" === กินอย่างไรจึงจะสุขภาพดี ==== "

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 12 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    บรรยายโดย อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา
    เรียบเรียง จิระวิทย์ ศุภนันทกานต์

    ความคิดเห็น
    โรค เป็นธรรมชาติที่ร่างกายถูกเบียดเบียนให้เกิดทุกขเวทนาทางกาย ผู้ไม่มีปัญญาบำบัดกาย บำบัดใจด้วยธรรมชาติ ก็กลายเป็นโรคกาย-โรคใจ ทุกข์กายแล้วจะทุกข์ใจเพิ่มขึ้น

    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ ชาติปิ ทุกฺขา เกิดก็เป็นทุกข์ ชราปิ ทุกฺขา แก่ก็เป็นทุกข์ มรณมฺปิ ทุกฺขํ ตายก็เป็นทุกข์ ”
    อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา เป็นผู้หนึ่ง และอีกหลาย ๆ ท่านที่รู้จักและไม่รู้จัก ได้แนะวิธีธรรมชาติบำบัด โดยใช้อาหารเป็นยา-กดจุดเป็นยา-ทำยาให้อาหาร-ทำใจให้เป็นยา-ทำยาใจให้เป็นอาหาร-ทำยาให้อยู่ในใจ
    เมื่อเราเป็นคนไข้ทางกาย คนไข้ทางใจทั้งหลายถ้ารู้วิธีรักษาแล้ว ทุกข์กาย (กายิกทุกข์ หรือ ทุกขเวทนา) ทุกข์ใจ (เจตสิกทุกข์ หรือ โทมนัสเวทนา) ความชราก็จะช้าลง ความตายก็จะช้าลง นอกจากนั้นยังจะสิ้นเปลืองน้อยลง ไม่ต้องหาเงินมาให้ ค่ายา-ค่าหมอมากเกินไป ครอบครัว-ประเทศชาติบ้านเมือง ก็จะมีแต่ ความสุข
    หากสนใจการปฏิบัติธรรมก็ได้ผลดีมากขึ้น ผู้สอนช่วยบำบัดกายได้-ช่วยบำบัดใจได้ ถึงไม่พูดให้ใครรู้ เขารู้เอง จะเผยแผ่พระธรรมออกไปได้โดยง่าย
    ขอขอบคุณ-ขอบใจ อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา มารดา-บิดา-ครู-อาจารย์-ครอบครัว-ลูกหลาน-ญาติพี่น้อง-ศิษย์ทุกท่าน-ท่านผู้บันทึกเทป-
    คัดลอกข้อความ-เรียง-จัดพิมพ์มาให้-ท่านผู้รับ-ท่านผู้อุปถัมภ์-ผู้อ่านทุกท่าน
    ขอให้เจริญกาย-เจริญใจ-เจริญทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบธรรมปราศจากโรคภัยอันตรายทั้งปวง มีอายุ-วรรณะ-สุขะ-พละ ไม่ติดยาเสพติดทุกชนิด ไม่เล่นการพนันทุกชนิด
    ขอให้ใจเจริญในธรรมของพระพุทธองค์ในส่วนชีวิตประจำวัน และเจริญทางธรรมด้วยความไม่ประมาท... ขอกุศลแห่งธรรมทานนี้ จงช่วยให้ทุกท่านดังกล่าวข้างต้น-กรรมการ-สมาชิกกองทุนวิทยาทานทุกท่านฯ จงได้ผลดีมีความสุขในกินอยู่อย่างไรและนาฬิกาชีวิตนี้ โดยทั่วกัน...
    พระ ป.ญาณโสภโณ
    ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

    คำนำ
    หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจเพื่อชักชวนให้คนไทยเราหันมาสนใจดูแลสุขภาพตนเอง...
    สาระของเรื่องทั้งหมดได้มาจากการบรรยายของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านได้มาบรรยายให้ชาวชมรมรักษ์ธรรมของห้างแฟรี่แลนด์สรรพสินค้าจังหวัดนครสวรรค์ฟังเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
    สาระของการบรรยายเป็นประโยชน์เหมาะกับชีวิตของคนไทยยุคนี้ เพราะเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านแนะนำส่วนใหญ่เป็นเรื่องอาหารการกินธรรมดา ๆ ที่ได้จากพืชผักที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำทุกวัน สามารถนำไปทำรับประทาน เป็นการแก้ความเจ็บป่วยที่เกิดจากการกินหรือปรับสภาพความสมดุลให้กับร่างกายของเรากันเองได้ คำบรรยายของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ ได้ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจที่จะนำไปปฏิบัติ แต่โดยเนื้อหาสาระและสูตรการทำอาหารเพื่อล้างพิษหรือวิธีการต่าง ๆ เป็นไปตามคำบรรยาย มิได้ต่อเติมแต่ประการใด รวมทั้งเรื่องราวที่ท่านเล่าก็เอามาลงไว้โดยมิได้ตัดต่อ
    เมื่อท่านได้อ่านแล้ว เกิดมีความสงสัย จะถามหาคำยืนยันหรือผลงานวิจัยต่าง ๆ นานา จากสูตรอาหารในหนังสือเล่มนี้ว่ามีสรรพคุณสมดังคำกล่าวอ้างหรือไม่ ขอความกรุณาว่าอย่ามาเสียเวลาถามหาเลย เพราะมันเป็นภูมิปัญญาที่ทำเป็นอาหารรับประทานสืบทอดกันมา บางสูตรก็ทำมาแต่ครั้งพุทธกาล ศึกษาได้จากพระไตรปิฎก และถ้ายังสงสัยอีกว่า อย่างนั้นไม่เป็นการคุยโม้โอ้อวด หรือชักชวนคนให้หลงผิดหรือ? ก็ขอบอกว่าสิ่งที่นำมาเขียนนั้นเป็นเพียงอาหารตามหลักของธรรมชาติบำบัด นึกเสียว่าเป็นสูตรอาหาร
    ส่วนท่านใดได้นำไปทดลองทำรับประทานอย่างต่อเนื่อง แล้วเห็นว่าเกิดประโยชน์ก็ช่วยบอกกันต่อ ๆ ไป
    สุดท้ายต้องขอขอบคุณต่อท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ที่ท่านได้อนุญาตให้นำคำบรรยายของท่านออกเผยแพร่ได้ และขอขอบคุณท่านรองศาสตราจารย์บุญเรือง อินทวรัตน์ ที่กรุณาช่วยตรวจทานคำบาลีให้ ขอบคุณคุณหมอสมพงษ์ ยูงทอง ที่ตรวจภาษาทางแพทย์ให้ ขอบคุณคุณหมอสมพงษ์ ยูงทอง ที่ตรวจภาษาทางแพทย์ให้ และทีมพัฒนาทรัยากรมนุษย์ของแฟรี่แลนด์ ที่ช่วยกันถอดคำบรรยายจากแถบเสียง คนสุดท้ายคือเพื่อรัก อาจารย์ วิริยะ ทองธานี ที่ตรวจทานให้ทั้งเล่ม
    จิระวิทย์ ศุภนันทกานต์
    ๑ เมษายน ๒๕๔๘

    ๑ กินอย่างไร จึงจะมีสุขภาพดี
    ไม่ต้องประหลายใจเลยว่าชีวิตที่ดำรงกันอยู่ทุกวันนี้ การกินเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ
    พูดถึงเรื่องการกิน เป็นความจำเป็นสำหรับการมีชีวิต เพราะอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นร่างกายนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อยู่สองประการใหญ่ ๆ
    หนึ่ง คือนำไปบำรุงร่างกาย สร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
    สอง คือทำให้เกิดพลังงาน ให้ร่างกายมีแรงที่จะทำการงานเคลื่อนไหวได้ดี
    สองประการนี้จัดว่าเป็นหน้าที่หลักของอาหาร สารอาหารที่ร่างกายต้องการแบ่งเป็น ๖ หมู่ วันหนึ่ง ๆ ร่างกายต้องการไม่กี่แคลอรี่
    ในวันหนึ่ง ตามปกติวิสัยของคนทั่วไป เรากินอาหารกันสามมื้อ ทุกมื้อทุกวัน เราไม่ได้กินด้วยปัญญา คือไม่ได้กินกันตามทฤษฎีอย่างฝรั่งสอน ตามที่เล่าเรียนกันมา แต่เรากินกันตามกิเลส กินตามความอร่อย กินตามความอยาก
    เวลาเรียนเรื่องการกิน เราเรียนเพื่อเอาคะแนน แต่ในทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราทำคนละเรื่องกับทฤษฎีที่เล่าเรียนมา
    ดังนั้นพวกเราไม่ต้องประหลาดใจเลยว่าชีวิตที่ดำรงกันอยู่ทุกวันนี้ การกินเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ
    เรากินกันเกินความต้องการของร่างกาย เป็นเหตุให้เกิดความอ้วน และความอ้วนก็เป็นต้นเหตุอีกหลายโรค ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขข้อเสื่อม โรคหัวใจ ฯลฯ
    บางพวกกินน้อย เลือกกิน กินไม่ครบหมู่อาหาร ก็เป็นโรคขาดอาหาร ผอมอย่างกับผีตายซาก ร่างกายไม่สมบูรณ์
    คนโบราณหรือบรรพบุรุษของเรา ท่านก็สอนเรื่องการกิน ว่ากินอย่างไรจึงจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย โดยคนโบร่ำโบราณจะสอนว่าให้กินตามมีตามเกิด
    คำว่ากินตามมีตามเกิด คือกินสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีตามฤดูกาลนั้น ๆ กินสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
    ความเจริญทางโลกวันนี้ ทำให้เรากินผิดไปจากที่คนเก่าคนแก่สอน ผลไม้มาจากแดนไกลเราก็หากินได้ ผลหมากรากไม้นอกฤดูกาล เราก็ทำกินกันได้
    การกินจึงไม่ได้กินอย่างตามมีตามเกิด แต่เป็นการกินอย่างที่อยากจะกินต้องได้กิน จึงมีคำกล่าวที่น่าสนใจกล่าวว่า...
    อาหาร เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย กินง่าย หากินก็ง่าย ทำให้เป็นคนอยู่ง่าย
    แต่...
    รสชาติของอาหาร เป็นอาหารของกิเลส การปรุงแต่งเป็นไปตามกิเลส เพื่อสนองกิเลส ทำให้เป็นคนอยู่ยาก กินยาก
    อาหารการกินทุกชนิดประเภทที่เรากินกัน พิจารณาดี ๆ ล้วนเกิดมาแต่ดิน กินเข้าไปก็เพื่อบำรุงธาตุดินในเรือนกาย กินเข้าไปอยู่ในท้องไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้องกลับไปลงดินอย่างเก่า แล้วพืชก็ดูดกลับไปสังเคราะห์กลับมาเป็นอาหารให้เรากินเข้าไปใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดไป
    เนื้อวัวที่ราคาแพงที่สุดในโลกเห็นจะเป็นเนื้อวัวโกเบของญี่ปุ่น กิโลกรัมละเป็นหมื่นบาท เขาก็เลี้ยงมันด้วยหญ้าที่โตมาจากดิน จะบำรุงบำเรอสารอาหารวิเศษอะไรให้กิน สารอาหารนั้น ๆ ก็มาจากดินทั้งสิ้น
    เนื้อวัวในเมืองไทย กิโลกรัมละร้อยสองร้อยบาทมันก็กินหญ้าเหมือนกัน
    ดังนั้นสารอาหารที่มีในเนื้อวัวโกเบ กับสารอาหารที่มีในเนื้อวัวไทยมันคือสารอาหารชนิดเดียวกัน ให้ประโยชน์กับร่างกายเท่ากัน
    เหตุที่อยากกินเนื้อโกเบ เป็นเพราะกิเลสมันสั่งให้กิน ใครที่อยากจะกินเนื้อโกเบ ก็ต้องทำงานหนักกว่าคนที่กินเนื้อวัวของไทย ต้องหาเงินมากกว่า ทำงานมากกว่า
    ความอร่อยของอาหารที่เกิดจากการปรุงแต่ง ให้เปรี้ยว ให้หวาน ให้มัน ให้เค็ม ให้พิสดารอย่างไร เมื่อตักเข้าปากมันอร่อยอยู่ตรงลิ้น พอกลืนผ่านลิ้นก็ไม่รู้รสแล้ว
    ตกถึงท้องอยู่ได้ไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง ร่างกายก็ขับถ่ายออกมาหมด กินมื้อละหมื่นก็ถ่าย กินมื้อละยี่สิบสามสิบบาทก็ถ่าย
    ทำอย่างไรให้การกินของเราแต่ละวัน เป็นการกินที่มีปัญญา มีสติระลึกได้ว่าเราจะกินเพื่อบำรุงร่างกายให้ทรงอยู่ได้ในแต่ละวัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของร่างกายจะไม่กินไปเพื่อให้เกิดทุกข์แก่กาย
    การกินเราจะไม่กินเพื่อไปหล่อเลี้ยงกิเลสตัณหา กินไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์โลกที่เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อสุขของเรา
    ท่านอยากรู้ว่ากินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี ขอให้อ่านในหน้าต่อ ๆ ไป ซึ่งจะเป็นสาระที่มาจากการบรรยายของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดที่ท่านได้มาบรรยายให้ชมรมรักษ์ธรรมของแฟรี่แลนด์ฟังอ่านแล้วอยากมีสุขภาพดีต้องไปทำรับประทานกันด้วย

