การเกิดขึ้นของพระพุทธรูปครั้งแรกในโลก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Denverguy, 23 ธันวาคม 2009.

  1. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    คำสอนของหลวงพ่อเกษมเกี่ยวกับการทำบุญกับพระทุศีล (ละเมิดศีล)

    "เราเห็น!!! และที่มีเขียนไว้ในพระไตรปิฎกซึ่งก็เข้ากันได้พอดีกับอันที่เห็น
    อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อให้คิดเอาเอง
    เพราะเมื่อได้เห็นก็สงสัยว่าทำไมมันจึงไม่ได้บุญ
    คือเห็นเปรต - ผี - ปีศาจ ที่นั่งคุกเข่ารอเอาบุญจากญาติ จากที่มีเนื้อหนังอยู่ก็เห็นเขาเปื่อยลงๆ
    และเห็นบ่อยครั้งมาก เมื่อไปที่อื่นหรือเมื่อเห็นโยมเขาทำบุญกับพระที่มาเยี่ยมที่วัดสามแยก
    แต่ไม่ใช่พระวัดสามแยกรับสิ่งของที่เขาทำบุญ ทีนี้พระที่มาเยี่ยมจะเอาสิ่งของที่โยมเขาถวายนั้นถวายเรา
    เราไม่รับถวายให้วางไว้เลย แล้วให้พระที่มาเยี่ยมนั้นอุทิศบุญก็เห็นได้บ้างตอนที่พระนั้นวางไว้

    แต่ตอนที่โยมเอาสิ่งของให้พระที่มาเยี่ยมนั้นแล้วอุทิศบุญให้ญาติทิพย์
    พวกญาติทิพย์ที่นั่งคุกเข่ารออยู่ - ยืนอยู่ก็มีเพื่อรอรับเอาบุญ จากที่มีเนื้อหนังอยู่ก็เปื่อยลงๆ
    จึงมาค้นดูในพระไตรปิฎก เห็นมีเรื่องเข้ากันได้พอดี เลยเอามาพูดให้ฟัง
    เพราะที่เห็นนะเห็นจริง อ่านตรวจสอบในพระไตรปิฎกก็มีอยู่จริง แต่จะเป็นเรื่องจริงโดยธรรมชาติหรือเปล่านั้น
    ไม่ขอยืนยันต่อไปอีก และถ้าเห็นอีกก็จะเล่าให้ฟังอีกถ้ามีเรื่องราวในพระไตรปิฎกที่เข้ากันได้พอดี

    ขอย้ำ คำตอบที่นำมาตอบพระได้อ่านให้เราฟังแล้วเราสั่งให้พระค้นพระไตรฯ
    เล่มนั้นเล่มนี้เพื่อนำมาประกอบการที่เห็นและเราได้ถามพระว่า
    ใครอ่านเจอที่ใหนบ้างให้นำออกมาตรวจใส่กับที่มีคำถามมาและตรวจใส่กับที่เราได้เห็นมานับครั้งไม่ไหว
    เมื่อเห็นว่าเข้ากันได้ จึงตอบไปตามที่เห็นและที่เข้ากันกับพระไตรปิฏก
    ถ้าเชื่อไม่ได้ก็สุดแล้วแต่ ขอยืนยันว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่บังคับให้ใครมาเชื่อตาม
    ถ้าใครมาถามก็จะตอบตามความเชื่อของเจ้าของที่ได้ตรวจสอบใส่กับพระไตรฯ แล้ว
    คำว่า พระไตรปิฎก คำว่า ความรู้เรา ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ไม่เกี่ยว ”


    (แต่คำว่าพระทุศีลในที่นี้ไม่รวมถึงพระอริยะตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป)

    ในพระพุทธศาสนาของเรานี้อย่าว่าแต่ภิกษุผู้ทุศีลเลยแม้แต่ภิกษุที่มีศีลบริบูรณ์
    เมื่อบริโภคอาหารของชาวบ้าน ก็ยังเป็นการบริโภคแบบเป็นหนี้ชาวบ้านอยู่
    แต่เมื่อภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้นบริโภคอาหารของชาวบ้านด้วยการพิจารณาอันแยบคาย
    หรือเจริญเมตตาเพื่อสัตว์โลกแม้เพียงชั่วลัดนิ้วมือ เมื่อนั้นอาหารของชาวบ้านจึงจะไม่สูญเปล่า
    นี้กล่าวถึงภิกษุปุถุชนผู้มีศีลบริสุทธิ์นะ

    คำสอนของหลวงพ่อเกษมเกี่ยวกับพระทุศีล

    คุณของศีล – โทษของศีล มีอยู่ทั่วอนันตจักรวาล สัตว์ชาวมนุษย์โลกและชาวทิพย์ก็มีอยู่
    ทั่วอนันตจักรวาล อยู่ตามภูมิที่เหมาะสมกับตน ตามผลของการกระทำแต่ละราย
    สัตว์ทิพย์ผู้มีอำนาจใหญ่ – ฤทธิ์ใหญ่ ย่อมมีอยู่ เมื่อเห็นสมณะทุศีล
    ไม่ว่าสมณะนั้นจะบวชในพุทธหรือนอกพุทธก็ตาม ย่อมไม่พอใจสมณะทุศีล
    เพราะสมณะนั้นได้ปฏิญาณตนว่าจะรักษาคุณธรรมของสมณะ
    และยิ่งแล้วสมณะในศาสนาพุทธ เมื่อประกาศตัวเป็นสมณะเป็นศิษย์ของพุทธแล้ว
    ปฏิญาณว่าจะทำตามเพราะหวังความเจริญ เมื่อไม่ทำตามก็เป็นเสื่อม
    เทพทั้งหลายที่ทรงฤทธิ์ทั้งอริยะ – ปุถุชน และมนุษย์ ก็ตั้งความปราถนาไว้ตลอดไม่ว่ายุคใหนๆว่า


    “ สมณะผู้เจริญอยู่ที่ใหน ข้าจะบำรุงสมณะผู้เจริญนั้น ”

    เมื่อสมณะประพฤติตัวไม่เจริญ คุณธรรมที่เขาคร่ำครวญอยู่นั้นก็ไม่เกิดขึ้น
    เพราะสมณะทุศีลเป็นบางข้อโดยที่ไม่คิดแก้ไข แรงปราถนาที่หวังความเจริญเมื่อเจอสมณะที่เสื่อม
    ทั้งสมณะและชาวบ้านและเทพทั้งหลายก็ผิดหวังเพราะสมณะหวังความเจริญแต่ทำสิ่งที่เสื่อมให้แก่ตน
    ชาวบ้านและเทพหากได้เกี่ยวกับผู้เสื่อมก็เสื่อมไปด้วยกัน
    เพราะไม่ได้ศึกษาและยังเป็นผู้ที่เคยปราถนาความเจริญไว้แล้ว ยังไปคบกับผู้เสื่อม จะเสื่อมมั๊ยล่ะ

