ขอความรู้ เรื่องแสงสีขาวที่ปรกกฏตอนนั่งสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิทย์ วรุณี, 5 สิงหาคม 2018.

  1. rattanasak

    rattanasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +616
    เห็นแสงนี่ธรรมดาครับ ถ้าตัวหายไป คำภาวนาหายไป จะตกใจยิ่งกว่า อย่าไปสนใจมันครับทำต่อไป
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เด่วช่วยเสริม
    แสงสีขาวสว่างมากๆ
    เหมือนคนมาเปิดสปอร์ตไลต์
    แม้นั่งในที่มืดนี้ เป็นสภาวะที่จิตทำงานได้
    แบบมีแสงนำ (**จิตจะทำงาน
    ได้เมื่อมีแสงหรือ
    เส้นสายนำ เส้นสายคือเส้นสายพลังงานขนิดหนึ่ง. ถ้าแสงนำจะเห็นแสงสีต่างๆ ถ้าเส้นสายนำจะเห็นเป็นขอบ เห็นคล้ายคลื่น ถ้าทั้งสองอย่างจะเห็นเป็นรูปร่าง)
    สามารถเกิดได้ในกำลังระดับปฐมฌาน
    ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตาฝึก
    ซึ่งปกติถ้าใครเจอกิริยาแบบนี้
    ถ้าฝึกต่อมันจะข้ามไปอรูปฌานได้ถึงขั้นที่๓
    ให้ดูลักษณะแสงที่ปรากฏเป็นตัวบอก
    ว่าสว่างเลย หรือค่อยๆสว่าง

    ส่วนแสงสีขาวไร้รูป ถ้าเอาจิตไปตาม
    แล้วไหลได้(ไม่ใช่ลอยหนีได้เหมือนกสิณ)
    พวกนี้เป็นปัญญาทางโลก ห้ามสนใจ
    ไม่งั้นจะเพี้ยนได้



    ส่วนการเห็น วงกลมสีขาว สีแดง สีเขียว สีเหลือง น้ำใสมีคลื่นไม่มีฟอง เปลวเทียนลอยมาด้านขวา ควันลอยมาพร้อมกันสองด้าน
    สี่เหลี่ยมผืนผ้าลอยในอากาศ วงกลมใสหมุนได้มีกะแสภายในภายนอกเปลี่ยนแปลง
    เห็นดินละเอียด พวกนี้เป็นลักษณะของอุคหนิมิตกสิณทั้งนั้น โดยมากถ้าเคยเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขียนไว้ข้างบน แสดงว่า
    จิตเคยฝึกถึงระดับปฎิภาคนิมิตมาก่อนแล้ว
    ขึ้นอยู่กับว่าจะฝึกไม่ฝึก
    แต่ควรฝึกหลังจาก แยกรูปแยกนามได้
    และสามารถเดินปัญญามาก่อน
    ซักประมาน ๑ ปีครับ จะปลอดภัย
    ทั้งกายและใจ

    ดังนั้นแยกให้ดีๆ
    แต่ถ้าเป็นดวงจิตจริงๆจะมีคลื่นไฟฟ้า
    ถ้าระยะห่างเราซักครึ่งเมตร
    ขนาดดวงจิตซักเมตรหนึ่ง
    ต่อให้เราลืมตาอยู่ประกันได้ว่า
    จะไม่สามารถขยับตัวได้เลย

    ปล คำภาวนามันไม่หายหรอกครับ
    จริงๆคือมันหยาบเกินกว่าที่จิตจะสนใจครับ
    ตรงนี้ต้องเพิ่มกำลังสติในการสังเกตุ
    ถึงจะเข้าใจกิริยาได้จริงๆ
    เพราะถ้าจิตยังสนใจอยู่ ให้นั่งสมาธิอย่างไร
    ชาตินี้ก็ไม่เกินปฐมฌานครับ

    ส่วนตัวหายนี่ก็สภาวะทั่วไป
    ที่บอกว่า ตอนนั้นจิตตัดร่างกายได้มากน้อยแค่ไหนมันก็มาจากผลที่ได้จากการเดินปัญญาหรือวิปัสสนาตัดร่างกายนั่นหละครับ

    ปกติทั่วไปจะตัดได้บางส่วน
    ถ้าลองยกแขนยกขา ในขณะที่หลับตาอยู่
    ไม่ว่าจะนอนอยู่หรือนั่งสมาธิ