    ๒ ธรรมชาติบำบัด
    การดูแลตัวเองและคนรอบข้าง ให้มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ใช้ยา ไม่ผ่าตัด นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติบำบัด ส่วนการเจ็บป่วยถึงขั้นต้องกินยา ต้องผ่าตัด นั่นเป็นเรื่องของหมอ...
    คนเราจะสุขภาพดีหรือไม่ดีอยู่ที่ว่าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนด้วย เป็นปัจจัยภายนอก ก่อนจะพูดถึงเรื่องกินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี เราไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดก่อน
    ธรรมชาติบำบัด หมายถึงการดูแลตัวเองและคนรอบข้างให้มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ใช้ยาไม่ผ่าตัด เป็นเรื่องของธรรมชาติบำบัด ส่วนการเจ็บป่วยถึงขั้นต้องกินยาต้องผ่าตัด นั่นเป็นเรื่องของหมอแล้ว
    นักธรรมชาติบำบัด ซึ่งทุกคนเป็นได้ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชน ที่ต้องดูแลชีวิตของเราเองเป็นอันดับแรก การดูแลตนเองและคนรอบข้างเป็นงานของนักธรรมชาติบำบัดทุกคน แต่เราต้องมีขอบเขต
    สิ่งที่นักธรรมชาติบำบัดจะใช้ในการดูแลสุขภาพเราจะพูดถึงพืชสมุนไพร เรื่องสมุนไพร จะจำแนก สมุนไพรออกได้เป็น ๓ กลุ่ม เพื่อให้ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
    สมุนไพรกลุ่มที่ ๑ เรียกว่า สมุนไพรที่เป็นอาหาร ถ้าเป็นสมุนไพรที่เป็นอาหาร อย่างนี้นักธรรมชาติบำบัดสอนให้คนนำมากินอาหารได้ กินสมุนไพรแล้วต้านโรคอย่างนี้ เราสอนกันได้
    สมุนไพรกลุ่มที่ ๒ เรียกว่า สมุนไพรที่เป็นยา หมายความว่าเป็นสมุนไพรที่โดยปกติคนไม่เอามารับประทานเป็นอาหาร แต่ใช้เพื่อเป็นยาโดยเฉพาะ เช่น ฟ้าทะลายโจร เวลาพูดเรื่องฟ้าทะลายโจร ต้องบอกว่านี่มันเป็นงานของเภสัชกร และของแพทย์ เราไม่ควรไปรู้จักมันเลยจะดีกว่า นอกจากว่าเวลาเจ็บป่วย แล้วให้ท่านเหล่านั้นเป็นผู้แนะนำเรา
    พวกสมุนไพรที่เป็นสารอาหาร กินผิดกินถูกไม่เป็นอันตราย แต่ถ้ากินถูกก็ได้กำไร สมุนไพรกลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นยา ยังไม่ใช่เป็นยาอันตราย นักธรรมชาติบำบัดจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้มีความรู้เฉพาะทางคือแพทย์และเภสัชกรเท่านั้น
    สมุนไพรกลุ่มที่ ๓ เรียกว่าสมุนไพรที่เป็นยาพิษ ที่จริงพวกนี้ก็เป็นสมุนไพร ถ้าว่ากินตามหลักของหมอชีวกโกมารภัจ ท่านอาจารย์หมอในสมัยพุทธกาล พวกสารหนู กำมะถัน มันเป็นสมุนไพรที่เป็นยาพิษ แต่ว่าแพทย์หรือเภสัชกรสามารถเอาไปทำยาได้ สารหนูก็เหมือนกัน ที่จริงสารหนูมันคือยาพิษกินเข้าไปตายแน่นอน แต่มันไปเข้าตำรับยาลม ยาแก้ลมที่เรากินกันต้องมีสารหนูมันถึงจะทรงสรรพคุณ แต่เมื่อเข้าอยู่ในตำรับยาแล้ว มันไม่เป็นพิษ แต่ต้องปรุงโดยเภสัชกรหรือแพทย์
    ในงานของธรรมชาติบำบัด มีงานวิจัยย่อมต้องมีอะไรที่ขัดแย้งกันเสมอ เมื่อเกิดการขัดแย้งสิ่งหนึ่งที่เราต้องหาข้อสรุป ก็คือจากพระไตรปิฎกนั่นเอง ถ้าถามว่าองค์ความรู้ด้านธรรมชาติบำบัดได้มาจากไหน ก็ต้องตอบว่าได้มาจากพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกจะพูดถึงธรรมชาติบำบัดหลายหลาก มีตัวอย่างเอามาใช้งานกันได้เยอะ

    ๓ การเจ็บป่วยของมนุษย์
    เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยที่พบเห็นกันในหมู่มนุษย์ เราต้องจำแนกก่อนว่า ต้นเหตุที่รูปกายมันผิดปกติ มาจากเหตุ ๔ ประการ ถ้าในพระอภิธรรมก็จะบอกว่า... “ กัมมจิตโตตุกาหาร ”
    คราวนี้มาว่าถึงเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย ที่พบเห็นกันในหมู่มนุษย์ เราต้องจำแนกก่อนว่า ต้นเหตุที่รูปกายมันผิดปกติมาจากเหตุ ๔ ประการ ถ้าในพระอภิธรรมก็จะบอกว่า “ กัมมจิตโตตุกาหาร ” (กัม-มะ-จิต-โต-ตุ-กา-หา-ระ) สั้น ๆ แค่นี้แต่แยกเป็นหัวข้อ ก็คือ...
    ๑. รูปกายเราผิดปกติ อันนี้มาจากกรรมที่เราจะเรียกว่าพันธุกรรมก็ได้ * กรรมจำแนกเป็นกรรมในอดีตและกรรมปัจจุบัน กรรมจากอดีตก็ส่งผลทำให้คนเจ็บป่วยได้ กรรมปัจจุบันก็มีผลทำให้คนเจ็บป่วยได้เช่นกัน ในต่างประเทศใช้การสะกดจิตเพื่อให้ระลึกชาติ ให้คนย้อนอดีตไป เมื่อพบต้นเหตุของการเจ็บป่วยว่าผู้ป่วยคนนั้นไปทำกรรมอะไรมาแล้ว ต้องชดใช้กรรมอย่างไร บางรายก็ใช้ไม่ได้ ชดใช้ไม่หาย
    * พระ ป. ญาณโสภโณ ขอเสริมว่า
    กรรม คือ การกระทำในอดีตชาติ ไม่มีกำหนดว่าชาติใด ส่วนกรรมปัจจุบัน คือ กรรมที่ทำในชาตินี้ ก่อนหน้านี้ ก็เป็นเหตุให้รูปเกิดและให้เกิดโรคได้

