การเมืองกับครูบาเจ้าศรีวิชัย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย montrik, 31 ตุลาคม 2019.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    การเมืองกับครูบาเจ้าศรีวิชัย
    โดย เปลว สีเงิน ไทยโพสท์)
    31 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 00:01 น.
    %E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%B2.jpg

    ก็ต้อง "สาธุ" อีกครั้ง กับกุศลเจตนาของ "หลวงปู่พุทธะอิสระ"



    "พุทธะ" เป็นที่ใจ

    ไม่ได้เป็นเพราะกายคลุมจีวร!

    ตามที่หลวงปู่เคยบอก จะครองจีวรคืนสู่สมณเพศในวันที่ ๕ ธันวานั้น

    เพื่อไม่เป็นการสร้างประเด็นขัดแย้งให้เกิดขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งเอื้อเฟื้อต่อการปกครองคณะสงฆ์

    หลวงปู่จะยังคงสภาวะ "พระอยู่ที่ใจ" ในชุดขาวต่อไป จนกว่าคดีความที่ค้างคาทั้งหลายจบสิ้น

    จากนั้น จะกลับไป "ขอบวช" เป็นพระนวกะอีกครั้ง

    ครับ....
    นี้แหละ "พุทธบุตร" ผู้ถึงแก่นธรรมจากโอษฐ์พระพุทธองค์โดยแท้ ในข้อว่า...

    "สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการอยู่ดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่"

    เมื่อวาน มีการยกเรื่องพระพิมลธรรมต้องคดีมาเทียบเคียง ว่าขณะถูกคุมขัง ท่านนุ่งขาว-ห่มขาว จิตไม่สละความเป็นพระ วัตรปฏิบัติครัดเคร่ง

    เมื่อศาลยกฟ้อง ท่านก็ครองจีวรเป็นพระดังเดิม
    B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A23.jpg
    มีอีกคดี ที่อ้างอิงเป็นแนวทางเดียวกัน คือคดี "ครูบาศรีวิชัย" ซึ่งท่านละสังขารไปแล้ว ๘๑ ปี

    "ครูบาศรีวิชัย คือพระโพธิสัตว์ ผู้จะตรัสรู้ภายภาคหน้า" "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ขณะจำพรรษาอยู่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ กล่าวยกย่องไว้

    ครูบาศรีวิชัย ต้องอธิกรณ์ ถึง ๖ ครั้ง นับแต่ปี ๒๔๕๓ เรื่อยไปจนถึงปี ๒๔๗๙ ท่านต้องถูกขัง ถูกกักตัว ระหว่างสอบสวนนานเป็นปีๆ

    แต่ทั้ง ๖ ครั้ง เป็นคดีเกี่ยวกับระเบียบการปกครองสงฆ์ ไม่มีความผิดเกี่ยวกับพระวินัยและทางอาญา ทุกคดี สอบแล้ว ท่านก็ไม่มีความผิดอะไร

    พอดีเมื่อต้นเดือน "สมาคมชาวลำพูน" ส่งหนังสือ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" มาให้ ๑ ชุด รวม ๓ เล่ม ดร.ชัยณรงค์ ณ ลำพูน เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำ

    ต้องบอกว่า เป็นหนังสือรวบรวมเรื่องราวครูบาเจ้าศรีวิชัย ครบถ้วน สมบูรณ์ สวยงาม มากคุณค่าที่สุดเท่าที่เคยมีผู้จัดทำมา

    ต้นทุนชำระประวัติศาสตร์ เพื่อเทิดทูนและยกย่องพระคุณของครูบาเจ้าศรีวิชัยนี้ "หลายสิบล้านบาท" แน่ๆ

    ขออนุโมทนาด้วยจริงๆ ถ้าจัดทำอีก ขอให้ผมมีส่วนร่วมบูชาคุณครูบาเจ้าศรีวิชัยบ้างนะครับ

    ที่บ้านผม มีครูบาเจ้าศรีวิชัยหลายองค์ทั้งห้องพระ หัวนอนและบนหิ้งองค์ ด้วยมั่นในศรัทธา จึงไม่สนใจถามว่าใครเอามาจากไหน

    คนทั่วไป รู้จักครูบาเจ้าศรีวิชัย ว่าสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุข้างบนนั้น

    ยิ่งเห็นรูปปั้นท่านตรงเชิงดอย ก็เลยสรุปเป็นความเข้าใจเอาเองว่า ท่านเป็นคนเชียงใหม่ อยู่เชียงใหม่

    หารู้ไม่ว่า อธิกรณ์ครั้งที่ ๖ ถูกสอบสวนที่เชียงใหม่แล้ว ยังถูกนำตัวไปวินิจฉัยโทษในกรุงเทพฯ นานถึง ๖ เดือนกว่า
    image010.jpg image011.jpg
    ตรงนี้แหละ.....
    นำไปสู่ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" ต้องลั่นวาจา ประหนึ่งกรวดน้ำคว่ำขันกับเมืองเชียงใหม่ว่า

    "ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลย้อนกลับ จะไม่ขอไปเหยียบนครเชียงใหม่"

    เหตุเพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในเชียงใหม่ยามที่เดือดร้อน

    ทั้งที่เดือดร้อนนั้น เพราะผู้ใหญ่ของเชียงใหม่ขอร้องให้ท่านทำโดยแท้!

