กูรูด้านอากาศประชุมใหญ่เตรียมรายงานปัญหา

<center>
นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศกว่า 500 คนร่วมกันประชุมอนุมัติรายงานฉบับสำคัญที่ว่าด้วยเรื่องโลกร้อนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล้วนที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศ ระหว่างวันที่ 29 ม.ค. - 1 ก.พ. และจะนำรายงานชิ้นดังกล่าวเปิดเผยในวันที่ 2 ก.พ</center>

เอพี/เอเอฟพี - นักวิทยาศาสตร์และบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศของโลกระดับหัวกะทิกว่า 500 คนกำลังเดินเครื่องประชุมกันยาว 4 วันที่กรุงปารีส เพื่ออนุมัติรายงานฉบับทันสมัยล่าสุด ว่าด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งยืนยันว่า โลกกำลังมีอุณหภูมิสูงขึ้น และจะนำเผยแพร่สู่สาธารณชน หวังสร้างความตระหนัก

คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือ "ไอพีซีซี" (UN Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) กำลังเตรียมการนำรายงานฉบับใหญ่ออกเผยแพร่ในวันที่ 2 ก.พ. โดยจัดประชุมใหญ่ระดมนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศกว่า 500 คนตรวจสอบรายงานฉบับนี้ชนิดคำต่อคำ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 29 ม.ค. - 1 ก.พ.

รายงานฉบับที่กำลังแก้ไขอยู่นี้นับเป็นรายงานฉบับแรกตั้งแต่ปี 2544 และนับเป็นฉบับที่ 4 ภายหลังการก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นในปี 2531

การประชุมของคณะกรรมาธิการในครั้งนี้ เพื่อถกถึงปัญหาภาวะโลกร้อนที่สุดในรอบหลายพันปี และจะสร้างความตระหนักให้เกิดการกระทำเพื่อลดปัญหาดังกล่าว

ผลงานของไอพีซีซี ได้รับความนับถืออย่างยิ่งในเรื่องความเป็นกลางและความสุขุมรอบคอบ รวมทั้งสามารถส่งอิทธิพลใหญ่โตทั้งต่อนโยบายของภาครัฐบาล, ยุทธศาสตร์ของภาคบรรษัทเอกชน และกระทั่งการตัดสินใจของปัจเจกบุคคล

ในรายงานปี 2544 ไอพีซีซี ประกาศว่า มลพิษคาร์บอนอันเกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศพุ่งถึงระดับสูงสุดในรอบ 420,000 ปี

โดยที่คาร์บอนไดออกไซด์ ก็คือ

 

นี่ล่ะครับคุณเอก ข่าวซ็อคโลกที่พูดถึง ไว้คอยติดตามกันดูครับ...

 

IPCC นี่ก็คงใช่ของ UN เนอะ เอ... แล้วทำไมที่คุณสุทธิชัย หยุ่นเขียนลงกรุงเทพธุรกิจถึงบอกว่าจะออกมาแถลงวันที่ 5 ละหว่า?

 

ถ้างั้น วันที่ 2 ก.พ. เราก็คงได้ทราบข่าวรายงานจาก UN IPCC แล้วล่ะใช่มั้ยครับ คงไม่ต้องรอถึงวันที่ 5 ใช่มั้ยครับ

 

ก็ขึ้นอยู่กับว่าข่าวช่องไหน จะมาทำข่าวนี้บ้าง

 

ผมว่านี่อาจเป็นประชุมย่อยตามภูมิภาคก็ได้นะครับ เห็นประชุมเรื่องโลกร้อนช่วงนี้หลายกลุ่ม คงเพื่อสรุปกันอีกทีเพราะเห็นคุณสุทธิชัย หยุ่น พูดถึงนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก 2,500 คน (ของกลุ่มนี้มี 500 คนครับ) ยังไงไม่เกินวันที่ 5 กุมภา คงได้รายละเอียดข่าวมากกว่านี้ครับ

 

อันนี้ก็เป็นข่าวเดียวกัน http://environment.newscientist.com/article.ns?id=dn11049&feedId=climate-change_rss20 แต่ก็มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นหน่อย

เมื่อทางกลุ่มนี้ออกมารายงานการประชุมแล้ว ที่เวปนี้จะเอารายงานการประชุมมาเผยแพร่

 

ผมคิดว่า คงเป็นประมาณว่า มีนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ได้มอบผลการวิจัยให้ผู้มีอำนาจและเกี่ยวข้องมาเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว

แต่ไม่มีใครให้น้ำหนักบ้าง หรือสนใจบ้าง ส่วนใหญ่อ้างว่าจะทำให้ประชาชนแตกตื่น

พอผลกระทบทวีในอัตราเร่งที่สูงจนควบคุมและแก้ไขไม่ทันแล้ว จึงมีการประชุมในระดับภูมิภาค ต่างๆทั่วโลก โดยมีในอเมริกา ยุโรป และเอเชียที่ญี่ปุ่น จากนั้นจะสรุปรวมผลการประชุมในระดับโลกในวันที่ 5 นี้อีกครั้ง ผลที่ออกประมาณว่า

"โลกเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว"

ต่อไปทุกภูมิถาคทั่วโลกจะต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงทวีขึ้นเรื่อยๆ

ผมคาดว่าจะออกมาประมาณนี้ครับ

 

ขั้นสุดท้ายหรือเปล่านั้นก็ขึ้นกับว่าคนบนโลกจะร่วมมือกันจริงจังแค่ไหนครับ
เห็นเป็นข่าวอย่างนี้สักพักก็อาจจะเงียบไปเหมือนไฟไหม้ฟางไม่เอาจริง
ถ้าเอากันจริงๆก็ต้องเริ่มงดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนกันคือไม่ใช่แค่ลดนะต้องเลิกใช้ไปเลยถึงจะได้ผลเร็ว แต่นั่นเป็นวิธีที่ทั่วโลกคงรับไม่ได้ ก็ต้องมาพยายามลดการใช้ แต่ว่าจะลดได้จริงแค่ไหน
มีคำถามที่น่าคิดอยู่ว่า
1.เราจะยอมปั่นจักรยานไปทำงานแทนการขับรถเพื่อโลกหรือไม่
2.เราจะขึ้นรถขนส่งมวลชนแทนการขับรถหรือไม่
3.เราจะลดและงดการใช้น้ำมันได้หรือไม่
4.เราจะงดหุงอาหารโดยการใช้แก๊สได้หรือไม่
5.เราจะงดใช้สเปร์ที่มีสารก๊าสเรือนกระจกได้หรือไม่
6.....
7.....
อีกมากมาย

 

ไม่ได้หรอก
ถ้าไม่ออกกฎหมายก็ใช้กันไปเรื่อย

 

ไม่ได้หรอก เพราะคำว่าธุรกิจและเงินมันค้ำคอคนที่ทำธุรกิจพวกนี้อยู่

 

เหมือนในเรื่อง An Inconvenient Truth ที่กอร์เปรียบมนุษย์ว่าเหมือนกบที่อยู่ในน้ำที่ค่อยๆ อุ่นขึ้น แต่มนุษย์ไม่สนใจ (พออุ่นมากเข้าก็ผลิตเครื่องปรับอากาศ จะได้เย็นขึ้น หารู้ไม่ ยิ่งไปกระตุ้นให้โลกร้อนไปอีก) สุดท้ายน้ำเดือดถึงจะเริ่มรู้ตัว

มีข้อมูลที่น่าสนใจที่ ดร.อาจอง เคยกล่าวไว้ในรายการสัญญามหาชน ท่านว่า ระหว่างยุคน้ำแข็ง กับยุคปัจจุบันนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งโลกห่างกันเพียงแค่ 1 องศาเซลเซียสเท่านั้น แล้วท่านก็ยิ้ม ราวกับว่าให้ผู้ชมรายการรู้ด้วยตัวเองได้แล้วว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราจะเจอกับอะไร

ใช่ทีเดียวครับคุณเอก

โมทนากับคุณเปี๊ยกครับ วิเคราะห์ได้เฉียบมากครับ

กลไกกิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ในโลกวันนี้ ผมขอเปรียบเหมือนระบบใหญ่มากๆ ระบบหนึ่ง ซึ่งครอบเอาระบบปลีกย่อยภายในอีกไม่รู้จักกี่ระบบ ทับซ้อนกันจนเกี่ยวพันกันไปหมด มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด นึกภาพดูว่าถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง แล้วเราต้องรื้อจัดระบบใหม่คงวุ่นวายน่าดู และต้องเสียเงินมหาศาล นี่แค่บริษัทเดียวนะ ระบบเล็ก ลูกน้องก็คงต้องทำตามเพราะเราเป็นคนสั่ง แต่ถ้าเป็นระบบที่ใหญ่ขึ้น เช่น "ระบบโลก" นึกภาพดูนะครับพี่น้อง ว่าจะเป็นอย่างไร มีสิ่งเดียวที่จะขับเคลื่อนโลกได้โดยไร้ปัญหา นั่นคือ "ความสามัคคี" แต่ทว่าเป็นไปได้หรือ เพราะเราก็เห็นอยู่ว่าประชาชาติต่างทะเลาะกันรายวัน จะกดปุ่มนิวเคลียร์ตอนไหนก็ยังไม่รู้เลยครับ
<!-- / message -->

 

ตามนั้นครับ มันมีอะไรปลีกย่อยเกี่ยวโยงกันไปหมด
แต่เรื่องที่ว่า ถ้าไม่ต้องมีการใช้น้ำมันกันเลยจริงๆ มันก็จะไปกระทบถึงอุตสาหกรรมต่างๆ อีก ซึ่งอาจต้องหาวิธีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิตกันเลยทีเดียว