้ดีว่างานบุญใหญ่ขนาดนี้พญามารต้องขวางแน่ ๆ จึงไปสอบถามพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า จะจัดการอย่างไรไม่ให้พญามารมาขวางได้ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่า พระอุปคุตเป็นคู่ปรับของพญามาร ต้องส่งทูตไปเชิญท่านซึ่งนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ที่สะดือทะเลนั้นมา

    พระเจ้าอโศกมหาราชท่านก็เลยตั้งให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระเป็นประธาน ส่งตัวแทนไปเชิญพระอุปคุต เมื่อตัวแทนพาท่านมาถึง เจอหลวงตาแก่ผอมกระหร่องเลย พระเจ้าอโศกฯ ก็ไม่มั่นใจ อยากจะทดสอบ

    พอตอนเช้าพระอุปคุตออกบิณฑบาต พระเจ้าอโศกฯ ก็ปล่อยช้างไล่ ในอรรถกถาท่านบอกไว้ว่า พระอุปคุตหันมาเผชิญหน้า ช้างก็เลยกลายเป็นดั่งรูปปั้นศิลา กระดิกตัวไม่ได้ พระเจ้าอโศกฯ เห็นดังนั้นก็ยอมรับว่าพระอุปคุตมีความสามารถ จึงกราบขอขมา พระอุปคุตก็เลยคลายฤทธิ์ ทำให้ช้างเดินกลับโรงช้างได้เอง

    พระเจ้าอโศกฯ บอกว่าอยากเห็นการแสดงฤทธิ์ชัด ๆ พระอุปคุตบอกว่า จะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกฯ ตรัสว่า แผ่นดินไหวก็ไหวอยู่บ่อยแล้ว จะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของพระอุปคุต อาจจะเกิดไหวในขณะนั้นพอดีก็ได้ พระอุปคุตบอกว่า ถ้าเช่นนั้นให้พระองค์เอาขันน้ำล้างพระพักตร์มา แล้วตักน้ำใส่ ท่านจะทำให้แผ่นดินไหวโดยน้ำสะเทือนในขันแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ปกติถ้าแผ่นดินไหวธรรมดาต้องสะเทือนทั้งขัน

    พระเจ้าอโศกฯ ก็ตกลง ตักน้ำมา ปรากฏว่าพระอุปคุตแสดงฤทธิ์เกิดเหตุแผ่นดินไหว ไหวชนิดที่ว่าอย่างอื่นสั่นหมด แต่น้ำสะเทือนแค่ครึ่งขัน ท่านจึงได้ยอมรับว่าเป็นฤทธิ์ของพระอุปคุตจริง ๆ จึงกราบอาราธนาท่านให้เป็นผู้ป้องกันไม่ให้พญามารมาทำลายพิธี พระอุปคุตก็เลยต้องฉันไป แหงนมองไปว่าพญามารมาหรือยัง ?

    คนเขามักจะนิยมสร้างรูปท่านในลักษณะนี้ ที่สร้างรูปในลักษณะนี้เกิดจากความนัยสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ พระอุปคุตนิยมเข้านิโรธสมาบัติ ก็เลยกลายเป็นพระมหาลาภไปโดยปริยาย การบูชาท่านก็จะมีลาภผลมากไปด้วย อีกนัยหนึ่งเป็นความเชื่อในระยะหลัง เพราะดูจากรูปแล้วเป็นลักษณะท่านล้วงบาตร กำลังฉันอยู่ ก็คิดว่าถ้าบูชา อย่างไรเราก็ไม่อดแน่ มีกินแน่นอน

    แต่ว่าทางภาคเหนือยังคงความเชื่อเรื่องพระอุปคุตนี้อยู่ เหมือนทางพม่า ถ้าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนไหนก็ตาม ที่ตรงกับวันพุธ เขาเชื่อว่าพระอุปคุตจะออกบิณฑบาต ทางเหนือเรียก เป็งปุ๊ด (วันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธ) เขาจะมานิมนต์พระไปรับบาตรตั้งแต่เที่ยงคืน

    อาตมาโดนปลุกงัวเงียไปรับบาตรมาแล้ว ก็มานั่งคิดวิเคราะห์ว่าทำไมเป็นประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน ท้ายสุดก็สรุปได้ด้วยปัญญาของตัวเอง ผิดถูกช่างมัน ว่าพระอุปคุตท่านออกบิณฑบาตในวันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำพอดี เนื่องจากมีคนได้ใส่บาตรท่านตอนออกนิโรธสมาบัติแล้วรวยในวันนั้น ทำให้คนเชื่อกันว่าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ตรงกับวันพุธ พระอุปคุตจะออกบิณฑบาต ประการต่อมาคนใส่บาตรใส่แต่เช้าเลย คนที่อยากได้บุญก็ตื่นให้เช้ากว่านั้นหน่อย พออีกคนเห็นคนนั้นตื่นเร็วก็เลยตื่นตั้งแต่ตีห้า อีกคนเห็นคนนั้นตื่นตีห้า ก็เลยตื่นตีสี่ครึ่ง ไล่ไปเรื่อย จนอาตมาต้องโดนปลุกให้ตื่นตอนเที่ยงคืน..!

    ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนหรือตักบาตรพระอุปคุตทางด้านเหนือยังมีอยู่เป็นปกติ ส่วนทางด้านพม่าหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว เขาจะจัดแพตกแต่งอย่างสวยงามแล้วอาราธนาพระอุปคุตใส่ลงแพ ทำบุญฉลองแล้วก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำไป ไปถึงที่หมู่บ้านไหนก็จะอาราธนาขึ้นที่หมู่บ้านนั้น แล้วก็จัดงานฉลอง นิมนต์พระไปเลี้ยงที่บ้าน ใครอยากเป็นเจ้าภาพก็นิมนต์พระอุปคุตเข้าบ้าน เวลาฉลอง บ้านนี้อาจสวดมนต์เย็นแล้วฉันเช้า พอขยับไปอีกบ้านก็อาจนิมนต์ฉันเพล ขยับไปเรื่อย ๆ บางหมู่บ้านอยู่ถึง ๒ เดือนก็มีเพราะว่าหมู่บ้านนั้นใหญ่และมีชาวบ้านเยอะ เขาอยากทำบุญกันทั้งหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็อยากรวย ถ้าทำบุญครบแล้ว ก็นิมนต์ท่านลงแพปล่อยท่านลอยน้ำไป บ้านอื่นก็เตรียมตัวนิมนต์ต่อ ทางพม่าเขาทำแบบนี้ ใหม่ ๆ แพต้นทางนั้นดูงดงามอลังการ แต่งเสียอย่างดีเลย ไปถึงท้าย ๆ กะรุ่งกะริ่งดูไม่ได้ เพราะหลายเดือนเต็มที


    เทศน์(ช่วงเย็น) ณ บ้านอนุสาวรีย์
    ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 055.jpg
      055.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.1 KB
      เปิดดู:
      352
  2. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วิธีอาราธนาหลวงพ่ออุปคุตมารับบาตรที่บ้าน