    เมื่อลั่นวาจา ครูบาเจ้าศรีวิชัยก็กลับถิ่นบ้านเกิด คือลำพูน ไปจำพรรษาวัดบ้านปาง ที่อำเภอลี้ บ้านเดิมท่าน

    ไม่กลับไปเหยียบเชียงใหม่อีกเลย....

    แม้จะไปอ้อนวอนกันขนาดไหน ท่านก็ไม่กลับ ตราบมรณภาพ ณ พ.ศ.๒๔๘๑

    ทั้งหมดนี้ ผมเก็บความจากหนังสือครูบาเจ้าศรีวิชัย
    1410752947-600x450.jpg
    ศึกษาประวัติครูบาเจ้าแล้ว จะเห็นว่า ท่านบารมีสูง เป็นศูนย์กลางศรัทธาคนล้านนาก็ว่าได้

    ขนาด "คณะราษฎร" ยังหวั่นไหว เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง "พระยาพหลพลพยุหเสนา" ยังต้องไปนมัสการครูบาเจ้า

    ก็หวังภาพเพื่อการเมืองนั่นแหละ ไปนมัสการไม่พอ ยังวางสายลับไว้ให้คอยรายงานความเคลื่อนไหวครูบาเจ้าด้วย

    มีหลักฐานที่กองจดหมายเหตุ สำนักนายกรัฐมนตรี สายลับรายงานไปถึงคณะกรรมการคณะราษฎร ว่า

    "......พระศรีวิชัยองค์นี้ ทราบว่าทางราชการหรือผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อท่าน ทั้งท่านเองก็แสดงอาการมักน้อยถือสันโดษ ไม่ชอบข้องแวะกับผู้ลากมากดีหรือลาภยศสิ่งใด

    ปฏิปทาของท่านมีแต่ทางเป็นพระคุณแก่ราษฎรสามัญ ท่านถึงมีความศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ราษฎรทั่วไป

    ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะราษฎรควรเอาใจใส่ต่อพระศรีวิชัยองค์นี้ไว้บ้าง ขอจงทำให้ถูกทางจะเท่ากับเรารวมหัวใจของชาวพายัพไว้ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องลงทุนมากเลย......" ความเป็นพระเพื่อเมืองและบ้านเช่นนี้แหละ ทำให้ครูบาเจ้าถูก "การเมืองพระ" เล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า

    อย่างการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ทางการยังทำไม่ได้ แต่ครูบาเจ้า ใช้เวลา ๕ เดือน ๒๒ วัน ด้วยแรงศรัทธาคนล้วนๆ สำเร็จ รถยนต์วิ่งขึ้นไปได้

    ก็ดูซี ว่าคนศรัทธาครูบาเจ้าขนาดไหน ดังความในหนังสือนี้ว่า........

    ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากทำพิธีลงจอบแรกไปแล้วนั้น คนมาช่วยงานยังน้อยอยู่

    ต่อจากนั้นอีก ๑๕ วัน เมื่อผู้คนทราบข่าวเรื่องการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจึงค่อยๆ ทยอยกันเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ

    ต่างมาขออาสาเป็นเจ้าภาพหรือมีส่วนร่วมในการทำทาง ขอแบ่งบุญคนละครึ่งวาบ้าง วาหนึ่งบ้าง มากกว่านั้นบ้าง ตลอดทั่วทั้งภูเขามีเจ้าของผู้จับจองไปจนถึงบันไดนาค

    ผ่านไปได้ไม่กี่เดือน เริ่มมีคนมาช่วยงานไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คนต่อวัน เกิดการแย่งยื้อในการขุดขนถางทางให้เรียบ จึงต้องสร้างข้อตกลงกันว่า ให้ขุดกันได้เพียงคนละ ๑ วาเท่านั้น..........

    เนี่ย ผู้คนศรัทธา ความอิจฉาจึงเกิด จึงเจอข้อหาจากเจ้าคณะจังหวัด บูรณะของเก่าไม่ขออนุญาต ไม่รักษารูปเดิม ตัดไม้ทำลายป่าโดยไม่ขออนุญาตกรมป่าไม้

    พระลูกศิษย์ถูกจับสึก ตัวครูบาเจ้าถูกไต่สวน คุมตัวเข้ากรุงเทพฯ ไปกักบริเวณไว้ที่วัดเบญจมบพิตร

    ก่อนถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ ครูบาเจ้าแจ้งต่อคณะสงฆ์วัดพระสิงห์ผู้ไต่สวนว่า......

