การแก้อาการปวดหลังขณะนั่งสมาธิ (จากประสบการณ์)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tanakorn, 5 เมษายน 2016.

  1. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ผมเคยปวดหลังขณะนั่งสมาธิ แต่พอเราทนไปเรื่อยๆ ภาวนาไป ๆ สักพักอาการปวดหลังก็จะหายไปเลย เหมือนไม่มี ทั้งๆ ที่มันอาจมี แต่เราไม่รู้สึก ....แต่ว่าถ้าภาวนานานไป ๆ พอเลยจุดความปวดไปแล้ว หลังจากออกจากสมาธิก็จะไม่ปวด เดินตัวเบา หลายท่านคงเคยเป็น ยกเว้นท่านที่สามารถมีวสีในการเข้าฌาณ พอกำหนดปุ๊บก็หายปวดปั๊บ

    ในกระทู้นี้ จึงใครขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยแนะนำคนที่กำลังหัดนั่งสมาธิใหม่ๆ ที่มีปัญหาเรื่องการปวดเมื่อย ไม่ว่าจะปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขา ปวดหัว ปวด ฯลฯ ทำอย่างไรจึงจะหายปวด รบกวนช่วยเล่าประสบการณ์เป็นธรรมทานด้วย เผื่อบุคคลทั่วไปที่เพิ่งเริ่มฝึก บังเอิญบุญสัมพันธ์ ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านขอรับ

    ขอบพระคุณอย่างสูง และขออนุโมทนาบุญล่วงหน้ากับทุกท่านที่เข้ามาตอบกระทู้ สาธุ
     
  2. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    (เพิ่มเติมอีกนิดครับ) เมื่อเที่ยงผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็เลยไปหาที่เงียบๆ แอร์เย็นๆ นั่งสมาธิ เกิดอาการปวดหลังขึ้นมา เลยภาวนาคาถาเงินล้าน พอจิตเริ่มเป็นสมาธิเล็กน้อย ก็ภาวนาต่อด้วยคาถา โสตัตตะภิญญา คู่กับลมหายใจ พอออกจากสมาธิ ปรากฏว่า หายปวดหลังเฉยเลย!
     
  3. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ผมเคยภาวนา ยุบหนอ พองหนอ ทีแรกรู้สึกว่าตัวหนัก แต่เคยภาวนาจนเหมือนว่าตัวหาย ไม่มีร่างกาย แต่ทุกวันนี้เข้าฌาณได้ไม่ลึก หันมาภาวนาคาถาคู่กับลมหายใจ รู้สึกว่าถ้าดูลมหายใจเมื่อใด กายจะเริ่มเบา และอาการปวดหลังจะไม่ปรากฏครับ
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  5. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    อาการ ปวด ต่างๆ บลาๆที่เกิดขึ้น จากการฝึกสมาธิท่านั่ง


    หากคนไม่เคยฝึกเลย พอมาเริ่มฝึก
    ก็ปวด ขา ปวดเข่า ปวดหน้าแข้ง หลังเท้า ปวดก้นกบ ปวดสันหลัง ปวดไหล่

    อาการพวกนี้ จะวนกันไปกันมา
    รอบแรก ๆก็ปวดเข่า หากนั่งทนเอาจริง
    ก้จะผ่านไปได้ ในรอบประมาณ45นาที
    แล้วก็จะหายไปจะรู้สึกสะบายๆ ซักพักก็จะมาใหม่

    ในอาการ ปวดกระดูกหน้าแข้ง จนเหมือนกระดูกจะแตก
    หากนั่งทนต่อไป ซัก45นาที ก้จะหายไป

    แล้วก็จะมีอาการอย่างอื่นมาใหม่คือปวดกระดูกสันหลัง
    เหมือนจะแตกเช่นเคยหากนั่งทนต่อไป
    มันก็จะหายไป แล้วความรู้สึกสะบายๆก็ตามมา
    ไม่นานอาการปวดอย่างอื่นมันก้จะมาแทน