    เราจะเห็นแขนขาอีกอัน
    ที่มีขอบแต่มองทะลุได้ ในสภาพแวดล้อมที่เงียบๆพวกนี้เรื่องสุดแสนธรรมดามาก
    นอนเล่นๆก็เกิดได้ หรือคนไม่เคยฝึกสมาธิมาเลยก็เกิดได้
    แต่คนที่ตัดได้จริงๆคือ จะลุกขึ้นมาได้เลย
    ตรงนี้ยังพอมีประโยชน์บ้าง ว่าไอ้นี่วิปัสสนาใช้ได้นะ เพราะยกแขนยกขา
    อีกอันจึ้นมาดูได้มันเรื่องธรรมดามากๆ
    พวกนี้เกิดได้ในกำลังระดับ
    อุปจารสมาธิแค่นั้น

    ยกเว้นระดับโปรที่ค่อยๆมีอีกกายลุกขึ้นมา
    และเสียงดังมาก แม้ลมพัดเบาๆจะรู้สึกว่าได้ยินหูแทบแตกนั่น เป็นผลของ
    กำลังสมาธิระดับสูง
    แต่ก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัย
    ถ้าไม่ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิคอยดู
    หรือมีพันธมิตรมีฤทธิ์คอยดู
    ถ้าถูกจับเส้นสายใย ทำให้สะเทือน
    จะมีโอกาสเพี้ยนได้สูงมาก เพราะ
    เส้นสายใยนี้มีการเปลี่ยนแปลง
    ทางวิทยาศาสตร์เรียกเส้นนี้ว่า กูออน
    นั่นหละครับ นึกภาพเวลาดึงยางให้ยึด
    ดังนั้นคนที่ทำได้แรกจึงไปได้ไม่ไกล
    จากบริเวณที่กายตัวเองอยู่นั่นเอง

    ปล ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นสภาวะที่ผู้ปฎิบัติ
    จะเจอได้ปกติ
    สรุปคือมันยังไม่ได้มีประโยชน์อะไร
    ดังนั้นอย่าไปสนใจ ให้ค่า หรือไปสนใจมันเพราะจะทำให้เราปฎิบัติถึงขั้น
    สำเร็จในกรรมฐานกองนั้นๆได้ช้าขึ้นไปอีกครับ
    ปล รู้แล้วควรจบซะ
     
  3. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอบคุณมากครับ ทุกท่านที่กรุณามาช่วยไขความกระจ่าง
    ในความสงสัยที่ติดประเด็นมานาน
    ได้ความรู้และกระจ่างแจ้งเพิ่มเติมครับ
    :):)
     
  4. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    สภาวะตรงนั้น
    เหมือนมีคนมาเปิดสปอร์ตไลต์เลยครับ
    จ้ามาก (สว่างวาปมาจากด้านหลัง ของการนั่ง ในความรู้สึกของกายในน่ะครับ)
    ..
    สว่างทันทีครับ
    แบบสว่างทั่วถึงบริเวณ แบบสม่ำเสมอ ของแสงสว่างทั่วเต็มบริเวณห้องทันที
    ไม่ใช่ค่อยๆ สว่าง
    เกิดแบบ ทันที ทันใดเลยครับ
    แบบภายในสะดุ้งและแปลกใจ
    จนต้องเหลียวมองดูที่มาของแสง
    เหล่านั้นแปปหนึ่ง
    และก็เลิกสนใจ
    หันมาดูและสำรวจ
    สิ่งต่างๆ ที่ถูกมองเห็นภายในแสง
    เหล่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2018
  5. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    (ทั้งหมดเป็นความรู้สึกของกายใน ขณะนั้นน่ะครับ)
    ..
    ตอนที่หันมามองที่มาของแสงนั้น
    ซึ่งส่องมาจากด้านหลังขณะนั่งสมาธิ
    สามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อม
    ด้านนอกได้
    เหมือนลืมตามองเห็นด้วยตาเนื้อ
    เช่น
    รู้ว่าด้านหลังคือการมองจากในห้อง
    และกำลังนั่งมองจากด้านในห้อง
    ออกไปนอกห้อง
    เห็นหน้าต่างห้อง
    และเห็นภาพนอกหน้าต่าง ออกไป
    รู้ว่าข้างนอกยังสว่างอยู่
    กี่โมง ที่ไหน และข้างนอกกำลังเกิดอะไรอยู่
    ..
    ขณะนั้นห้องที่หรือสถานที่
    ที่ผู้ถามนั่งปฏิบัติธรรมอยู่นั้น
    เป็นอาคาร 2 ชั้น ห้องปฏิบัติธรรมอยู่ชั้น 2
    เป็นสภาพห้องเรียนที่มีหน้าต่างอยู่รอบๆ
    ..
    สิ่งที่มองออกไปเห็น จึงเป็นภาพมองมุมกว้างออกไป
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    นั้นหละ สังเกตุได้ว่าแสงมันไม่เย็น
    และคล้ายๆว่าเราคิดได้แต่แสงก็ยังคงอยู่
    ถ้าไม่สนใจสภาพแวดล้อมและตัวแสงได้
    แล้วนั่งต่อแสงมันจะค่อยๆมืดลง
    เหมือนไฟที่มี
    ตัวปรับลดแสงนั่นหละ
    และมันจะเข้าสู่อรูปได้
    ด้วยการที่แสงนี้มันจะค่อยๆสว่างขึ้น
    ที่ละนิด ทีละนิด. แต่ว่าจะมีประโยชน์
    เราต้องรู้จักวางอารมย์เรื่องที่จะพิจารณา
    ไว้ในเวลาใช้ชีวิตปกติประจำวันด้วย
    เรื่องที่พิจารณาเช่น อากาศ ความว่าง วิญญาณ หรือตัวโทสะ โมหะ โลภะ ที่เราเห็น
    จากการเจริญในชีวิตประจำวัน

