"การได้ใกล้ชิดกับสมเด็จพระสังฆราชทำให้รู้ว่า พระดี พระแท้เป็นอย่างไร"

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย aprin, 12 ตุลาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    "การได้ใกล้ชิดกับสมเด็จพระสังฆราชทำให้รู้ว่า พระดี พระแท้เป็นอย่างไร"

    "ผมไม่เคยเป็นลูกศิษย์วัด แต่เป็นลูกศิษย์ทางธรรมท่าน ตอนบวช เห็นวัตรปฏิบัติของท่านทุกวัน ที่ประทับใจคือ ท่านออกบิณฑบาตทุกวัน อายุมากแล้วก็ยังออกบิณฑบาต เป็นการทำหน้าที่ไปโปรดสัตว์ ตอนที่ท่านอบรมพระ ท่านลงลึกลงไปอีกขั้นหนึ่ง ที่สำคัญคือ อบรมเอง นั่งเรียนกับพื้นทุกวัน ตอนบวชเรียนได้นักธรรมตรี สิ่งที่ได้เรียนรู้ ความเข้าใจขั้นต้น เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้รู้ว่าพระดีเป็นอย่างไร พอตอนหลังเจอพระไม่ดีจึงรู้ว่า อ้อ อย่างนี้เรียกว่าพระไม่ดี แต่จะให้พระทุกรูปเหมือนท่านคงยาก"

    บัณฑูร ล่ำซำ ลูกศิษย์สมเด็จพระสังฆราช ผู้ได้รับมอบหมายจากท่านโดยตรงให้มาเป็นประธานกรรมการผู้จัดการและผู้จัดการ มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังงานเสวนาเปิดตัว "โครงการจัดหาทุนทรัพย์ซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ตึก ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี" ซึ่งเป็นบ้านเกิดของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อยามเช้าวันที่ ๒ ตุลาคม ซึ่งวันที่ ๓ ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันประสูติกาลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราชทรงเจริญพระชันษาครบ ๙๘ ปี

    บัณฑูรเล่าว่า หลังจากที่เรียนจบจากปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเริกา เมื่อปี ๒๕๒๐ ก็มาบวชที่วัดบวรนิเวศวิหารนี้หนึ่งพรรษา สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย

    "เดิมผมเป็นคนขี้โมโห ก็เคยไปทูลถามว่า เป็นคนขี้โมโหทำไงดี ท่านตอบว่า อาตมาก็ขี้โมโห สมัยหนุ่มๆ ก็จับลูกศิษย์เฆี่ยน พอตอนหลังก็รู้ว่าไม่รู้จะเฆี่ยนมันไปทำไม ธรรมะนั้นก็คือ โมโห ก็โมโห แต่การเฆี่ยนไม่ได้ผล การที่จะทำอะไรให้ได้ผล ไม่จำเป็นต้องโมโห ถ้าโมโหแล้วไปโครมครามๆ เผลอๆ เสีย ก็ดูเหตุผลเอา แล้วแก้ไปตามเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ นั่นคือธรรมะ แต่ผมชอบตรงที่ท่านบอกว่า อาตมาก็ขี้โมโห

    "ที่ท่านเลือกผมมาเป็นประธานมูลนิธิมหามกุฎฯ ท่านเลือกเอง เพราะท่านรู้ว่าถ้าเลือกผมก็จะมากันทั้งโขยง มาคนเดียวทำไม่ได้"

    บทบาททางโลก บัณฑูรเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งที่ผ่านมาเขาติดต่อกับสมเด็จพระสังฆราชมาตลอด มีอะไรก็มาปรึกษาท่าน ถือเป็นความสัมพันธ์อันเป็นมงคล

    บัณฑูรเล่าว่า เดี๋ยวนี้ไม่โมโหเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

    "แต่อย่าไปถามที่แบงก์นะ ไม่ค่อยมีใครเชื่อ"

    เมื่อถูกถามว่า ปล่อยวางได้บ้างไหมกับงาน เขาตอบว่าได้ระดับหนึ่ง ปล่อยวางหมดไม่ได้ แต่เป็นการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้อารมณ์ ใช้สติปัญญา ทำหน้าที่ไปให้เหมาะสม สมดุล และยุติธรรม

    สำหรับการบริหารงานทางธรรม กับการบริหารธุรกิจทางโลกล่ะต่างกันอย่างไร

    "ก็เหมือนกันคือจัดระบบไม่ให้มั่ว ก็มาช่วยแก้ระบบให้กับวัดหมดแล้ว ธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราไม่ได้สัมผัสธรรมะตอนบวชอย่างเดียว แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน อ่านหนังสือ รับจากสื่อต่างๆ การติดต่อกับคน การสัมผัสกับคน ก็เป็นการสัมผัสกับธรรมะตลอดเวลา ชีวิตมันต้องมีความสมดุล ธรรมะคือความสมดุล ธุรกิจก็ต้องใช้หลักความสมดุล เรามีลูกค้าที่ต้องเกี่ยวข้อง มีการจัดการ มีพนักงาน ประเทศชาติโดยรวมก็ต้องเกี่ยวข้อง เป็นธรรมะทั้งหมด เราต้องดูแลจัดการให้ทุกคนได้ อย่างที่ควรจะได้ นี่ก็ธรรมะ แล้วก็ให้ลงตัว ถ้าได้มากเกินไป น้อยเกินไป ก็เป็นความไม่สมดุล นี่คือธรรมะของการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การเมือง หรือแม้กระทั่งรายการการกุศล ก็ต้องมีความสมดุล"

