การพิจารณาปัจจยการของท่านพระอาจารย์มั่น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Mdef, 18 มิถุนายน 2021.

  1. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    IMG_0311.JPG
     
  2. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    ท่านว่าปัจจัยาการมีแยกเป็นสองนัย คือ ที่แสดงไว้ในตำรานั้น
    ท่านแสดงเป็นความเกี่ยวโยงแห่งความเจริญของอวิชชาหนึ่ง
    แสดงความดับไปโดยลำดับแห่งอวิชชา จนไม่เหลือหลอหนึ่ง
    ถ้าเทียบก็เหมือนแบบแปลนแผนผังของเรือนที่ผู้จะปลูกบ้านสร้างอาคารใดๆ
    จำต้องทำตามแปลนที่นายช่างทำเป็นแบบไว้แล้ว จนสำเร็จรูปเป็นบ้านเรือนขึ้นมา
    แม้การรื้อถอนบ้านเรือนจะไม่มีแปลนบอกไว้เหมือนวิธีการดับอวิชชาก็ตาม
    แต่ผู้รื้อถอนก็ย่อมคำนึงถึงวิธีการรื้อถอนด้วยสติปัญญาอันเป็นธรรมคู่ควร
    แก่เหตุผลด้วยดีก่อนทำการ

    อวิชชาในตำราเป็นเพียงความบอกเล่าว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
    สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณจนถึงสัมภวันติ เป็นฝ่ายสมุทัยล้วนๆ และการดับอวิชชา
    เพียงอันเดียว สังขาร วิญญาณ นามรูปฯ ย่อมดับไปตามๆกัน ไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่
    พอจะเป็นเชื้อแห่งภพชาติต่อไป อันเป็นฝ่ายนิโรธ ดังบทสุดท้ายแห่งอวิชชาว่านิรุชฌันติ
    ทั้งฝ่ายส่งเสริมอวิชชาให้ติดต่อก่อแขนงกลายเป็นภพชาติเป็นสัตว์เป็นบุคคล
    จนถึงความชราคร่ำคร่าและสลายไปในที่สุด
    ทั้งฝ่ายบำราบปราบปรามอวิชชาให้สิ้นไปจากใจหมด

    การต่อภพต่อชาติดังท่านที่ทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยการดับอวิชชามีพระพุทธเจ้าเป็นต้น

    ทั้งสองนัยนี้ท่านแสดงเรื่องหรือโครงร่างความเป็นไปของอวิชชา
    และการดับอวิชชาไว้เท่านั้น
    มิได้แสดงวิธีส่งเสริมอวิชชาว่าทำอย่างไร
    อวิชชาจึงมึกำลังกำเริบถึงกับพาสัตว์ให้เกิดตายไม่มีที่สิ้นสุดไว้
    และมิได้แสดงวิธีการระงับดับอวิชชาว่าทำอย่างไร
    อวิชชาจึงถูกตัดกำลังลงโดยลำดับจนดับไปจากใจโดยสิ้นเชิง
    ไม่สามารถทำใจที่อวิชชาไปปราศแล้วให้เกิดตายต่อไปอีกได้
    ในปัจจยาการที่แสดงไว้ก็มีเพียงเท่านี้ท่านว่า
    ผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดอวิชชาให้สิ้นไปจำต้องยึดอริยสัจสี่หรือสติปัฏฐานสี่
    อันเป็นที่รวมแห่งอวิชชาเป็นทางดำเนิน
    ท่านเองว่าเมื่อจิตก้าวขึ้นสู่ความว่างเปล่าจากรูปธรรมทั้งหลายแล้ว
    ก็มีแต่ตามติดสังขารความปรุงของใจกับวิญญาณที่สัมผัสรับรู้จากสิ่งต่างๆ
    และเวทนาจิตที่แสดงผลให้ปรากฏ
    จากการปรุงการรับรู้ทางวิญญาณด้วยสติกับปัญญาที่มีอยู่ในที่แห่งเดียวกันเท่านั้น
    เพราะสังขารก็ปรุงจากจิต วิญญาณก็รับทราบจากจิต
    ต่างก็ดับลงที่จิตเมื่อสติตามทันปัญญาค้นพบสาเหตุ
    และวิพากษ์คลี่คลายทันกับเหตุการณ์ สิ่งเหล่านั้นย่อมกำเริบรุนแรงไปไม่ได้

    การตามรู้สังขาร วิญญาณว่าปรุงเรื่องอะไร รับทราบเรื่องอะไร
    เพียงเท่านั้นยังไม่สากับใจที่มีสติปัญญาอัตโนมัติเป็นพี่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลาไม่เผลอตัวยังสามารถขุดค้นลงถึงต้นตอ
    ที่เกิดแห่งสังขารและวิญญาณอีกว่าเกิดมาจากที่ไหน
    อะไรเป็นเครื่องผลักดันให้เกิดอยู่ไม่หยุดไม่ถอย
    ตัวที่ผลักดันนี้คือตัวอวิชชาแท้ การพิจารณาอวิชชาเพื่อถอนรากถอนโคนจริงๆจึงอยู่ตรงนี้
    คือขุดค้นลงที่ใจอันเป็นเรือนรังของอวิชชาฝั่งจมอยู่นั่นแล
    จึงเห็นตัวอวิชชาแตกกระจายสลายตัวลงในขณะที่มหาสติมหาปัญญาเข้าถึงตัว
    นี้คือการพิจารณาอวิชชาแท้
    และคือวิธีการถอดถอนอวิชชาออกจากใจตามทางมรรคทางผลที่พระศาสดาทรงสั่งสอนไว้แท้
    ไม่เพียงไปอ่านแต่แบบแผนตำรับตำราแล้วก็มาถกเถียงกันจนตาดำตาแดงหาที่สิ้นสุดยุติมิได้
    พอให้อวิชชารำคาญและหัวเราะเปล่าๆ โดยไม่มีกิเลสแม้ตัวเดียวที่ถูกกระทบกระเทือน
    จากการถกเถียงกันพอผิดถลอกปอกเปิกไปบ้างเลย
    เราเป็นชาวพุทธที่มีศาสดาองค์เอกเป็นครูสั่งสอน
    จึงควรมีเหตุมีผลเป็นเครื่องตามเสด็จบ้าง

    อย่ามีแต่ทิฐิมานะความรู้ความเห็นดิ่งลงไปถ่ายเดียว
    ทำนองกิเลสบาปธรรมทั้งหลายอยู่ในตำรา แล้วก็มาถกเถียงกันแทนการแก้กิเลส
    สิ่งที่ได้รับจึงมักมีแต่ลมปากไม่มีเนื้อมีหนังติดมือมาบ้างเลย
    ถ้าเป็นทำนองนี้เรียนมากเท่าไร รู้มากเท่าไรขึ้นเวทีโต้เถียงจัดเจนเพียงไร ก็ยิ่งเหลงไปเพียงนั้น
    ไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายของปราชญ์ตามทางศาสดาและศาสนธรรมเลย
    อวิชชาตัณหาจริงๆ มันอยู่ที่ใจ สร้างโครงร่างขึ้นที่ใจคนใจสัตว์
    และทำการระงับดับลงที่ใจเรานี่เท่านั้น