    วางอารมย์คือระลึกไว้แล้วลืมไป
    พอแสงมันค่อยๆสว่าง เรื่องที่วางอารมย์ไว้
    มันจะผุดขึ้นมาให้พิจารณาได้เอง
    ตามลำดับ. ถ้าไม่วางอารมย์ไว้
    ถ้าถึงสภาวะที่แสงเริ่มมาสว่างอีกครั้ง
    เราจะนึกอะไรไม่ออกเลย แม้นึกได้
    จะกลับมาสู่ สภาวะปกติก่อนเริ่มนั่ง
    สมาธิทันทีภายในวินาที
    ทำให้เรา งงเป็ดเล่นๆ รวมทั้ง
    หงุดหงิดเล็กน้อย จากการพยายาม
    ที่จะเข้าให้ได้อีก

    ปล. ***อย่าไปสนใจในสิ่งที่มากับแสง
    เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเห็นอะไร
    **** ย้ำว่าห้ามมมมมมมม****
    พวกที่โดนผีมีฤทธิ์แปลงเป็น
    พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ หรือครูบาร์
    อาจารย์ที่เราเคารพ
    พวกที่เข้าใจว่าตน พบพระพุทธเจ้า
    พระสงฆ์ ครูบาร์อาจารย์ที่ตนชอบ
    และหลงคิดว่าแสงแบบนี้ คือตนเองบรรลุ
    ธรรมซักอย่าง ใครสอนก็ไม่ฟัง
    มีธรรมแปลกๆ คิดว่าตนเหนือใคร
    ทั้งที่ไม่มีความเข้าใจทางด้านนามธรรมที่ดี
    และเกิดความสามารถใดๆกับตัวจิตเลย
    ก็เพราะไปสนใจแสง และสิ่งที่มากับแสง
    จนยึดสิ่งที่มากับแสงทั้งนั้น เพราะมักมาพูด
    หลอกว่าเราเป็นอะไรที่สุดยอด ที่สุด
    จนยึดเป็นตัวเองและหลงตัวเองในที่สุด

    จริงๆคือสภาวะที่เรียกว่า “ผีหลอกในสมาธิ” นั่นหละ เกิดขึ้นง่ายมาก
    เพราะไม่ได้ใช้กำลังสมาธิมากมาย
    อาศัยอารมย์ตอนจิตทำงานได้นี่หละ

    จะเกิดได้ง่าย
    โดยเฉพาะนักปฎิบัติที่
    ติดในเรื่องการสรรเสริญ
    หรืออยากได้รับการยอมรับจากสังคม
    หรืออยากให้คนมองว่าตนเองเก่ง
    มีอะไรเหนือใครทั้งหลาย นี่หละ
    เข้าทางพวกที่แปลงมาหลอกได้
    ง่ายๆเลยแบบสิวๆ ขนาดเห็นไม่กี่วิ
    จะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    เล่าให้ฟัง เชิงเตือน
    รู้แล้วควรจบ
     