    คือ ปวดต้นคอช่วงไหล่
    จนเหมือนกระดูกจะแตกหากนั่งทนต่อไป
    มันก็จะหายไป ความรู้สึกสะบายๆ ก็จะตามมา

    มันจะ สลับกันไกันมาแบบนี้ เมื่อเราฝึกในท่านั่ง

    อาการปวด อาการเจ็บ จังหวะการปวดสุดช่วงของมัน ราวจะตาย
    จะสลับกับความความสะบายแบบสุดๆเช่นกัน
    หลังจากที่อาการปวดจะตายหายไปอาการสะบายสุดๆจะตามมา
    มันจะวนไปวนมา บางที ความรู้สึก แป๊ปเดียว เช้าแล้ว ไก่ขัน


    สิ่งพวกนี้มันจะเป็นการฝึกฝนของตัวเองทั้งสิ้น
    มันจะทำให้เรา รู้ประมาณ รู้จังหวะของตัวเอง

    หาก ฝึกฝนอย่างนี้ ตลอด เจ็ดวัน หรือ 15วัน หรือ สามสิบวัน

    จากเคยอยู่ในอิริยาบทนั่ง ได้สิบนาที
    ก็จะพัฒนาไปเป็น สามสิบนาที ต่อไปสี่สิบห้านาที
    ต่อไป หกสิบนาที

    ความสงบกายจะยืนพื้น ที่ประมาณหกสิบนาทีถึง ร้อยยี่สิบนาที
    อาการปวดถึงจะมา

    การฝึกแบบนี้ มันจะมีประโยชน์กับคนที่ลงมือทำ

    เพราะหากผ่าน ช่วงนี้ไปได้

    การพิจารณาในกรรมฐาน
    ในช่วงที่กายสงบในช่วงประมาณ120นาที

    มันจะทำได้ง่ายขึ้น การน้อมไปในอาโลกสิณ เพื่อฝึกตาทิพย์ก้จะง่ายขึ้น


    การฝึกช่วงนี้ มันเป็นเหมือน ฝึกฐาน ให้ชำนาญ
    จริงๆมันมีรายละเอียดปลีกย่อย ที่รู้ในการนั่งทนอีก พูดมากก้จะเฝือ


    การนั่งทน ใครไม่ทำไม่รู้หรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2016
  6. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    สมาธิทำให้อายุยืนได้
    สมาธิทำให้คงสังขารได้
    สมาธิก็สามารถทำให้หายเมื่อยได้(ถ้านั่งเป็น)

    ปล.ผมว่านั่งอรูปฌานดีกว่า อรูปพรหมยังอายุยืนเพราะอรูปฌานเลยแล้วอรูปฌานจะไม่ทำให้หายเมื่อยหรือ
     
  7. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +248
    อ้าววววไหงงั้นนั่งหลบเวทนา จะเอานั่งนานไม่ให้มีเวทนา ไม่นั่งเอาสติ

    เค้าอยากให้เวทนากล้าๆมาไวๆกันไม่ใช่เหรอ ขัดสมาธิเพชร สีหไสยาส ต้องการให้เวทนามาไวๆ ไม่ตั้งใจดูไม่พิสูจน์สัจธรรม มันจะแกะกายแกะเวทนาออกจากจิตยังไง จิตเป็นกลางผู้รู้ผู้ตื่นเบิกบานตนเป็นที่พึ่งของตน ดอกบัว มันเกิดจากตรงนั้นๆ ใช่นะๆ
     