    ยกตัวอย่างในเรื่องกรรม เช่น พระพุทธเจ้าเคยมีปัญหาเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากกรรม คือ พระพุทธเจ้าทรงปวดหัวไม่หาย รักษาก็ไม่หาย ระดับหมอชีวกยังรักษาไม่ได้
    ท่านต้องย้อนอดีตกลับไปดู พบว่ามีสมัยหนึ่ง เกิดเป็นเด็กชายชาวประมง แล้วชาวประมงแถวนั้นไม่กินปลาเป็นหรือปลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ชาวประมงต้องทุบหัวให้ปลาตายก่อน ขณะที่เขาทุบหัวปลา เด็กชาวเลแถวนั้นตบมือดีใจที่ปลามันถูกทุบหัวดิ้น ก็อนุโมทนา2 ทำให้ปลาอาฆาตแม้กระทั่งเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า เจ้ากรรมนายเวร3 ยังตามมาทวงทำให้ปวดหัว พอท่านระลึกถึงตรงนี้ได้ อาการที่ปวดก็หายไป อย่างนี้เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรยกโทษให้ กรรมบางอย่างอโหสิกรรมกันได้ก็จบกันไป กรรมบางอย่างอโหสิกรรมไม่ได้ก็รับผลนี้ไป
    ยกตัวอย่างกรรมที่ไม่ยอมอโหสิให้ของพระพุทธเจ้า
    ครั้งหนึ่งก่อนใกล้ปรินิพพานท่านมีไข้ขึ้นสูง เกิดกระหายน้ำมาก รับสั่งให้พระอานนท์ไปหาน้ำ ท่านไปเจอแหล่งน้ำไม่กล้าตักมาถวายพระพุทธเจ้า เพราะน้ำขุ่นมาก มีฝูงวัว ฝูงม้าลุยน้ำไป น้ำก็ขุ่นไม่กล้าตักมาถวาย ทรงรับสั่งให้ไปอีกแหล่งหนึ่ง ไปถึงแหล่งที่ 2 ก็ขุ่นอีก ไม่กล้าตักถวาย จึงทรงรับสั่งให้ไปอีก ไปถึงแหล่งที่ ๓ ก็ขุ่นอีก
    ตกลงทั้ง ๓ แหล่งไม่ได้ฉันน้ำ ท่านต้องย้อนอดีตอีกว่าท่านทำอะไรมา ก็พบว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นนายโคบาลเลี้ยงวัว ปกติจะตื่นแต่เช้าพาวัวออกไปแต่เช้ามืด ออกไปข้างนอก พอถึงแหล่งน้ำวัวก็กินน้ำ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดตื่นสาย เพราะไปเที่ยวมา ขณะต้อนวัวไปเจอแหล่งน้ำขุ่นมาก จึงไม่ให้วัวได้กินน้ำ เพราะฝูงวัวตัวอื่นมันทำน้ำขุ่น เลยต้องต้นวัวให้ไปกินอีกแหล่งหนึ่ง แหล่งนั้นก็ขุ่นอีก ก็ต้องต้อนไปอีกแหล่งหนึ่ง ในที่สุดวัวไม่ได้กินทั้ง ๓ แหล่ง วัวเจ้ากรรมนายเวรเลยมาเอาคืน ขนาดเป็นพระพุทธเจ้า แล้วใกล้จะปรินิพพานในไม่กี่ชั่วโมง ยังขอเอาหน่อย อันนี้เรียกว่า “ ไม่อโหสิกรรม ”
    ๒. การเจ็บป่วยเพราะสภาวะจิต เกิดจากจิตป่วยเพราะจิต กินอะไรก็ไม่หาย รักษาอย่างไรก็ไม่หายจะไปปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่หาย ต้องแก้ที่สภาวะจิต
    มีตัวอย่างที่ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ท่านเล่าให้ฟังว่า...
    ในเรื่องสภาวะจิตที่ต้องใช้สมถะกรรมฐาน คือวันนั้นไปบรรยายที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เรื่องของพลังจิตต้องสอนพยาบาลให้ใช้พลังจิตกับคนไข้ที่ต้องรอระหว่างผ่าตัด รอคลอด คนไข้จะเครียด ถ้ามีเทคนิคในการใช้พลังจิตกับคนไข้ เขาจะไม่เครียด จะสบายขึ้น
    พอจบการสัมมนา ๒ วัน วันสุดท้ายก็มีคำถามจากพยาบาล ถามว่าพลังจิตใช้ทำอะไรได้บ้าง ผมบอกว่าพลังจิตใช้รักษาโรคได้ พยาบาลก็พูดว่า อย่างนั้นอาจารย์ไปใช้พลังจิตกับคนไข้คนหนึ่ง คนไข้รายนี้เป็นพยาบาลที่จุฬาฯ กำลังเรียนปริญญาโทแล้วป่วยด้วยโรคเกล็ดเม็ดเลือดต่ำ หมอรักษาเยียวยาไม่ได้และอาการไม่ดีขึ้นรอวันตาย ก็เลยไปดู พอตรวจพบต้นเหตุของเรามาจากจิต บังเอิญว่าฟลุคหรือบุญส่งผลพอดี
    ไปพบว่าเด็กคนนี้เกิดในครอบครัวที่ขาดความรักพ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว เป็นลูกที่ขี้เหร่ที่สุดในบ้าน คือ พี่ ๆ เป็นหมอกันหมดตัวเองเป็นพยาบาลถือว่าขี้เหร่ที่สุดในบ้าน แต่ในโรงพยาบาลหน้าตาดี ยังไม่มีแฟน แปลว่าเขาเก็บกด เหมือนทุกคนจะให้ความสนใจแต่ พี่ ๆ ที่เป็นหมอ ส่วนตัวเขาเป็นพยาบาล (คิดเอาเอง) เหมือนมีปมด้อยเพราะขาดความรัก เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมี แฟนก็ไม่มี
    ความรู้สึกที่ขาดความรักทำให้เกิดเกล็ดเม็ดเลือดต่ำได้ พอเรารู้ปัญหาของเขาแล้ว ก็ฝึกให้เขาทำกสิณสีแดง เอาดอกกุหลาบสีแดงให้เขา เพื่อนเขาเอามาให้ ปกติหมอจะไม่อนุญาตให้นำดอกไม้สดเข้ามาเพราะจะติดเชื้อ แต่ว่ากรณีนี้ให้เอาเข้าได้ ก็ฝึกให้เพ่งดอกไม้สีแดง สอนให้เพ่งกสิณ เป็นสมถะกรรมฐาน เมื่อจิตเป็นสมาธิเกร็ดเม็ดเลือดก็เพิ่มขึ้น หมอก็นึกว่าฟลุค ขออีกวันหนึ่ง พอวันที่ ๒ เกร็ดเม็ดเลือดเพิ่มขึ้นจนพ้นขีดอันตราย หมอจึงยอมให้ออกจากโรงพยาบาล ตอนนี้หายเป็นปกติ นี่ก็เป็นเรื่องของสภาวะจิตที่เป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วย
    มีผู้ป่วยอีกรายหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย หมอให้ยาต้านมะเร็ง *( chemotherapy) แต่อาการเธอไม่ดีขึ้น เตรียมทำพินัยกรรม แล้วเขาพามาพบผม นี่ก็มีปัญหาทางจิตเหมือนกัน ก็คือเป็นคนที่ดูถูกสามี คือ จะรู้สึกว่าสามีเป็นคนที่ไม่เก่ง คนอื่นจะเก่งกว่าเธอจึงเปลี่ยนสามีมาเรื่อย สามีคนล่าสุดมียศเป็นพันตำรวจโท เธอยังว่ากระจอก ไม่เอาไหน ตัวเองเป็นผู้หญิงเก่งแล้วมาเจอสังคมที่มีแต่คนเก่ง จึงดูถูกสามี
    * chemotherapy (เคโมเธ'ระพิ) การรักษาโรคด้วยสารเคมี, เคมีบำบัด
    ความรู้สึกดูถูกสามี ก็เลยทำให้ตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก บางคนบอกหญิงชายสิทธิเท่าเทียมกัน คำว่าสามีคือผู้ที่เป็นใหญ่กว่า ถึงอย่างไรก็เป็นสมมุติสัจจะสมมุติให้ใหญ่กว่า กรณีนี้ก็เหมือนกัน หลังจากให้ไปขอขมาสามี และให้ฝึกสมถะเอาไม่อยู่ ต้องฝึกวิปัสสนาเดินจงกรม ทำวิปัสสนาด้วยแล้วไปขอขมา หลังจากนั้นก็หายป่วยจะมะเร็งปากมดลูก
    ยกตัวอย่างของเรื่องป่วยทางจิต ต้องเยียวยาทางจิต มีคนไข้บางราย สมัยเด็ก ๆ พ่อ*ของอาจารย์สุทธิวัสส์ จะสอนให้เยียวยาผู้ป่วยทางจิตบางประเภท คือ ผู้ป่วยจะปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว แล้วลูกสาวเขาจะรู้สึกตัวตลอดเวลาว่าเขาโดนคุณไสยด้วย จิตมีความรู้สึกอย่างนั้น เวลามาหาหมอ คือ ลูกชายเกิดในตระกูลที่เป็นหมอ พ่อจะสอนวิธีรักษาคือเวลาจะเตรียมไข่ไก่ไว้ ลักษณะคือเอาไข่ไก่ไปแช่ในน้ำส้มสายชูให้เปลือกมันนิ่มแล้วแกะเปลือกออก แล้วเอาเส้นผมบ้างเอาตะปูบ้างมาใส่ไว้ แล้วแต่ว่าเวอร์ชั่นไหน แล้วเอาเปลือกไข่ปิดไว้อย่างเดิม พอแห้งก็จะดูไม่ออก
    * พ่อ หมายถึง พ่อของอาจารย์สุทธิวัสส์
    คนไข้โรคจิตเหล่านี้ เราจะให้เขาเอาไข่มาเอง เวลารักษาก็ให้หลับตาภาวนา เราก็จะเปลี่ยนไข่โดยจะดูสภาวะจิต ว่าคนนี้เข้าใจว่าโดนคุณไสยจากตะปู ปวดแสบปวดร้อน ก็จะเลือกไข่ที่มีตะปู บางคนต้องเลือกไข่จากเส้นผม พ่อจะเอาไข่มาคลึงทั่วร่างกาย แล้วก็แอบเปลี่ยนไข่ พอตอกออกมาไข่มีตะปู อาการปวดเธอก็หายไป อันนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง คนที่ป่วยด้วยสภาวะจิตอย่างนี้ก็ต้องใช้วิธีนี้ มีประโยชน์สำหรับคนบางประเภท
    แต่คนเอามาใช้ผิดประเภท เลยกลายเป็นว่าต้มตุ๋นหลอกลวงไป คือ คนบางคนต้องหลอกถึงจะหายป่วย ไม่หลอกไม่หาย เป็นคนไข้ที่ป่วยทางจิต
    ๓. คนป่วยรูปกายที่ผิดปกติ เกิดจากสาเหตุ มีอุตุภายในกับอุตุภายนอก คำว่า อุตุ เราจะนึกถึงสภาพ ดิน ฟ้า อากาศ จริง ๆ คำว่าอุตุ หมายถึง อุณหภูมิ หรือหมายถึงฤดูกาลก็ได้ อุตุภายในภาษาพระเรียกว่า อัชฌัตตอุตุ อุตุภายนอก เรียกว่า พหิทธอุตุ
    อุตุภายในสภาพของอุตุภายใน จะมีสภาพเป็นประจุไฟฟ้า คือ เราต้องรู้จักเซลล์ประสาทในตัวก่อนเซลล์ประสาทในตัวคนคล้ายสายไฟทั่วร่างกายข้างในเป็นพลังจิต ตัวประจุไฟฟ้าที่วิ่งอยู่รอบตัวคน ถ้าวัดด้วยค่าแม่เหล็ก จะได้ประมาณ ๐.๗ เกาซ์*(Gauss) อันนี้อุตุของคนปกติ
    * Gauss (เกาซ์) หน่วยวัดความแรงของแม่เหล็ก หรือ หน่วยวัดความเข้มของสนามแม่เหล็ก
    ถ้าเป็นคนไม่ปกติอาจจะน้อยกว่านั้นส่วนมากคนกรุงเทพฯ ๐.๓ เกาซ์ ซึ่งจะป่วยง่าย คนต่างจังหวัดจะเกินกว่าโดยปกติจะ ๐.๗ เกาซ์ ถ้าตัวประจุไฟฟ้าวิ่งอยู่รอบประสาทมันเรืองแสงได้ มีสี มีกลิ่น มีรสชาติต่างกัน
    มีภาษา คนญี่ปุ่นเรียกอุตุว่า “ คิ ” คนจีนเรียก “ ชี่ ” เราอาจได้ยินคำว่าชี่กง หรือ “ กี่ ” คนอินเดียเรียก “ ปราณ ” เราเรียกตามอินเดียว่า “ ลมปราณ ” ถ้าตามศาสนาพุทธก็คืออุตุ
    ต้องเข้าใจเรื่องอุตุ การบำบัดเรื่องอุตุมีหลายแบบ เช่น...
    - การใช้โลหะบำบัด การใส่แหวนให้ถูกกับนิ้ว ก็เป็นวิชาโลหะบำบัดชนิดหนึ่ง เรียกว่าการบำบัดเชิงอุตุ
    - การใช้สีบำบัดเช่นสีเสื้อผ้าก็เป็นการบำบัดเชิงอุตุ
    - การนวด การกดจุด การฝังเข็ม พลังลมปราณ พลังซิซึ พลังโยเร ก็เป็นการบำบัดเชิงอุตุ
    - การเหยียบเหล็กร้อน ๆ แล้วนวดคน การใช้ลูกประคบก็เป็นการบำบัด การอบไอน้ำ การอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม เป็นศาสตร์บำบัดในเชิงอุตุ เรียกว่าบำบัดเชิงพลังงานในร่างกาย
    ๔. การเจ็บป่วยเพราะอาหารการกิน ตัวสุดท้ายเป็นเรื่องของอาหารการกิน คนป่วยเพราะการกิน กัมมจิตโคตุกาหาร มาจากกัมม-จิต-อุตุและอาหาร ตัวอาหารจำแนกออกเป็น 4 ประเภท...
    ๔.๑ กพฬิงการาหาร4 อาหารที่เข้าทางปาก ถ้าป่วยเพราะอาหาร ก็รับประทานอาหารเข้าไปแก้ ก็หายป่วย
    ๔.๒ ผัสสาหาร เป็นอาหารที่ได้จากการสัมผัสอาหารที่เข้าทางผิวหนังได้ เช่น...
    - สมุนไพร บางชนิดทาแล้วหายป่วยได้
    - การโอบกอดลูกก็ทำให้หายป่วยได้ จัดเป็นพวกผัสสาหาร
    ๔.๓ มโนสัญเจตนาหาร5 เป็นอาหารจากจิตใจ รู้จักใช้พลังจิตมาใช้ในตัวได้ บางครั้งอดอาหารแต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่
    ๔.๔ วิญญาณาหาร เป็นอาหารที่เกิดจากความรักความผูกพัน บางคนป่วยจะตายพอเจอคนที่รักมันปีติซาบซ่านเลยหายป่วยได้
    พระ ป. ญาณโสภโน ขอเพิ่มเติมว่า...
    *1 กรรม : ทำกรรมที่ดีไว้ แต่มากเกินไปหรือผิดวิธี เช่น นั่งเจริญภาวนาทำตัวงอนาน ๆ อาจทำให้เกิดโรคกาย-โรคใจก็ได้ เรียกว่านั่งไม่ถูกตามสรีระให้ผลร้ายได้
    ทำกรรมไม่ดีไว้ โดยมากก็จะให้ผลร้ายให้ผลไม่ดี ทำให้เกิดโรคกาย-โรคใจได้
    * 2 อนุโมทนา : คำว่า “ อนุโมทนา ” โดยปกติพระพุทธเจ้าของเราจะนิยมเรียก อนุโมทนาบุญ ใครทำดีแล้วเราอนุโมทนาแต่คนทุบหัวปลาดิ้นแล้ว พวกเด็กตบมือเชียร์เข้าทำนองอนุโมทนาบาป
    * 3 เจ้ากรรม : คำว่า “ เจ้ากรรม ” หมายถึง กรรมไม่ดีที่เราทำไว้เอง ทำความดีไว้มาก ๆ ไม่เหลียวหลังดูบาปที่ทำไว้อีก กรรมบางคดีก็อโหสิกรรม (แคนเซอน) ยกเลิกไปก็มี เช่น พระองคุลิมาล
    นายเวร : คำว่า “ นายเวร ” หมายถึง คนที่ผูกพยาบาทจองเวรกับเราไว้ หรือสาปแช่งไว้ ถ้าเราทำบุญอุทิศให้ แผ่เมตตาให้ท่าน ท่านอาจพอใจ อโหสิกรรมให้ก็ได้
    * 4 กพฬีการาหาร (กะ-พะ-ฬี-กา-รา-หาร) : แปลว่า อาหารคือสิ่งที่ทำให้เป็นคำ ๆ เช่น คำข้าว
    * 5 มโนสัญเจตนาหาร (มะ-โน-สัญ-เจ-ตะ-นา-หาร) : อาหารคือความตั้งใจหรือตั้งจิตมุ่งทำอะไร เป็นพลังเกิดขึ้นได้
    รูปกายหรือรูปขันธ์ตามคัมภีร์พระอภิธรรมมี 28 เช่น ปฐวี เป็นต้น หรือรูปตามพระสูตรมี 32 เช่น เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น
    รูปเกิดจากกรรม-จิต-อุตุ-อาหาร
    รูปที่เกิดจากกรรม เรียกว่า กัมมชรูป
    รูปที่เกิดจากจิต เรียกว่า จิตตชรูป
    รูปที่เกิดจากอุตุ เรียกว่า อุตุชรูป
    รูปที่เกิดจากอาหาร เรียกว่า อาหารชรูป
    ส่วน โรคที่เกิดจากกรรม เรียกว่า กัมมชโรค
    โรคที่เกิดจากจิต เรียกว่า จิตตชโรค
    โรคที่เกิดจากอุตุ เรียกว่า อุตุชโรค
    โรคที่เกิดจากอาหาร เรียกว่า อาหารชโรค

    ๔ อาหารจากไขมันพืช ต้นเหตุหนึ่งของความเจ็บป่วย
    โรคภัยไข้เจ็บที่น่าเป็นห่วง คือ... เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมองและไต ต้นเหตุหลักมาจาก... รับประทานน้ำมันพืชเกินความจำเป็น
    ในช่วง ๑๐ ปีมานี้ เราพบว่าคนไทยป่วยโดยไม่น่าจะป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะโรคไตและโรคอัลไซเมอร์ มีการคาดการณ์กันว่า ในอีก ๔-๕ ปี ข้างหน้า เราจะมีคนเป็นอัลไซเมอร์ ถึง ๙ ล้านคน โรคภัยไข้เจ็บที่น่าเป็นห่วง คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมองและไต
    ต้นเหตุหลักมาจากรับประทานน้ำมันพืชเกินความจำเป็น อาหารส่วนใหญ่ใช้น้ำมันพืชประกอบ ทั้งทอดทั้งผัด น้ำมันที่คนไทยใช้ทำอาหารเป็นน้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชทุกยี่ห้อผลิตจากน้ำมันปาล์ม แต่มาใส่สีใส่กลิ่นให้แตกต่างออกไป
    น้ำมันปาล์มเมื่อเจอความร้อน ๓๗ องศา จะเกาะตัวเหนียวเป็นกาว แล้วไปขวางลำไส้อยู่ ทำให้เราดื่มน้ำแล้วซึมผ่านลำไส้ไม่ได้ (ลองไปดูคราบน้ำมันที่ติดขอบกะทะ จะเห็นว่าเหนียวมาก) ดื่มน้ำไม่เกิน ๑๐ นาที ต้องไปปัสสาวะ คนยุคใหม่จึงไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ นี่เป็นประเด็นสำคัญ
    เมื่อน้ำไม่เข้าตัวจะเกิดถุงน้ำดีข้น เวลาถุงน้ำดีข้น คนจะเป็นโรคขัดใจไม่ได้ ขัดใจแล้วจะหงุดหงิด เด็กยุคใหม่จึงไม่ค่อยชอบให้ใครขัดใจ ถุงน้ำดีข้นมีสิทธิ์ เป็นบ้าได้ คลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
    ประการต่อมา เมื่อถุงน้ำดีข้น ทำให้เลือดไม่ค่อยมาเลี้ยงสมองส่วนหน้า จะหายใจติดขัด และนอนไม่ค่อยหลับ ปวดหัวข้างเดียวบ้าง สองข้างบ้าง เป็นแบบปวดหัวไมเกรน มาจากถุงน้ำดีข้น ต้นเหตุเพราะน้ำดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้ เป็นประเด็นหนึ่งที่คนเป็นกันมาก
    ต่อมาเมื่อน้ำดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้ สารอาหารที่ละลายในน้ำก็ดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้เช่นเดียวกัน สารอาหารในโลกมี ๒ กลุ่ม ได้แก่...
    ๑. สารอาหารต้องละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินซี บี โปรตีน กรดอะมิโน
    ๒. สารอาหารต้องละลายในไขมัน คือ วิตามินเอ ดี อี เค*
    * มีหมอคนหนึ่งว่า ตามตำรา ต้อง ดี กับ เค