    ด้วยเวลานี้ถนนที่ขึ้นไปมนัสการพระเจดีย์สุเทพ อาตมาก็ได้ช่วยเหลือมามากแล้ว จนเป็นหนทางขึ้นไปนมัสการได้ แลเคยทำบุญมาแล้วครั้งหนึ่ง

    ฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้ไป อาตมาขอมอบไว้กับท่านพร้อมด้วยราชการบ้านเมือง เพื่อจะได้ดำริสร้างต่อไป ส่วนอาตมาเวลานี้ก็ได้ลงบันทึกต่อคณะสงฆ์ไว้แล้ว ว่าจะไม่ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างไม่ว่าวัตถุใดๆ ในจังหวัดเชียงใหม่อีกแล้ว อาตมาขอยุติ ไม่ทำ......

    ก็ดูซี....

    ว่าวงการสงฆ์ทำกับครูบาเจ้าเช่นนี้ เพราะท่านทำผิดหรือทำดีเกินหน้า?

    ไม่เพียงวงการสงฆ์ วงการปกครอง ระดับผู้ใหญ่ของเชียงใหม่ก็ยังทำกับท่าน นำไปสู่การลั่นวาจาของครูบาเจ้า

    "ไม่ขอไปเหยียบเมืองเชียงใหม่อีก"!

    เอกสารปรากฏในหนังสือนี้ ว่า.........

    การสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพทำให้ชื่อเสียงของครูบาเจ้าศรีวิชัยระบือไปไกล และหอมฟุ้งด้วยศีลธรรมบารมี ผู้คนจึงชักชวนกันมาขอให้ท่านบรรพชาอุปสมบทกันเป็นจำนวนมาก..........

    พระอานันท์ พุทธธัมโม บันทึกไว้ว่า ระหว่างงานทำบุญฉลองทางขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ หลวงศรีประกาศ และพลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ ได้เข้ากราบครูบาเจ้าศรีวิชัยที่วัดพระสิงห์

    ขอให้ท่านช่วยจัดการอุปสมบทให้หนานปี (ครูบาอภิชัยขาวปี) ที่ทางการสั่งห้ามไม่ให้อุปสมบทอีก ในครั้งแรกครูบาเจ้าศรีวิชัยเองก็รู้สึกกริ่งเกรงว่า จะเกิดความขัดแย้งกับส่วนกลาง ซึ่งคุกรุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    ทว่า หลวงศรีประกาศ พร้อมกับ พลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ ให้คำรับรองอย่างแน่นหนักว่า "หากเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นก็ตาม จะช่วยเหลือ"

    ครูบาเจ้าศรีวิชัยจึงตัดสินใจจัดการอุปสมบทให้ครูบาอภิชัยขาวปี..........
    %B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%B5.jpg
    นี่แหละ เป็นเหตุทำให้ครูบาเจ้า ต้องอธิกรณ์ครั้งที่ ๖ เพิ่มอีกกระทง ฐานไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่ทำหน้าที่อุปัชฌาย์ ทั้งที่ห้ามแล้ว

    เล่าขานสืบต่อกันมาว่า ในระหว่างดำเนินคดี ครูบาเจ้าเชิญหลวงศรีประกาศ และพลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ มารับรองและชี้แจง ถึงเหตุการบวชให้ครูบาอภิชัยขาวปี

    แต่ปรากฏว่า ทั้ง ๒ ผู้ใหญ่ ที่เคยรับปากมั่นเหมาะ "หากเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตาม จะช่วยเหลือ"

    หายจ้อย ไม่ยอมไปเป็นพยานให้ตามที่พูด!

    นี่แหละ......

    เมื่อพ้นอธิกรณ์ โดยท่านไม่มีความผิดแล้ว ครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงกรวดน้ำคว่ำขันกับเมืองเชียงใหม่ พร้อมลั่นวาจา

    "ตราบที่น้ำปิงไม่ไหลย้อนกลับ จะไม่ขอไปเหยียบนครเชียงใหม่"

    ท่านกลับลำพูนถิ่นเกิด และละสังขารที่บ้านเกิดคือ "วัดบ้านปาง" ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จฯ ไปที่วัดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘

    และ....พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ครั้งทรงเป็น "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร"

    เสด็จฯ แทนพระองค์ ไปทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทรงยกฉัตรทองคำ พิพิธภัณฑ์ และทรงเปิดป้ายพิพิธภัณฑ์ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง เมื่อ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๗.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2019

แชร์หน้านี้

Loading...