  8. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ตอนนั้นไปฝึกกรรมฐาน ปวดเข่า ปวดไหล่ขวามาก จนทนไม่ได้ ตอนนั้นคิดทำไมฉันเป็นคนเดียว คนอื่นเขาสบายมาก (เขาฝึกกันมาเยอะ) กลับมาไปนวด 3 ครั้ง ต้องใช้ฝีมือเจ้าของร้านมานวด แถมต้องไหว้ครูถึง 2 ครั้ง ถึงกดลง เขาตกใจมากว่าไปทำไรมา
    ตอนหลังก็ไปพบสาเหตุและตอนนี้ก็ไม่ได้ไปนวดนานแล้ว
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ผมให้ข้อสังเกตุตัวเองอย่างนี้นะครับ คุณ Dhamma
    เผื่อว่าจะไปลองจับสังเกตุด้วยตัวเองได้ครับ...
    หรือใครที่พึ่งเริ่มนั่งสมาธิจะลองไปสังเกตุดูเอาเองนะครับ
    ปกตินะครับ ถ้าคนที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลัง
    ในเวลาปกติ และไม่มีปัญหาเรื่องเส้นเอนต่างๆนะครับ...
    ที่มักจะพลาดกันหรือขาดการสังเกตุ เอาแต่ช่วงเอวขึ้นไปนะครับ..
    เวลาเรานั่งสมาธินั้น เรามักเผลอหรือทำเป็นนิสัยอย่างหนึ่งก็คือ

    เราจะดันปลายนิ้วมือเราโดยเฉพาะนิ้วกลางข้างที่อยู่ด้านล่างไป
    จนเกือบถึงข้อมืออีกข้างครับ..
    ในจังหวะนี้เอง มันจะทำให้ไหล่เราเสียระดับความสมดุลย์ไปเล็กน้อยครับ...
    เพราะว่าความเข้าใจปกติเรามักจะนั่งให้ไหล่เราตรง
    แต่ในขณะเดียวกันรอบแขนต่างๆวนรอบหัวไหล่ทั้งสองข้างและการ
    วางมือของเราด้านล่างมันดึงตัวเองเข้าไปหาข้อมืออีกข้างหนึ่งอยู่ทำให้เกิด
    อาการที่เรียกว่า ล้า ครับ ล้าคือเราสามารถทำได้อยู่แต่ว่ายังไม่ส่งผล
    (เช่น เราถือของหนัก ๓ ขีดได้สบายๆแต่ถือนานพอสมควรเราถึงเมื่อยประมาณนี้)
    ให้เรารู้สึกเมื่อยในทันที..สมมุตินะครับ ถ้าเรานั่งมือขวาทับมือซ้าย นิ้วกลาง
    มือขวาก็เกือบถึงข้อมือซ้ายเพราะเราจะงอมือเล็กน้อย นิ้วกลางมือซ้ายก็เกือบถึง
    ข้อมือขวาแต่ไม่เท่านิ้วกลางมือขวาที่ถึงข้อมือซ้าย
    ไหล่ซ้ายเราจะเริ่มตึงๆก่อนเพราะมันโดนดึงลงแบบสะสม
    และหลังจากนั้น กล้ามเนื้อบริเวณที่ติดกับกระดูกสันหลัง
    ช่วงกลางตรงบริเวณที่ต่ำกว่า สะบักลงมาฝั่งด้านซ้ายก็จะเริ่มมีอาการ
    ตึงๆเช่นกันครับ ..ตรงนี้นี่หละครับถ้าเรานั่งนานๆ ยังไงๆก็ต้องปวดหลังได้ครับ
    เพราะมันจะลามลงมายังกล้ามเนื้อบริเวณที่ติดกับกระดูกสันหลังฝั่งซ้ายตรงบริเวณ
    ที่ตรงกับตำแหน่งสะดือของเราครับ...
    จากสาเหตุที่เล่าให้ฟังมาข้างต้นครับ..
    วิธีแก้คือขยับปลายนิ้วกลางมือขวาให้อยู่ตรง
    โคนนิ้วกลางซ้าย นิ้วโป้ทั้งสองข้างชนกันครับ
    อาการปวดหลังก็จะไม่เป็นถ้านั่งหลังตรงไหล่ตรงนะครับ
    .