    เมื่อน้ำเข้าไม่ได้ ตัวสารอาหารที่ละลายในน้ำก็ยังเข้าไม่ได้ เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์ ถั่ว เพื่อให้ได้โปรตีนแล้วไปสังเคราะห์กับวิตามินซี บี ลำพังโปรตีนเข้าไปอย่างเดียว ไตต้องเอาทิ้งเพราะไปสร้างกรดอะมิโนไม่ได้ ต้องไปครบชุด มาไม่ครบชุดมันไล่ทิ้งหมด คราวนี้เนื่องจากว่าดูดซึมวิตามินซี บี ไม่ได้ เท่ากับไปไม่ครบชุดพอนำไปไม่ครบชุด ไตจึงต้องขับพวกนี้ทิ้ง ไตเลยทำงานหนักโดยไม่จำเป็น คนจึงเป็นโรคไต ต้องล้างไตเป็นจำนวนมาก อันนี้คือภาวะที่น่าเป็นห่วงอยู่
    ว่าตามความเป็นจริงน้ำมันพืชเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น ไม่มีน้ำมันพืชที่รับประทานไปแล้วตายทันที ไม่มี จะสะสมไป นาน ๆ มันไม่ตายทันที แต่ว่าจะทรมานเราสารพัดอย่าง เมื่อมีคนเตือน คนส่วนใหญ่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ
    ลองไปสืบค้นว่าในสมัยพุทธกาล ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้ในสมัยพุทธกาลจะทำอย่างไร เราพบว่าถ้าเกิดกรณีมีไขมันขวางระบบดูดซึม ในสมัยพุทธกาลจะใช้ เภสัช ๖ ประการ คือ
    เอานมมาชงกับโยเกิร์ต-เนยข้น+เนยใส+น้ำอ้อย+น้ำผึ้ง ๖ ตัว
    แต่ปัจจุบันเราหาเครื่องปรุงให้ครบ ๖ อย่างไม่ได้
    ก็ลองคิดสูตรนี้ดู โดยใช้...
    นมสด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + มะนาว 4 ตัวมาผสมกัน
    ถ้ามะนาวแพง เราเปลี่ยนเป็นผลไม้อย่างอื่นแทน ปรากฏว่าได้ผล เมื่อรับประทานไปจะล้างไขมันเกาะลำไส้ได้ ล้างไม่ล้างเปล่าคือตัวจุลินทรีย์จากโยเกริต์ เมื่อเราเลี้ยงด้วยน้ำนม + น้ำผึ้ง + มะนาว จะผลิตจุลินทรีย์ชนิดดีออกมา เพื่อมาย่อยขยะในลำไส้ แล้วเปลี่ยนขยะเป็น บี๑๒ ไปเลี้ยงสมอง และลดความอ้วนได้ ควรดื่มตอนเช้าหมายถึงก่อนเที่ยง รับประทานหลังเที่ยงจะเพิ่มความอ้วน จุดประสงค์เพื่อไปล้างขยะในลำไส้แล้วเปลี่ยนเป็น บี๑๒
    ประโยชน์ของสูตรโยเกิร์ตนี้แม้กระทั่งสุนัขที่เป็นโรคไต หมอไม่รับรักษา คนที่ดูแลสุนัข เขาเอาโยเกิรต์ชงกับนมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว ให้สุนัขกิน แล้วตามด้วยน้ำกระชาย ผลออกมาหายจากโรคไตได้ สุนัขพันธุ์ดุ ๆ อย่างลอร์ดไวเลอร์ที่อารมณ์ไม่ดี มันจะกัดเด็กกัดคน เราให้สูตรโยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว มันชอบกิน กินแล้วอารมณ์ดีขึ้น
    นี่ก็เป็นประโยชน์ คนเราถ้าระบบดูดซึมไม่ดี ถึงจะรับประทานอะไรไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ระบบดูดซึมของคนไข้ที่เสีย เมื่อปกติรับประทานอะไรไม่เข้าตัว มันก็อ่อนเปลี้ย พอมานอนโรงพยาบาล แค่ให้น้ำเกลือ กลับบ้านได้แล้ว เพราะว่าน้ำเกลือเข้าเส้นมันไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม คนก็มีแรงขึ้นมา นั่นคือปัญหาระบบดูดซึมเสีย
    ทุกครั้งที่ท่านมีปัญหาอะไรในชีวิต ขอให้สันนิษฐานว่าระบบดูดซึมเสีย โดยเฉพาะคนที่รับประทานน้ำมันพืช แต่ก็มีน้ำมันที่แก้กันได้ ถึงจะน้ำมันที่มีประโยชน์ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ยังไงต้องล้างระบบดูดซึม อันนี้เป็นปัญหาอันดับแรก หลังจากล้างแล้วคนก็หายป่วย

    ๕ เจ็บป่วยเพราะอาหาร ต้องแก้ด้วยการกินอาหาร
    ความเจ็บไข้ได้ป่วย เหตุหนึ่งมาจากการกินอาหาร เราต้องแก้ที่การกินอาหารเรียกว่า “ เอาเกลือจิ้มเกลือ ” ในขั้นแรกจะขอแนะนำการล้างพิษ เอาสิ่งที่เป็นพิษออกจากร่างกายด้วยการกิน ตามวิธี “ ธรรมชาติบำบัด ”
    เมื่อเราทราบว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหตุหนึ่งมาจากการกินอาหาร เราต้องแก้ที่การกินอาหารเรียกว่าเอาเกลือจิ้มเกลือ ในขั้นแรกจะขอแนะนำการล้างพิษเอาสิ่งที่เป็นพิษออกจากร่างกาย (ด้วยการกิน) ตามวิธีแบบธรรมชาติบำบัดซึ่งเป็นคำแนะนำของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ดังนี้...
    สูตรที่ ๑ ล้างไขมันในหลอดเลือด
    ใช้ : โยเกิร์ต + นมสด (ประเภทพร่องไขมันก็ได้) + น้ำผึ้ง + มะนาว
    นำมาผสมกันในอัตราส่วนตามความชอบ ผสมแล้วดื่มตอนเช้า ในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส เมื่อเอามาผสมกับนมสด น้ำผึ้ง และมะนาว เพื่อเพิ่มตัวแบคทีเรียให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น แล้วจะเข้าไปทำลายไขมันในลำไส้
    สูตรที่ ๒ ล้างพิษด้วยเห็ด ๓ อย่าง
    ใช้ : เห็ดสามชนิดที่รับประทานได้ นำมาต้มเอาน้ำมาดื่ม (ห้ามนำเอาไปผัด) หรือทำอาหารประเภทแกงจืด แกงส้ม ตุ๋นไข่
    ในกระบวนการล้างพิษมันมีสูตรหลายตัวที่ช่วยในการล้างพิษหลายสูตร แต่ว่าบังเอิญอาจารย์สุทธิวัสส์ไปได้สูตรนี้มาจากผลพวงของงานวิจัย คือ สมัยที่ท่านหุ้นกันกับเพื่อนเปิดโรงงานผลิตยา และจะผลิตเห็ดหลินจือที่ดีที่สุดในโลก เพราะเห็ดหลินจือที่ขายในท้องตลาดมันไม่ดีเพราะกระบวนการผลิตยังไม่ได้ตัวของหลินจือที่ได้มาตรฐาน ก็พยายามที่จะค้นหาวิธีให้ได้เห็ดหลินจือที่ได้คุณภาพดี มีการวิจัยว่าลองใช้เห็ดหลินจือหลายตัว หลายสายพันธุ์
    จนกระทั่งทดลองกับหลินจือ ลองเอาเห็ดธรรมดาไปทดลองร่วมด้วย คราวนี้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เราพบว่าเมื่อเอาเห็ดธรรมดาที่รับประทานได้ ๓ ชนิดขึ้นไป มาปรุงอาหารร่วมกัน ตัวอนุพันธ์ของเห็ดจะถักทอกันแล้วไปหุ้มสารพิษได้ โดยเฉพาะพวกอนุมูลอิสระ ชีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล ที่อยู่ในตัวมันหุ้มออกมาได้ พอดีหลังจากนั้นโครงการผลิตเห็ดหลินจือจึงล้มโครงการ
    อาจารย์สุทธิวัสส์ก็เอาเรื่องของการใช้เห็ด ๓ ชนิด มาเผยแพร่ทั่วประเทศ มีคนเอาเห็ด ๓ ชนิดมาปรุงเป็นอาหาร แต่ห้ามผัดน้ำมัน ขอให้เป็นแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ขอให้ใส่เห็ด ๓ อย่าง (ก๋วยเตี๋ยวป้าตุ๊ ของพลตรีจำลอง ขายดี เพราะว่าน้ำซุปใส่เห็ดลงไป ๓ ชนิด บางทีคนก็มาซื้อน้ำซุปเอาไปรับประทานก็หายจากมะเร็ง ชีสต์ เนื้องอกได้ เห็ดอะไรบ้าง เห็ดที่รับประทานได้ ๓ ชนิด ขอให้หาให้ได้ ๓-๔ อย่าง เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ เห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้รวมกัน ทำได้ทั้งอาหารคาวและเครื่องดื่ม
    บางคนเดี๋ยวนี้ต้มขาย มี ๓ อย่าง เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ เห็ดหอม ต้มด้วยกัน ใส่มะตูม ใบเตย ให้หอม เติมน้ำตาลกรวดก็เป็นเครื่องดื่มที่ขายกัน ขายดิบ ขายดี เป็นตัวล้างพิษได้ เพราะว่าการสะสมของพิษไวรัสบี ลงตับก็ถูกชำระสะสางด้วยตัวนี้ได้ดีนี่ก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เผยแพร่ได้ดี ถึงการล้างพิษ
    สูตรที่ ๓ การล้างหินปูนในหลอดเลือด
    ใช้ : กระเจี๊ยบแดงสด หรือกระเจี๊ยบแดงแห้งต้มกับพุทราไทยแห้ง ต้มดื่มน้ำ
    มีหมอท่านหนึ่งจะโจมตีเรื่องน้ำตาลมาก ว่าน้ำตาลเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้เหนียวเกาะที่หลอดเลือดปกติหลอดเลือดคนจะลื่น พอน้ำตาลไปเกาะก็เหนี่ยว เวลาโคเลสเตอรอล *( cholesterol) ไหลผ่านมาน้ำตาลก็เกาะโคเลสเตอรอลไว้อีก ปกติโคเลสเตอรอล มีประโยชน์ทำให้คนอารมณ์ดี มีความสุข พอเจอน้ำตาลมันเหนียวไว้ ทำให้โคเลสเตอรอลซึ่งเป็นตัวดี กลายเป็นโคเลสเตอรอลตัวร้าย ทำให้อุดตันในหลอดเลือด

