ขอคําแนะนําเรื่องการปฏิบัติสู่การถอดจิตครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 16 กันยายน 2018.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    คือตอนนี้ผมว่าผมจะตั้งใจปฏิบัติจนกว่าจิตจะหลุดออกมาจากร่างกายให้ได้ คืออยากมีประสบการณ์กับการถอดจิต คือธรรมดาแล้วผมสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฝึกวิปัสสนาและพิจารณาความตายมาก็หลายปีแล้ว น่าจะ 10 กว่าปีได้แล้ว แต่จิตยังไม่เคยหลุดออกจากร่างซักที สงสัยเป็นเพราะไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องโดยตรงด้วยหรือไม่ก็คงบารมีไม่พอ แหะ ๆ คือพอดีวันก่อนผมลองไปนั่งฟัง clip ที่สอนเกี่ยวกับการถอดจิตดู เห็นใน clip บอกว่า ก็เหมือนเป็นการทําสมาธิธรรมดา แต่ให้เราบริกรรมว่า อิมัสมิง คือหายใจเข้าก็ อิมัส หายใจออกก็ สะ-มิง อ้อ ใน clip ที่ผมฟังเค้าสอนด้วยว่า ตอนเราบริกรรมก็ให้นึกถึงภาพสถานที่ที่เราต้องการไปตอนถอดจิตออกมา ผมก็ลองนึกถึงภาพสวนหลังบ้านของผม ผมทํามา 2 วันแล้ว เมื่อคืนก็ทําไป ( วันที่ 2 ) แต่ไม่ได้นึกภาพสถานที่ อ้อ แต่ตอนที่ผมทําวันแรกผมก็บริกรรมไป แล้วก็นึกถึงภาพของสวนหลังบ้านไป คือจิตมันก็ไม่ได้หลุดหรืออะไร แต่เห็นนิมิตเป็นคน ๆ นึงที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมาแทน คือผมไม่ได้ไปยึดติดด้วย เพราะเรื่องนิมิตนั้นมีทั้งนิมิตปลอมกับนิมิตจริง ผมทําสมาธิมาหลายปีแล้ว แล้วผมก็ชินกับเรื่องนิมิตแล้ว ไม่ได้ไปสนใจอะไร คือผมก็ไม่รู้ด้วยว่านิมิตของคนที่ผมเห็นนี้เป็นนิมิตจริงหรือปลอม คือตั้งแต่คน ๆ นี้เสียชีวิตไปผมก็อุทิศบุญไปให้เค้าทุกวัน จากที่ผมศึกษามา จริง ๆ แล้วคนที่เริ่มเข้าฌานได้ก็จะเห็นนิมิตกันเป็นเรื่องปกติ ผมเลยไม่ได้สนใจอะไร ที่ผมอยากจะถามก็คือ

    1. หากเราบริกรรมว่า อิมัสมิง คําบริกรรมนี้จะทําให้จิตหลุดออกมาได้ใช่ไหมครับ ?

    2. มันจําเป็นไหมว่า เราต้องนึกถึงสถานที่ที่เราอยากให้จิตของเราหลุดออกไปตรงนั้นเหมือนที่ผมนึกถึงภาพสวนหลังบ้านของผมในตอนที่นั่งสมาธิ ?

    3. ผมสามารถนึกถึงภาพที่ไกลไปจากบ้านของเราได้ไหม ? เช่น ผมนั่งสมาธิอยู่ในบ้าน แต่อาจจะนึกไปถึงบ้านเพื่อนสนิทที่อยู่ไกลออกไปจากบ้านเราหลายกิโล ? หรือเราควรจะนึกถึงภาพสถานที่ในบริเวณบ้านเราไว้ก่อน คือไม่ต้องไปไกลมากเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน แบบนี้รึเปล่าครับ ?