  7. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    หลังจากเลิกมองที่มาของแสงสว่างน่ะครับ
    ..
    หันมาสำรวจตนเอง
    และพบ
    กายในเห็น
    วงกลมใส
    กระเด็น กระดอน ไวมาก วางบนพื้นห้อง ปรากฏอยู่ใกล้ข้างลำตัว
    ตาในมองตามไม่ทัน
    แบบ วี้บวาบ
    มองตามแล้ว ไม่สามารถมองทันได้ แบบกายในเมาหัวเลยครับ
    ความรู้สึกตอนนั้น
    ท้อใจเลย ที่ไม่สามารถบังคับให้
    ดวงใส นิ่งและสถิตย์อยู่กับที่เดิมได้
    เพื่อว่าผู้ปฏิบัติ
    จะได้ส่องมองใกล้ๆ ว่ามันคือ ลูกกลมใสอะไร
    อากัปกิริยาแบบ สนใจใคร่รู้ว่าดวงใส นี่คืออะไร
    แบบประมาณนั้นน่ะครับ
    ..
    หลังจากที่ท้อแท้กับ
    การที่กายในมองตามดวงกลมใสไม่ทัน
    ก็ยอมยกธงขาวให้กับสิ่งนั้น
    ก็เลยเอาจิตมาจับ
    อยู่ที่ร่างกาย (กายใน) อีกครั้ง
    ปรากฎว่า ดวงกลมใส
    นั้นกระโดดเข้ามาอยู่
    ในลำตัวตรงช่องท้อง
    ตำแหน่งลิ้นปี่ โดยอัตโนมัติทันทีครับ
    เหมือนลักษณะการซูตลูกบอล
    เข้าตะกล้าที่ซัวเข้าพอดีๆ เลยครับ
    ..
    ตอนหลังได้มาพิจารณาท่องแท้อีกครั้ง
    กับเหตุการณ์เหล่านั้น
    จึงสังเกตุเห็นว่า
    ลักษณะการกระเด็น กระดอนของดวงกลมใสๆ เหล่านั้น
    เกิดขึ้นกับ กิริยาดวงจิตของตนเอง
    ที่กายใน มองไปที่พื้นห้อง ณ ตำแหน่งไหน
    ดวงกลมใส จะไปปรากฎ ณ ตำแหน่ง นั้นทันที
    และจิต ณ ตอนนั้นก็ งง งวย และคิดอะไร แวบๆ
    ที่ไวมาก
    ขณะที่ดวงตาในมอง ที่พื้นตำแหน่งนี้อยู่
    แต่ ดวงจิต เคลื่อนไปอีกตำแหน่งอื่น
    มันก็เลยเหมือน
    ลักษณะ การทำงานของสองสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กัน
    คือ ดวงตา (กายใน) + จิต
    ทำงานที่ไม่สัมพันธ์กัน
    ..
    แต่การปรากฏของดวงจิต จะปรากฏที่ไวมากๆ
    และปรากฎเป็นดวงกลมใส
    ตาม
    ตำแหน่งพื้นห้อง ณ ขณะนั้น
    จึงปรากฎเป็นอาการของ
    ดวงกลมใส กระเด็น กระดอน
    เหมือนลูกปิงปอง เด้งไวๆ ตามพื้นห้อง
    ขณะนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2018
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    จริงๆไม่มีอะไร ยิ่งไปตามจะยิ่งส่งผลต่อกาย
    เพราะจิตเราเกิดทำมห้กำลังสมาธิสะสม
    และสติทางธรรมเราน้อยลง
    ส่งผลให้ยิ่งตามยิ่งไม่เข้าใจมัน
    และยิ่งส่งผลกระทบต่อกายเราเอง
    พวกนิมิตแบบนี้เค้าให้ไม่สนใจ
    และมาเข้าๆออกๆ คือเห็นปุ๊บทิ้งปั๊บ
    แล้วเข้าใหม่ ไปเรื่อยๆ
    มันจะข้ามไปปฏิภาคนิมิตได้เอง
    เด่วเราจะย้อนรู้ทุกกิริยาได้เองโดยไม่ต้องถามใคร

    ปล การตามในนิมิต เปรียบได้กับการพยายามคิด วิเคราะห์ หาความรู้ทางโลก
    โดยไม่มีการพักผ่อนเลยนั่นหละ
    สมองเลยล้า พอล้าร่างกายก็เพลีย
    สิ่งที่เห็นในนิมิตจริงๆมันไม่มีอะไรหรอก
    มาจากสัญญาในจิตเราทั้งนั้นหละ
    เพราะถ้าไม่มีเราจะไม่มีทางเห็นเป็นภาพได้
    พอมองภาพออกไหม

    เพียงแต่มันทำให้เรารู้สึกพิสดาร
    ทั้งๆที่ครูบาร์อาจารย์ทั้งหลาย
    ท่านก็เตือนว่าอย่าสนใจ

    แต่ถ้ากำลังสติเราไม่พอที่
    จะควบคุมการไปยึดตรงนี้
    แล้วมัวไปสนใจมัน
    มันก็จะทำให้เราวกวนอยู่กับ
    นิมิตเหล่านั้นได้อย่าคาดไม่ถึง


    คนจะฝึกกรรมฐานจนถึงขั้นใช้งานได้
    หรือไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็ดูกันจากตรงนี้หละ

    ไม่มีอะไรหรอก แค่เล่าให้ฟัง จบเนาะ
     
  9. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอบคุณมากครับท่าน nopphakan
    ข้อมูลมากมาย
    ซึ่งเป็นประโยชน์มาก
    สำหรับผู้กำลังเดินทางเลย
    อนุโมทนาสาธุ
    ในความกัลยาณมิตรจากท่านด้วยน่ะครับ
    :):)
     