     
  2. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    คำขออภัยจากหลวงพ่อเกษมบางตอน


    ซึ่งบอกไว้แล้วในหนังสือ
    "ขออภัยต่อชาวโลกในความโง่ของตน" ลงประกาศวันที่ 24/10/49 12.00 น. นั้น

    ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า " ฉะนั้น ข้าฯจึงขอแก้ไขการสอนทั้งหลายที่สอนผิดไปด้วยความมักง่าย
    เช่น ที่ข้าพเจ้าเคยบอกว่า เงิน 1 บาท ถวายแก่พระอรหันต์มีผลมากมายนับไม่ได้
    แต่ให้แก่ภิกษุผู้ทรงศีลมีผลน้อยกว่า แต่อันที่จริงแล้ว
    ผลบาปที่ได้นั้นก็มากมายนับไม่ได้เหมือนกัน
    นับแต่นี้เป็นต้นไปข้าพเจ้าจะพยายามพาคณะวัดสามแยกค้นคว้า
    เมื่อพบเห็นอะไรที่ผิดจะพยายามทำการแก้ไขให้ถูกต้องตามพระธรรม – วินัยต่อไป " ดังนี้

    ***** หมายเหตุ คำว่า เช่น หมายถึงยกตัวอย่างหนึ่งในหลายๆอย่างที่ได้สอนผิดพลาดไป *****

    เมื่อก่อนนี้ เพราะข้าพเจ้า ประเมินตน – เรียบเรียงในความคิดที่ตนคิดขึ้นได้ ถึงขั้นเคยพูดว่า

    " เมื่อคนถวายของแก่พระต้องอาบัติปาราชิกยังได้บุญมหาศาล ให้ของแก่พระทุศีล ก็เคยคิดและพูดว่าได้บุญ"


    แต่เมื่อเห็นแจ้งประจักษ์ชัด เมื่อค้นดูในพระไตรปิฎก จึงเห็นเขียนไว้ว่า ทำบุญกับพระทุศีลไม่ได้บุญ


    ฉะนั้นคำสอนตรงส่วนนี้ที่แพร่ออกไปสู่สังคมแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงอย่าได้ถือเอา

    หลวงพ่อบอกว่า

    ส่วนเราเคยคัดค้านแม้แต่การคิด – พูด – ทำ ของเราเองก็มีอยู่มาก
    ยิ่งค้นดูในพระไตรปิฎก เราก็ยิ่งพบสิ่งที่พุทธองค์ตำหนิ – ประณามเราไว้ มากมายจริงๆ

    คำสอนของเราพระเกษม ในยุีคแรกๆมีผิดพลาดอยู่มากทีเดียว ต้องเลือกเฟ้นเป็นอย่างมากถ้าจะเอาตาม
    เราอยากจะโล๊ะให้หมดด้วยซ้ำ อยากจะให้ถือเอาเฉพาะคำสอนตั้งแต่ เดือน พ.ย. 2549 เป็นต้นไป


    แม้หลวงพ่อเกษมเอง เมื่อท่านทำผิด ท่านก็ออกมาขออภัย น้อมรับและแก้ไขให้ถูกต้องตามธรรมวินัย แล้วเหตุใดท่านจึงตั้งแง่รังเกียจพระผู้ สอนให้รักษาธรรมวินัย พระผู้ไม่รับเงินทอง ไม่มีมือถือ ไม่มีบัญชีเงินฝากส่วนตัว สอนไม่ให้ทำบุญกับพระทุศีล สอนให้ทำบุญกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนรอบข้าง สัตว์เลี้ยง หรือผู้ด้อยโอกาสทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหาท่านที่วัด มีแต่ห้ามไม่ให้มาเพราะทางไปวัดเป็นดินลูกรัง ขึ้นเขาคดเคี้ยว ลำบากต่อการเดินทางไปหา ไม่เคยให้หาเงินเข้าวัด ไม่มีกฐิน ผ้าป่าหาเงิน สร้างโบสถ์ วิหารใหญ่โต อันใด มีแต่สอนให้เรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเป็นหลัก ท่านสอนอะไรให้พิจารณาหากไม่ตรงหรือผิดจากพระไตรปิฎกให้พระ หรือญาติโยมเตือนท่านได้ สิ่งใดถูกต้อง ถูกธรรม ก็ให้เร่งศึกษาเอานำไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ตน นี้มิใช่พระที่ควรกราบไหว้ ได้สนิทใจว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ โดยแท้หรอกหรือ ขอให้พิจารณาด้วยธรรม
     
  3. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    พระไตรปิฏกยังไม่ตีความก็ยังเป็นธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่
    ตีความแล้วต้องดูอีกใครตีความ กิเลสมันตีความ
    หรือพระอริยะตีความ หรือยกมากล่าว

    พระวินัยหละ ตีความออกมาจากกิเลส
    ก็เป็นกิเลสทั้งหมด เพราะกิเลสมันเป็นคนอ่านและตีความ
    .........................................................

    สร้างเจดีย์หนึ่งองค์
    เริ่มสร้างจากรากฐานขึ้นไปสู่ปลายยอดเจดีย์ทองคำ
    ตัวองค์แห่งยอดเจดีย์ซึ่งเป็นทองคำถือว่าเป็นสิ่งสูงค่า
    ที่สุดในองค์เจดีย์นั้น ถ้าไม่มีรากฐานที่มั่นคงแล้วก็ไม่
    สามารถมียอดเจดีย์ทองคำได้ฉันใด

    สมมุติต่างๆก็มีค่านำพาให้ถึงซึ่งวิมุติเช่นเดียวกับองค์เจดีย์

    สมมุติพระพุทธรูป สมมุติแห่งพระธรรม สมมุติสงฆ์
    และสมมุติอื่นๆ ทุกสิ่งก็ต่างเป็นความจริง เป็นความจริง
    โดยสมมุติ สมมุติก็คือเครื่องชี้บอกแสดงลักษณะเรียกขาน
    ที่เป็นที่ยอมรับของคนหมู่มากที่รู้กันในกลุ่ม ที่ชี้ชัดลงไปโดยภาษา