    วันขึ้น 12 ค่ำ ตอนหัวค่ำให้จุดธูป 3 ดอกปักที่สนามหน้าบ้าน แล้วอธิษฐานขออาราธนาพระมหาเถระอุปคุตมารับบาตรในเช้าวันขึ้น 15 ค่ำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.3 KB
      เปิดดู:
      100
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.7 KB
      เปิดดู:
      653
  3. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ฟังเพลงนี้เเล้วระลึกถึงหลวงพ่อปาน มีความตั้งใจเเละปฏิบัติตาม ในการทำตามปัจฉิมโอวาทที่หลวงพ่อปานฝากมายังลูกหลานของท่านทุกคน ก่อนสิ้นลมหายใจ หากถึงเเม้จะอ่านไม่เจอคำสั่งหลวงพ่อเเต่รู้สึกว่าจิตตนเองเเนบเเน่นในการระลึกถึงอนุสสติ10มาก เกรงกลัวต่อการทำความชั่ว เเละกลัวการตกนรกมาตั้งเเต่เด็กๆ ระลึกถึงความตาย เเละเป็นผู้เฝ้าดูอารมณ์จิตเเละกาย รวมทั้งสิ่งเเวดล้อมรอบตัวมาตั้งเเต่ทารกอ่อนนอนในอู่ เป็นลักษณะของการตายเเล้วเกิดทันที มันไม่น่าเเปลกค่ะ ภพภูมิการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง เพราะส่วนมากตายจากคนเกิดเป็นคนต่อกันเรื่อยๆ เเต่ชาติก่อนอาจารย์บอกว่าเราตายในฌาณสี่ระดับหยาบ เเล้วเกิดเป็นคนอีกทันที คือรูปฌาณระดับนี้ตามปกติต้องไปอยู่รูปพรหม เเต่ว่าตามความคิดพุทธภูมิถ้าอยากบารมีเต็มเร็วต้องขยันเกิดเป็นคนรับรู้ความทุกข์เยอะๆเเละเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างทั้งทางโลกเเละทางธรรม อาจารย์ค่อนข้างจะชำนาญในมโนยิทธิเเละญาณ8มาก ครั้งเเรกอายุ19ปี ที่ดิฉันขึ้นมโนยิทธิกับท่านที่บ้านคุณโอ๋ ที่ขอนเเก่น วันเเรกที่ฝึกอาจารย์ให้นั่งไป15นาที เเล้วท่านจะมาสะกิดขาสอบอารมณ์ทีละคน ท่านให้พิจารณาการเกิด เเก่ เจ็บ ตาย เเละพรัดพรากของรักของชอบใจล้วนเป็นทุกข์ ท่านบอกว่าเห็นกายในของดิฉันหลุดออกจากร่างเเล้วยืนอยุู่นอกกายเนื้อท่านว่า เก่งมาก เข้าฌาณสี่ได้เร็ว เเละต่อมาก็เห็นพระวิสุทธเทพมาชัดเจนเเจ่มใสเหมือนเเสงอาโลกกสิณขั้นเต็มปฏิภาคนิมิตค่ะ อาจารย์บอกว่า ของเก่าเราเยอะฝึกต่อเนื่องมาหลายชาติตลอดเพราะเกิดเป็นคนเเล้วตายเเล้วได้มาฝึกซ้ำกันเเบบนี้ทุกชาติ อาจารย์เห็นดิฉันครั้งเเรกท่านเอาพวงมาลัยดอกไม้สามสีมาไว้บนโต๊ะหมู่บูชาพระท่านบอกว่า มาเจอกันอีกเเล้วนะ ตามกันมาเกือบทุกชาติ เเล้วท่านก็หัวเราะท่านเป็นคนอารมณ์จิตเเจ่มใสค่ะ
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6fZtT9npNnM"]http://www.youtube.com/watch?v=6fZtT9npNnM[/ame]
     
  4. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ปัจฉัมโอวาทของหลวงพ่อปาน
    ท่านบอกว่า ลูกทุกคนเมื่อพ่อตายไปแล้วจงอย่าทิ้งกรรมฐานที่พ่อให้ไว้ เป็นกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าถือว่าเป็นของพ่อ ต้องถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้า
    ฆราวาสทุกคนอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านะแล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเอาตัวไม่รอดแล้วจะมาโทษพ่อไม่ได้ เพราะสมบัติส่วนใหญ่พ่อให้ไว้หมดแล้ว คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ พ่อให้หมดแล้ว ลูกทุกคนจงพยายามรักษาไว้ให้ดี แล้วท่านก็อธิบายกรรมฐานตามสมควร พูดไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พูดจริงๆ
    พอจวนถึงเวลาเที่ยง ก็บอกหลวงพ่อครับ เหลือเวลาอีก ๕ นาทีจะเที่ยง
    ท่านถามว่างั้นเหรอ เอาล่ะเวลานี้เหลืออีก ๕ นาทีจะเที่ยง ต่อไปนี้ฉันจะไม่พูดอะไร เพราะทุกอย่างฉันพูดมาแล้วสิ้นเวลา ๔๐ ปี เศษๆ ต่อนี้ไปฉันจะไม่พูดอะไร เมื่อเที่ยงแล้วฉันไม่มีธุระสำหรับใครอีกแล้วนะ ให้เป็นภาระของฉันฝ่ายเดียว เพราะฉันจะเตรียมตัวของฉัน เวลาหกโมงเป๋งวันนี้ นาฬิกาตีครั้งแรก ฉันขอลาทุกคน
    ความตายเป็นของธรรมดา
    แหม..บรรดาท่านสตรีทั้งหลายจำนวนหลายร้อยคน ร้องเพลงพร้อมกัน แต่ว่าไม่ใช่เพลงเพราะ เพลงร้องไห้ เสียงโฮเข้ามา
    ท่านถามว่า "ใครร้องไห้"
    ตอบท่านว่า "คนที่เขามาเยี่ยมครับ"
    ท่านบอก "อย่าร้องไห้สิลูก ความตายเป็นของธรรมดา พ่อตายไปสบายนะลูก พ่อไม่ลำบาก พ่ออยู่นี่พ่อลำบากกว่าตาย แต่ที่อยู่ก็เพราะจะสงเคราะห์ลูก พ่อสงเคราะห์ตามเวลาแล้ว"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    สมเด็จองค์ปฐมทรงมีพุทธพยากรณ์ประเทศไทย โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    หลวงพ่อได้สนทนาที่บ้านสายลมเมื่อวันจันทร์ที่
    ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๓
    "พอดีองค์ปฐมท่านเสด็จ เลยบอกว่าในเรื่องบ้านเมืองนี่
    คุณอย่าวิตกวิตกให้มากนะ มันไม่มีอะไรมากหรอกอันตราย
    ถ้าจะพึงมีมันก็ไม่หนัก มันเป็นเรื่องกฎของกรรมนิดหน่อย
    ของคน แต่ว่าเวลานี้ คนในเมืองไทยมีจิตเป็นกุศลมาก
    ท่านก็ย้อนหลังไปเมือปี ๑๘ วันที่ฉันทำภาพให้ดูว่ามันมี
    สภาพกองไฟใหญ่ลุกโชน คุณเห็นแล้วก็ตกใจ แล้วฉัน
    ก็ลุกมายืนชูขึ้นใช้น้ำหยดน้อยๆ นิดเดียว หยดแปะเดียว "
    " ไฟกองใหญ่ก็ดับพรึ่บแล้วฉันก็บอกแล้วว่าต่อไป