    4. ถ้าผมไม่นึกเป็นภาพสถานที่ แต่นึกเป็นภาพพระพุทธรูปที่เป็นประกายพรึกสีขาว แล้วมีแสงสว่างจ้าออกมาจากร่างของพระพุทธรูป พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนเป็นกสิณแสงสว่างไปด้วยในตัว แบบนี้จิตจะหลุดออกมาได้ใช่ไหมครับ ? คือผมหมายถึงนึกภาพของพระพุทธรูปไป แล้วก็บริกรรม อิมัสมิง ไปด้วย แบบนี้อะครับ

    ขอบคุณมากครับสําหรับคําแนะนํา อนุโมทนาครับ สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2018
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    โห....กว่าจะกลับมา ปรารภความเพียร เล่นตัดแปะ ความรู้ผู้อื่น ไปหลายปี

    พอมา ปฏิบัติก็ เอาอีก ...ความชินที่จะ อาศัย จมูกคนอื่น มันติดไม่หาย
    เลยจะไปหา คาถา เฮงซวยมา ปิดบัง ความสามารถตน !!

    จขกท ไม่ต้องบริกรรมอะไร ทำสมาธิ ด้วยใจปรกติ ไม่ต้องรำพึงซ้ำซาก
    จิตรำพึง จะต้องมี รสเป็น "สัจจ" ดำริครั้งเดียว แล้ว มีรสเป็น "สัจจ" ติด
    ในใจเป็นประทานสังขาร หาก บริกรรม รำพึงซ้ำ ให้รู้ทันลงไปตรงนั้นว่า
    ไม่ใช่ เป็นอาการ ลูบคลำ ลังเลสงสัย มรรค ปฏิปทา ....พูดในเชิงบัญญัติ
    คือใจมันค้าน กึ่งฟังเรื่องฤทธิ์แบบเอาเท้าไปยันหน้าคนสอนไว้

    นะ

    กลับมาที่สัจจตน ความเพียรตน จขกท ถอดจิตออกไปปีมะโว้แล้ว !!!

    ตรงที่ปรารภว่า เห็นนิมิต .....ตรงเนี่ยะ ออกไปแล้ว

    ตรงที่ปรารภว่า มันไม่เที่ยง......ตรงนี้เป็น สัมมาทิฏฐิ(หาก ดำริ ตามเก็บกวาด)
    จะเป็น ญาณสัมปยุต ก็ต่อเมื่อเห็น นิมิตจำนวนมาก แล้ว ไม่อื้อฮืออ้าฮา
    ลังเลสงสัยจนเกิด ช่องให้มารมันกระซิบหลอกว่า "เฮ้ยตะกี้อะไร" พอมาร
    มันกระซิบหลอกสำเร็จ ร้อยละร้อย จะเกิดอาการ kuรู้ kuเก่ง kuปั่นปฏิภาค
    นิมิตได้ kuหาช่องหลอกผู้อื่นโดยการหน่วงเหนี่ยวกรรมวิบากของผู้อื่น
    ให้เห็นไปตามอำนาจ ทำให้สตินักภาวนาอ่อนลง จนตกอยู่ใต้กระแส
    การซูฮกจกเปรตได้ มารมันต้มเอาทั้งคนปั่น ทั้งคนโดนปั่น

    นะ

    กลับมาที่สัจจตน ความเพียรตน จขกท ถอดจิตออกไปปีมะโว้แล้ว !!!

    ตรงที่ปรารภว่า เห็นนิมิต .....ตรงเนี่ยะ ออกไปแล้ว

    ตรงที่ปรารภว่า มันไม่เที่ยง......แล้วผ่านไปดั่งเข็มสละด้าย ไม่ย้อน
    กลับไปสงสัย เอามาทำเป็นประโยชน์ตน หรือ ผู้อื่น ตรงนี้เป็น ญาณสัมปยุติ

    พอ จขกท มั่นใจ ทำการเห็น ญาณสัมปยุติ มีในจิต ชัดๆ เราจะเรียกว่า
    จิตอ่อนควรแก่การงาน เมื่อนั้น จึงเอาจิตชนิดนี้ น้อมไปใน ญาณทัสนะ

    สำคัญนะ ที่จะต้องเห็น ชัด จิตก้าวข้ามจิต จิตไม่ฉวยจิต จิตมีญาณสัมปยุตติ
    ไม่ฉวยอาการ ตั้งนิมิต โดยมี kuไปรองรับ...

    พอได้จิตรู้ชัดว่า ญาณสัมปยุตติคืออย่างนี้ๆ

    ตอนที่เห็น นิมิต ตรงหรือไม่ตรงก็แล้วแต่ .....ระลึกดีๆ ใน จิตที่ควรแก่การงาน
    ในสมัยนั้น มันจะมีอยู่ ......