    เช่น พระพุทธศาสนา ก็สมมุติโดย พระพุทธเจ้า โดยมีพระธรรม
    พระวินัย พระสงฆ์ ที่สมมุติบัญญัติโดยพระพุทธเจ้าโดยใช้ภาษาบาลี
    ดังนั้นถ้าเป็นคนที่นับถือพระพุทธศาสนาก็ต้องยอมรับนับถือ
    สมมุติเดียวกันนี้ พระพุทธรูปก็สมมุติโดยพุทธศาสนิกชน
    ว่าเป็นองค์สมมุติของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ถ้าเป็นคนหมู่มาก
    ที่เรียกตนเองว่าพุทธศาสนิกชน ก็ต้องยอมรับสมมุติเดียวกันนี้
    โดยยึดพระพุทธรูปเป็นสมมุติภาษาที่ตั้งขึ้นโดยพุทธศาสนิกชน

    พระพุทธเจ้าเองยังยกสมมุติให้พระธรรมและวินัยเป็นตัวแทน
    แห่งตถาคต เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเข้าสู่วิมุติคือพระนิพพาน
    ถ้าไม่มีสมมุติที่พระพุทธองค์ทรงสร้างขึ้นมาชี้นี้ สิ่งใดจะเป็น
    เครื่องชี้ให้ถึงซึ่งวิมุติได้เล่าถ้าพระพุทธองค์ปรินิพพานไป
    ....................................................

    แต่ถ้าเอาชาวป่าชาวเขาไปพิพากษา ตัดสินโทษแล้วสิ่งใด
    จะเกิดขึ้น ชาวป่าชาวเขาไม่รู้กฏหมาย ไม่เป็นที่ยอมรับ
    โดยสมมุติของทนาย ของโจทย์ ของจำเลย สิ่งใดจะเกิดขึ้น<!-- google_ad_section_end -->

    เชกเช่น เอากิเลสไปตีความพระวินัย พระธรรม พระไตรปิฏก

    กิเลสมันไม่รู้ธรรม ไม่รู้วินัย ไม่เข้าใจธรรมะ แค่อ่านหนังสือ
    และแปลบาลีออก

    เปรียบเหมือนเอาชาวป่าไปพิพากษา ไม่มีผิด
    ชาวป่าไม่รู้กฏหมาย ไม่รู้ธรรมเนียมประเพณี
    ศีลธรรมของคนเมือง แต่อ่านหนังสืออก ก็ฉันนั้น



    พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสระบุไว้นี่ครับท่านว่า บุคคลผู้นับถือ
    สมมุติพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า ถือว่าขาดจากการ
    เป็นพุทธศาสนิกชน ไม่ได้ระบุว่าพุทธศาสนาและมรรคผล
    นิพพานเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ห้ามผู้ใดที่ไม่ได้
    ทรงยอมรับด้วยตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชนและไม่ให้นับถือ

    แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับสมมุติตามพุทธศาสนิกชนแล้ว
    ท่านก็คงเรียกสมมุติตัวเองไม่ได้ว่าเป็น อันนี้ก็พิจารณา
    ด้วยตัวเองนะครับ ผมคงไม่สามารถตัดสินใครได้
    ด้วยสมมุติที่เรียกว่าพุทศาสนิกชนคนเดียว คงตัดสิน
    แทนหมู่คนไม่ได้ ผมก็ต้องยอมรับสมมุติที่ตัวผมเองยินดี
    ที่จะเข้าร่วมสมมุติเดียวกับท่านทั้งหลายที่ยินยอมพร้อมใจ
    สมมุติตัวเองว่าชาวพุทธ


    ถ้าคุณ Denverguy เชื่อเรื่องกรรมแล้ว
    ผมว่ามีคำตอบในใจคุณหมดแล้ว และสามารถตอบทุกคำตอบ
    ในใจคุณได้หมด
    แต่เรื่องกรรมนั้นให้ผลตรงและไม่ผิดตัว แต่ก็หาเงื่อนต้น
    งื่อนปลายที่จะยกมาอธิบายได้ยากเช่นกัน นอกจากยอมรับ
    ผลโดยไม่ร้อนรุ่มกวัดแก่งที่ให้ผลเป็นวิบากในปัจจุบัน
    ของตัวเองนั่นแหละถึงเรียกว่าผู้รู้จักกรรม กรรมะโยนิ
    กรรมะพันธุ กรรมะปฏิสารโณ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->


    ************************************************

    บทความที่ท่าน เสขะ บุคคล กล่าวไว้ชอบแล้ว ชัดเจนมาก
    แทบจะไม่มีข้อโต้แย้งแล้ว ผมขออนุญาตรวมบทความ เพื่อ
    ให้ชาวพุทธในห้องนี้ ได้อ่านเพื่อประเทืองปัญหา

    ........อนุโมทนาสาธุครับ



    -ขอเชิญร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นที่ห้อง "กฎแห่งกรรม-ภพภูมิ" ครับ คลิกที่นี่
    - สนใจเรื่อง "ภพภูมิสวรรค์-นรก" คลิกที่นี่
    - สนใจเรื่อง "บุญ-อานิสงส์การทำบุญ" คลิกที่นี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    นึกว่าใคร สำนักน้ำหนาว น้ำหนาวหนาวจริงๆ......

    (น้ำหนาวที่สุดมีอยู่ขุมหนึ่ง หนาวขนาดสัตว์นรกหล่นไปจะละลายทันที อยู่นอกเขตจักรวาล...มืดตลอดกาลตลอดสมัย(ใจมืดตั้งแต่ยังไม่ตาย)..พระพุทธเจ้าอุบัติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ก็แวบหนึ่ง..เวลานานจนเท่ากับไม่มีเวลา..อดอยากหิวไต่หน้าผายักษ์..มือเป็นตะใบมีด....ตัวผอมแห้งดำอุบาดสูงใหญ่...จับเจอกันก็จะกินกัน...แล้วก็จะหล่นลงไปในน้ำใต้ผา..แล้วก็ละลาย...สัตวนรกอุบัติใหม่ก็มาใต่ใหม่..นรกมีชื่อว่า โลกันตมหานรก ไว้สำหรับผู้ที่ทำอนัตริยกรรมพ่วงมิจฉาทิฏฐิอย่างสุดกู่ ยิ่งกว่าอนันตริยกรรมธรรมดาแต่มีมโนสำนึก(อเวจีมหานรก) ยิ่งกว่าพระเทวทัต ตัวใครตัวมัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  5. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    สักแต่ว่าพิมพ์ สักแต่ว่าฟังๆ เขามาพูดหรือเปล่าครับ ผู้รักษาพระธรรมวินัยนะหรือจะไปโลกันตมหานรก อนันตริยกรรมอย่างไร เมื่อรักษาพระวินัยยิ่งชีพ อย่าเพียงสักแต่ว่า ฟังๆ กันมา โดนไม่รู้อะไร เพราะบาปกรรมจะตัดรอนบุญ ที่ตัวเองอุตส่าห์สร้างสมมาเสียเปล่า นะท่าน
     