    คนไทยจะมีจิตใจเข้าถึงศีลธรรมมาก น้ำถึงแม้ว่าจะ
    เป็นปริมาณน้อย ทว่ามีความเย็นสูงก็สามารถจะดับไฟ
    ได้ฉันใด เวลานั้นฉันบอกตามนั้น เมื่อปี ๑๘ แล้วท่าน
    ก็มองดูคนไทยไม่แน่ใจนักว่าคนไทยจะดีขึ้น แต่ว่า
    เวลานี้คนไทยถึงแม้ว่าจะมีปริมาณน้อย แต่ส่วนที่เป็น
    นักบุญนักกุศลจิตใจมุ่งในพระนิพพานกันมาก ถือว่า
    เป็นอารมณ์สูงจัด แต่ถึงแม้คนพวกนี้จะมีปริมาณน้อย
    มีความเย็นสูงจะดับไฟได้และการที่ดับหรือจะดับโดย
    ไม่มีเหตุอะไรเลยก็จะเป็นไปไม่ได้เพราะกฏของกรรม
    ของคนน่ะมันมีอยู่ "
    " แต่ทั้งนี้ก็หมายความว่า อันตรายจะพึงมีแต่เฉพาะ
    บุคคลที่มีกฎของกรรมเท่านั้น คนที่มีจิตเป็นกุศลจริงๆ
    กฏของกรรมมันตามไม่ค่อยจะทัน อันนี้ก็ไม่มีอันตราย
    มันก็จะมีบ้างก็คือว่า ภาวะแห้งแล้งต้องกระทบกระเทือน
    แต่ก็ไม่ถึงอดตาย ถ้ามันอดนะมันไม่ตาย หิวตายใช่ไหม
    เป็นอันว่า ท่านว่ามาเท่านี้นะ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      140.8 KB
      เปิดดู:
      434
  6. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 15/3/2559 เวลา 05.40-6.50 น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย ฝึกสะเดาะกุญเเจเเบบเป่าประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ภาวนาคาถาเงินล้าน8จบ น้อมจิตกราบหลวงพ่อพระราชพรหมยานเเละหลวงพ่อปาน พบว่าจิตสงบผ่องใสดี ไม่มีความกังวลใดๆ ปราศจากนิวรณ์5 ไม่มีความฟุ้งซ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  7. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    คาถาประจำธงพิชัยสงคราม คือ พุท ธะ สัง มิ [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.7 KB
      เปิดดู:
      776
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  8. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 16/3/2559
    นอนเเล้วเห็นพระห่มจีวรหลายองค์ ได้เข้าไปกราบหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านฝากให้พระอีกรูปช่วยดูเเลการปฏิบัติของข้าพเจ้า ชื่อครูบาน้อย ซึ่งหลวงพ่อปานท่านก็ดูเเลการฝึกเป็นหน้าที่หลักๆของท่าน เเต่ครูบาน้อยองค์นี้น่าจะคนละองค์กับในโลกมนุษย์ เพราะเป็นครูบาอาจารย์ทางกรรมฐาน จำหน้าท่านได้ชัดเจนค่ะ หน้าคล้ายๆพระอาจารย์มั่นค่ะ เเต่เเต่งชุดเเบบครูบาทางเหนือ
    วันที่ 16/3/2559 เวลา 04.40-6.16 น.
    สวดมนต์บทอิติปิโสสามห้อง บทไตรสรณคมน์ ขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐาน ภาวนาคาถาเงินล้าน15จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2016
  9. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    17/3/2559 เวลา 00.10-00.35 น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย
     
  10. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    21/3/2559 สวดมนต์
    22/3/2559 21.27-22.11 น.
    สวดมนต์บทไตรสรณคมน์ อิติปิโสสามห้อง ขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐาน ระลึกถึงพระรัตนตรัย ฝึกกสิณ
     
  11. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่26มีนาคม2559 ที่หอพระม.ธรรมศาสตร์รังสิต ทำบุญถวายปัจจัยกับหลวงพ่อหนุนเเละพระอาจารย์อีกรูป ฝึกมโนยิทธิภาพชัดเจนเเจ่มใสดี ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าหลวงพ่อปาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรมยาน ฝึกปีตกสิณ อาโปกสิณ โลหิตกสิณ กสิณเเสงสว่าง เข้าถึงปฏิภาคนิมิตได้ ช่วงที่พรมน้ำมนต์ถูกตัวสองรอบรู้สึกเห็นประกายน้ำมนต์เป็นหยดน้ำคล้ายเเสงเเก้วเเตกตัวมากมาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    9/4/2559 กราบพระทำบุญเพื่อความเป็นมงคลเเก่ชีวิตครั้งเเรกในชีวิตที่ได้ไปประทับใจมากค่ะ กราบขอพรสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายเเห่ง วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม,วัดพระเเก้ว พระปิ่นเกล้า ศาลหลักเมือง ตำหนักเเดงพระเจ้าตากสินมหาราช ท่าช้าง วัดระฆังโฆษิตาราม วัดอรุณราชวราราม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
     
  14. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    9/5/2559
    สวดมนต์บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สมาทานกรรมฐาน จิตสงบนิ่งปราศจากนิวรณ์ น้อมจิตกราบหลวงพ่อปาน
     
  15. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน สิ่งที่มีความสำคัญก็ขอย้ำว่า พยายามทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ อย่าคิดว่ามันมีความจำเป็นอะไรต้องทำลายศีล ๕ ถ้าเราถือว่าเรามีความจำเป็น เราก็ต้องคิดว่า เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงนรก คิดไว้ด้วยนะ
    เพราะถ้าจำเป็นจะต้องทำลายศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง ก็ต้องถือว่า เรามีความจำเป็นจริงๆที่จะไปพระนิพพานยังไม่ได้ ต้องลงนรกก่อน เตือนไว้นะ เพราะศีล ๕ แต่ละข้อ ถ้าผิดข้อไหนก็ตาม เปิดโอกาสลงอบายภูมิทั้งหมด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    คาถามหาเสน่ห์
    โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    คาถามหาเสน่ห์มีอยู่ ๔ ข้อ ๔ คำ คือ
    ๑.ไม่พูดปด
    ๒.ไม่พูดคำหยาบ
    ๓.ไม่พูดส่อเสียด
    ๔.ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

    นี่แหละเป็นคาถามหาเสน่ห์ คำว่า คาถา นี่มาจากภาษาบาลี แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว ก็หมายถึงคำพูดที่เราพูดไปเอง คำพูดที่เราพูดออกไปนี่ ภาษาบาลีท่านเรียกว่าคาถา

    คาถามหาเสน่ห์
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๖ สำหรับตอนที่ ๑๖ นี้ ก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็ขอเตือนกันไว้ก่อน ว่ารายการนี้เป็นรายการ หนีนรก ตอนที่ ๑๕ หนีสิมพลีนรก แต่ตอนที่ ๑๖ นี้ หนีทุกขุม ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าเป็นเรื่องของวาจาที่ต้องพูด แต่ก่อนจะพูดถึงวาจา ก็บอกลีลาการหนีนรกกันก่อน