    ไม่มีที่อื่นเป็นที่เกิดและสร้างโครงร่างตลอดความดับของอวิชชาตัณหาทั้งมวล
    ขณะอวิชชาดับลงอย่างราบคาบแล้วนั่นแลจึงเห็นความโง่ความหลงงมงายของตัว
    ของมนุษญ์และของสัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ใต้อำนาจแห่งความบังคับทรมานของมันว่าแสนโง่
    แสนลำบากตลอดกาล แม้จะมีความสุขบ้างก็ชั่วขณะราวฟ้าแลบเท่านั้น
    แต่สัตว์โลกก็หลงพอใจกันและอยู่กันอย่างเพลิดเพลิน
    ไม่คิดถึงภัยว่าจะมีแก่ตัวหนักเบามากน้อยเพียงไร
    คนๆเดียวกัน จิตดวงเดียวกัน เมื่อถูกขัดเกลาด้วยดีจนเต็มภูมิแล้ว
    ย่อมผิดกันอยู่มากยิ่งกว่าฟ้ากับดิน
    จิตที่พ้นจากอำนาจอวิชชานั้นเป็นจิตที่ไม่อยู่ในขอบเขตแห่งข้อบังคับของสิ่งใดในโลกสมมุติ
    เป็นจิตที่ทรงอิสระสุดส่วนเกินความคาดหมายที่จะด้นเดาได้ถูก
    นั่นแลที่ท่านเรียกว่าแดนแห่งความเกษมสำราญ
    เป็นภูมิของท่านผู้ทรงอำนาจเหนือสมมุติทรงไว้และเสวยกัน
    ถ้าอยากรู้อยากเห็นก็อย่าพากันขี้เกียจอันเป็นเหยื่อล่อของกิเลสตัณหาอวิชชาทั้งมวล
    เราเป็นภิกษุบริษัทที่พร้อมแล้วทุกอย่าง
    จงพากันตื่นตัวอย่ามัวเอากิเลสออกอวดกันด้วยอากัปกิริยา
    ที่ขัดต่อธรรมเครื่องนำออกจากกองทุกข์
    จะเสียชาติที่เกิดซึ่งเป็นภาชนะที่เหมาะแก่ศาสนธรรมอยู่

    แล้วในชาติและเพศที่เป็นอยู่ขณะนี้ พอท่านแสดงอวิชชาจบลง
    แทนที่จะเมตตาฝากของดีแห่งผลที่เกิดจากการถอดถอนอวิชชาคือวิชาวิมุตติให้เพียงเท่านั้น
    ยังเมตตาฝากธรรมเผ็ดร้อนแก่บรรดาศิษย์ให้เป็นที่ระลึกไม่ลืมอีกวาระหนึ่ง ทำให้จดจำได้ดีดัง
    ที่นำมาเขียนให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้อ่านอยู่ขณะนี้ ปกตินิสัยท่าน ถ้าลงได้พูดธรรมขั้นสูง
    กิริยาท่าทางต้องแสดงความเข้มข้นออกมาตามธรรมขั้นนั้นๆ
    จนผู้ฟังที่ยังไม่เคยชินต่อนิสัยท่านต้องตกใจกลัวในเวลานั้น
    โดยคิดว่าท่านดุด่าเฆี่ยนตีด้วยวาทะ
    ความจริงเพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นพลังสามารถยังกิริยาท่านให้แสดงออก
    ในลักษณะนั้นต่างหาก
    พอแสดงธรรมจบลงกิริยาก็เป็นปกติทันที
    ราวกับไม่เคบแสดงอย่างนั้นมาก่อนเลย
    บางครั้งยังมีความขบขันและเสียงหัวเราะแทรกออกมากับกิริยาเผ็ดร้อนนั้นด้วยก็มี
    จึงไม่มีใครสามารถดูนิสัยท่านออกเป็นความจริงได้เลย
    การอธิบายอวิชชาของท่านก็ทำนองที่นำมาลงให้ท่านได้อ่านอยู่เวลานี้
    ส่วนความหลุดพ้นจากอวิชชาตามที่ท่านเล่าให้ฟังรู้สึกกว้างขวางพิสดารจับใจอย่างยิ่ง
    แต่นำมาลงเฉพาะเนื้อความที่เห็นว่าเหมาะกับเราๆท่านๆ ที่อยู่ในฐานะแห่งการศึกษา
    ถ้าลึกมากนักก็อาจไม่เข้าใจ การอ่านก็เสียเวลาไปเปล่า ไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าที่ควร
     