  6. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    คิดว่า ตนเองเป็น ผู้รักษาพระธรรมวินัย

    มหาเถรสมาคมแต่งตั้ง หรืออุปโลกน์แต่งตั้งตัวเอง

    ถ้าอยากจะเป็นจนตัวสั่น มีตำแหน่งใหม่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

    ผู้ทำลายพระธรรมวินัย
     
  7. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    มาจนถึงหน้าที่ 13 ยังไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดอุบาทว์ของคุณ

    ไม่มีจิตสำนึกจริงๆ คนอย่างคุณ ไปเข้าศาสนาไหนก็ถูกเขาขับไล่

    ตั้งลัทธิใหม่ เชิญอาจารย์เกษมเป็นเจ้าลัทธิ ตัวคุณเป็นมหาสาวก

    ประกาศแต่งตั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติคุณให้เป็นสาวก สาวิกา

    อ่านดู.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
     
  9. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ในเมื่อมีคณะผู้หาความผิดมาใส่ โดยที่ผู้เป็นจำเลย มิได้ผิดตามที่กล่าวให้ใย ต้องทำตาม หากหาที่ผิดจากพระธรรมวินัยได้สิ จึงนำมาลงโทษท่านได้ โดยธรรมเพื่อธรรม แต่นี้หาข้อกล่าวหาไม่ได้ไง จึงพยายามหาเรื่อง เพราะที่วัดหลวงปู่เอาพระธรรมวินัยที่พระส่วนใหญ่ปิด ไว้ออกเปิด ติดป้ายตัวใหญ่ไว้ที่วัด ว่าห้ามเอาเงินมาถวายพระ ผิดวินัย พระทั่วประเทศที่ยังรับเงิน เที่ยวหาเงิน จนร่ำรวย มีบัญชีส่วนตัวมีเงินมากกว่าเราท่านซะอีก พวกนี้ก็เดือดร้อนสิ คราวเรื่องเงินก็มีพระผู้ใหญ่ มาที่วัดจะขอค้นกุฏิพระเกษม แล้วไง ท่านก็เลยขอแลกกันดูในย่ามของพระที่จะมาค้นวัดสามแยก ดูสิว่าระหว่างท่านกับพระที่มานะ ใครกันที่มีของที่ผิดวินัยหรือไม่ หลวงปู่เกษมท่านถามว่า พวกท่านที่มานะ มีโทรศัพท์มือถือเป็นของส่วนตัว มีบัญชีเงินฝากส่วนตัว เงินติดตัวมาไหมละ ไม่มีพระองค์ไหนในนั้น ยอมให้ดูย่ามแล้วก็ลากลับไปหมด
    กรณีนี้เช่นกันเพราะมหาเถรสมาคมหาที่ผิดมิได้ตามธรรมวินัย จึงหาทางบีบหลวงปู่เกษมให้ออกจากวัดทั้งที่ไม่มีความผิด สุดท้ายได้ตามข่าวไหมละ ว่าเขาไปถึงไหน ถึงโรงถึงศาลกันแล้ว แม้แต่อัยการ ผู้พิพากษาที่ได้ตรวจสอบคดีนี้ พอได้อ่านพระไตรปิฏกอย่างละเอียดแล้ว มีแต่ย้ำว่าต้องเผยแพร่สิ่งที่มีในพระไตรปิฎกออกให้คนรู้แพร่หลาย แม้แต่พระที่ออกมาเป็นพยานโจทย์ โดนสักเรื่องคดีว่าหลวงปู่เกษมผิด พระวินัย ตรงไหน ก็มีแต่ตอบไม่ทราบ ไม่ขอออกความเห็น นี้หรือพระที่เป็นตัวแทนมหาเถร มากล่าวหาแต่กลับหาข้อผิดในวินัย หลวงปู่เกษมไม่ได้สักข้อเดียว มีแต่รับคำสั่งมาเท่านั้น
    ถ้าคิดจะตามเรื่องก็ควรจะตามให้ติด ไม่ใช่อ่านๆ ฟังๆ มาบางส่วนแล้วก็มาตีความ เข้าข้างความเห็นผิดของตนนะ ผู้ไม่คิดรักษาธรรมวินัย
     
  10. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    การทำความดีในศาสนาพุทธ หาได้อย่างยากยิ่งนัก ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรประมาทในการศึกษาศาสนา
    เล่ม 37 หน้า 451


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่าโลกได้ขณะจึงทำกิจ ๆ แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลมิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นจำแนกธรรม
    และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงนรกเสีย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๑.

    อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นในโลก ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม
    และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง...
    แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๒.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงปิตติวิสัยแล้ว
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๓.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย (หมายถึงพวกอสัญญีพรหม)
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๔.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบทและอยู่ในพวกมิลักขะ ไม่รู้ดีรู้ชอบ
    อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปมา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๕.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแต่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล
    ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี
    สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๖

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้
    ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต (ไม่สามารถรู้เนื้อความแห่งคำดีและคำชั่ว)
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๗.

    อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติแล้วในโลก เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็น ผู้จำแนกธรรม
    ธรรมอันนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    อันพระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว พระตถาคตมิได้แสดง (แก่เขา)
    ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌิมชนบทและมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๘
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ๘ ประการนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว ประการเดียวเป็นไฉน
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า
    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
    และธรรมอันตถาคตทรงแสดง เป็นธรรมนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    พระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท ทั้งมีปัญญา ไม่บ้าใบ้
    สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เป็นขณะและสมัย ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ประการเดียว.


    ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ
    ชนเหล่านั้นเชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน
    พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว
    การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑
    ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น
    ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย

    เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปพากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก
    หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้

    เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยให้ประโยชน์ล่วงไป
    เดือดร้อนอยู่ ฉะนั้น คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม จักเสวยแต่สงสาร
    คือ ชาติและมรณะ สิ้นกาลนาน ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว
    เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ได้กระทำแล้ว จักกระทำ หรือ กระทำอยู่ ตามพระดำรัสของพระศาสดา
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ประสบขณะ คือ การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก
    ชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว
    สำรวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจ้า ผู้มีจักษุเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้ว
    คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร
    ชนเหล่านั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว.
     