  10. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    เมื่อจิตเคยเห็น กายในกาย แล้ว แสดงว่าจิตรู้แล้วว่า จิตกับกาย ไม่ใช่อย่างเดียวกัน แยกกัน

    ต่อไป ควรมองไปที่ สังโยชน์ ข้อ 1 สักกายทิฏฐิ

    ควรพิจารณา อสุภะ เพื่อให้คลายความยึดมั่นในกายก่อน

    แล้ว มรณานุสติ เพื่อให้ ยอมรับความความจริงของการ เกิด ตาย
     
  11. วิทย์ วรุณี

    วิทย์ วรุณี อยากฝึกกรรมฐาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบพระคุณมากครับ ได้ความรู้มากครับ
     
  12. วิทย์ วรุณี

    วิทย์ วรุณี อยากฝึกกรรมฐาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +7
    จากความรู้ที่ทุกท่านได้ตอบกระทู้นี้ ผมได้อะไรที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการฝึกสมาธิของผมเพิ่มขึ้นหลายด้าน ทั้งไขข้อสงสัยและแนวทางการฝึก มีทั้งประสบการณ์ที่นำมาแชร์ความรู้ ล้วนเป็นประโยชน์ต่อตัวกระผมเองและหลายท่านที่กำลังฝึกฝนสมาธิ
    ในโอกาสนี้กระผมขอกราบขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง

    กระผม นาย เดวิทย์ ประเสริฐสาร ครับ
     
  13. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขออนุญาตเล่าต่อน่ะครับ
    ..
    หลังจากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ลำดับ
    ..

    (เหตุการณ์ขั้นตอนตามลำดับนี้ เกิดติดต่อกันไวมาก ณ เหตุการณ์วันนั้น ไม่เกิน 10 นาที)
    ..
    1.นั่งสมาธินิ่ง
    1.1 --- > ลมหายใจสม่ำเสมอ
    1.2 --- > ลมหายใจเข้าออกปรากฏดุจสายน้ำ
    1.3 --- > ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ – >
    ..
    2. ร่างกายหล่นปุ้ปลงไปในช่องท้อง
    --- > ตกใจ
    --- > พบตนเองมี 2 ร่างซ้อนกันอยู่ ร่างกายนอกและ ร่างกายในใสแก้ว
    ..
    3. มีแสงวาปเหมือนคนมาเปิดสปอร์ตไลต์ จ้ามาก จากด้านหลัง
    3.2 -- - > ตกใจ
    3.2 -- - > หันมองดูตามแหล่งที่มาของแสง ( จ้ามาก มองด้วยตาในได้)
    3.3 –- > เลิกสนใจแสง
    3.4 –- > นำจิตมาที่ร่างกายในเหมือนเดิม
    ..
    4. ดวงตาของร่างกายในมองเห็น สิ่งต่างๆ รอบตัวหมด (+ อาการสุขมากล้นเกิดขึ้น)
    4.1 --- > ตกใจ
    4.2 --- > เริ่มสำรวจร่างกายตนเอง ก้มๆ เงยๆ มองซ้าย มองขวา
    ( พิจารณาร่างกายนอกตนเองเห็นตามอิริยาบถชัดเจนทุกอย่าง เหมือนเรามองคนอื่นเห็น 360 องศา )
    4.3---> ใช้ตาในมองดูเพื่อน หรือ วัตถุสิ่งของ สำรวจภายในห้อง เห็นชัดเจนทุกอย่าง
    4.4---> สังเกตเห็นดวงแก้วใส กระเด็น กระดอน อยู่ข้างลำตัว
    ..

    5.เห็นดวงแก้วใส ข้างลำตัว
    5.1 แปลกใจคือ ดวงอะไร ใคร่รู้ อยากได้มาครอบครอง
    5.2 ยิ่งจิตติดตามดวงแก้ว ยิ่งกระเด็น กระดอนหนี (คล้ายวิ่งไล่จับเงาตนเองไม่ได้)
    5.3 อาการท้อถอย ปลงใจ น้อยใจที่ไม่ได้ดวงแก้วใสมาดูใกล้ๆ
    5.4 เลิกสนใจดวงแก้วใส
    5.5 นำจิตมาไว้ที่ร่างกายในใสแก้วเหมือนเดิม
    5.6 ดวงแก้วใสกระโดดจากด้านนอกเข้าสู่ตรงลิ้นปี่ของร่างกายในแก้วใส โดยอัตโนมัติ (หวาดเสียวมาก)
    ..
    6. พบดวงกลมสีขาว ตำแหน่งโผล่ขึ้นมาจากลิ้นปี่ (ขออนุญาตเล่าในโพสต่อไปน่ะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2018
  14. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    thank you so much
    ..
    5.jpg