  3. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    การอบรมสั่งสอนของท่านไม่มีตารางสอน ไม่มีแผนผัง ไม่มีหลักสูตร
    ไม่มีหลักวิชาแน่นอนตายตัวว่า
    เวลานั้นสอนหลักสูตรนั้น เวลานั้นสอนวิชานั้น
    กลุ่มนี้ต้องสอนสูตรนี้ คณะนี้ต้องสอนวิชานี้
    เวลานั้นฝึกแบบนั้น เวลานั้นฝึกแบบนี้
    เวลานั้นฝักกายกรรม เวลานั้นฝึกวจีกรรม เวลาโน้นฝึกมโนกรรม
    เวลานั้นออกกำลังด้วยท่าต่างๆ ดังที่โลกฝึกทำกัน
    แต่ท่านถือธรรมวินัยที่เป็นหลักตายตัวอยู่แล้ว
    เป็นแบฝึกหัดอบรมสานุศิษย์
    แล้วแต่ท่านผู้ใดชอบธรรมบทใดก็นำธรรมบทนั้นไปปฏิบัติตามอัธยาศัย
    ใครมาเรียนถามตามภูมิจิตภูมิธรรมที่ปรากฏจากจิตภาวนาของตน
    ท่านก็อธิบายให้ฟังเป็นตอนๆและเป็นรายๆไป
    โดยไม่อัดไม่อั้นในการสงเคราะห์ด้วยอรรถธรรมภายในใจ นอกจากไม่มีผู้มาศึกษา

    เมื่อถึงวันประชุมอบรมพระเณรท่านแสดงธรรมทางภาคปฏิบัติเป็นกลางๆ
    เริ่มแต่ธรรมขั้นต่ำคือวิธีฝึกอบรมสมาธิขึ้นไปโดยลำดับ
    เพื่อผู้ฟังที่มีภูมิต่างกันจะได้รับประโยชน์จากการอบรมโดยทั่วถึง
    การถามปัญหาก็ไม่มีจำกัด ตามแต่ผู้มาอบรมจะมีธรรมข้อข้องใจสงสัยในแง่ใด
    โดยไม่นิยมว่าเป็นความรู้เกี่ยวกับภายนอก เช่น เปรตผีเทวบุตรเทวดา เป็นต้น
    หรือภายในเกี่ยวกับสมาธิหรือปัญญาขั้นใด ท่านย่อมชี้แจงให้ฟังเป็นเรื่องๆ
    และเป็นรายๆ ไปตามโอกาสที่ควร