    การหนีนรก ขอถือตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระชินวร คือพระพุทธเจ้า ที่ตรัสว่า

    “ถ้าบุคคลใดละสังโยชน์ ๓ ประการได้ หรือว่าตัดสังโยชน์ ๓ ประการได้ ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถลงโทษได้ แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด จะเกิดเมื่อไร จะตายเมื่อไรก็ตาม จะวนเวียนแต่เฉพาะเป็นมนุษย์ เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ามีกำลังเต็มก็ไปนิพพาน”

    การตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ก็ขอบอกกันแบบง่ายๆ ย่อๆ พูดมากก็ฟังยาก วิธีตัดง่ายๆ ก็คือ

    ให้มีความรู้สึกไว้เสมอว่าชีวิตนี้มันต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิตคิดว่าอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ และก็เวลาเดียวกันนั้นก็ตั้งอารมณ์แห่งความดีทางไปสวรรค์ คือเกาะสิ่งที่มีกำลังใหญ่ คือพระพุทธเจ้า ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ ยอมรับนับถือพระธรรมและพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ หลังจากนั้นก็ทรงศีลห้าให้บริสุทธิ์ ถ้ามีกำลังใจละเอียดดีขึ้น ค่อยทรงกรรมบถ ๑๐ ให้บริสุทธิ์

    อย่างนี้เวลาท่านเป็นมนุษย์ท่านก็มีความสุข ตายจากความเป็นมนุษย์ก็ไม่พบความทุกข์ เพราะเทวดากับพรหมไม่มีความทุกข์ ถ้ามีกำลังเต็มเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น ก็พูดกันไว้แค่นี้ก็แล้วกันเป็นการเตือนใจบรรดาท่านพุทธบริษัท

    สำหรับวันนี้ก็จะแนะนำ “คาถามหาเสน่ห์” ถ้าถามว่า “พระมีคาถามหาเสน่ห์ด้วยหรือ?” ก็ต้องตอบว่า “มี” ถ้าถามว่า “ใครเป็นครู” ก็ต้องตอบว่า “พระพุทธเจ้าเป็นครู” ถ้าจะมีคนถามว่า “พระพุทธเจ้าทรงตัดกิเลสได้แล้ว ยังมีเสน่ห์ด้วยหรือ?” ก็ต้องตอบว่า “คนไหนถ้าตัดกิเลสได้มาก เสน่ห์ก็มาก ตัดกิเลสได้น้อย เสน่ห์ก็น้อยลงมา ถ้ายังตัดกิเลสไม่ได้เลย ระงับสิ่งที่ไม่เป็นเสน่ห์ พยายามสร้างสิ่งที่เป็นเสน่ห์ขึ้นมา ก็มีเสน่ห์เหมือนกัน”

    คำว่า “เสน่ห์” แปลว่า “ความรัก” ความรักซึ่งกันและกัน เป็นเยื่อใยแห่งความรัก ที่ดึงกำลังใจของบุคคลอื่นให้มารักเรา และก็เราเอง ถ้าคนอื่นเขาทำ เราก็รักเขาเหมือนกัน ถ้าต่างคนต่างมีเสน่ห์ บรรดาท่านพุทธบริษัท โลกนี้จะมีแต่ความสุข จะหาความทุกข์ไม่ได้

    ความทุกข์จะมีบ้างก็แค่เรื่องของขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย มันก็ต้องแก่ มันป่วย เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ คือร่างกาย แล้วมันก็ตาย เราจะมีทุกข์อยู่บ้างเมื่อความแก่เข้ามาถึง เพราะร่างกายไม่ทรงตัว กำลังไม่ดี ความเชื่องช้าก็ปรากฎ ก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น มันก็มีความลำบากอยู่บ้าง มีความทุกข์อยู่บ้าง ความตายจะเข้ามาถึงก็มีความทุกข์บ้าง เพราะมีทุกขเวทนามาก

    แต่นอกจากอาการทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว เราจะมีแต่ความสุข เพราะคนที่มีเสน่ห์มากก็มีคนรักมาก ถ้าเราพบปะสังสรรค์กับสมาคมใด บุคคลใด เราเป็นคนมีเสน่ห์ สมาคมนั้นเขาไม่เกลียด ผู้ที่เกลียดก็คือว่า คนที่มีเสน่ห์ไม่เท่า เขามีเสน่ห์น้อยเกินไป มีคนรักน้อยเกินไป อาจจะมีการอิจฉาริษยากันได้ นี่เป็นของธรรมดา แต่ถ้าพบหน้ากันเข้าจริงๆ บ่อยๆ อาการอิจฉาริษยาก็จะหมดไป เหลือแต่ความรัก

    คาถามหาเสน่ห์นี่มีอยู่ ๔ ข้อ ๔ คำ คือ
    ๑.ไม่พูดปด
    ๒.ไม่พูดคำหยาบ
    ๓.ไม่พูดส่อเสียด
    ๔.ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

    นี่แหละเป็นคาถามหาเสน่ห์ คำว่า “คาถา” นี่มาจากภาษาบาลี แปลว่า “วาจาเป็นเครื่องกล่าว” ก็หมายถึงคำพูดที่เราพูดไปเอง คำพูดที่เราพูดออกไปนี่ ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า “คาถา” (แต่คนไทยพูดเข้าเลยหาว่าเป็นคาถามหานิยมไปเลย เป็นการเสกคาถาไป) ความจริงไม่ใช่ นี่พระพูด ไม่ใช่หมอไสยศาสตร์ หมอเสน่ห์เล่ห์ลมพูด พระพูดถือบาลีเป็นพื่นฐานเป็นหลัก คาถาในที่นี้ถือว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว คือ คำพูด

    อาตมาจำถ้อยคำของท่านสุนทรภู่ไว้ได้ตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า “คนเราจะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา”

    หมายความว่า จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปากพูด เสียงที่พูดออกไป จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา คือลิ้นเป็นเครื่องแต่งเสียง (วันนี้ร่างกายไม่ดีมาก แต่ขอทำงานตามหน้าที่ เพราะปล่อยร่างกายดีก็ไม่ได้พูด ถ้าไม่ได้พูดงานก็ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ ก็ขอพูดทั้งๆ ที่เสียงก็ไม่ดี ร่างกายก็ไม่ดี เพลียมากเหลือเกิน)

    ก็รวมความว่า คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ปาก การพูด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องการมีเสน่ห์

    ๑.อย่าพูดปดมดเท็จ แต่คนพูดปดมดเท็จนี่ ถ้าเขาจับไม่ได้มันก็ดี การยอมรับนับถือยังมีอยู่ ถ้าจับคำพูดปดมดเท็จได้เมื่อไร เมื่อนั้นแหละความเป็นที่เคารพนับถือก็ดี ความเป็นมิตรสหายซึ่งกันและกันก็ดี ก็ต้องสลายตัวไป เพราะอะไร? เพราะเราเป็นคนทำลายประโยชน์เขา ในเมื่อเราเป็นคนพูดปด คนที่จะคบหาสมาคมด้วยก็หายาก เพราะว่าถ้าพูดกิจการงานกับเขา เขาก็หวังไม่ได้ว่าเราจะพูดตามความเป็นจริง เรียกว่าเราจะต้องเป็นคนมีทุกข์มาก ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย

    สำหรับคำพูดปดนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาลองซ้อมดูแล้ว ความจริงข้อนี้ก็เป็นทั้งศีลทั้งธรรมนะ ศีลมีแค่พูดปด กรรมบถ ๑๐ ก็เติมพูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ข้อนี้ก็รวมทั้งศีลและก็กรรมบถ ๑๐ ด้วย

    สำหรับวาจานี่ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาเคยถามว่าการรักษาศีลห้า ระวังตอนไหน ส่วนมากจริง ๆ บอกว่า หนักใจที่ มุสาวาท เขาว่าเขาจำเป็นต้องโกหก เขาถือว่าจำเป็น อย่างการค้าขายนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าไม่โกหกมันก็ขายไม่ค่อยจะได้ บางทีไม่จำเป็นต้องโกหก เดี๋ยวพ่อค้าฟังแล้วเขาจะเกลียดนี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ความจริงที่ว่าหนักใจก็ได้แก่พวกพ่อค้าแม่ค้า บรรดาท่านสตรีทั้งหลายนี่หนักใจมาก ว่าศีล ๔ ข้อพอรักษาได้ บอกว่าข้อมุสาวาทนี่หนักใจ

    แต่ความจริงถ้าเราไม่พูดโกหกจะได้ไหม ลองไม่พูดโกหกดู ดูซิจะขายของได้หรือไม่ได้ ของดีเราก็บอกว่า “นี่ของดีจริง ๆ นะ” ไม่หลอกลวงกัน ไอ้ที่ดีขนาดกลางก็บอกว่า นี่ดีขนาดกลาง ไอ้ที่ดีขนาดเลวก็บอกว่านี่ดีขนาดเลว ถ้าถามว่าขนาดเลวทำไมจึงว่าดี ก็เพราะยังเป็นของดีไม่แตกสลาย ผ้าไม่ขาด ขันไม่แตก แก้วไม่แตก ก็เป็นของดี แต่ว่าอัตราของมันเป็นของเลวหยาบไปหน่อย สวยน้อยไปนิด เนื้อละเอียดน้อยไปหน่อย อย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่าดีขนาดเลว เราก็บอกตามความเป็นจริง ข้อนี้หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงคงไม่หนักใจ

    มาอีกตอน เรื่องราคาของของ ราคาของของนี่จำเป็นต้องโกหกกัน ถ้าไม่โกหกกันมันขายราคาแพงไม่ได้ แล้วก็มีปัญหาอยู่ว่า สมมุติว่าของชิ้นนี้ในท้องตลาดเขาขายราคา ๑๐ บาท แต่ว่าต้นทุนจริงๆ มันเป็นบาทหรือสองบาทเท่านั้นไม่มาก ถ้ามีคนเขามาขอซื้อเขาขอลด ไม่ใช่ต่อ บอก ๑๐ บาท เขาขอลด ๙ บาทหรือ ๘ บาท ถ้าต่อนั้นหมายความว่าต้องเป็น ๑๑ บาทหรือ ๑๒ บาท คงไม่มีคนซื้อคนใดเขาต่อให้มันสูงขึ้น มีแต่ว่าขอลดลง ว่าขอลดลงมาอย่างนี้ ถ้าเราขายไปเราก็เสียราคาท้องตลาด ถ้าขายถูกเกินไปนี่

    บรรดาท่านพุทธบริษัทในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่อาตมาเคยพบมา ตอนนั้นยังอยู่วัดประยุรวงศาวาส จะไปเทศน์ที่นครปฐม ข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้ามาที่พาหุรัด เพื่อขึ้นรถยนต์ที่นั่น รถโดยสาร ไปเจอะกระเป๋าถือลูกหนึ่งชอบใจ ก็เข้าไปซื้อ ตกลงกับเจ๊กว่าตอนเย็นจะมาเอา เขาปิดราคาไว้ ถามเขาบอกว่า จะเอาไปแต่เอาไปไม่ได้ เพราะไปเทศน์จะให้สตางค์ก่อนเอาไหม? เถ้าแก่ก็บอกว่าไม่ต้อง เห็นหน้ากันเกือบทุกวัน เขาไว้วางใจ

    แต่ว่าพอกลับมาปรากฏว่าของในร้านทั้งหมด เขาเขียนราคาสูงขึ้นไปหมด ราคาเดิมก็ไม่มี สมมุติว่าราคาเดิมเป็น ๑๐ บาท ตอนเช้ามองดูแล้วมันเป็น ๑๐ บาท แต่ว่าตอนเย็นกลับมามันกลายเป็น ๑๓ บาทไป ของบางอย่าง กระเป๋าลูกนั้นประเภทเดียวกัน ถามเขา เวลานั้นค่าเงินมันสูงเขาเอา ๒๐ บาท ตอนเช้าเขียนราคา ๒๐ บาท ในฐานะที่ชอบกันก็บอกว่า “ฉันเอาลูกหนึ่งฉันไม่ขอลดละ เถ้าแก่จะลำบากเพราะรู้จักกันดี” เถ้าแก่เลยบอกว่า “ท่านไม่ขอลดผมจะลดให้ ผมเอา ๑๘ บาท”

    แต่ตอนเย็นพอมาถึง ปรากฏว่ากระเป๋าประเภทนั้นราคาขึ้นไปเป็น ๒๕ บาท ก็เลยถามว่า “เถ้าแก่ เมื่อเช้านี้มัน ๒๐ บาทน่ะ นี่แค่ตอนเย็นมัน ๒๕ บาท ฉันจะเอาสตางค์ที่ไหนมาซื้อ” เถ้าแก่ก็เลยบอกว่า “กระเป๋าของท่านอยู่ข้างในครับ ผมไปเก็บไว้ข้างในแล้ว ราคาผมก็เขียนเท่านี้เหมือนกัน แต่ว่าผมรับสตางค์จริงๆ แค่ ๑๘ บาท”

    ก็ถามว่า “ทำไมจำเป็นต้องขึ้นราคากันตามนี้ด้วยล่า มันไวเกินไป” เถ้าแก่ก็บอกว่า “หลังจากท่านขึ้นรถไปแล้วไม่นานนัก ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ ก็มีเจ้าหน้าที่เขามาแจ้งบอกให้ขึ้นราคาของไปเท่านั้นเท่านี้ ต้องขึ้นราคาตามนี้ เขาว่าของขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วกัน ให้ขึ้นราคาของไปอย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องทำตามเขา” ก็เลยถามว่า “ถ้าเราไม่ขายตามเขาล่ะ เราขายถูกเราจะขายได้ดี เขาขายแพงขายไม่ได้ดี”

    เถ้าแก่บอกว่า “ไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ขายตามเขา เราขายถูกเขาจะส่งคนมาซื้อหมด เมื่อซื้อหมดแล้วเราก็ไม่สามารถจะหาของราคาเท่านั้นมาขายได้อีก เพราะเขาขายแพงขึ้น” มันมีความจำเป็นต้องขายตามเขา แต่ในที่สุดท่านเถ้าแก่ก็เอากระเป๋าให้มาแล้วรับเงิน ๑๘ บาทตามเดิม เขามีความซื่อสัตย์ดี แต่ว่าป้ายที่เขียนไว้นั้นเป็นราคา ๒๕ บาท เถ้าแก่แกก็สั่งไว้ว่า “ถ้าใครเขาถามท่านให้บอกว่าเขาขายราคา ๒๕ บาทนะครับ ไม่งั้นผมเสียแน่”