    ขอบคุณมากครับท่าน hastin
    ..
    คำแนะนำของท่าน ตรงกับแนวฝึกของ ท่านอาจารย์ของกระผม
    ที่ท่านสิ้นทุกข์แล้วมากเลย
    ท่านใช้เพ่งอสุภ จนหมดไปน่ะครับ
    ช่างบังเอิญจริง ๆ
    จริตผมคงจะมาแนวนี้น่ะ
    เป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะครับ

    ..
    จะเริ่มต้นศึกษา
    และฝึกฝนแนวอสุภ
    ต่อไป
    ..
    :):)
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ จริง ๆ แล้ว "ไม่ต้องไปให้ความหมายอะไร"

    +++ ดวงแสงกลมๆสีขาว พุ่งเข้ามายังใบหน้า "ก็คือ" ดวงแสงกลมๆสีขาว พุ่งเข้ามายังใบหน้า เท่านั้นเอง
    +++ เป็นอาการ "ความรู้สึก หด (รวมตัว) เข้าสู่ส่วนกลาง" ในบริเวณลิ้นปี่ (ตรงนี้ถูกแล้ว)
    +++ เป็นอาการของ "กายในกาย"

    +++ ไอ้ตัวที่หดเข้ามานั่นแหละ เป็น "ตัวข้างใน"
    +++ ตาของ "กายจิต" ย่อมเป็น "ตาจิต" เรียกว่า "จิตเห็น" มันเป็นอย่างนั้นแหละ

    +++ แต่ยังไม่ถึง "ตาสติ" นะ ยังเป็นแค่ "ตาจิต" อยู่
    +++ ณ ขณะนั้น ความเป็นตน "อยู่" ที่กายจิต ไม่ได้ "อยู่" ที่กายเนื้อ
    +++ เป็นธรรมดาของ "ตาจิต" เพราะมันอยู่ใน "กายละเอียด (Density) ระดับ 4"

    +++ ส่วนกายเนื้อ ถือเป็น ความละเอียด ระดับ 3 เท่านั้น (มนุษย์และเดรฉาน เป็นระดับ 3 เหมือนกัน)
    +++ เป็นอาการ "แช่+อยู่" ใน ฌาน 3 ที่เป็นไปเอง "ทั้งตัว" เรียกว่า "สุขในฌาน เต็มตัวทุกอณู" เท่านั้น
    +++ หากเป็น กายเนื้อ (กายหยาบ 3) จะเป็นปรากฏการณ์ "เห็นทางหางตา" วับ ๆ แวม ๆ

    +++ แต่มันเกิดใน "กายละเอียดระดับ 4" ก็ยังมองแบบ 90 องศาไม่ได้ จะเห็นได้แบบ "เยื้อง ๆ ไปหน่อย"

    +++ จริง ๆ มันคือตัว "มโน+วจี สังขารจิต" มันพูดได้ แสดงภาพได้

    +++ แต่ผู้ที่สร้างมันขึ้นมา คือ "ตัวคุณเอง" นั่นแหละ
    +++ หากจะ "ใช้ภาษาให้ตรงตามอาการ" แล้ว ตัว "ลูกแก้ว" คือ ตัว "จุติจิต" ที่ทำการ Booking ภพภูมิที่จะไปเกิด นั่นแหละ

    +++ ตรง "ดวงแสงกลมๆสีขาว พุ่งเข้ามายังใบหน้าผมอย่างแรง" เป็น ขณิกะ

    +++ ตรง "แช่+อยู่ ในความสุขทุกอณู" เป็น ฌาน 3
    +++ จริง ๆ แล้ว มันสามารถ "เห็น 360 องศา" นั่นแหละ
    +++ มันคือ "สังขารจิต มโน+วจี" เวลาที่มันพูด จะมีอาการ "กระพริบ" ที่ใจกลาง "ฟองสบู่ใส" นั้นแหละ
    +++ ตำแหน่งของมันก็อยู่ตรง "ลิ้นปี่" นี่แหละ

    +++ หลาย ๆ ครั้งที่เกิด "ปรากฏการณ์ จิตผุด" ก็เป็นมัน "ที่ลิ้นปี่" นี่เอง
    +++ ตัว "สังขารจิต" จะปรากฏไปตาม ตำแหน่งที่มอง

    +++ ส่วนตัว "อัตตาจิต" คือตัวที่ "มองดู" อยู่นั่นแหละ

    +++ ตัวฟองสบู่ใสเป็น "มโน+วจี" ส่วน ตัวที่ดูอยู่ เป็น "อัตตา/ตัวดู/ผู้รู้/หลุมดำ และ คำอื่น ๆ อีกแยะ"