    รอให้ภายนิมิตมันหาย หรือ หากเก่งพอก็กำหนดรู้ว่า นั่นนิมิต แล้ว รูปมันเคลื่อน
    ....จังหวะที่รูปเคลื่อน จิตสว่างจะเกิดให้รับรู้ได้ หน่วงไว้ตรงจิตสว่าง ซึ่งไม่จำ
    เป็นต้องเป็นดวง เท่าเข็มหมุดฮ่านอะไร ....มันเป็น สภาวะใจมันโปร่ง มันโล่ง
    มันควรแก่การงาน......แรกๆ ก็น้อมไปให้ รูปมันปรากฏจำนวนมาก จิตสว่าง(ไม่ใช่
    แสงเสิง ปั่นเปิ่น เอะอะมะเทิ่งkuเก่งอะไร) มันยังคงอยู่ บางครั้งก็ไม่ใช่รูป
    แต่เป็น วิญญาณทางอายตนะอื่น(วิญญาณฐีติ) มันมีเครื่องรู้ของจิต เครื่องรู้ของสติ ชนิดอื่น
    ไปเรื่อยๆ เนี่ยะ ถอดจิต ซ้อมตรงนี้บ่อยๆ

    พอบ่อย จนชำนาญ จะอาศัย ระลึกได้ใน จิตควรแก่การงาน ความสว่าง
    เดินลืมตาอยู่ก็โน้มน้อมได้ ไม่ใช่ ต้องรอต่อสายโทรหา หาจังหวะเวลา
    สถาณที่ ....ก็น้อมเอาได้เลย....จนพอเข้าใจ การเข้า การอยู่ การออก

    คราวนี้ ค่อยผลิกแผลง .... [ ซึ่ง มีหลากวิธี ...... ]

    เช่นวันนี้ไม่มีอะไร จิตมันเริ่มหนักไปทางโลก ชะ รอย จิตห่างกีฬาจิต

    จขกท ก็นอนราบลงกับพื้น หายใจสองสามปึ๊ด ระลึก กายที่นอนอยู่
    มันจมลงไปในพื้นโลก ..............วึ๊ดไป .........

    หาก สามารถใน "จิตควรแก่การงาน" 1 "จิตน้อมไปในญาณทัสนะ" 1
    "วี๊ดไป".....1 คราวนี้ สัจจ ที่ตั้งไว้เป็น สัจจ มันจะให้ผล เป็นประทาน
    สังขาร ....เกิดการแล่นไปของ อายตนะ ตาม ปัจจัยการ ไม่ใช่ ดำริจะเป็น
    พอออกไปแล้ว ก็เกิดดับ สำรอกอาสวะ สาสวะ อย่างเดียว เรียกว่า กายคตาสติ

    ปล.ถ้าไม่มี อาการ สำรอกอาสวะ สาสวะ เพื่อ อนาสวะ อย่าไปบอกใคร
    เขาว่ารู้จัก กายคตาสติ มีแต่พวก หลอกขยับเส้นฮี เท่านั้น ที่จะกล่าวอย่างนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2018
  3. กลับตัวกลับใจ

    กลับตัวกลับใจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    เอาความรู้สึกไว้ที่กายนะครับ แล้วปล่อยสบายๆ แบบเราหลับอ่ะครับ เดียวก็แยกออกเองครับ แค่มีสติประคองความสบายไว้ (อย่าหลับก่อนนะครับ) ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2018
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ประเด็นแรกนะ..ไม่อ้อมนะ
    ข้อ ๑.เอาตรงๆนะ จะทำหรือไม่ทำก็ได้นะสำหรับคุณ
    เพราะปกติอยู่ภายใต้กระแสครูบาร์อาจารย์ที่เคารพ
    เป็นปกติอยู่แล้ว....คือ มีตั้งกระแสครูทั้งกระแสพลังงาน
    ที่เชื่อมถึงจิตอยู่แล้วปกติ และตัวจิตก็มีสัมผัสด้าน
    ภายในอยุ่แล้ว ......
    ซึ่งข้อดีคือ ทำให้ไม่หลงตัวเอง ไม่ทำตัวนอกคอก
    เหมือนพวกที่เกร๊งกล้ามตรูดฝึกสมาธิ ลูบๆคลำๆพระรัตนตรัย
    และใช้ในทางที่ผิดๆทั้งหลาย....
    เรียกว่า ตกน้ำไม่ไหลเพราะจม ตกไฟไฟไหม้เกรียม
    เมียตบคือตาย ..มุขๆ..