    * cholesterol (โคเล็ส'เทอรัล) ไขมันในเส้นเลือด พบในมันสัตว์ น้ำดี เลือด เนื้อเยื่อสมอง น้ำนม ไข่แดง ตับ ไต
    ตัวที่ล้างได้ ล้างตัวโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ดี หรือบางทีเกิดหินปูนตามร่างกาย ตามสมอง ตามตัว ไม่มีอะไรเข้าไปล้างหินปูนได้ เราพบว่า การเอากระเจี๊ยบแดงสดหรือแห้ง มาต้มกับพุทรา อันนี้สูตรโบราณ เขาจะใช้พุทราป่า พุทราบ้าน พุทราอยุธยา ต้มกับน้ำกระเจี๊ยบ ถ้าหายาก ก็เอาพุทราจีน คือ พุทราแห่งทุกชนิด แต่ถ้าเป็นพุทราไทย แบบพุทราป่า จะประหยัดและหอมมาก หอมกว่าพุทราจีน แล้วไปล้างหินปูนในสมอง แก้คนเป็นอัลไซเมอร์ได้ ล้างหลอดเลือดให้สะอาด
    เพราะฉะนั้นที่บอกว่าน้ำตาลมันเป็นโทษาอย่างเดียวไม่จริง ที่จริงแล้วน้ำตาลทรายมันบำรุงปอด มันมีผลทางยา แต่ว่าอย่ากินมากเท่านั้นเอง คือ ทุกอย่างไม่ว่าอะไรไม่ควรรับประทานมาก เพราะจะไปแทนที่สารอาหารตัวอื่นแทนที่เราจะได้รับอย่างละนิด ให้มันไปใช้ประโยชน์ เราไปเติมอย่างเดียว อย่างอื่นก็ไม่ได้
    ไม่ใช่พอรู้ว่าอะไรมีประโยชน์รับประทานมาก ๆ อย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรับประทานให้หลากหลาย รับประทานเข้าไปเถอะ แต่ต้องรู้จักว่ารับประทาน แล้วอะไรไปแก้ นี่เป็นเรื่องของการล้าง ล้างระบบดูดซึม ล้างสารพิษ ในตัว ในตับ ล้างหลอดเลือด
    สูตรที่ ๔ การล้างน้ำตาลในหลอดเลือด
    ใช้ : กระเจี๊ยบ + พุทรา + รางจืด นำมาต้ม ดื่ม
    น้ำกระเจี๊ยบกับพุทราที่ต้ม บางคนอาจจะเพิ่มรางจืดเข้าไป เพื่อการล้างน้ำตาลในหลอดเลือดได้ดี อีกตัวหนึ่ง
    สูตรที่ ๕ การล้างสารเสพติด
    ใช้ : หญ้าดอกขาวแห้งต้ม นำน้ำมาดื่ม
    ที่ใช้ล้างสารเสพติดก็คือหญ้าดอกขาว เอาหญ้าดอกขาวมาสับ ตากแดดไว้สักแดดแล้วเอามาคั่วให้แห้ง คือห้ามใช้สด ๆ เพราะจะมีพวกสารพิษอยู่ในตัว เอามาต้มเลยไม่ได้ต้องทำให้แห้งก่อน แล้วจึงจะเอามาต้ม ตัวนี้จะไปล้างสารเสพติด เช่น ติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดน้ำตาล คือสารเสพติดที่ไปเคลือบเซลล์ประสาท น้ำนี้ตัวนี้จะไปล้างออกได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เป็นอะไร ไม่ติดอะไร ต้มดื่มก็จะแค่บำรุงธาตุทำให้มีกำลัง
    หญ้าดอกขาว อยู่ในกลุ่มผัก ไม่อยู่ในกลุ่มยา ไม่เป็นอันตราย ต้มกินเล่นได้ ไม่เป็นอะไรก็กินได้ นี่ก็พวกกระบวนการล้างพิษ
    สูตรที่ ๖ แก้โรคเบาหวาน
    ต้นเหตุมาจากตับอ่อน ไม่แข็งแรง การฟื้นฟูตับอ่อน มีสมุนไพรอยู่ไม่กี่ตัว
    ๑. หญ้าหวาน จะฟื้นฟูตับอ่อนได้ดีที่สุด โดยเฉพาะตัวรากหญ้าหวาน แต่น่าเสียดายรายหญ้าหวานเป็นสินค้าส่งออก แปรรูปเป็นน้ำสกัดจากรากหญ้าหวานเมื่อส่งออกแล้วห้ามนำเข้ามาขายในประเทศได้ (กฎหมายบังคับ) ประเทศเราจึงได้รับประทานแต่ใบหญ้าหวาน ซึ่งพอจะชดเชยแก้เบาหวานได้บ้าง
    ๒. รากเตยหอม ต้มกับน้ำสามารถฟื้นฟูอาการเบาหวานได้มาก บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานก็สามารถต้มรากเตยไว้รับประทานได้ มีคุณสมบัติอีกอย่างคือ เพิ่มพลัง (เหมือนกระชายดำ)
    ๓. ใบมะยม สามารถฟื้นฟูตับอ่อนให้หายขาดได้ รับประทานได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ แต่ที่นิยมมากคือใบเพทาหลาด (ใบที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป) นำมารับประทานได้โดยการต้ม แกงเลียง ต้มโคล้ง ต้มยำ รับประทานสด ๆ
    สูตรที่ ๗ แก้โรคหอบหืด
    ใช้ : ขิงแก่ + กระเทียม + หอมแดง + มะนาว + น้ำผึ้ง
    วิธีทำ : ตัวยาที่แก้อาการหอบหืดได้ไว คือ ขิง (ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือผู้ป่วย) นำขิง กระเทียม หอมแดง (น้ำหนักเท่าขิง) นำเข้าเครื่องปั่นหรือตำในครก เติมน้ำดื่ม 1 แก้ว แล้วกรองเฉพาะน้ำ พอได้น้ำแล้วใส่น้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว ๓-๔ ลูก น้ำจะออกเป็นสีชมพู แต่ถ้าน้ำที่ออกมาเป็นสีอื่นแสดงว่าน้ำนั้นใช้ไม่ได้ เวลาดื่ม ต้องนั่งดื่มอย่างเดียว เพราะยาแรงอาจทำให้ล้มได้ เวลาที่ดื่มถ้าดื่ม ๐๓.๐๐ – ๐๕.๐๐ น ดื่มเพียง ๓๐ วัน แต่ถ้าเลยช่วงเวลานี้ไปก็ต้องดื่มเป็นเวลา ๖๐ วัน
    ปัจจุบันคนที่เป็นหอบหืดที่รักษาไม่หายเพราะว่า ร่างกายดื้อยา เรารักษาหอบหืดได้ ส่วนมากคนที่เป็นหอบหืดเพราะรับเชื้อชนิดหนึ่งมาจากในยาหมู เพราะหมูที่เขาเลี้ยงนั้นจะฉีดยาแก้หอบหืดให้มัน หรือคลุกในอาหารให้กินเพื่อที่หมูจะได้ไม่มีไขมัน หมูรุ่นใหม่ไม่มีไขมัน เพื่อที่จะได้เป็นหมูเนื้อแดง เมื่อคนเรารับประทานหมูเข้าไปจึงทำให้เราได้รับยานั้นไปด้วย พอเรารับประทานมาก ๆ เข้ายาที่แก้โรคหืดก็ไม่สามารถระงับอยู่แล้ว
    สูตรที่ ๘ โรคริดสีดวง
    ใช้ : มะระจีน นำมาตำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมเกลือ น้ำตาล ดื่มก่อน ๐๗.๐๐ น.
    บางคนรับประทานกล้วยหอมไม่ได้ ท้องจะอืดก็อย่ากิน ถ้าเป็นสูตรไทยรับประทานกล้วยหอมมื้อเย็นวันละ ๒ ลูก ริดสีดวงก็จะฝ่อไปเอง สูตรจีนรับประทานกล้วยหอมทั้งเปลือกได้ตลอดวัน (กล้วยหอมสุกอย่างเดียว) สไลด์กล้วยหอมทั้งเปลือกต้มน้ำให้ท่วมกล้วย แล้วเติมน้ำตาลกรวดนิดหน่อย (๒ ลูก ต่อ ๑ วัน) รับประทานทุกวันจนหาย
    อีกสูตรนำมะระพันธุ์ลูกใหญ่ ๆ (มะระจีน) ๑ ลูก เอาแต่เนื้อหั่นเป็นชิ้น ๆ เหมือนชิ้นฟัก นำมาตำหรือปั่นเวลาตำหรือปั่นห้ามเติมน้ำเพิ่มเข้าไป ได้น้ำแค่ไหนเอาแค่นั้น (ถ้าเติมน้ำจะทำให้ท้องเสีย) เติมน้ำตาลทราย ๑ ช้อนโต๊ะ เกลือครึ่งช้อนชา เวลาที่ดีที่สุดที่ควรดื่มคือ เวลา ๐๕.๐๐ – ๐๗.๐๐ น.
    หมายเหตุ : กาลเวลากับการรับประทานอาหารให้เป็นยา เรื่องการกินอะไรให้ตรงเวลาก็มีผลต่อการรักษาอย่างเช่น
    ๑. การดื่มยาเพื่อรักษาโรคกระเพาะ เวลาที่ดีที่สุด คือ เวลาตั้งแต่ ๐๗.๐๐ – ๐๙.๐๐ น.
    ๒. การลดความอ้วนควรรับประทานขมิ้นชัน หรือมันเทศเวลาที่ดีคือ ๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น. จะสามารถลดได้เร็ว
    ๓. การบำรุงหัวใจ ถ้ารับประทานผลไม้ เวลาที่ดีที่สุดคือ ๑๑.๐๐ – ๑๓.๐๐ น.
    ๔. การกินยาลดไข้ เวลาที่ดีที่สุดคือช่วง ๒๑.๐๐ – ๒๓.๐๐ น. (น้ำขิงทำให้ลดไข้ได้)
    การเลือกเวลาที่รับประทานให้ตรงที่กำหนดนี้ ถ้าทำได้ การรักษาโรคต่าง ๆ จะทำให้หายเร็วกว่าปกติ

    ๖ กระชายอาหารบำรุง
    ในประเทศไทย เรามีสมุนไพรไทยตัวหนึ่งเหมือนโสมทุกอย่างในด้านดี คุณประโยชน์ด้านดี เหมือนโสมทุกอย่าง เสียอย่างเดียว... มันไม่มีสารพิษแบบโสม ราคาเลยถูกกว่าเยอะ
    ได้กล่าวถึงเรื่องสาเหตุที่ทำให้คนเราเกิดการเจ็บป่วย เรื่องอาหารการกิน เรื่องการล้างพิษมาพอสมควรแล้ว คราวนี้เราลองมาดูว่า ถ้าจะบำรุงร่างกาย ให้สดชื่นแข็งแรงมีอะไรบ้างที่พอจะทำรับประทานเองได้
    ถ้าพูดถึงการบำรุงร่างกาย คนเราจะนึกถึงและคุ้นเคยกับโสม โสมมีสารบำรุงร่างกาย รับประทานแล้วจะแข็งแรง แต่ในโสมเองมันมีสารพิษอยู่ในตัว โสมมีสเตียรอยด์ *(Steriod) สติกนิน มีสารพิษหลายตัว โสมบางอย่างห้ามตุ๋น ถ้าตุ๋นแล้วจะอาเจียนเป็นเลือด ต้องอมไว้ในลิ้นเท่านั้น อมไว้ในปาก บางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์เอาโสมไปตุ๋นรับประทาน
    * Steriod (สเทอ'รอยด์) อินทรีย์สารที่ละลายได้ในไขมัน
    แต่ไม่ว่าโสมชนิดไหน โสมมีคุณสมบัติพิเศษคือสารทั้งหลายในโสมทั้งสารดีและสารร้าย มันไม่สามารถถูกขับออกจากร่างกายได้ รับประทานแล้วจะหมุนเวียนอยู่ในร่างกาย คือยาบางตัวรับประทานเข้าไป ขับถ่ายล้างออกไปได้ หรือบางทีกินหัวไชโป๊ว กินอะไรไปก็ล้างออกหมด แต่โสมล้างเท่าไหร่ไม่ออก พอกินไปนาน ๆ มันจะหมุนเวียนอยู่ในร่างกายเรา ทำให้เลือดเหนียว เลือดเหนอะ แล้วจะเดินตัวแข็ง แขนแข็ง ขาแข็ง ยืดขาลำบาก นั่งนาน ๆ ไม่ได้ นั่งนานจะลุกลำบาก นั่นเป็นผลจากการกินโสม
    ในประเทศไทยเรามีสมุนไพรไทยตัวหนึ่งเหมือนโสมทุกอย่างในด้านดี คุณประโยชน์ด้านดีเหมือนโสมทุกอย่างเสียอย่างเดียวมันไม่มีสารพิษแบบโสม ราคาเลยถูกกว่าเยอะ
    ตัวนั้นคือกระชาย แล้วกระชายที่ดีที่สุดต้องเป็นกระชายเหลือง (กระชายเหลืองคือกระชายที่ใช้ปรุงเครื่องแกงต่าง ๆ) คุณสมบัติของกระชายที่มีตัวยาสูงสุดคือ กระชายเหลือง รองลงมาคือกระชายแดง แล้วตัวบ๊วยคือกระชายดำ ที่คนไทยเราไปเห่อและไปโปรโมทตัวบ๊วยคือ กระชายดำ จนทำให้ราคาแพง แล้วก็เอาไปกินกันยกใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ท่านไปบรรยายที่จังหวัดเลย คนที่มีปัญหาโรคไตถามว่าจะต้องกินอะไร อาจารย์แนะนำให้ดื่มน้ำกระชาย คนอีสานเขาไม่รู้จักกระชาย แต่เขาก็พยายามไปหามา เขาไปขุดหัวกระชายดำมาให้ดูว่าอย่างนี้ใช่หรือเปล่า ธรรมดาสมุนไพรสีดำทุกชนิดจะช่วยบำรุงไต ไม่ว่าจะเป็นขิงดำ กระชายดำ ไพรดำ
    อาจารย์เห็นว่าเป็นกระชายดำก็บำรุงได้ จึงบอกว่าให้เอาไปดื่มปรากฏว่าหลังจากนั้นหายจากโรคไต เลยร่ำลือกันใหญ่ว่ากระชายดำรักษาไตได้ แล้วต้องเป็นกระชายดำจังหวัดเลย เพราะว่าคนหายคนแรกอยู่ที่จังหวัดเลย จนกระทั่งกระชายดำราคากิโลกรัมละ ๒๐๐ บาท กระชายธรรมดากิโลกรัมละ ๒๐ บาท ต่อมาอาจารย์สุทธิวัสส์พูดชี้แจงความจริงทางรายการวิทยุ จนตอนนี้ กระชายดำเหลือกิโลกรัมละ ๒๐ บาท กระชายเหลืองกิโลกรัมละ ๔๐ บาท ทำเอากระชายเหลืองขึ้นราคา เพราะคนดื่มกันมาก แล้วทำเป็นเครื่องดื่มได้อร่อย
    วิธีทำ คือเอากระชายมาตำ หรือปั่นแล้วคั้นน้ำ จะได้หัวเชื้อกระชาย ถ้าอยากให้ไม่มีกลิ่นฉุนก็ใส่ใบกระเพรา ใบโหระพา ลงไปด้วยจะได้ช่วยดับกลิ่นกระชาย แต่จะได้สรรพคุณคือเพิ่มเม็ดเลือดขึ้นมา
    คนที่นิยมกินหญ้าปักกิ่ง กินแล้วท้องอืด ถ้าใส่น้ำกระชายลงไปจะเสริมสรรพคุณหญ้าปักกิ่งให้ดีขึ้น
    น้ำใบบัวบกผสมกับน้ำกระชายจะบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ดีมาก

    สูตรมาตรฐาน วิธีทำน้ำกระชายสำหรับดื่ม
    นำเอากระชายเหลือง (กระชายที่ใส่ผสมในเครื่องแกง) มา ๕๐๐ กรัม (ครึ่ง กก.) ปั่นกับน้ำ ๒ ลิตร แล้วกรองเอาแต่น้ำ ถ้ากลัวกลิ่นกระชายไม่หอม ให้ใส่ใบกระเพรา ใบโหระพา หรือใบบัวบก อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะใส่ทุกอย่างก็ได้ลงปั่น
    และถ้าเป็นใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมองได้ด้วย ไม่มีกลิ่นกระชาย นำมาดื่มได้ทันที เหลือเก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าจะปรุงรสเพิ่มเติมเพื่อความอร่อย และดื่มง่าย
    สำหรับคนไม่ชอบกลิ่นกระชาย เวลาดื่มให้รินน้ำกระชายเพียงครึ่งแก้ว แล้วเติมสไปรท์ หรือเซเว่นอัฟ ถ้าเป็นเด็กก็ให้เติมเฮลบลูบอยสีเขียวจะหอมมาก และใส่โซดา ส่วนผสมไม่มีสูตรตายตัว ให้ถือเอาความอร่อย ความถูกปากถูกใจผู้ดื่มเป็นสำคัญ
    เด็ก ๆ ถ้าให้ดื่มบ่อย ๆ จะไม่ค่อยป่วย ผู้ใหญ่ดื่มเป็นประจำจะทำให้หัวใจแข็งแรง บำรุงไต บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง บำรุงกระดูก ปรับความดันสูงไป หรือต่ำไป ปรับให้พอดี และปรับฮอร์โมนผู้หญิง เพราะถ้ามีฮอร์โมนมากไปจะเป็นมะเร็งเต้านม ฮอร์โมนน้อยไปก็จะเป็นมะเร็งมดลูก กระชายจะปรับให้สมดุล ใครความดันมากก็จะลด ใครความดันต่ำก็จะเพิ่ม ประโยชน์ของกระชาย กระชายไม่ใช่เพิ่มฮอร์โมน แต่ปรับฮอร์โมน
    คนกระดูกผุ กระดูกพรุน หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกบาง ให้ดื่มพักเดียวไปตรวจใหม่หมอจะงงว่าทำไมกระดูกตัน น้ำกระชายยังเป็นตัวหนึ่งที่บำรุงสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน
    กระชาย ถ้านำไปเปรียบกับโสม ราคามันต่างกันราวฟ้ากับดิน ของถูก ๆ คนไทยไม่นิยม ชอบของแพงตามภาษาของคนรสนิยมสูงรายได้ต่ำ
    วันนี้ถ้าคิดว่าของไทยเราดี น่าจะลองกันสักตั้ง เงินไทยจะได้ไหลออกน้อย ๆ หน่อย