    +++ อ่านทบทวนอีกรอบ ก็จะพบ "คำตอบ" ทั้งหมดได้เอง นะครับ

    ปล. ควรโพสท์ให้ ข้อความกระชับมากกว่านี้ เวลาอ่านจะได้ "ไม่วกไปเวียนมา" นะครับ
     
  16. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ได้ความรู้มากมายเลยครับ..
    ..
    ท่าน ธรรม-ชาติ
    ..
    ขอบคุณมาก
    สำหรับความรู้ที่เป็นวิทยาทาน
    ในการเข้ามาเฉลย ข้อติดขัดของผู้กำลังเดินทาง
    ทำให้มีกำลังใจในการฝึกฝนและ
    ตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อไปครับ
    ..
    :):)
     
  17. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    :):)
    ขอบคุณเจ้าของพื้นที่กระทู้
    คณ วิทย์ วรุณี ด้วยน่ะครับ
    ที่ได้มีหัวข้อเรื่องนี้
    ตั้งกระทู้ขึ้นมาในเวปพลังจิต
    และทำให้ผู้กำลังเดินทาง
    ได้มีโอกาสเข้ามา
    ในการถามไถ่ในประเด็นที่ตนเองกำลังสงสัย
    อยู่เหมือนกัน
    ..
    และ
    ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านด้วย
    ที่ได้กรุณาช่วยกันเข้ามาตอบให้ข้อมูล
    ในคำถามข้อสงสัยเหล่านี้
    ..
     
  18. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ดวงกลมสีขาว
    .
    ขออนุญาตต่อน่ะครับ

    ..
    หลังจากที่เลิกสนใจในนิมิตลูกแก้วกลมใสแล้ว
    นำความรู้สึกมาไว้ให้มีสติที่ร่างกายภายใน (กายใน) ต่อไป
    กายในใสแก้ว ณ ตอนนั้นคือ กำลังขัดสมาธิอยู่
    (จริงๆ ตอนนั้นจิต คงจะมีสัญญาสร้างกายในใสแก้วออกมาหลอกตนเอง

    - รู้เพราะ..ท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายข้างบนช่วยไขกระจ่างโพสให้ความรู้น่ะครับ
    - จริงๆ จิตไม่มีรูปร่าง สัญญาสร้างขึ้นมา
    - ลูกแก้วใส กลิ้ง กระเด็น กระดอน ก็ภาพลวงตาที่ สัญญาจากจิตสร้างมาหลอก
    - จิตจริง คือ ตัวที่รู้สึกรู้ตอนนั้น กำลังนั่งมอง
    - ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายมากน่ะครับ ความรู้ใหม่เลย
    - และจริงๆ ก็ใช่ด้วยครับ
    - เพราะวันนั้น เทปธรรมะ นำนั่งสมาธิ มีให้ใช้นิมิต ประมาณนี้ส่งเข้าไปน่ะ
    - สรุปเองครับ ถ้ายังไม่ถูกต้อง .. ขอท่านทั้งหลาย.. ช่วยแก้ไขด้วยน่ะครับ..)
    ..
    สักพักหนึ่งมีปรากฎการณ์เกิดต่อดังนี้ คือ
    ..
    มีแสงสีขาวสว่างจ้าใหญ่มาก โพร่งขึ้นมา
    ผุดออกมาจากด้านล่าง แถวช่องท้องของตนเอง
    โผล่ขึ้นมากลืนกินตนเอง

    ..
    ความรู้สึกของกายในขณะนั้น คือ
    นั่งก้มมอง ลงต่ำ และพบ
    แสงสีขาว โพร่ง จ้ามาก (ตากายในมองได้)
    ปรากฏออกมา จนคลอบคลุม กายในหมด
    แรกๆ
    โพร่ง จ้า ใหญ่ครอบคลุมกายใน (โพร่งแสงขาว จ้า แรกๆ รัศมีแสงใหญ่มากจนมอง ดวงกลมขาวแทบไม่ได้)
    จนกายในตกใจมาก (แวบแรก กายในตกใจ เหมือนนั่งอยู่ดีๆ และมีเอเลี่ยนดวงกลมแสงขาว โผล่มาจากด้านล่างเข้ามากลืนกินเราเข้าไปทั้งตัวทันที ทันใด ภายในเวลาไม่เกิน 1 วินาที ใจเต้นครับ กลัวมาก)
    ..
    จิตภายใน ตอนนี้ คือ กระโดดหนีครับ
    กลัว แหยะแยง ใจเต้น คือไรๆ ถามตัวเอง กล้าๆ กลัวๆ
    พอจิตกายในกระโดดถอยร่นออกมา ตั้งสติได้
    หลังจากนั้นรัศมีของดวงกลมขาวก็
    รัศมีค่อยๆ จ่างลงจน เหลือพอประมาณ
    และสามารถมองเห็น ดวงกลมสีขาวได้ชัดเจนขึ้น (ไม่จ้ามากเหมือนตอนปรากฏครั้งแรก)
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ คุณ กำลังเดินทาง หากจะฝึกให้ "ถูกจริตของคุณ" ผมก็แนะนำให้ "ฝึกมอง ฝ่าอากาศ"