    แต่สุดท้ายถ้านั่งจนผ่านเวทนามาได้
    ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งครับ..แต่ถ้าจะดีกว่านี้ก็คือ นั่งจนเกิดการระเบิดสนั่นหวั่นไหว
    เสียงดังกึกก้องกัมปนาท แล้วค่อยดูอีกทีว่า จิตจะน้อมไปทางปัญญาหรือว่าน้อม
    ไปทางความสามารถพิเศษในอดีต ตรงนี้จะไม่สามารถบังคับได้ถ้าหากว่าเข้าถึงได้ครับ...
    หรือถ้าจิตสงบแล้วน้อมพิจารณาเรื่องราวต่างๆได้ก็จะเป็นแนวทางให้เกิดปัญญาทางธรรม
    ได้เช่นเดียวกันครับ....

    ส่วนอาการปวดศรีษะ เราจะไม่เป็นถ้าเราหายใจให้ลึกถึงท้อง
    และทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมเข้าและออก กระทบหยุดที่ปลายจมูกเท่านั้น
    เพราะจะเป็นอุบายในการตัดความคิดต่างๆไม่ให้เกิด ซึ่งส่งผลให้เกิด
    อาการตึงๆศรีษะครับ.. และไม่เผลอเอาจิตไปตาม
    ลมหายใจด้วยครับ เพราะว่านอกจากสมาธิเราจะแป๊กในระดับปฐมฌานแล้ว
    และยังเกิดความเป็นทิพย์ได้ยาก มันจะทำให้ระดับสมาธิเราไม่ก้าวหน้าด้วยครับ
    สมาธิเราจะก้าวหน้า คือเราทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมกระทบเข้าและออกที่ปลายจมูก
    และจิตทิ้งคำภาวนาต่างๆด้วยด้วยตัวจิตเองด้วยครับ.ส่วนการพัฒนามันจะเป็นไป
    ของมันเองครับ คือ ละเอียดเอง เห็นอะไรเอง ก็ช่างมัน(พูดถึงกรรมฐานที่ไม่ใช้รูป
    ต่างๆเป็นตัวนำนะครับ) และอาการตึงบริเวณหน้าอก หน้าฝาก
    ก็จะไม่ปวดถ้าหากเราไม่เผลอกำหนดจิตไปไว้บริเวณนั้นๆ
    สังเกตุง่ายๆกำหนดจิตไว้ตรงไหนก็จะตึงตรงนั้นครับ

    ส่วนใครสนใจเรื่องตาพิเศษหรือเห็นคล้ายตาทิพย์นั้น เวลาเรานั่งหายใจอย่างที่แนะนำ
    ไปแล้ว ให้โน้มสายตาปกติเราให้ลงมามองที่ลิ้นปี่ (สังเกตุตาพระพุทธรูปครับ)..
    และถ้าจะมองให้ทำเสมือนว่าเรามีตาเดียว มองผ่านเหนือระหว่างคิ้วของเราครับ
    ตัวจิตจะตัดระบบความคิดที่มาจากสมองได้เอง ภาพที่สร้างถึงจะเป็นภาพที่ไม่ได้เกิด
    จากอุปทานต่าง หรือเกิดจากการสร้างจากสมองซึ่งจะทำให้ปวดบริเวณเหนือระหว่างคิ้ว
    และนานไปจะทำให้ปวดศรีษะมากๆครับ และภาพที่เกิดจากตัวจิตสร้างนั้น
    โดยปกติมันจะไม่ค่อยชัด ออกมืดๆเขียวๆก่อน แล้วค่อยพัฒนาตามลำดับ..
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเห็นอะไร ก็ไม่ควรไปใส่ใจหรือสนใจใดๆทั้งสิ้น
    มากกว่า นั่งแล้วจิตสงบแล้วได้พิจารณา ถึงข้อดีข้อเสีย สิ่งที่ควรไม่ควร
    ที่เราได้กระทำผ่านมาในแต่ละวันครับ..