    ข้อ ๒. การที่เข้าใจว่าจิตหลด วิธีการฝึกนั้น มันเป็น
    ด้านอิทธิวิถีครับ มันขึ้นอยู่กับเทคนิคคอลเทอม
    ไม่เกี่ยวกับบารมีอะไรหรอกครับ. คำว่า บารมี
    มันเป็นคำที่พวกหลงตัวเอง ชอบใช้อ้าง เวลา
    พยายามสอนใครแล้วเค้าเห็นหรือทำไม่ได้แบบตนเอง
    ชอบใช้กันครับ คือ ยึดในสิ่งที่ตนเองเห็น
    ยึดว่าวิธีการที่ตนถ่ายทอดดีที่สุดนั่นหละครับ.....


    ข้อที่ ๓ ผมจะถามแต่คุณไม่ต้องตอบนะครับ คำตอบในใจ
    นั่นหละ มันจะบอกว่า คุณทำไมยังทำไม่ได้ และเข้าใจกิริยา
    ทางนามธรรมของคำว่า จิตหลุดไปสับสนกับกิริยาการยกกาย
    และยังเข้าใจเชิงเทคนิควิธีคลาดเคลื่อน(หมายถึงไปเอาเรื่องการวางอารมย์มาพูด ซึ่งมันควรจะมาหลังที่สามารถควบคุมจิตได้
    จากกำลังสติทางธรรม และทำจนชำนาญไประยะหนึ่งแล้ว)
    ที่หลุดกลายมาเป็น
    คำถามของคุณเอง ทั้ง ๔ ข้อที่ผ่านมา(เด่วจะอธิบายภายหลัง)

    ถามว่า ณ ปัจจุบันนี้ ระบบหายใจปกติในชีวิตประจำวันของคุณ
    ลมหายใจเข้าและออกของคุณ ลึกถึงท้องไหมครับ
    เวลาหายใจเข้าท้องพองเป็นปกติไหม
    เวลาหายใจออกท้องยุบไหม หรือหายใจจบที่หน้าอก
    และ ทั้งท้องพองและยุบนั้น
    เป็นไปตามธรรมชาติของมันเองไหม และได้เผลอไปตาม
    ลมหายใจไหมครับ หรือหยุดที่ปลายจมูก จบ......


    ก่อนจะตอบคำถามจะบอกว่า
    กิริยา จิตหลุด จิตส่งออก ส่งจิตไปโน้นนี่นั้น
    มันเป็นกิริยาเดียวกัน แตกต่างกันตรงที่
    มีกำลังสติทางธรรมในการควบคุมหรือไม่
    คนที่จะมีสติทางธรรม ในระดับที่เล่นกับเรื่อง
    พวกนี้แล้วไม่ยึดนามธรรมคือ.

    ๑.จะต้องวางอารมย์เป็น
    เหมือน ข้อ ๓ ที่คุณถาม แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง
    ของความปลอดภัย เพราะกิริยาที่คุณถาม
    เป็นในระดับของ การส่งจิตออกไป
    มันเป็นแค่การ ที่จิตส่งออกย้าย ตัววิญญานการรับรู้
    ไปอยู่ในจุดที่เราจะไป ตัววิญญานการรับรู้ที่ออกมา
    จากตัวจิตนี้ มันผูกกับจิตตลอดเวลา แค่ระลึกได้
    มันก็จะกลับมาที่จิตเราแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องความ
    ปลอดภัยเพราะมัน ทำหน้าที่เหมือนตอนที่เราลืมตา
    ปกติเพียงแต่ในสภาวะนั้น มันตัดช่องทางเดินกาย
    ที่ปกติใช้ตา หู ฯลฯ ออกไปเฉยๆ
    พูดง่ายๆ เปรียบได้ กับในเวลาปกติ คุณยืนอยู่
    แล้วมองดู สิ่งที่คุณอยากดู แค่ดูเฉยๆ ไม่เดินเอากายไปด้วย
    พอเข้าใจเนาะ........