    ผู้เขียนจึงรู้สึกเสียดายที่ผู้อ่านทั้งหลายไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ชิดสนิทองค์ท่าน
    เมื่อเวลาท่านยังมีชีวิตอยู่จะได้พบเห็นประจักษ์ตาและฟังธรรมท่านอย่างถึงใจหายสงสัย
    ไม่ต้องมาลังเลคาดเดาภาพและกิริยาอาการท่านในลักษณะต่างๆ ดังที่เป็นอยู่เวลานี้
    เพราะคนเราโดยมากมีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน และมีเหตุผลเป็นที่รับฟังและยินยอม
    เมื่อได้ฟังธรรมท่านทั้งภายนอกภายในที่เต็มไปด้วยเหตุผลและน่าฟังน่าเชื่อ
    ย่อมจะไม่มีท่านผู้ใดกล้าฝืนใจไปเชื่อความคาดคะเนด้นเดาที่ไม่มีเหตุผลแฝงอยู่บ้างเลย
    ว่าเป็นความจริงหรือไม่จริงตามใจชอบอย่างเลื่อนลอย
    เพราะท่านอาจารย์มั่นท่านปฏิบัติด้วยเหตุผลล้วนๆเสมอมา
    แม้เวลารู้ก็น่าจะรู้ด้วยเหตุผลที่ควรจะรู้
    ด้วยหลักปฏิบัติทางใจ การระบายความรู้นั้นๆ ออกมาจึงมีเหตุผลตามมาด้วยเสมอ
    ไม่เคยเห็นท่านพูดออกมาอย่างลอยๆเลย
    ท่านผู้ไปศึกษาอบรมจากท่านจึงมักเชื่อท่านอย่างฝังใจในธรรม
    ทุกประเภทแม้ตนยังไม่รู้ เนื่องจากธรรมนั้นมีเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้
    สำหรับผู้เขียนไม่อาจยกยอตนว่าเก่งว่าดีในแง่ใดๆเลย
    นอกจากจะกล้าตำหนิตนอย่างไม่สะทกสะท้านมาเป็นประจำ
    เพราะสิ่งที่ควรตำหนินั้นมีอยู่ในหัวใจแทบล้นฝั่งก็ว่าได้
    สิ่งนั้นคือทิฐิมานะที่ไม่ยอมลงใครเอาง่ายๆ
    ถ้าไม่ได้ต่อสู้จนสุดกำลังทิฐิที่มีอยู่เสียก่อน เมื่อเห็นท่าจะสู้ไม่ได้จริงถึงได้ยอมลง
    เพราะหมดหนทางต่อสู้ สำหรับท่านอาจารย์มั่นที่ผู้เขียนเคารพเทิดทูนอยู่เวลานี้
    ก่อนหน้าจะก้มลงกราบแบบบุคคลผู้สิ้นท่าก็ได้เห็นได้ฟังท่านมานานพอสมควร
    และได้ต่อสู้ท่านตามนิสัยคนที่มีทิฐิจัด จนบางครั้งราวกับวัดจะแตกพระเณรจะร้างวัด
    เมือได้ยินเสียงจิ้งหรีดกับพญาราชสีห์โต้วาทีกันบนกุฏิท่าน
    อย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเหตุผลที่ตนเข้าใจว่าถูก
    ซึ่งสุดท้ายผู้เขียนที่เทียบกับจิ้งหรีดที่หมดฤทธิ์ก้มกราบ
    และยอมตนเป็นที่เช็ดเท้าให้ท่านดุด่าเฆี่ยนตีตามอัธยาศัย

    หากท่านผู้อ่านได้เห็นท่านแสดงออกทางมารยาทในอิริยาบถต่างๆ
    และได้ฟังสำเนียงการแสดงธรรมอบรมราวกับ
    ราชสีห์ที่กังวานด้วยอัจฉริยธรรมในแง่ต่างๆ ก็น่าจะมีความรู้สึกอัศจรรย์ภายในใจ
    เช่นเดียวกับท่านที่เคยฟังมาแล้วจำนวนมาก คงไม่สงสัยวิพากษ์วิจารณ์นิมิตภาพ
    และอากัปกิริยาตลอดความรู้ธรรมแง่ต่างๆ ของท่านให้เป็นการกังวลใจ
    ท่านที่ประสงค์อยากทราบปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่านโดยสังเขป
    ที่ผู้เขียนมิได้อธิบายไว้โดยกว้างขวางละเอียดลออ
    ทั้งธรรมชั้นต่ำ ชั้นกลาง และชั้นสูง ก็กรุณาอ่านเรื่องท่านที่นำมาลงนี้
    คิดว่าจะพอเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติสำหรับท่านที่สนใจได้พอสมควร
    ถ้าจะลงให้พิสดารมากไปก็เกรงจะฝั้นเฝือเหลือกำลังจะคิดค้นและปฏิบัติตามได้
    เนื่องจากความรู้ทางสมาธิก็ดี ทางปัญญาก็ดี ความวิมุตติหลุดพ้นก็ดีของท่าน
    รู้สึกว่ากว้างขวางพิสดารเกินกว่าภูมิของเราทั้งหลายจะสามารถติดตามท่านได้ทุกแง่ทุกมุม
    จึงควรยุติปฏิปทาท่านไว้แค่กำลังของผู้เขียนเพียงเท่านี้
    ผิดถูกประการใด หวังว่าคงได้รับความกรุณาอภัยจากท่านผู้อ่านโดยทั่วกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...