    ส่วนถ้านั่งแล้วเป็นเหน็บชา ในขณะที่นั่ง ให้โน้มตัวลงไปข้างหน้าให้ได้มาก
    ที่สุดโดยที่แขนยังอยู่ท่าเดิม กระดูกสันหลังตรงเหนือก้นกบมันก็จะช่วยไปดึงเส้น
    เอ็นต่างๆที่ถูกก้นของเราทับไว้ และดึงต่อไปยังเส้นต่างๆที่ขาบริเวณหน่องเรา
    มันถูกกดทับไว้จากท่านั่งของเรา เราก็จะหายเป็นเหน็บชาได้ในเวลาไม่นานครับ
    สำหรับสมาธิ.ทั่วๆไปประมาณนี้ครับ... ทริคนะครับ ถ้าเราเข้าถึงตัวในได้
    เราจะนั่งสมาธินานเท่าไรก็ได้ครับนี่เป็นระดับท่านที่สุดยอดทำกันได้ปกติ
    แต่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลยครับถ้าเราไปน้อมไปทางด้านการเดินปัญญา..

    ส่วนการนั่งสมาธิใหม่ๆเราอาจต้องมีวิธีการบ้าง เพื่อเป็นการบังคับ
    จิตพอให้มีแนวทางเดินครับ เช่นกำหนดเวลาในการนั่งจะห้านาที สิบนาทีก็ได้
    หมดแต่สิ่งที่สำคัญคือ การเจริญสติในชีวิตประจำวันร่วมด้วยครับ
    ถึงจะช่วยส่งเสริมสร้างสมาธิให้เรา
    ในขณะที่เรานั่งอย่างเป็นพิธีการเราจะไม่รู้สึกหงุดหงิด
    ว่าทำไมนั่งเท่าไรก็ไม่สงบซักทีครับ...ระดับต่อมาเราก็กำหนด
    จำนวนการระลึกรู้ลมหายใจเข้าและออกกระทบที่ปลายจมูกครับ ..
    พอเริ่มทำได้บ้าง เราก็มาดูระยะเวลาที่เข้าถึงอารมย์จิตที่เป็นประโยชน์
    แรกๆอาจจะเป็นชั่วโมง เป็นวัน ครึ่งชั่วโมง หรือนั่งทั้งวันก็ไม่ได้
    ก็ช่างมันครับไม่ต้องสนใจและเอาไปคิดหรือเปรียบเทียบอะไร เน้นที่จิตสงบได้
    แล้วพิจารณาให้เกิดปัญญาทางธรรมได้ก็พอ...
    ต่อมาก็จะเริ่มใช้งานทางจิตแบบพิเศษได้บ้าง แรกๆอาจจะครึ่งชั่วโมง
    ห้านาที สิบนาที ก็ช่างมันครับ.ช่วงนี้อาจจะต้องหลับตาก่อนนะครับ
    ..ต่อไปมันจะเร็วขึ้นได้ของมันเอง...
    ต่อมาก็จะพัฒนาถึงขั้นใช้ความสามารถทางจิตได้เองอัตโนมัติครับ...
    ความสามารถใช้งานทางจิตได้ หมายความว่า ถ้าเราจะใช้งานทางจิต
    อะไรก็ตามนั้น เราต้องสามารถใช้จิตได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที
    และใช้งานในขณะลืมตาและใช้ชีวิตปกติประจำวันด้วยครับ..
    และลำดับต่อมาก็พัฒนาเรื่องการพิจารณาเดินปัญญาลด ละกิเลสในใจ
    ให้ค่อยๆลดน้อยลงไปเรื่อยๆตามลำดับ ความสามารถต่างๆทางจิต
    และความสามารถในการตัดกิเลสตัวต่างๆของเรามันก็จะเป็นไปแบบ
    อัตโนมัติของมันได้เองครับ...ซึ่งในขั้นนี้ สำหรับผู้ใช้งานทางจิตได้
    ก็อาจจะตะกุก ตะกักบ้างเล็กน้อยเรื่องธรรมดา เพราะจิตติดตัวไปรู้