  11. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    การทำความดีในศาสนาพุทธ หาได้อย่างยากยิ่งนัก ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรประมาทในการศึกษาศาสนา
    เล่ม 37 หน้า 451


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่าโลกได้ขณะจึงทำกิจ ๆ แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลมิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นจำแนกธรรม
    และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงนรกเสีย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๑.

    อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นในโลก ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม
    และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง...
    แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๒.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงปิตติวิสัยแล้ว
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๓.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย (หมายถึงพวกอสัญญีพรหม)
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๔.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบทและอยู่ในพวกมิลักขะ ไม่รู้ดีรู้ชอบ
    อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปมา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๕.

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแต่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล
    ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี
    สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๖

    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้
    ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต (ไม่สามารถรู้เนื้อความแห่งคำดีและคำชั่ว)
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๗.

    อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติแล้วในโลก เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็น ผู้จำแนกธรรม
    ธรรมอันนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    อันพระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว พระตถาคตมิได้แสดง (แก่เขา)
    ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌิมชนบทและมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๘
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ ๘ ประการนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว ประการเดียวเป็นไฉน
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า
    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
    และธรรมอันตถาคตทรงแสดง เป็นธรรมนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    พระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท ทั้งมีปัญญา ไม่บ้าใบ้
    สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เป็นขณะและสมัย ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ประการเดียว.


    ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ
    ชนเหล่านั้นเชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน
    พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว
    การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑
    ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น
    ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย

    เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปพากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก
    หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้

    เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยให้ประโยชน์ล่วงไป
    เดือดร้อนอยู่ ฉะนั้น คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม จักเสวยแต่สงสาร
    คือ ชาติและมรณะ สิ้นกาลนาน ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว
    เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ได้กระทำแล้ว จักกระทำ หรือ กระทำอยู่ ตามพระดำรัสของพระศาสดา
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ประสบขณะ คือ การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก
    ชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว
    สำรวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจ้า ผู้มีจักษุเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้ว
    คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร
    ชนเหล่านั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว.
     
  12. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    ผมเห็นด้วยกับพระธรรมอันบริสุทธิ์ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงไว้นั้นอยู่แล้ว หาได้มีข้อเคลือบแคลงอันใดไม่



    แต่ พระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงไว้นั้น ย่อมมีความเหมาะสมในแต่ละระดับ แต่ละบุคคล แต่ละกาลเวลา และ แต่ละสถานที่ เช่น ศีล 5 ย่อมเหมาะสมสำหรับฆราวาส ศีล 227 ย่อมเหมาะสมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ บางเหตุการณ์ก็ทรงตรัสแสดงไว้อย่างหนึ่ง แต่บางเหตุการณ์ก็ทรงตรัสแสดงไว้อีกอย่างหนึ่ง แล้วแต่เหตุการณ์นั้นๆ แสดงต่อพระภิกษุสงฆ์ก็อย่างหนึ่ง แสดงต่อคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนก็อย่างหนึ่ง ยกเว้น ผู้ที่มีอุปนิสัยและอินทรีย์บารมีธรรมแก่กล้า ก็จะทรงแสดงพระธรรมชั้นสูงโปรดเลยทีเดียว ดังนี้เป็นต้น



    ดังนั้น หากจะชี้ชวนให้เกิดความศรัทธาและปัญญาตามพระธรรมนั้น ก็ควรแสดงไปตามความเหมาะสม ที่คุณยกมานั้น ดีแล้ว ชอบแล้ว แต่ไม่ควรกล่าวโดยขาดสัปปุริสธรรมทั้ง 7 ประการ และ พึงประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างอันดี ให้สมกับเป็นผู้ที่มีธรรมอันสูง ทรงจำพระธรรมได้มาก เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ย่อมได้รับความเชื่อถือความเลื่อมใสจากบุคคลทั่วไปโดยแท้ เช่น องค์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก แม้องค์ท่านจะสร้างและเสกพระเครื่องรวมถึงวัตถุมงคลมากมาย แต่ท่านก็ได้กล่าวสอนว่า ข้าให้ของจริง (ธรรมะ) ไม่เอา จะเอาแต่ของปลอม (วัตถุมงคล) หรือกล่าวว่า ให้หาพระแท้ๆ พระโบราณ ให้เจอ ให้หาของดีภายในด้วย (ภาวนา) อย่าหาแต่ของดีภายนอก พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นั่นไง หมั่นภาวนาเอา และสรุปให้ผู้ที่ยังยึดติดในวัตถุด้วยว่า ติดวัตถุมงคล ดีกว่าไปติดวัตถุอัปมงคล เช่น อบายมุขต่างๆ เป็นต้น



    หากเข้าใจในพระธรรมแต่ละระดับชั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติได้อย่างสบายใจ และ ไม่เสียเวลามาทุ่มเถียงกับใคร แต่หมั่นภาวนา หมั่นดูจิต รักษาจิตโดยแท้ ยกเว้น หน่อพุทธภูมิและพระสาวกที่มีหน้าที่ในการเผยแผ่พระธรรม นอกนั้น หากยังไม่ได้คุณธรรมใดๆ ก็พึงขวนขวายปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมและแก่ตนก่อน จึงจะมาแสดงธรรมต่อผู้อื่นได้ และ แสดงได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามระดับภูมิธรรมของตน ไม่ใช่ไปลอกเลียนภูมิธรรมของพระพุทธเจ้า หรือ แสดงผิดกาลเทศะ



    ผู้ที่มีธรรมแท้ ย่อมมีความสงบกาย สงบวาจา สงบใจ และ มีความลุ่มลึกในหลักธรรม ไม่กล่าวโจมตี หรือ กล่าวให้ร้ายใครๆ หรือ วัตถุใดๆ เพราะ ธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดขึ้นที่จิต ในจิต มิใช่อยู่ในตำรา ย่อมเข้าใจสภาวะแห่งโลก และ ธรรม เข้าใจว่ามีสิ่งสมมติ ก็ย่อมมีวิมุตติ มีเปลือก ย่อมมีแก่น กิเลสภายในใจตนต่างหากที่เป็นศัตรูตัวสำคัญ มิใช่บุคคล หรือ วัตถุใดๆ



    บุคคลแต่ละบุคคลย่อมมีวิจารณญาณเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นของตนเอง และย่อมเป็นไปตามกรรมของแต่ละบุคคลนั้นเอง จึงมิต้องอนาทรร้อนใจไปกับผู้ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในตัวเรา เพราะเราเองก็ย่อมมีกรรมเป็นของตนเองนั้นแล