    ๗ นาฬิกาชีวิต
    อวัยวะภายในนั้นมีอยู่ ๑๒ ประการ อวัยวะเหล่านี้จะมีเวลาทำงาน ผลัดบทบาทสำคัญหมุนเวียนกันไป ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดทั้งวัน ที่เรียกว่า “ นาฬิกาชีวิต ”
    โดยปกติคนเราสนใจดูแลสุขภาพร่างกาย จะดูแลบริหารแต่กล้ามเนื้อและผิวพรรณเฉพาะภายนอกเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เรามีระบบต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับระบบอวัยวะภายใน ไม่บริหารอวัยวะภายใน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของร่างกายของเรา ที่จะทำหน้าที่ให้ร่างกายมีสุขภาพดีอวัยวะภายในนั้นมีอยู่ ๑๒ ประการ
    อวัยวะเหล่านี้จะมีเวลาทำงานที่เรียกว่านาฬิกาชีวิตตลอดทั้งวัน อวัยวะ ๑๒ ประการจะทำงานผลัดหมุนเวียนกันไป มีบทบาทสำคัญทุก ๒ ชั่วโมง
    ดังนั้น เราควรที่จะเอาใจใส่ดูแลอวัยวะภายในให้ดีเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวถูกต้องและสามารถเลือกรับประทานตรงตามความต้องการของร่างกาย
    อวัยวะภายใน ๑๒ ประการ จะทำงานผลัดหมุนเวียนกัน ได้แก่...

    ๑. ช่วงเวลา ๐๓.๐๐ – ๐๕.๐๐ น.
    เป็นช่วงเวลาของวันใหม่ อวัยวะที่สำคัญเริ่มทำงานได้แก่ ปอด ถ้าเรามีปัญหาเกี่ยวกับปอด และระบบทางเดินหายใจ เมื่อต้องรับประทานยาให้รับประทานช่วงนี้ เพราะปอดจะทำงาน ปอดของคนเราจะสัมพันธ์กับอำนาจของร่างกาย ถ้าเราเป็นคนนอนตื่นสาย เราจะเป็นคืนที่ไม่มีพลังอำนาจในตัว ไม่สามารถสะกดจิตคนอื่นได้ สำคัญมากสำหรับคนทำงานเกี่ยวกับการค้าขายหรือต้องพบปะผู้คนตลอดทั้งวัน ต้องมีพลังอำนาจในตัว เพื่อลูกค้าจะเกรงใจ โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้างาน ถ้าไม่ตื่นเช้าช่วงนี้จะไม่มีพลังอำนาจในตัว ปอดจะไม่แข็งแรง
    เคล็ดลับ ตี ๓ – ตี ๕ ให้ตืนให้ได้ แล้วก็สูดลมหายใจเข้า-ออก เพราะช่วงเช้าอากาศจะสดชื่น
    สำหรับผู้ที่มีปัญหา เกี่ยวกับทางเดินหายใจ หอบหืด ขอแนะนำให้ใช้สูตรน้ำยำเป็นอาหารบำบัด
    ส่วนผสม
    ๑. ขิง ขนาดเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย
    ๒. หอมแดง น้ำหนักเท่าขิง
    ๓. กระเทียม น้ำหนักเท่าขิง
    ๔. น้ำ ๑ แก้ว
    ๕. มะนาว ๓ – ๔ ลูก
    ๖. น้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ
    วิธีทำ
    ๑. นำขิง หอมแดง กระเทียม และน้ำ มาปั่นรวมกันแล้วกรองเอาแต่น้ำ
    ๒. ผสมน้ำผึ้ง และน้ำมะนาวที่คั้นได้จาก ๓ – ๔ ผล
    ให้ดื่มติดต่อกัน ๓๐ วัน ในเวลาระหว่าง ๐๓.๐๐ – ๐๕.๐๐ น. ทุกวัน จะหาย ปอดจะดีขึ้น
    อาหารบำรุงปอด จะเป็นพวกที่มีสีขาวตามธรรมชาติทุกชนิด เช่น เห็ดหูหนูขาว หรือน้ำตาลทรายขาว

    ๒. ช่วงเวลา ๐๕.๐๐ – ๐๗.๐๐ น.
    อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ จะเริ่มทำงานเป็นช่วงที่ต้องขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ถ้าไม่ขับถ่ายช่วงนี้จะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา บริเวณลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร เพื่อไปสร้างเม็ดเลือด คนเราจะเลือดดีหรือไม่ดีอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเวลา ๐๕.๐๐ - ๐๗.๐๐ น. ถ้ายังมีอุจจาระคาอยู่ในลำไส้ใหญ่จะทำให้เลือดไม่ดี เลือดไม่ค่อยสะอาด และจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือดได้ง่าย เมื่ออยากรู้ว่าเลือดของใครสะอาดหรือไม่สะอาด ทดลองโดยให้ใช้นิ้วโป้งกดที่แขน กดไปลึก ๆ แล้วปล่อยออก ดูว่าผิวกลับเป็นเหมือนเดิมเร็วแสดงว่าเลือดดี เลือดที่ไม่ดีเป็นเพราะลำไส้ใหญ่ไม่ว่างมีอุจจาระไปคาอยู่
    สำหรับคนที่ต้องทำดีท้อกแบบสวนทวารไม่แนะนำให้ทำ เพราะจะเป็นอันตราย เนื่องจากตรงบริเวณลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กจะมีข้อต่ออยู่ ถ้ามีน้ำเข้าไปอัดอาจจะทำให้ระเบิดอันตรายต่อชีวิต
    ควรล้างลำไส้ใหญ่โดยการดื่มน้ำ ถ้าเป็นคนที่ระบบการดูดซึมดี ก็ให้ดื่มวันละ ๕ แก้ว จะไปล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาด แต่ถ้าระบบดูดซึมไม่ดี คือ คนที่รับประทานอาหารที่มีน้ำมันทุกวันระบบดูดซึมจะเสีย ดื่มน้ำไปแค่ ๑๐ นาที ต้องไปปัสสาวะ ถ้าระบบดูดซึมไม่ดีอยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่าดื่มน้ำมากจนกว่าระบบดูดซึมจะดีขึ้น
    อาหารที่ล้างลำไส้ได้ดีคือให้ดื่มน้ำโยเกิร์ตผสมนม มะนาว และน้ำผึ้งโดยดูวิธีทำจากสูตรที่บอกให้ในบทก่อนนี้ ลำไส้ใหญ่ที่ไม่สะอาดจะทำให้ง่วงเหงาหาวนอน มีกลิ่นตัว ถ้าปล่อยไว้นานจมูกจะไมได้กลิ่น จะเป็นริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ เมื่อเป็นริดสีดวงจนกระทั่งถ่ายเป็นเลือดเป็นประจำ อ่อนเพลียง่าย
    อาหารที่ช่วยฟื้นฟูลำไส้ใหญ่ได้ดีคือ ขมิ้นชัน สำหรับผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ ขอแนะนำว่าอย่าไปใช้ยาถ่ายเพราะยาถ่ายจะไปทำให้ปลายประสาทเสื่อม ให้ใช้ขมิ้นชันรับประทานแทน และถ้าช่วงเวลานี้ไม่ถ่าย ต่อไปกระเพาะจะดูดเอาอุจจาระกลับเข้ากระเพาะใหม่ จึงทำให้ตอนเช้าเลยไม่หิวอาหารเช้า อาหารที่ถูกนำไปย่อยซ้ำจะทำให้กลายเป็นเม็ดกระสุน ส่งผลให้ท้องผูกตามมาด้วย

    ๓. ช่วงเวลา ๐๗.๐๐ – ๐๙.๐๐ น.
    อวัยวะที่สำคัญจะเริ่มทำหน้าที่ได้แก่ กระเพาะ เป็นช่วงเวลาที่กระเพาะทำงานหนัก เพราะเป็นช่วงรับประทานอาหารเช้า กระเพาะจะคุมเรื่องของกล้ามเนื้อ กระเพาะที่ไม่แข็งแรงทำให้เนื้อตัวจะเหลวและนิ่ม ๆ ถ้าเราไม่รับประทานอาหารเช้า จะเป็นอาการของโรคกระเพาะเสื่อม อาการที่กระเพาะเสื่อมแสดงออกได้แก่...
    ๓.๑ ใบหน้าจะแก่เร็ว ถ้าเราไม่รับประทานอาหารเช้า ผลคือ ลำไส้ใหญ่จะไม่ขับถ่าย แล้วจะไปบีบเอาอุจจาระขึ้นมาที่กระเพาะแทนอาหารเช้า อุจจาระที่กลับเข้ากระเพาะจะถูกย่อยซ้ำ ส่งสารที่ย่อยเข้ากระแสเลือด ทำให้ร่างกายได้รับก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษจากอุจจาระ เมื่อร่างกายรับเข้าไปมาก ๆ จะเป็นอันตราย เด็กไทยยุคใหม่ไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้า ค่า IQ (ไอ.คิว.) จึงอยู่ที่ ๗๐ แปลว่าเป็น IQ ของเด็กอายุ ๗ ขวบ วัยรุ่นไทยในปัจจุบันจึงทำผิดกฎหมายได้ง่ายเพราะ IQ ต่ำ อายุตัวสูงมากขึ้น แต่อายุสมองต่ำ จึงขอแนะนำว่าให้รับประทานอาหารเช้าทุกวัน
    ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าแนะนำว่าให้รับประทาน โยเกิร์ต และกล้วย ๑ ลูก การเรียนเด็กจะดีขึ้น
    อาหารมื้อเช้า บำรุงสมอง อาหารมื้อกลางวัน บำรุงกำลัง อาหารมื้อเย็น บำรุงเซ็กซ์
    สรุปว่าอาหาร ๓ มื้อ คนไทยส่วนใหญ่จะยอมอดอาหารมื้อเช้า แล้วยกยอดไปรับประทานมื้อกลางวัน แสดงว่าไม่สนใจเรื่องสมอง สนใจแต่กำลัง จากนั้นก็ไปหนักเอามื้อเย็นอีกมื้อหนึ่ง เพื่อบำรุงเซ็กซ์ คดีข่มขืนจึงมีมาก
    ๓.๒ จะปวดหัวเข่าง่าย เพราะไม่กินข้าวเช้า ขาไม่มีแรง ผิวพรรณไม่ดี ผิวจะตกกระ

    ๔. ช่วงเวลา ๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น.
    อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ได้แก่ ม้าม ส่วนมากคนจะไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักม้าม ม้ามจะอยู่ตรงชายโครงด้านซ้ายอยู่ระหว่างกระเพาะ ปอด หัวใจ
    ม้ามมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือด น้ำเหลือง และภูมิคุ้มกัน คนที่ม้ามโตจะผอมถาวรรับประทานเท่าไหร่จะไม่อ้วน คนที่ตัวผอมจะไม่ค่อยสร้างเม็ดเลือด ตามปกติคนเราต้องมีเลือดหมุนเวียน ๖ ลิตร คนที่ม้ามโตจะมีเลือดไม่ถึง ๖ ลิตร
    ส่วนคนที่ม้ามชื้นจะอ้วนง่าย ไม่กินอะไรก็อ้วน คนที่ใช้เสียงมาก คนที่ใช้ริมฝีปากบ่อย พูดมาก จะทำให้ม้ามขึ้น และอ้วนง่าย และคนที่อยู่ริมแม่น้ำก็จะอ้วนง่าย กินอาหารจุบจิบ ม้ามจะชื้นง่าย ใครที่นอนช่วงเวลานี้จะอ้วนแต่ถ้าได้เดินไปเดินมาหรือใช้สมองคิด จะทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้ดี จะไม่อ้วน
    ม้ามนอกจากสร้างไขมัน สร้างเม็ดเลือด ยังสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างน้ำเหลือง วิธีสังเกตว่าม้ามเราปกติหรือไม่ ก็คือดูที่น้ำเหลือง ม้ามชื้น ม้ามโต น้ำเหลืองจะเสียง่าย เช่น การเป็นเริม งูสวัด
    วิธีการดูแลรักษาม้าม ควรรับประทานขมิ้นชัน ที่เป็นผงหรือแคปซูลเป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้อ้วนป้องกันไม่ให้ม้ามชื้น ม้ามโต ป้องกันไม่ให้น้ำเหลืองเสีย การรับประทานขมิ้นชันเพื่อลดความอ้วนและควบคุมน้ำเหลืองไม่ให้เสีย ให้รับประทานช่วงเวลา ๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น.
    อาหารบำรุงม้าม ได้แก่ มันเทศ สีเหลือง สีแดง สีขาว สีม่วง หรือบุก (ผลคล้ายกับหัวกลอย) รับประทานแล้วจะลดความอ้วน