    คือมันจะรู้ว่า จะต้องทำอะไรอย่างไร..ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ...
    และในลำดับต่อมา ถ้าชำนาญในการใช้งานทางจิตแล้ว ต่อไปก็จะสามารถ
    ทิ้งตัวจิต คือไม่มีตัวเราเข้าไปเป็นผู้กระทำได้ ทำงานอะไรต่างๆเป็น
    อัตโนมัติ เบากว่า สบายกว่า ได้ผลดีกว่า เหนื่อยน้อยกว่าครับ...
    และพัฒนาไปถึงขั้นการใช้บารมี อานุภาพ หรือ บุญฤิทธิ์ได้ในลำดับต่อมา
    ซึ่งตรงนี้ต้องสร้างเอง.ฝึกเอง ทำเอง มีคนช่วยทำให้อะไรไม่ได้..
    .ถ้าใครมาถึงจุดสุดท้ายได้ก็จะเข้าใจ
    อะไรต่างๆได้เองในระดับดีพอสมควร
    ซึ่งเป็นระดับที่พระมีชื่อต่างๆในอดีตท่าน
    มีเป็นของท่านเป็นปกติครับ...
    ใครชอบอย่างไร มาถึงจุดไหน ก็พิจารณาเอาเองครับ
    ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทำได้หมดครับ
    ปล.สมาธิเนี่ยแปลกอย่างหนึ่งนะครับ
    คือได้แล้วมันได้เลย กำลังจิตระดับใช้งานได้ก็เช่นกัน
    ...และระดับสมาธิเราวัดกันที่ ความสามารถในการ
    ทำอะไรได้ต่างๆ ให้เราดูตอนที่ลืมตาปกติครับ ว่าเราสามารถทำอะไร
    ได้บ้างครับ ไม่ว่ากับหน้าที่การงาน การดำรงชีวิต หรือทำอะไรพิเศษๆ
    และให้ดูปัจจุบันเท่านั้นภายในเวลาเสี้ยววินาทีนะครับ..
    และอย่าไปยึดอดีตว่า เราเคยนั่งได้ระดับไหน
    เข้าถึงระดับไหนมาก่อนมันจะทำให้เราหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึงครับ...
    และการรู้ธรรมะหรือวัดผลของธรรมะที่เรามี...
    เราวัดกันที่ พฤติกรรมครับ เพราะมันรวมทั้ง มโนกรรม
    กายกรรม วจีกรรม ของเราด้วยประมาณนี้ครับ...

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     
  10. ph240

    ph240 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอบคุณสำหรับแนวทางครับ
     
  11. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    นั่งสมาธิ. เขาก็ให้ดูลมก่อน. ดูลมเข้าออกตรงปลายจมูกนั้นแหล่ะที่ลมกระทบยาวสั้น. สติระลึกตรงนั้น. การที่พยามจับความรู้สึกอยู้ที่ปลายจมูกนอกจากจะได้ความสงบแล้ว. ยังจะต้องได้ปัญญาด้วยนะ. ลมหายใจเข้าก็จิตตวงหนึ่ง. จิตหายใจออกก็ดวงหนึ่ง. จิตที่รู้หายใจเข้าออกก็ดวงหนึ่ง. เท่ากับเรามีญาณวัตถุ44แล้วถ้าใครไม่รู้ตรงนี้ก็ต้องพยายาม. นี่คือความรู้ที่เรียกว่าวิปัสนา. นี่คือปัญญาที่แท้จริง.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...