    ผู้มีปัญญา พึงค้นหาสัจจธรรมด้วยตนเอง แยกเปลือกออกจากแก่น แยกแก่นออกจากเปลือก เห็นทางสายกลางของสิ่งทั้งสอง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ย่อมถึงแก่นธรรมโดยแท้




    บุคคลจะสำเร็จธรรม ก็ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน และ บำเพ็ญบารมีธรรมทั้ง 10 ประการ ตามระดับแห่งความปรารถนาของตนเอง นั้นแล
     
  13. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    กล่าวได้ดีครับ ผมเห็นด้วยในบางจุด และไม่เห็นด้วยในบางจุด ก็เอาเป็นว่าผู้ใดยังจะกราบจะไหว้พุทธรูปก็เป็นสิทธิ์ของท่าน หากจะให้ดีก็ทำเหมือนผู้ค้าขายบุหรี่ มีคำเตือนข้างซอง ใครจะซื้อขาย แจก จ่าย รูปเหรียญต่างๆ ก็ควรมีคำเตือนในพระไตรปิฎกไว้ด้วย เพื่อเป็นการเตือนใจชาวพุทธว่าอย่ามายืดวัตถุนี้ เป็นที่พึ่งนะ เพราะวัตถุนี้ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา แต่ธรรมคำสอนที่หาศึกษาได้จากพระไตรปิฎกย่อมไม่เสื่อมไปตามกาล เวลา หรือสถานที่ เพราะหากยังมีผู้ศึกษา ปฏิบัติตามแผนที่ ที่พระองค์ให้ไว้ เส้นทางไหนเหมาะกับตนก็เร่งศึกษา พระไตรปิฎก(แผนที่) เพื่อเดินทาง(ปฏิบัติ) ไปสู่ขุมทรัพย์(พระนิพพาน) นั้น จะนำพาความสุขอันแท้จริงมาสู่ตน

    หากครูอาจารย์ที่แต่ละท่านนับถือ สอดแทรกธรรมของพระองค์ไปด้วยดั่ง หลวงปู่ดู่ ที่ท่านยกมา ย่อมดีกว่าไม่พูดถึงเลย อย่างน้อยให้ผู้ยังยึดถืออยู่ได้รู้ได้เห็นโทษภัยของวัตถุเหล่านั้น หากยึดถือแบบผิดๆ

    แต่กลับโฆษณาถึงสรรพคุณ ว่ารุ่นนี้ดี เด่น ดัง ขลัง เมตตามหานิยม คนรักคนหลง มีแล้วรวย และอื่นๆ อันนี้มิควร เพราะการโฆษณาเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิด ความโลภ โกรธ หลง มากกว่าความเจริญในศาสนานี้
     
  14. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    ผมขอยอมรับว่า คุณ Denverguy จขกท.
    มีความรอบรู้ มีข้อมูลประกอบมากมายจริงๆ
    ...แต่คุณลืมไปอย่าง น้อยคนนักที่เห็นพระธรรมแล้วเข้าใจเลย...

    ...3-4 ปีที่ผ่านมา ผมวนเวียนแต่ไปวัด ใครพูดเรื่องใดก็ไม่ชื่นใจเหมือนเรื่องวัด
    ล้วนมาจากความสนใจและชอบในศิลปะแบบจารีต โดยเฉพาะพระพุทธรูป
    องค์ใดว่าสวยว่างามต้องไปดู 10 เที่ยวขึ้น นั่งดูได้ทั้งวัน จนพระต้องมาขอปิดโบสถ์
    ผมไปมาไม่ต่ำกว่า 300 วัด ในกรุงเทพ รู้ทุกตรอกซอกซอย...

    เรื่องพระธรรมไม่ค่อยสนใจ สนใจและจดจำแต่ประวัติและการสร้าง
    แผนผังของวัด องค์ประกอบต่างๆ และความงดงามและชื่ออันยาวเฟื้อยเท่านั้น

    เพราะขณะนั้นพระธรรมเป็นสิ่งที่ยาก เกินสติปัญญาของผมที่จะเข้าถึง
    (ซึ่งหลายๆ คน หรือผู้คนส่วนใหญ่ ก็เป็นอย่างผม คืออวิชชา ไม่รู้อะไรเลย งมงาย)

    แต่การที่ได้ไปชมพระพุทธรูปในวัดวาอารามต่างๆ บ่อยๆเข้า
    ผมเริ่มอยากรู้ว่าทำไมตั้งชื่ออย่างนั้น
    (พระพุทธปาลิไลย์ ภิรัตติไตรวิเวก เอกจาริกสมาจาร วิมุติญาณบพิตร)
    (พระพุทธนรสีห์ ตรีโลกเชษฐ มเหทธิศิกดิ์ ปูชนียะ ชยันตะโคดม บรมศาสดา อนาวรญาณ)

    ทำไม? ต้องมี คันทวย รวยระกา หางหงส์ นาคเบือน เครื่องลำยอง บัวจงกล ฯลฯ
    ทำไม? หลังคาโบสถ์ ต้องมี 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ชั้น ฯลฯ
    ทำไม? ต้องให้โบสถ์ หรือวิหาร หรือเจดีย์ เป็นประธานในวัด ฯลฯ
    และทำไม ทำไม อีกมากมาย...

    ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร = เพราะทุกอย่างแฝงด้วยคติธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา

    และการที่ผมไปชมพระพุทธรูปในวัดวาอารามต่างๆ บ่อยๆเข้า
    เป็นการสะสมให้ผมสนใจ และชื่อหาหนังสือเกี่ยวกับธรรมะมาอ่าน
    และห้นมาสนใจในพระธรรมมากขึ้น เพิ่มความเคารพและศรัทธาในพระพุทธศาสนา

    ...ฉะนั้นจุดเริ่มต้นในการแสวงหาพระธรรม และคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    แบบคนไร้สติปัญญาอย่างผม มาจากการกราบไหว้ ชื่นชม ในพระพุทธรูป...

    ...ไม่ได้มาจากการเห็นพระธรรม แล้วเข้าใจเดี๋ยวนั้นเลย...

    ...ผมจึงถือว่าพระพุทธรูป เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีขวัญกำลังใจ
    ที่จะได้อยู่ใกล้กับพระพุทธองค์ที่สุด...
     