    แต่ความจริงอาตมามาถึงวัดคนนั้นถาม คนนี้ถามก็บอกว่า “อย่าบอกราคากันเลยราคาไม่ต้องบอกกัน ป้ายเขาเขียนเท่านี้ก็เชื่อเท่านี้ก็แล้วกัน ผมจ่ายเท่าไรเป็นเรื่องของผมให้ถือว่าป้ายเขาเขียนไว้เท่านี้ก็แล้วกัน”

    แต่นั้นมา ถึงญาติโยมพุทธบริษัทที่จะต้องบอกราคาเกิน ความจริงถ้าบอก ของราคา ๒ บาท เราขาย ๑๐ บาท เขาขอลด ๘ บาท แล้วก็บอกว่า “ไม่ได้หรอก ฉันซื้อมา ๙.๕๐ บาท แล้วนี่ฉันได้ ๕๐ สตางค์เท่านั้นเอง ถ้าจะลดก็ลดได้เพียง ๒๕ สตางค์” อย่างนี้ก็โกหก เป็นมุสาวาท

    ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นมุสาวาท? ก็ต้องตอบเขาเฉยๆ ว่า “ของต้นทุนมันแพงต้องขายเท่านี้ ถ้าจะลดได้ก็ลดได้แค่ ๕๐ สตางค์ หรือ ๒๕ สตางค์ ลดเกินกว่านั้นไม่ได้เพราะต้นทุนมันแพง “ถ้าเขาถามว่า “ต้นทุนแพงราคาเท่าไร” ก็ตอบเฉยๆ ว่า “ของมันหลายชิ้นด้วยกัน ตอบยากเพราะมันต้องเปิดตำรา” เท่านี้ก็หมดเรื่องหมดราว ไม่เป็นมุสาวาท

    ก็รวมความว่า คนที่พูดมุสาวาทเป็นคนไร้สัจจะ คนเกลียด แต่พูดตามความเป็นจริง บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ไปที่ไหนใครก็ชอบ คนทุกคนต้องการรับฟังวาจาที่ตรงตามความเป็นจริง

    แต่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงก็ต้องระวังเหมือนกัน การพูดตามความเป็นจริงนั้นต้องเลือกเวลา อย่าพูดจนกระทั่งเขามีความเสียหายต่อหน้าประชาชนเกินไป ต้องใช้ปัญญาด้วย ความจริงข้อนี้เราควรจะพูดที่ไหน แล้วเวลาพูดนั้นเป็นเวลาควรจะพูดแล้วหรือยัง? ถ้าเป็นเครื่องสะเทือนใจของบุคคลผู้รับฟัง เวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดีอย่าเพิ่งพูดความจริง รอเวลาอารมณ์ดีจิตใจเขาสบาย พูดอ้อมหน้าอ้อมหลังไปก่อน เห็นท่าว่าเขาจะยอมรับแล้วก็ไม่โกรธจึงควรพูด ถ้าพูดไปแล้วผู้รับฟังโกรธ บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นหมายถึงความตายจะเข้ามาถึงผู้พูด ตามที่พูดกันว่า “วาจาจริงเป็นวาจาไม่ตาย” แต่คนพูดตามความเป็นจริงอาจจะตายได้ นี่ต้องระวังให้มาก

    ก็ถือว่าถ้าเราพูดตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เลือกเวลาเหมาะเวลาสม ใช้ปัญญาหน่อย อย่างนี้ถือว่า วาจาเป็นทิพย์ ท่านจะมีความสุขมากในฐานะที่คนทั้งหลายมีความไว้วางใจในท่าน สำหรับกรรมบถ ๑๐ และศีลข้อนี้อธิบายกันยาว เพราะนี่มันยาวไปหน่อยนะ

    ต่อไปข้อหนึ่ง คือ “วาจาหยาบ” วาจาหยาบ เป็นเครื่องสะเทือนใจ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าไม่จำเป็นอย่าพูดเลย แต่ความจริงบางโอกาสก็จำเป็นต้องพูด จำเป็นต้องใช้ แต่ควรใช้เฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นของเรา อย่างคนที่อยู่ในปกครองจะเป็นลูกหรือจะเป็นใครก็ตามเถอะ

    เพราะคนเรามีนิสัย ๒ อย่าง คนที่มีนิสัยละเอียด นี่เป็นคนดีมาก คนประเภทนี้ชอบปลอบ และค่อยพูดค่อยจามีเหตุผล รับฟังแล้วปฏิบัติตาม คนประเภทนี้พูดหยาบตึงตังโครมครามไม่ได้เสียหายกันเลย ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเธอมาจากสวรรค์

    ถ้าบางคนเป็นคนนิสัยหยาบ เธอมาจากอบายภูมิ ถ้าพูดอ่อนโยน อ่อนหวาน เสร็จแก ขี่คอแน่ คนประเภทนี้ไม่ต้องการวาจาดี ต้องใช้วาจาหยาบ ตึงตัวโครมคราม นี่เฉพาะคนในปกครองของเรา มีความจำเป็นต้องใช้ให้เหมาะกับนิสัย แต่สำหรับกับเพื่อนบ้าน บรรดาญาติโยมทั้งหลาย อาตมาคิดว่าใช้วาจาอ่อนโยนดีกว่า วาจาอ่อนโยนและอ่อนหวานนี้เป็นประโยชน์มาก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าจะพูดที่ไหนใครก็ชอบจะพูดที่ไหนใครก็รัก

    แต่ว่าสำหรับเพื่อนที่คบหาสมาคมกันสนิทก็ไม่แน่นัก บางทีพูดเพราะๆ เข้าแกด่าเอาเลย หาว่าดัดจริต ฉะนั้น คำว่า “วาจาหยาบ” นี่ต้องดูเฉพาะบุคคล บางคนถ้าเป็นเพื่อนคบหาสมาคมมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก อาตมาพบท่านๆ หนึ่ง สมัยที่ยังไม่แก่นัก อาตมาก็ยังไม่แก่เกินไปนะเวลานั้น เวลานี้มันหาหนุ่มเกือบไม่ได้อยู่แล้ว มีแรงมาพูดได้ก็บุญ ตัวเวลานั้นยังไม่แก่เกินไป ไปพบคนๆ หนึ่งเคยเรียนหนังสือชั้นประถมมาด้วยกัน เธอเป็นอธิบดีกรม ๆ หนึ่ง พอไปพูดวาจาหวานๆ เข้า แกชักกระชากเสียงว่า “ทำไมต้องพูดอย่างนี้ เมื่อสมัยเป็นเด็กอย่าลืมนะว่าเรียนหนังสือโต๊ะเดียวกัน ความเป็นใหญ่เป็นโต สำหรับเพื่อนรักไม่มีสำหรับเรากับท่าน” เขาว่าอย่างนั้น ว่าเพื่อนกันไม่มีอะไรใหญ่กว่ากัน ห้ามยกย่องสรรเสริญกันแบบนั้น นี่แบบนี้เขาก็มีนะ

    แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งเพื่อนกันที่เขาเป็นฆราวาส เขาก็ไปพบเพื่อนของเขาเหมือนกัน คนนี้ออกมาจากโรงเรียนแล้วก็ไม่มีงานราชการทำ เธอไม่อยากจะทำ อยากจะทำงานส่วนตัว ก็เดินไปเดินมาแบบพ่อค้าหาบเร่ แต่ความจริงไม่ได้หาบ ติดต่อของที่โน่นเอามาขายที่นี่ ติดต่อที่นี่ไปขายที่โน่น รู้สึกว่ารายได้ดี รายได้ของเธอดีมาก บางวันสมัยนั้นค่าของเงินยังแพงอยู่ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕ สตางค์ บางวันเธอได้กำไรเป็นร้อยๆ นับเป็นร้อยๆ บางวันถึงพัน อย่างไม่ได้เลยก็ ๒-๓ ร้อยบาท นี่แค่เฉพาะกำไร รวยมาก ดีกว่ารับราชการ

    เธอไปพบเพื่อนคนหนึ่งเป็นอธิบดีเหมือนกัน (คำว่า “เหมือนกัน” ก็เหมือนกับเพื่อนอาตมาอีกคนหนึ่ง) มาถึงก็ยกมือไหว้ “ท่านครับ” ครับผมเข้าให้ อธิบดีหันมาด่าเลย บอก “นี่..มึงอย่ามาพูดกับกูอย่างนี้ กูไม่ใช่นายมึง กูเป็นเพื่อนของมึงทีหลังห้ามพูดนะ” นายนั่นก็บอกว่า “ท่านเป็นอธิบดี” แกก็เลยกระชากเสียงมาใหม่บอก”กูเป็นอธิบดีสำหรับคนอื่น ไม่ใช่อธิบดีของมึง มึงเป็นเพื่อนกู ไปกินเหล้าด้วยกัน” ชวนไปกินเหล้ากันเลย

    รวมความว่า วาจาหยาบต้องดูเฉพาะบุคคลที่ควรไม่ควร รวมความว่า แหม..ถ้าใช้หวานๆ เกินไปสำหรับเพื่อนก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้ากร้าวเกินไปสำหรับเพื่อนบางคนก็ไม่ดีเหมือนกัน ต้องเลือกวาจาใช้ รวมความว่าใช้วาจานิ่มนวลไม่หยาบคายมีประโยชน์กว่า เป็นที่รักของบุคคลทั่วไป นี่ว่าสำหรับคนทั่วไปนะเป็น “คาถามหาเสน่ห์” เหมือนกัน

    เวลามันเหลือน้อย ยํ้าไปมาก ซอยไปมาก มันจะยุ่งแล้วหลวงตา มันจะจบไม่ทัน เสียงก็แห้งลงมาทุกที แรงมันหมด มันยังไม่ตายก็พูดไปก่อน พูดให้มันขาดใจตายไปเลย

    ก็รวมความว่า ต่อไป “วาจาส่อเสียด” เรื่องการยุแยงตะแคงแสะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่าให้มีเด็ดขาด อันนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเราเลยท่าน เรายุให้เขาแตกแยกกันก็อย่าลืม หอกนั้นมันจะสนองเรา อย่าลืมว่าคนทุกคนนะเขามีปัญญา ทีแรกถ้าเขายังไม่พบหน้าซึ่งกันและกัน เขาอาจจะเชื่อเรา และคนที่มีปัญญาเบาคือจิตทรามไร้ปัญญาก็แล้วกัน เมื่อรับฟังแล้วก็เชื่อเลยประเภทนี้ก็มี แบบนี้สร้างความแตกร้าวให้เกิดขึ้นมาเยอะ คนบางคนเขาใชัปัญญาก็มีเหมือนกัน ถ้าบังเอิญเขาพบกันเข้า ไต่ส่วนกันเข้าเมื่อไร วาจาที่เรายุแยงตะแคงแสะไว้มันไม่ตรงตามความเป็นจริง ตอนนี้แหละ ญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องร้ายก็ตกกับเรา เขาเกลียดนํ้าหน้า ดีไม่ดีแทนวาจาจะต่อว่ากลายเป็นอาวุธไปก็ได้ เขาอาจจะจ้างคนมาฆ่าให้ตาย หรือเขาจะฆ่าเองก็ได้ ข้อนี้อย่าทำ

    แล้วสำหรับอีกวาจาหนึ่ง คือ “วาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล” คือวาจาไร้ประโยชน์ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าให้มีเป็นอันขาด พูดไปมันก็เหนื่อยเปล่า ถ้าคนเลวเขารับฟังก็ฟังได้ แต่ถ้าเป็นการเล่านิทานไม่เป็นไร ไม่ไร้ประโยชน์ สร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้เกิดแก่ผู้รับฟัง นิทานใครๆ ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องจริง

    แต่วาจาที่พูดกับเพื่อน ถึงแม้ว่าไม่ใช่วาจาที่เป็นงานเป็นการ แต่พูดไปไร้เหตุไร้ผลนี่ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน อย่าพูดเลย ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะพูดไปเราก็เป็นคนเสีย วันหลังถ้าไปเจอะหน้ากันเข้าหรือเขาไปพบกัน เขาไปพบกับคนอื่นใดเขาจะกล่าวว่า “ไอ้หมอนั่น อีหมอนี่มันไม่ดี พูดส่งเดชไร้ประโยชน์” ต่อไปข่าวนี้กระจายมากไปเท่าไรก็ตามที เราก็เป็นคนเสียเท่านั้น ทีหลังจะพูดอะไรกับใครเขา เขาก็ไม่อยากจะฟัง ถ้ามีความทุกข์ปรารถนาจะขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่อยากช่วย เพราะเขาไม่เชื่อวาจาของเรา

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่ท่านสุนทรภู่ท่านว่าไว้ว่า “จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา” นี่เป็นความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดที่ดีคือ

    ๑.พูดตามความเป็นจริง
    ๒.ไม่พูดหยาบคาย ใช้วาจาไพเราะ
    ๓.ไม่ส่อเสียด ไม่ยุยงส่งเสริมเขาให้แตกร้าวกัน
    ๔.ใช้วาจาเฉพาะที่วาจาที่เป็นประโยชน์

    ทั้ง ๔ ประการนี้ คำว่า “โทษ” ไม่มีกับเรา มีแต่คุณเท่านั้น จะไปที่ไหน จะพูดที่ไหน ใครก็อยากรับฟัง เขาถือว่า วาจาเป็นทิพย์

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี่แรงก็จะหมดพอดี พูดไปเสียงก็กลั้วไป เสียงก็แห้งไป เวลาก็หมดก็ขออำลาแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธบริษัทศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 22210.jpg
      22210.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.7 KB
      เปิดดู:
      108
  17. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่ 27 พ.ค. 2559 เวลา 22.08-22.48 น.
    ฝึกภาวนา ไปกราบหลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ ท่านเเนะนำเรื่องการปฏิบัติ ไม่ขอกล่าวเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวเเต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ
     