    ปัจจุบัน บัณฑูร เป็นไวยาวัจกร 2 วัด คือวัดบวรนิเวศและวัดยานนาวา และเคยบวชที่วัดยานนาวาด้วย 15 วัน

    "การบวชครั้งที่สองของผม มีวัตรปฏิบัติทำเหมือนพระป่า ฉันมื้อเดียว เดินขึ้นเดินลง นอนไม่มีไฟฟ้า ไปอยู่บนเขา ก็ดี ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตว่าพระป่าท่านอยู่กันอย่างไร"

    จะบวชอีกไหม

    "ไม่แล้ว ชายสามโบสถ์ไม่ได้"

    ปัจจุบันปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้าง

    "ผมสวดมนต์ทุกวัน การปฏิบัติธรรมสำหรับผมคือ การทำหน้าที่"
    จะวางมือทางธุรจกิจเมื่อไหร่

    "ยังไม่วาง เรายังมีกำลังวังชา วางไปก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ทุกอย่างต้องมีสมดุล มีความเหมาะสม อย่างเช่น การไม่กินเนื้อสัตว์ นิกายเถรวาทไม่ได้ห้าม เพราะห้ามพระจู้จี้ แต่ว่าโดยส่วนตัวของพระ ได้มาแล้วจะเขี่ยออกไม่ฉันก็ทำได้ สมเด็จพระสังฆราชท่านก็ทำ ผมเคยถามท่านว่า ฉันมังสวิรัติใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ แต่ทำทีละขั้น ไม่ใช่พรวดพราดว่าวันนี้จะมังสวิรัติก็ไม่ได้ ค่อยๆ เป็นไปเอง ผมเองก็ค่อยๆ ลดเหมือนกัน ลดการกินเนื้อวัวไปก่อนเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว หมูเลิกกินไปเมื่อ ๑๐ ปีก่อน ไก่ก็เพิ่งเลิกกิน การไม่กินเนื้อสัตว์ของผม เพื่อร่างกายมากกว่า พออายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยมันก็น้อยลง ตอนนี้กุ้งหอยปูปลายังกินอยู่ ค่อยๆ ลดทีละขั้น ลดสัตว์ใหญ่ก่อน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลิกได้ทั้งหมดเมื่อไร ยังให้คำตอบไม่ได้"

    ปีนี้บัณฑูรอายุ ๕๙ ปี นอกจากสวดมนต์ทุกวัน ก็ยังออกกำลังกายเป็นตัวประกอบด้วย

    "ผมว่าเรื่องกินสำคัญที่สุด มนุษย์พังเพราะกิน ถ้ากินไม่เหมาะสม ร่างกายก็พังเร็ว ใช้หลักความสมดุลเหมือนกัน ความเหมาะสม ความสมดุลทำให้ไปได้เรื่อยๆ เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน นั่นคือการรักษาความสมดุล ผมกลัวมะเร็ง กลัวไขมัน กลัวอ้วน กลัวมาก ที่กระตุกคือคุณพ่อ เขาเป็นมะเร็งในลำไส้ แล้วเขาก็ชอบกินมาก สเต๊ก ฝรั่งเขาศึกษามาแล้วว่าคนกินเนื้อวัวเป็นมะเร็งมากกว่าคนไม่กิน ก็เลยกลัว แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่กินก็จะไม่เป็นมะเร็ง ไม่แน่ แต่ละคนต้องไปหาความสมดุลเอาเอง"

    เป็นห่วงอะไรมากที่สุด ยังมีความทุกข์อะไรในใจบ้าง

    "คนก็มีความทุข์ทั้งนั้นแหละ ผมก็ห่วงลูก ห่วงนั่นห่วงนี่ ลูกผมยังเล็ก แต่ไม่จู้จี้เขา ให้เขาไปหาความสมดุลเอาเอง ตอนนี้เรียนอยู่ต่างประเทศกันทั้งสองคน ก็บอกเขา เรียนต้องมีเวลาพักผ่อน วิธีการจัดการกับความทุกข์ของผมก็ทำดีที่สุด ทำให้เต็มที่ในแต่ละวัน ก่อนนอนก็สวดมนต์ อะไรที่ยังแก้ไขไม่ได้นอนก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่วันรุ่งขึ้น"

    ตอนนี้สุขภาพของสมเด็จพระสังฆราชเป็นอย่างไรบ้าง

    "ท่านก็ยังสื่อความได้"

    ท่านใดสนใจตั้งกองทุนผ้าป่าเพื่อร่วมโครงการ ๑๐๐ ปี จัดหาทุนทรัพย์ซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ตึก ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ติดต่อที่มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย โทรศัพท์ ๐-๒๖๒๙-๑๔๑๗

    http://www.komchadluek.net/detail/2...สังฆราชทำให้รู้ว่าพระดีพระแท้เป็นอย่างไร.html
     
  2. Percas

    Percas สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +1
    ไม่เคยเจอพระสังฆราชแต่เคยฝันถึงท่านว่าท่านมาโปรดแถวบ้านมาให้แง่คิดทางธรรมะว่า" ทุกข์ของมนุษย์หากพอใจในปัจจัย4แล้วไม่มีอะไรต้องทุกข์
     

แชร์หน้านี้

Loading...