  15. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    เวลาผมสวดมนต์ เช่น

    อภิณหปัจจเวกขณ์
    <table bordercolordark="#fffffa" bordercolorlight="#dadbd6" align="center" border="3" width="85%"><tbody><tr><td style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" width="471">ชราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะติโต


    </td><td style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" width="508">เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้


    </td></tr><tr><td style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" width="471">พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต


    </td><td style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" width="508">เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้


    </td></tr><tr><td style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" width="471">มะระณะธัมโมมหิ มะระรัง อะนะตีโต


    </td><td style="font-size: 14pt; font-family: 'MS Sans Serif';" width="508">เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้


    </td></tr></tbody></table>

    หรือ กาย ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ หรือ ทำวัตรเช้า

    หลายครั้ง ที่ผมเกิดความรู้สึกอัศจรรย์ในความรู้ที่ ลุ่มลึก ละเอียด ปราณีต ตรงประเด็น ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ในบทสวดมนต์ต่างๆ

    ส่งไปถึงเวลากราบพระพุทธรูป ซึ่งโดยความจริง เราก็รู้กันว่า เป็นสัญลักษณ์ เป็นโลหะ หรือ เป็นหินศิลา สรุปเป็นรูปสมมติ แทนพระพุทธเจ้า ผมก็กราบแบบ รู้สึกว่า กราบพระพุทธเจ้า องค์ท่านจริงๆ ท่านจะดำรงอยู่หรือไม่ ความรู้จากตาหูจมูกลิ้นกาย ผมไม่อาจไปถึงได้ แต่ ใจผมกราบองค์ท่าน ด้วยตัวกายสมมติผม ทั้งกายทั้งใจ ที่มี ด้วยความเคารพ ด้วยความนอบน้อม ในพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ ที่องค์ท่านเมตตาถ่ายทอดพระธรรม ต่อๆกันมา ให้ผมได้รับรู้ในธรรมะแม้เพียงส่วนย่อยๆส่วนหนึ่งในพระพุทธศาสนา

    พระสงฆ์ครูบาอาจารย์ที่ในความเป็นจริง หลังจากท่านเสียชีวิตแล้ว กระดูกท่านเป็นพระธาตุ หรือ มีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนกับกระดูกปุถุชนคนทั่วๆไป ท่านก็ยังกราบพระพุทธรูปสมมติ และ หลายๆองค์ท่าน เราอาจเคยเห็นว่า ท่านกราบรูปสมมติแทนพระพุทธเจ้านั้นๆ แบบสุดหัวจิตหัวใจ คือ เคารพมากๆ ในคุณธรรม ในความมีพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่ ท่านได้มีโอกาสมารับรู้ เรียนรู้ ปฏิบัติในธรรมะต่างๆ กระทั่งระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า

    พระสงฆ์ครูบาอาจารย์ ที่ปัจจุบัน องค์ท่านยังมีชีวิตอยู่ และ มีคุณธรรมต่างๆ ซึ่งเรารับรู้ได้ในความเป็นจริงจากการไปสัมผัสพูดคุย ฟังพระธรรมเทศนา ในองค์ท่านนั้นๆ และ มีความพิเศษ คุณธรรมพิเศษ ปัญญาพิเศษ ต่างๆ เหนือไปจาก ปัญญา logic มนุษย์ปุถุชน อย่างเราๆท่านๆ ท่านเหล่านั้น ท่าน ก็กราบ พระพุทธรูป แม้เป็นรูปสมมติ

    ผมไม่ได้อ่านทั้งหมด เพราะ เวลามีไม่เยอะ และ กระทู้ยาว แต่ ขอยกบางส่วน ที่คุณยกมา ตรงที่ผมไม่เห็นด้วย มา comment ในความเห็นของผม

    เราไม่ได้กราบพระพุทธรูป เพื่อ เป็นที่พึ่ง แบบว่า จะ อาศัยองค์ท่านช่วยเหลือต่างๆนาๆ

    แต่เรากราบพระพุทธรูป เพื่อ ระลึกถึง พระพุทธเจ้า เพื่อระลึกถึง พระธรรม เพื่อระลึกถึง พระกรุณาธิคุณ ที่ท่านอดทนสร้างบารมีมาครบถ้วนสมบูรณ์ ระลึกถึง บารมีธรรมต่างๆ ที่ท่านบำเพ็ญมา ระลึกถึง พระปัญญา ที่สูงส่งเกิน ปัญญาในกะลา แบบเราๆไม่สามารถหยั่งเข้าไปได้ว่า ละเอียด ปราณีต สุขุมลุ่มลึกขนาดไหน

    ใช่ ตนต้องพึ่งตน พึ่งตนเอง ก็ต้องอาศัยแนวทางจากพระธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ แต่ พระธรรมมาจากพระพุทธเจ้า เหมือนเราเกิดมาจากพ่อแม่ เรา ก็ควรระลึกถึงคุณพ่อแม่ เช่นกัน เรากราบพระพุทธรูป เพื่อ ระลึกถึง พระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้าที่นำพระธรรมมาสั่งสอนให้เรามีที่พึ่งมีสรณะ


    ผิดพลาด ล่วงเกิน พระรัตนตรัย ถ้ามี ผมขอขมาขออโหสิกรรมในพระรัตนตรัย ไว้ ณ ที่นี้ ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มกราคม 2010
  16. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    เข้าใจว่าสีแดงเป็นความเห็นของคุณ ซึ่งไม่ครบถ้วนแล้วนำความไม่ครบถ้วน ไม่รอบคอบมาบอกผิดๆ น่ากลัวและอันตรายมากๆสำหรับคุณเองน่ะครับ

    เช่นกันกับที่ตอบข้างบนไปแล้ว

    เรากราบพระพุทธรูป เพื่อ ระลึกถึง พระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้าที่นำพระธรรมมาสั่งสอนให้เรามีที่พึ่งมีสรณะ
    <!-- google_ad_section_end -->
    เช่นกัน สร้างพระพุทธรูป ทำพระพุทธรูป กราบไหว้พระพุทธรูป ก็เพื่อให้เป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และ คุณของพระพุทธเจ้า ที่ นำ พระธรรมมาสั่งสอนให้ เรา มี ที่พึ่งที่ระลึก

    และ เป็นรูปสมมติแทนพระพุทธเจ้า ที่ให้หมู่คน ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และ คุณของพระพุทธเจ้า ที่ นำ พระธรรมมาสั่งสอนให้ เรา เป็นที่พึ่งที่ระลึก

    ผิดพลาด ล่วงเกิน ถ้ามี แม้แต่เล็กน้อย ผมขอขมาขออโหสิกรรมในพระรัตนตรัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มกราคม 2010
  17. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    เช่นเดิม เรา ไม่ได้อาศัย พระพุทธรูป เป็น สรณะ เป็น ที่พึ่ง

    แต่ เรา ตระหนักใน พระธรรม ที่ประเสริฐมีคุณค่ามากมายหาประมาณไม่ได้ และ เราระลึกต่อไป ว่า พระธรรม เกิดมา จาก พระพุทธเจ้า ที่ทรงสร้างสมอบรมตนเองมาในระยะเวลาอันยาวนาน

    เรา ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ระลึกถึงความประเสริฐของพระพุทธเจ้า จาก พระพุทธรูปซึ่งเป็นสมมติที่แทนพระพุทธเจ้า

    ผิดพลาด ล่วงเกิน ในพระรัตนตรัย ถ้ามี แม้แต่เล็กน้อย ผมขอขมาขออโหสิกรรมไว้ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  18. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    คิดแบบนี้ น่าเห็นใจน่ะครับ

    เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยสมมติ
    พระพุทธรูปอาจไม่ใช่ตัวแทนของพระพุทธเจ้า

    แต่ เราอาศัยสมมติ คือ พระพุทธรูป เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้า โดยมีพระธรรมเป็นแนวทางยึดเกาะ

    พระพุทธรูปจะเป็นสัญญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ?
    จะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ?
    จะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้เคารพสักการะ ?