    ๕. ช่วงเวลา ๑๑.๐๐ – ๑๓.๐๐ น.
    อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจ การดูแลหัวใจ อย่าอยู่ในอากาศร้อน สำหรับคนที่ต้องทำงานในท้องที่มีอากาศเย็นอยู่ในแอร์ตลอดเวลา ถ้าจะออกไปข้างนอกให้ยืนตรงประตูเพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกายก่อน อย่าออกทันที เพราะจะทำให้อวัยวะภายในสุกได้ เช่น ตับ หัวใจ หรืออาจทำให้ตายได้ หัวใจที่ขาดสารอาหารโปตัสเซียม จะทำให้เกิดการไหลตาย
    คนที่เป็นโรคหัวใจจึงให้รับประทานผลไม้มาก ๆ หรือใส่แหวนเงินนิ้วกลาง ผู้ชายจะเป็นโรคหัวใจมาก เพราะไม่ชอบรับประทานผลไม้ จะทำให้ขาดโปตัสเซียม
    อาหารที่จะทำลายโปตัสเซียม ผู้ที่เป็นโรคหัวใจไม่ควรรับประทาน ได้แก่ ถั่ว ข้าวเหนียว และของดองซึ่งมีโซเดียมคือเกลือสูง เป็นสาเหตุให้หัวใจวายตายได้ จึงควรรับประทานผลไม้ให้มาก ๆ ถ้าอยากให้หัวใจแข็งแรง

    ๖. ช่วงเวลา ๑๓.๐๐ – ๑๕.๐๐ น.
    อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ได้แก่ ลำไส้เล็ก คนส่วนมากไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลำไส้เล็ก ซึ่งมีความยาวมาก ลำไส้เล็กของผู้ชายยาว ๓๐ ฟุต ผู้หญิงลำไส้เล็กยาว ๔๐ ฟุต
    ดังนั้นผู้หญิงจะมีปัญหาเรื่องลำไส้มากกว่าผู้ชาย เพราะลำไส้ที่ยาวจะมีขยะไปตกค้างอยู่ในลำไส้มากกว่าจึงต้องรับประทานผักและผลไม้ให้มาก ๆ ถ้ารับประทานเนื้อสัตว์จะยิ่งเป็นขยะไปอยู่ในลำไส้ จะกลายเป็นมะเร็งลำไส้ และถ้ายิ่งรับประทานของทอด ของผัด ที่มีน้ำมันพืชมาก ๆ ขยะก็จะเพิ่มมากขึ้น เพราะน้ำมันพืชที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทุกยี่ห้อทำจากน้ำมันปาล์ม เนื่องจากราคาจะถูก
    ภายในตัวคนเราเปรียบเหมือนเป็นตู้ร้อนมีอุณหภูมิถึง ๓๗ องศา น้ำมันเมื่อโดนความร้อนจะเหนียวเกาะเป็นกาวเคลือบอยู่ในลำไส้ เวลาที่เรารับประทานอาหารเข้าไปจะไม่สามารถถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้
    อาหารที่จะละลายได้ในร่างกายมีอยู่ ๒ กลุ่มคือ กลุ่มที่ละลายได้ในไขมัน ได้แก่วิตามิน เอ อี ดี เค นอกนั้นจะละลายในน้ำ เมื่อเจอชั้นไขมันที่ไปเคลือบผนังลำไส้ก็ละลายไม่ได้ เช่น วิตามิน ซี บี เมื่อวิตามิน ซี เข้าตัวไปใช้ในร่างกายไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคภูมิแพ้ง่าย คนที่เป็นภูมิแพ้มาก ๆ เพราะน้ำมันไปเคลือบลำไส้ คนเราก็เลยเจ็บป่วยกันมาก
    วิธีการรักษาและการล้างไขมันในลำไส้ ให้ไปอ่านวิธีการที่กล่าวไว้แล้วในบทก่อนหน้านี้


    ๗. ช่วงเวลา ๑๕.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.
    อวัยวะสำคัญที่ทำ หน้าที่ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะ ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายโดยเฉพาะขับปัสสาวะคนที่อั้นปัสสาวะบ่อย ๆ หรือเหงื่อก็ไม่ค่อยออก เนื่องจากอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ กระเพาะปัสสาวะจะทำงานหนักกลายเป็นโรคนิ่วได้ อาหารที่บำรุงกระเพาะปัสสาวะได้แก่ แกนสับปะรด ไส้ในของแกนสับปะรดรักษาโรคนิ่ว แก้อาการปัสสาวะติดขัด ช่วยขับปัสสาวะได้ดี
    วิธีการรักษาอาการที่เป็นนิ่ว ให้ใช้เหล้าขาว ๑ ถ๊ง ผสม น้ำมะนาว ๑ ลูก รับประทานก่อนนอน ไม่เกิน ๑๐ วัน ก็จะหายเป็นปกติ

    ๘. ช่วงเวลา ๑๗.๐๐ – ๑๙.๐๐ น.
    อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ได้แก่ ไต วิธีการรักษาโรคไตให้ดื่มน้ำกระชาย จะทำให้ไตแข็งแรง หรือเห็ดหูหนูดำ อาหารที่บำรุงไต ได้แก่ เม็ดบัว จะช่วยบำรุงไต กระดูก สมอง สรรพคุณจะมากกว่าแป๊ะก๊วย

    ๙. ช่วงเวลา ๑๙.๐๐ – ๒๑.๐๐ น.
    อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ ได้แก่ เยื่อหุ้มหัวใจ คนที่มีโคเลสเตอรอลสูงจะทำให้เส้นเลือดตีบ เส้นเลือดขอดที่ขาให้ดื่มน้ำกระเจี้ยบต้มกับพุทรา รักษาอาการเส้นเลือดขอด อัมพฤกษ์ อัมพาต
    ถ้าเป็นโรคเบาหวาน วิธีการรักษาให้รับประทานใบมะยม แกล้มกับส้มตำก็ได้ รับประทานเป็นประจำจะหายขาดได้ และสามารถนำมาแกงเลียง แกงส้ม ถ้าคนไม่เป็นเบาหวานรับประทานจะทำให้แข็งแรงหรือรากเตยต้มน้ำดื่มเป็นประจำก็แก้เบาหวานได้
    ถ้าคนเป็นโรคเก๊าต์* ให้รับประทานลูกเดือยติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน ทำให้หายขาดได้
    * โรคเก๊าต์ เกิดจากร่างกายมีกรดยูริกมากเกินไป (คนปกติจะอยู่ระหว่าง ๓-๗ มิลลิกรัม ต่อเลือด ๑๐๐ มิลลิลิตร) กรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญของเพียวริน ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่าง ๆ และพืชผักอ่อน รวมทั้งเกิดจากการสลายตัวของเซลล์ภายในร่างกาย กรดยูริกจะถูกขับออกทางปัสสาวะ

    ๑๐. ช่วงเวลา ๒๑.๐๐ – ๒๓.๐๐ น.
    ช่วงนี้ร่างกายห้ามโดนความเย็นร่างกายจะป่วยง่าย

    ๑๑. ช่วงเวลา ๒๓.๐๐ – ๐๑.๐๐ น.
    ช่วงนี้ร่างกายต้องการน้ำสัก ๑ แก้ว ร่างกายจะสดชื่นจะไม่ปวดหัว แล้วจะทำให้ตื่นเช้าด้วย

    ๑๒. ช่วงเวลา ๐๑.๐๐ – ๐๓.๐๐ น.
    เป็นช่วงเวลาของ ตับ และเป็นช่วงที่คนต้องนอน ถ้าไม่นอนจะเป็นโรคข้างเคียงได้แก่ โรคไวรัสลงตับ มะเร็งในตับ และถ้าใครรับประทานอาหารช่วงนี้จะเป็นโรคได้ง่าย แต่ถ้าหลับสนิทเพียงแค่ ๒ ชั่วโมง จะรู้สึกสดชื่น ถ้านอนมากจะเซื่องซึม วิธีแก้ให้รับประทานน้ำตาลจะช่วยได้

    บทส่งท้าย
    คำถาม-คำตอบ จากการบรรยายของ อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา กับผู้เข้าฟัง
    ๑. ถาม : - ขมิ้นชันกับมันเทศทำอะไรรับประทานจึงจะดี
    - ลดความอ้วน ขมิ้นชันกับมันเทศใช้ทำอะไรกิน
    - ขมิ้นชันแคปซูลปัจจุบันรับประทานได้หรือไม่
    ตอบ : มันเทศ แนะนำให้นำมาต้ม หรือ นึ่ง เผา ก็ได้ แล้วรับประทานขมิ้นชัน ขมิ้นชันถ้าผลิตแบบสมัยใหม่ จะใช้เครื่องอบ ความร้อนที่เกิน ๖๐ องศาเซลเซียส ตัวเปลือกขมิ้นชันเมื่อโดนความร้อน เกินกว่า ๖๐ องศาจะเกิดสารพิษขึ้น เมื่อเอามาบด อบแห้ง แล้วใส่แคปซูล อาจเป็นอันตรายได้
    แต่ขมิ้นชันที่ทำแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน จะไม่เป็นพิษ คือ จะล้างให้สะอาด แล้วต้มให้สุก แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง ใส่กระทะคั่วให้แห้ง แล้วก็นำไปเก็บไว้ เวลากินก็นำมาบดโดยตำเป็นผงชงก็ได้ สูตรบำรุงกำลัง ถ้าใช้ข้าวหมากผสมกับขมิ้นชันและนม จะทำให้มีแรงแก้อ่อนเพลียได้ดี แต่ขมิ้นชันเมื่อกินเข้าไปจะเกิดเป็นผื่นขึ้นมาได้ คนเป็นผื่นแปลว่าตัวท่านมีตัวไรฝุ่นอยู่ มีพยาธิผิวหนังเรียกว่า ไรฝุ่นเป็นเหตุให้คนนอนไม่หลับ เลือดจาง ภูมิแพ้ ผมร่วง ไรฝุ่นมาอยู่ในตัวเราก็จะกินเลือด กินน้ำเหลืองทำให้เป็นผื่นขึ้น เป็นโน่นเป็นนี่คนเป็นภูมิแพ้สารพัดที่จริงเป็นไรฝุ่น ก็กินฮอร์โมนในร่างกาย พอสูงอายุผมเริ่มร่วง ถ้ากินขมิ้นชัน อาการก็จะดีขึ้น

    ๒. ถาม : ขอสูตรบำรุงสมอง
    ตอบ : ก่อนจะบำรุงสมองต้องล้างสมองก่อน ในสมองอาจมีหินปูนเกาะอยู่ ความจำจึงเสื่อมเลือดไม่เดิน โดยการทานกระเจี๊ยบ+พุทราจีนต้มแล้วดื่ม เพื่อไปล้างหินปูน
    ตัวบำรุงสมอง คือ นำน้ำกระชายมาแล้วคั้นน้ำใบบัวบกสด ๆ ใส่โดยที่น้ำใบบัวบกที่นำมาใส่ไม่ควรเกิน ๑ วัน น้ำกระชายอยู่ได้ ๑ เดือน โดยหลักของสมุนไพรพืชอะไรที่เป็นใบไม้ กินให้จบภายใน ๑ วัน ถ้าเป็นรากไม้อยู่ได้ ๑ เดือน แต่ก็มีวิธีถนอมอาหาร เช่น นำใบบัวบกมาผึ่งแดดคั่วแล้วเก็บไว้ จะคล้ายผงอะลิคาโน่ที่ใส่พิซซ่า ใบบัวบกถ้ากินเฉพาะน้ำจะบำรุงสมอง ถ้ากินกากแก้ปัญหาลำไส้ ส่วนกระชายดำ ถ้าบำรุงสมองกินน้ำ ถ้ากินกากจะขับลม

    ๓. ถาม : ชอบปวดข้อ ปวดหัวเข่า ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำงานหนัก ดิฉันเป็นข้ออักเสบ ขอคำแนะนำในการบรรเทา
    ตอบ : ๑. ลูกเดือยจะสามารถรักษาได้ เช่น ทำสลัด ลูกเดือย ยำลูกเดือย ต้มยำ สลัด ฯลฯ โดยรับประทานภายใน ๗ วัน การปวดตามข้อก็จะหาย
    ๒. นำลูกเดือยมา ๒ ส่วน ถั่วขาว ๑ ส่วน ถั่วขาวคล้ายถั่วดำแต่เม็ดเล็กกว่าและสีขาว บ้านเราเป็นแหล่งผลิตถั่วขาวที่ดีที่สุด เอามาต้มลูกเดือย ๒ ส่วน ถั่วขาว ๑ ส่วน เติมน้ำไป ๒๐ เท่า (๖๐ ถ้วย) ต้มแล้วสีที่ได้จะออกเหมือนน้ำข้าว ดื่มแล้ว อุ่นจนน้ำใสแล้วจึงเริ่มผสมใหม่
    คุณสมบัติ สามารถลดการปวดตามข้อ บำรุงไต ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ

    ๔. ถาม : โรคไตใช้อะไรรักษา/ไตเสื่อม
    ตอบ : ก่อนรักษาต้องทำการล้างไตก่อน โดยการทานโยเกิร์ต นมสด น้ำผึ้ง มะนาว และให้ดื่มน้ำกระชายใส่ใบโหระพา

    ๕. ถาม : ดอกไม้ชนิดใดใช้ทำอาหารได้บ้าง
    ตอบ : ดอกไม้เกือบทุกชนิดสามารถนำมาทำอาหารได้ เช่น ดอกลั่นทม ดอกราชาวดี ทำอาหารได้ แต่ไม่ควรนำดอกที่อยู่บนต้น ควรนำดอกที่ร่วงแล้วนำมาปรุงอาหาร โดยการชุบแป้งทอด
    ดอกไม้สีขาว บำรุงปอด
    ดอกไม้สีเหลือง บำรุงม้าม
    ดอกไม้สีแดง บำรุงหัวใจ
    ดอกไม้สีเขียว สีฟ้า บำรุงตับ
    ดอกไม้สีม่วงจัด สีดำ บำรุงไต
    ดอกอัญชัน รักษาโรคมะเร็งตับได้

    ๖. ถาม : ลูกมะแว้งรักษาโรคเบาหวานได้หรือเปล่า
    ตอบ : - มะแว้งแค่ระงับอาการป่วย แต่ไม่หายขาด คุณสมบัติของมะแว้งนั้น รักษาถุงน้ำดี ไต ปอด แต่ก็ไม่หายขาด สามารถกินเป็นอาหารได้
    - เสลดพังพอนตัวผู้สรรพคุณเป็นยา เสลดพังพอนตัวเมียสรรพคุณเป็นอาหาร สามารถรักษางูสวัด ไฟลามทุ่งได้