  18. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    วันที่16มิถุนายน 2559เเยก รูปนามที่หลุดมาจากขันธ์5 เมื่อเเยกได้จะรู้อาการเหาะขึ้นบนอากาศตลอดถ้าจิตกลัวความตายเเละห่วงร่างกายจะเหาะไม่ได้ ดิฉันได้ใช้กสิณรวมเเละระลึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นจุดกลางของวงกสิณที่หมุนอย่างเร็วเป็นรูปวงกลมเเละคล้ายกลีบดอกบัว เสร็จเเล้วอาทิสมานกายหรือนามรูปหรือกายในกายก็เหาะตามหลังหลวงพ่อปานไป ท่านให้ดิฉันมาฝึกวาโยกสิณเเละหัดเหาะที่บนอากาศในเขตป่าหิมพานต์ค่ะ มองมาข้างล่างเห็นต้นไม้อันเขียวชอุ่มมากมายเเละหน้าผาหิน มีหลวงพ่อปานมาคุมการฝึกท่านจะประทับท่านั่งขัดสมาธิเเล้วทรงตัวในอากาศเเละเคลื่อนไปมาได้เพื่อคุมดิฉันเหาะ ฝึกเหาะไปมาอย่างปลิวนุ่นเพราะมีสภาพเบามาก หลวงพ่อปานบอกดิฉันว่า ลองตีลังกาดูก็ได้ เเล้วกายในก็หมุนตลบลงเเล้วพลิกขึ้นสนุุกมากค่ะ เเล้วก็ทดลองกางเเขนถลาไปในอากาศ หลวงพ่อปานให้ดิฉันฝึกการเหาะสักพัก ท่านได้พาดิฉันฝ่าเมฆสีขาวมเข้าไปในเขตสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช เขตของเมืองที่กึ่งเทพกึ่งนกหรือที่มีกินรี คยธรรพ์เป็นบริวาร เมื่อมาถึงก็พบท่านท้าวธตรฐจาตุมหาราชที่ครองเมืองนี้ บรรลังค์เเท่นประทับของพระองค์สีทอง มีเทพธิดานั่่งเบื้องล่าง ตอนดิฉันเข้าไปกับหลวงพ่อปานเห็นไม่เยอะค่ะ มีคนธรรพ์ยกน้ำมาถวายหลวงพ่อปานเเละดิฉัน ท่านท้าวผู้ครองนครถามว่า คุ้นไหม ดิฉันมองดูก็ทราบว่า เค้าเป็นพ่อของญาติธรรมที่เสียชีวิตไปท่านมาเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้ คนธรรพ์พยัคหน้าด้วยความนอบน้อมเเล้วเดินคุกเข่าออกไป มีคนมาเรียกจึงดีดกลับลงมาจากข้างบนค่ะ
    ประสบการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงนะคะ บางเรื่องในชีวิตจริงวิบากกรรมเข้าเเทรกบางครั้งรู้เเต่หลบหนีไม่ได้จริงๆค่ะ ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำตลอดเเต่สุดท้ายก็ออกมาได้โดยใช้เวลาที่ไม่นานในวาระกรรมนั้นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2016
  19. noonei789

    noonei789 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +6,958
    ตัวอย่างบุพกรรมของงูเหลือม 2 ตน ที่มาขออโหสิกรรมจากข้าพเจ้า
    ย้อนไปในสมัยเชียงเเสน มีพระพุทธรูปศิลปะเชียงเเสนที่เป็นที่เคารพของชาวบ้านใต้ต้นโพธิ์ ชาวบ้านเเละข้าพเจ้าในสมัยนั้นได้รวมกันถวายเงินเเขวนไว้ต้นไม้เเละในพานเตรียมถวายวัด ทุกคนมายืนพร้อมกันทั้งหมู่บ้านค่ะ เเต่มีชายสองคนมาขวางงานบุญของพวกเรา มีผู้ชายทะยานมาปัดเงินในมือของข้าพเจ้าให้หล่นไป ชายคนเเรกผมยาว ไม่สวมเสื้อ ใส่โจงกระเบนสีน้ำตาลเเดง เเต่งตัวอย่างชายไทยในสมัยนั้นค่ะ ได้วิ่งเเละทะยานกระโดดอย่างเร็วไปบนต้นโพธิ์เพื่อขวางงานบุญของพวกเรา เเละชายคนที่สองผมยาว ไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีซีดๆ ก็ไปขวางการทำบุญของคณะเราด้วยการปีนขึ้นไปตามกิ่งต้นโพธิ์เหนือพระพุทธรูปเชียงเเสน ฝีมือของคนสองคนดูเเล้วไม่ใช่คนธรรมดาเพราะพวกเค้าฝึกฤทธิ์มาเเต่ยังไม่เข้าเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันเช่นกันทั้ง2คนค่ะ ของทุกอย่างอยู่ในท่ามกลางที่จะไปถวายเป็นของสงฆ์ ต่อมาเเผ่นดินเเยกต้นโพธิ์เเละพระเชียงเเสนได้จมลงไปเเละธรณีได้สูบผู้ชายสองคนนั้นหายลงไปในเเผ่นดิน มีพระยานาค 7 เศียรมาเเผ่พังพานเเล้วสาปผู้ชายสองคนนั้นด้วยวาจา ดิฉันจำหน้าผู้ชายทั้งสองคนได้เป็นอย่างดีค่ะ จากนั้นผู้ชายคนเเรกได้ถูกสาปจากพระยานาคที่ปกปักรักษาต้นโพธิ์เเละพระพุทธรูปเชียงเเสน ให้ผู้ชายคนเเรกกลายเป็นงูเหลือมสีดำ ผู้ชายคนที่สองกลายเป็นงูเหลือมสีทองค่ะ งูเหลือมทั้งสองสามารถล่องหนหายตัวได้เพราะสมัยเป็นคนทั้งสองเคยได้ฤทธิ์มาเเต่ต้องมีตัวติดกันเเยกกันไม่ได้ งูเหลือมมาเเสดงให้ข้าพเจ้าเห็นในความทุกข์ที่ได้รับมานาน เเม้กระทั่งเวลามีราคะงูเหลือมทั้งสองต้องพันกันเป็นรูปเลข 8 ค่ะเพื่อสำเร็จความใคร่ให้กันเเละกัน งูเหลือมทั้งสองมาขออโหสิกรรมจากข้าพเจ้า เพราะต้องการหลุดพ้นจากการกรรมนี้ เพราะข้าพเจ้าตายเเล้วเกิดมานานเเต่งูเหลือมทั้งสองตนก็ยังไม่หลุดพ้นจากรรมนั้นเพราะถือว่าใช้กรรม ดิฉันรับรู้อารมณ์จากพวกเค้าได้หมดเเม้กระทั้งตอนขวางงานบุญเเละมาขออโหสิกรรม ดิฉันอโหสิกรรมนั้นให้งูเหลือมทั้งสองตนจะได้ไปเกิดยังภพภูมิใหม่
    ข้อคิดคือ การทำบุญถวายเพื่อพระพุทธศาสนาทุกอย่าง คนขวางจะกรรมหนักมากค่ะ ไม่ว่าของนั้นจะอยู่ท่ามกลางที่จะกำลังถวายเป็นของสงฆ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2016
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หายไปนานเลยนะคะ มาฟังต่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...