    โดยแท้จริง ใช่หรือไม่

    สำหรับผมไม่ใช่ประเด็น

    เพราะ ผมเคารพนอบน้อมในพระพุทธเจ้า และ ผมอาศัยสมมติ คือ พระพุทธรูป เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้า

    ทั้งหมด เป็นความเห็นส่วนตัวของคุณ ซึ่งน่าเห็นใจ

    การสร้างพระพุทธรูปขัดคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าตรงไหน

    การระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้า โดยการอาศัยสมมติ คือกราบไหว้ พระพุทธรูป หรือ การสร้าง พระพุทธรูป เพื่อให้หมู่คนได้มีโอกาสในการระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ดี หรือ ขัดคำสั่งสอน

    การระลึกถึงพ่อแม่ และ คุณของพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือ

    การระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าและคุณของพระพุทธเจ้า
    โดยการอาศัยสมมติ คือกราบไหว้ พระพุทธรูป เป็นสิ่งไม่ดี หรือ

    ขออภัยที่จะกล่าวว่า คนที่คิดแปลกๆเช่นนี้ น่าจะปนเปื้อนและแปลกปลอมในพระพุทธศาสนา น่าเห็นใจ



    ผิดพลาด ล่วงเกิน พระรัตนตรัย ถ้ามีแม้เล็กน้อย ผมขอขมาขออโหสิกรรมในพระรัตนตรัย ไว้ ณ ที่นี้ ด้วยครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ผมขอถามคุณกลับนะครับ หากพระองค์คิดว่าพระพุทธรูปต้องเป็นตัวแทนพระองค์แล้วชาวพุทธจะเจริญรุ่งเรืองจริง พระองค์จะไม่บัญญัติ ไม่พูดถึงไว้เลยเชียวหรือ ผมมีแต่พระองค์กล่าวไว้เพียงหากเราตายไปแล้ว ให้ยึดพระธรรมพระวินัยให้เป็นศาสดาแทนเราตถาคต..
    แล้วท่านก็ปฏิเสธรูปทั้งหลาย แม้แต่รูปท่านเองก็ไม่ให้ยึดถือว่าสวยงาม มีแต่จะเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา

    ระหว่างพระพุทธรูปกับพระธรรม คุณคิดว่าผู้สนใจสิ่งใด แล้วจะไม่หลงทาง ก็ลองคิดดู

    สำหรับผมพระธรรมนั้นเที่ยงตรงแน่นอน ไม่พาหลงทาง ส่วนพระพุทธรูป สำหรับคนที่มีปัญญา สามารถกราบพระพุทธรูปแล้วน้อมระลึกถึงคุณพระพุทธ ธรรม สงฆ์ โดยไม่ได้หลงคิดว่ารูปตรงหน้าเป็นตัวแทนพระพุทธองค์ ไม่ใช่ที่พึงก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นมีแต่ไม่กราบไหว้ขอพร ขอให้มีความสุข เจริญ โดยไม่พึ่งตนเอง ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของท่านเลย แต่อยากเจริญมันก็เป็นไปได้ยากยิ่ง

    ที่เห็นๆ กันมีทั้งพระทั้งโยมที่สะสมพระเครื่อง ขายกิน บรรยายสรรพคุณเกินจริง สร้างรายได้มหาศาล ด้วยการขายผู้ที่เราเคารพ เคารพจริงหรือ..ก็คิดกันดู

    หากคุณยังไม่มั่นใจว่าที่คุณส่งข้อความมาจะมีส่วนล่วงเกินพระรัตนตรัยหรือไม่ ก็ควรไปศึกษาพระธรรมในพระไตรปิฎกให้ยิ่งๆ ขึ้น ส่วนผมเองมั่นใจว่าข้อความผมมิได้ล่วงเกินพระรัตนตรัยแน่นอน..

    ลองไปหาอ่านดูนะครับ อปฏิโม อปฏิภาโค ไม่มีผู้ใดสร้างรูปเปรียบตถาคตได้ อย่าพากันยึดถือสิ่งผิดๆ กันอีกเลย
     
  20. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ดูตัวอย่างข่าวเมื่อสองสามวันก่อน มีพระขึ้นป้ายไว้ว่า ห้ามยืมเงินพระ....พวกคุณคิดกันยังไง..สำหรับผม พระพุทธองค์ก็บัญญัติไว้แล้ว ไม่ให้พระรับเงินทอง หรือยินดีในเงินทองที่มีผู้เก็บไว้ให้ตน ต้องสละเสียจึงจะพ้นโทษ นี่เป็นเพราะอะไร มิใช่เพราะพระไม่ทำตามพระธรรมวินัยสะสมเงินทอง พอมีก็ยึดมั่นเป็นของตน มีคนมายืมไม่คืนก็ไม่พอใจ ทั้งๆ ที่พระธรรมก็บอกไว้อย่างนั้นว่าเงินทองมิควรแก่ตน พอมีก็ทุกข์เพราะยึดเป็นของตน
    พระรูปนั้นที่วัดมีพระพุทธไว้กราบไหว้ไหม ย่อมมีแน่ แล้วทำไมท่านยังทำผิดละ เพราะไม่ศึกษาพระวินัยมิใช่หรือ.. ต่อให้กราบไหว้พระอย่างไร หากไม่ศึกษาพระธรรม ก็หาความเจริญในศาสนานี้มิได้ จึงควรที่เราชาวพุทธควรเร่งศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ในพระไตรปิฎกให้มาก แล้วปฏิบัติตามนั้น ความเจริญย่อมมีแต่เราท่านแต่เพียงส่วนเดียว เช่นนี้จึงควรมิใช่หรือ
     

แชร์หน้านี้

Loading...