    ๗. ถาม : - อาหารบำรุงตา - ประสาทตาเสื่อมจะใช้การรักษาวิธีใด
    ตอบ : ต้นเหตุของตามีปัญหาเพราะเลือดไม่ได้มาเลี้ยงสมองส่วนหน้า อาการที่เลือดไม่เลี้ยงสมองส่วนหน้า มีสาเหตุมาจาก...
    ๑. กระดูกคอข้อที่ ๑ เคลื่อน เกิดจากการนอนผิดท่า หรือบริหารร่างกายในท่าที่ผิด
    ๒. ถุงน้ำดีข้น เนื่องมาจากทานน้ำมันพืชบ่อย
    การรักษา
    ๑. ทานโยเกิร์ต นมสด น้ำผึ้ง มะนาว เป็นวิธีดูแลตาเบื้องต้น เพื่อให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง
    ๒. นำน้ำแข็งทุบให้ละเอียดใส่ภาชนะแล้วแช่เท้าทีละข้างโดยให้น้ำท่วมเท้า แช่จนรู้สึกปวด และให้สลับขา (สลับกันไป-มา) ความเย็นจะทำให้ประสาทสายตาดีขึ้น (กระตุ้นเลือดไปเลี้ยงตา)
    ๓. น้ำมะพร้าวอ่อนล้างลูกตาเป็นประจำ แต่ล้างเสร็จแล้วต้องทิ้งเลย ห้ามนำมารับประทาน

    ๘. ถาม : สับปะรด ใบโหระพา รักษาโรคอะไรได้บ้าง
    ตอบ : สับปะรด ใบโหระพา ถ้าทานควบคู่กันไป เป็นสูตรเพิ่มเม็ดเลือด โรคเลือด โรคผอมแห้งแรงน้อย
    สูตรเพิ่มเม็ดเลือด ได้แก่...
    ๑. ใบมะนาว + ใบเตย ต้ม ดื่มน้ำเพิ่มเม็ดเลือด
    ๒. แก่นขนุนหรือแก่นฝาง + ใบเตย ต้ม ดื่มน้ำ เพิ่มเม็ดเลือด
    แก้อาการเป็นนิ่ว
    ๑. ให้นำเหล้า ๑ ก๊ง + น้ำมะนาว ๑ ลูก ทานก่อนนอนเป็นเวลา ๑๐ วัน นิ่วจะสลายตัวไปแต่ถ้าใครกินเหล้าไม่ได้ให้ทานแกนสับปะรด วันละ ๓ แกน ก็จะสามารถขับนิ่วออกได้
    ๒. ใบสับปะรด หัวจุก แกน ช่วยขับปัสสาวะ ลดการเป็นนิ่ว

    ๙. ถาม : โรคสะเก็ดเงิน ทานอะไรรักษาได้บ้าง
    ตอบ : ต้นเหตุ คือ มีสารพิษตกค้างในตับ การทานเห็ด ๓ อย่างเป็นประจำ จะสามารถล้างโรคสะเก็ดเงินให้หายขาดได้ ให้แก้ที่ต้นเหตุ

    ๑๐. ถาม : การทานเห็ดหลินจือ นั้นมีคุณสมบัติเหมือนเห็ด ๓ อย่างไหม
    ตอบ : เห็ดหลินจือที่ดีที่สุดคือสีชมพู ปลูกได้เฉพาะห้องแล็ปในโตเกียวกับปักกิ่งเท่านั้น ประเทศไทยเราจึงไม่มี แต่ผมไม่ส่งเสริมให้ทานเห็ดหลินจือ ปัจจุบันมีบริษัทหัวใสน้ำเห็ดมาผลิตยารักษาโรค ควรนำเห็ด ๓ อย่างแทนกันได้ เห็ด ๓ อย่างนี้มีคุณสมบัติดีกว่าเห็ดหลินจือสีชมพูเสียอีก

    ๑๑. ถาม : เป็นลมพิษบ่อยมาก รักษาอย่างไร
    ตอบ : อาการลมพิษบางคนอาจไม่ใช่ลมพิษจริง ๆ เพียงแต่มีไรฝุ่นอยู่ในร่างกาย เมื่อทานอาหารทีไรฝุ่นไม่ชอบ เช่น กะทิ ของทะเล ขมิ้นไรฝุ่นจะกัดท่านและดูเหมือนเป็นลมพิษ แต่ถ้าเป็นลมพิษจริง ๆ ทานเห็ด ๓ อย่างก็หายแต่ถ้าเกิดมีไรฝุ่น ให้รับประทานขมิ้นชันมาก ๆ จนไรฝุ่นออก

    ๑๒. ถาม : ถ้าเป็นโรคแผลในกระเพาะ ใช้ขมิ้นชันกับตัวยาอื่นอีกได้หรือไม่
    ตอบ : - ขมิ้นชันอย่างเดียวเป็นตัวยาที่รักษาแผลในกระเพาะได้ดีที่สุด
    - อีกตัวยาหนึ่ง คือ กล้วยดิบ ให้หั่นกล้วยดิบเหมือนลูกเต๋าแล้วปรุงเป็นอาหาร
    - อีกตัวยา คือ นำกล้วยหอมดิบทั้งเปลือกหั่นเป็นลูกเต๋าใส่น้ำให้ท่วมกล้วยใส่น้ำตาลกรวดใช้รับประทาน

    ๑๓. ถาม : สมุนไพรที่รักษาโรคแพ้อากาศคัดจมูกภูมิแพ้มีไหม
    ตอบ : คนที่มีอาการแพ้ต่าง ๆ เนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีมาใช้ได้ ต้นเหตุคือมีไขมันเกาะลำไส้ เราควรทานโยเกิร์ต นมสด น้ำผึ้ง มะนาว อาการต่าง ๆ ก็จะหายเอง

    ๑๔. ถาม : มีเคล็ดลับรักษาโรคเอดส์หรือระงับเชื้อให้เบาลงหรือไม่
    ตอบ : โรคเอดส์ คนโบราณเรียกว่าโรคประดงเลือดจะมีสมุนไพรที่รักษา คือ มะขวง เม็ดจะใหญ่ (มีอยู่ทางภาคเหนือ) ทานวันละ ๑๕ เม็ด (เม็ดใหญ่) มะแขว่ง เม็ดเล็กกว่า ทานวันละ ๙๐ เม็ด รับประทานเป็นเวลา ๑ เดือน

    ๑๕. ถาม : คนที่เป็นเส้นเลือดฝอยเปราะง่าย ควรรักษาอย่างไร
    ตอบ : ควรทานกระเจี๊ยบกับพุทราจีน จะป้องกันเส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย ทำให้ป้องกันการเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ความดันสูง ริดสีดวง เลือดกำเดาออกง่าย และงดน้ำตาลบ้าง โดยการต้มน้ำกระเจี๊ยบและพุทราจีนรวมกัน น้ำกระเจี๊ยบถ้ากินเดี่ยว ๆ จะทำให้เลือดจาง ไตเสื่อม ต้องต้มรวมกันจึงจะดี

    ๑๖. ถาม : อาหารมื้อเช้าที่รับประทานถ้าเป็นนม ๑ กล่อง ขนมปังมีประโยชน์หรือไม่
    ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้าเป็นนมสุดไม่ควรดื่มเดี่ยว ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้รับประทานโยเกิร์ต หรือยาคูลท์ นมเปรี้ยวบีทาเก้น

    ๑๗. ถาม : หายใจไม่สะดวกไม่ทราบเป็นเพราะอะไร
    ตอบ : ร่างกายขาดโปตัสเซียม ให้ล้างระบบดูดซึม

    ๑๘. ถาม : เด็กที่ดื่มนมสดเป็นประจำดีหรือไม่
    ตอบ : ไม่ค่อยดี จะเกิดภูมิแพ้ได้ง่าย วิธีแก้โดย เดิม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง มะนาว ลงไป

    ๑๙. ถาม : คนที่ตั้งครรภ์ถ้ารับประทานใบมะยมจะเป็นอันตรายหรือไม่
    ตอบ : ไม่เป็นอันตราย เด็กจะแข็งแรง และดิ้นแรงและจะไม่เป็นโรคเบาหวาน

    ๒๐. ถาม : การดื่มน้ำเย็น กับน้ำอุ่น น้ำอะไรมีประโยชน์มากกว่ากัน
    ตอบ : น้ำอุ่นมีประโยชน์มากกว่า

    ๒๑. ถาม : การรับประทานน้ำผลไม้จะมีประโยชน์หรือไม่
    ตอบ : ถ้าจะรับประทานให้รับประทานมะม่วงปั่นจะมีประโยชน์มากกว่า มะม่วงตากแห้ง จะมีเอสโตรเจนสูงถึง ๔ เท่า รับประทานแล้วผิวจะดี จะไม่มีตัวไรฝุ่น

    ๒๒. ถาม : ถ้าตั้งครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าว เด็กที่คลอดออกมาจะเป็นอย่างไร
    ตอบ : น้ำมะพร้าวอ่อนรับประทานได้ตั้งแต่ท้องอ่อน เด็กเกิดมาจะผิวพรรณดี และไม่มีไขมันติดตัวตอนคลอด

    ๒๓. ถาม : ปวดเข่าบ่อย ๆ ทั้งที่ไม่เครียดเป็นเพราะอะไร
    ตอบ : เพราะไม่รับประทานข้าวเช้า และวิตกกังวล ถ้าเป็นโรคกระเพาะจะปวดเข่าด้านหน้า ให้รับประทานน้ำกระชาย โยเกิร์ต

    ๒๔. ถาม : อาการเวียนหัว และมีอาการอาเจียน เกิดจากสาเหตุใด
    ตอบ : เลือดไม่มาเลี้ยงสมอง และกระดูกคอข้อที่ ๒ เคลื่อน

    ๒๕. ถาม : เป็นตะคริวทุกวันจะแก้ไขอย่างไร
    ตอบ : เป็นสัญญาณของโรคหัวใจ ให้รับประทานผลไม้เป็นประจำ

    ๒๖. ถาม : อาหารเช้ารับประทานใช้กล้วยอะไร
    ตอบ : กล้วยอะไรก็ได้ โยเกิร์ต ๑ ถ้วย + กล้วย ๑ ลูก

    ๒๗. ถาม : ไม่ค่อยอยากรับประทานอาหาร รับประทานเท่าไรก็ไม่อ้วน มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง
    ตอบ : เป็นเพราะม้ามโต ถ้าอยากอ้วนให้รับประทานโยเกิร์ตตอนเย็น

    ๒๘. ถาม : อยากทราบ การใส่เสื้อ-ใส่แหวน เป็นเครื่องประดับ ให้ผลต่อการบำบัดอะไรได้บ้าง
    ตอบ
    การใส่เสื้อ
    ใส่เสื้อสีดำ จะป้องกันโรคหัวใจวาย
    ใส่เสื้อสีขาว จะป้องกันโรคตับ ป้องกันไม่ให้เป็นโรคโมโห
    ใส่เสื้อสีแดง จะทำให้มีกำลังวังชา ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
    ใส่เสื้อสีน้ำตาล – สีเหลือง จะทำให้ไตแข็งแรง
    ใส่เสื้อสีเขียว-สีน้ำเงิน จะทำให้ม้ามแข็งแรง ลดความอ้วนได้
    การใส่แหวนเงิน
    ใส่แหวนเงินนิ้วโป้ง ทำให้ปอดแข็งแรง
    ใส่แหวนเงินนิ้วชี้ จะทำให้ลดความอ้วน แก้ม้ามโต
    ใส่แหวนเงินนิ้วกลาง จะรักษาโรคหัวใจต่าง ๆ
    ใส่แหวนเงินนิ้วนาง จะรักษาโรคตับ ตับไม่ดี
    ใส่แหวนเงินนิ้วก้อย จะช่วยให้ไตแข็งแรง ไตซ้ายขี้ร้อนไตขวาขี้หนาว
    การใส่แหวนทอง
    ใส่แหวนทองนิ้วโป้ง จะช่วยรักษาลำไส้ใหญ่ ขับถ่ายสะดวก
    ใส่แหวนทองนิ้วชี้ จะช่วยเรื่องกระเพาะอาหาร
    ใส่แหวนทองนิ้วกลาง คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ เป็นไข้บ่อย หรือไขมันเกาะลำไส้เยอะ
    ใส่แหวนทองนิ้วนาง เป็นไมเกรน ปวดหัวข้างเดียว นอนไม่หลับ
    ใส่แหวนทองนิ้วก้อย มดลูกรังไข่ สมรรถภาพทางเพศ ต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะไม่ดี

    คำอุทิศส่วนกุศลผู้ร่วมพิมพ์ “ กินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี ”
    ข้าพเจ้าในฐานะเจ้าภาพ ร่วมแรงกาย-วาจา-ใจ-สิ่งของ-เงินทองร่วมทำบุญกองทุนวิทยาทาน-ทุนปฏิบัติบูชา-ทุนอเนกประสงค์-
    ก่อสร้างศาลาปฏิบัติ-อาคารผู้ปฏิบัติ-กุฏิวิทยากร-อาคารเรียนธรรมะ-ซ่อมแซมเสนาสนะ-คณะวิทยากร-อาคารเรียนธรรมะ-ซ่อมแซมเสนาสนะ-
    คณะวิทยากร-ลูกโยคี-คณะแม่ครัว-คณะผู้บริการทุกแผนก ณ ศาลาธรรมสันติ วัดเขาพุทธโคดม ทั้งพระภิกษุ-สามเณร-อุบาสก-อุบาสิกา-เทวดา-พรหม-
    มนุษย์-อมนุษย์-อบายสัตว์-สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ร่วมทำบุญ อนุโมทนา ทุกหน้าที่ ทุกแผนก ในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

    ที่มา

    http://www.visutti.com/article10.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...