    +++ คือ "ไม่ว่าจะมองอะไร" ก็ให้ "รู้" ชัดเจนว่า สรรพสิ่ง เป็น "ของ ที่ต้องมองฝ่าอากาศ ออกไปทั้งสิ้น"

    +++ เรียกว่า "มันเป็น Object" ส่วนตัวเราเป็น "Subject" ล้วนเป็นของ 2 สิ่ง ที่โดนขั้นด้วย "อากาศ"

    +++ สรรพสิ่ง "มีอากาศเป็นตัวกลาง มีอากาศขวางกั้นอยู่" ให้ฝึกแบบนี้จน "ได้นิสัย"

    +++ แล้วจะเกิดอาการหนึ่งขึ้นมา คือ "สรรพสิ่งที่ต้อง มองฝ่าอากาศออกไปนั้น ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเราเลย"

    +++ เมื่ออาการดังกล่าว เริ่มเกิดขึ้น สิ่งที่จะติดตามมา ในระดับ อุปจาระสมาธิ + อัปปนาสมาธิ ของ "จิตเป็นดวง" นั้น

    +++ ก็จะกลายสภาพมาเป็น "มันไม่ใช่เรา" เช่นกัน

    +++ ในยามใช้ชีวิตประจำวัน ก็ "ฝึกมองฝ่าอากาศ"

    +++ ส่วนในยามฝึกสมาธิ ก็ "ฝึกเล่นกับดวงจิต แบบ มองฝ่าอากาศ" เช่นกัน

    +++ ลองเล่นดูสัก 3-10 วัน นะครับ
     
  20. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    ขอบคุณครับท่าน ธรรม-ชาติ
    สำหรับคำแนะนำ ชี้แนะในการปฏิบัติเส้นทางธรรม
    ทีดีและมีมาให้เสมอกับผู้กำลังเดินทาง ทำให้
    มีกำลังใจเพิ่มขึ้น
    ..
    แต่อยากขอสอบถามเพื่อความถูกต้องเพิ่มเติม
    ในสิ่งที่ยังไม่ทราบและยังไม่ค่อยแน่ใจกับ
    คำว่า
    ..
    ความหมายแบบง่ายๆ คือ ให้มองวัตถุทั้งหลายแบบเป็น "อากาศธาตุ"
    ประมาณนี้ได้ไหมครับ
    ..
    ด้วยทุกวันนี้ หลายๆครั้ง
    ผมจะชอบมองและบอกความรู้สึกให้ตนเอง
    ในการใช้ชีวิตประจำวัน เวลาออกไปพบปะสังคมภายนอก
    ที่เรามีความปรารถนาไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์ด้วย
    และต้องการอยู่แบบเงียบๆ ไม่ต้องการข้องแวะ
    และสนใจในกิจอื่นที่ไม่ใช่ของเรา
    ว่า
    "วัตถุทั้งหลายเหล่านั้น คือ อากาศธาตุ"
    ซึ่งมันก็ได้ผล คือ
    ทำให้จิตใจรู้สึกปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบายใจ
    ที่จิตใจไม่ได้ถูกรบกวนด้วยอารมณ์คำว่าชอบหรือไม่ชอบ
    หรือวัตถุเหล่านั้นไม่สามารถเข้ามากระทบในจิตใจได้
    ยกเว้นสัมผัสมองเห็นเป็นเพียงรูป แต่ไม่ได้รับการปรุงแต่งอารมณ์ขึ้นมา
    หรือถ้าเข้ามาได้ก็กระทบเป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างเบาบางมาก
    แบบแปปหายเลย
    ..
    สิ่งเหล่านี้พอจะอนุมานว่าเป็นการฝึกมองฝ่าอากาศได้ไหมครับ
    ..
    ขอบคุณล่วงหน้าน่ะครับ
    สำหรับกัลยามิตรและเพื่อนๆ ชาวพลังจิตทุกท่าน
    ที่น่ารักมาช่วยกัน
    ชี้แนะและไขปัญหา
    มาหลายโพสคำถามแล้วครับ
    ..
    :):)
     

แชร์หน้านี้

Loading...