    ๒. นอกจากระบบหายใจ เข้าออกที่ลึกถึงท้องเป็นปกติแล้ว
    (ตรงนี้สำคัญมากกับการสร้างกำลังสมาธิสะสมช่วยรักษา
    ระยะเวลาในสภาวะทางนามธรรมให้นานขึ้น)และ
    การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกหยุดที่ปลายจมูกแล้ว(ตรงนี้
    สำคัญมากับความเข้าใจทางด้านนามธรรม)

    การใช้คำภาวนาใดๆก็ตาม. คำภาวนาจะเป็นผล
    เมื่อจิตมีความเป็นทิพย์(อุปจารสมาธิ)
    ปกติ การส่งจิตในระดับ อุปจารสมาธินั้น
    เราใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ เพราะหลักการมันอยู่แค่
    ให้เราอยู่กับคำภาวนา แล้วจิตมันเลิกสนใจคำภาวนา
    (ไม่ได้หายนะ)พอเลิกสนใจ แล้วสมาธิมันไปต่อไม่ได้
    กำลังมันเลยตกมา อุปจารสมาธิ จิตที่กำลังสติไม่พอ
    มันเลยส่งออก ไปโน้นนี่นั้น เท่านั้นเอง....
    คำภาวนาที่คุณ นำมาถาม เป็นคำภาวนา ที่ใช้ความคิด
    ไปเป็นแรงผลักดัน เพื่อให้จิตมีความเป็นทิพย์สำหรับ
    การส่งจิต ส่วนตัวเรียกว่า มันเป็นการมโนทางความคิดไม่ดีครับ
    ถ้าในกำลังระดับนี้ คำภาวนาส่งผลตรง ดีกว่านี้มีเยอะครับ

    ๓. กำลังสติทางธรรมเพียงพอ คือ จะต้องวางอารมย์เป็น
    ว่าจะไปสถานที่ใดก่อน วางอารมย์คือ ระลึกไว้ระหว่างวัน
    แล้วลืมๆไป ไม่ใช่ไประลึกตอนนั่งหรือกำลังจะนั่ง เกทเนาะ

    ๔.ในกำลังระดับอุปจารสมาธิ กำลังสติทางธรรมเพียงพอ
    คือ มันจะสามารถเห็นในระหว่างทางที่กำลังจะเดินทาง
    ไปยังสถานที่นั้นๆได้. การที่อยู่ดีๆไปโผล่เลย
    และไม่รู้ด้วยที่ไหน หรือ อยู่ดีๆไปโน้นไปนี้โดยไม่เคย
    ได้นึกมาก่อนนั้น. กิริยาทั้งหมดที่กล่าวมา
    เรียกว่า กำลังสติทางธรรมเรายังอ่อน หรือน้อยไป
    ถ้ามีกิริยาอย่างนี้ ต้องมาเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องจริงๆ ถึงจะสามารถเห็นในระหว่างทางที่เดินทางได้
    ให้พึ่งระลึกไว้ว่า แม้ว่า จะมีความชำนาญแม้ภายใน
    ไม่กี่วินาที แต่ถ้า ไม่ทันระหว่างที่เดินทาง
    คือ กำลังสติไม่พอ...ประกันว่า เข้าใจอย่างนี้ไม่มีหลง

    ๕.ไม่ติด ไม่ยึด นิมิต ถือว่า ดีมาก...แต่จะไปต่อ
    ในระดับ ที่ จิตแยกออกจากกายในกำลังสมาธิระดับสูงกว่านี้

    ๕.๑ อันดับแรก ต้องมาดูระบบลมหายใจก่อน
    ว่าเป็นอย่างที่บอกไว้ไหม
    ๕.๒ ลำดับต่อมา หลังจากที่จิตไม่สนคำภาวนาแล้ว
    และจิตตกลงมา อุปจารสมาธิ ได้พยายาม เห็นแล้วทิ้งภาย
    ตัดภาพเลยไหม และก็ไม่ได้ลืมตา และเข้าไปใหม่บ่อยๆหรือไม่
    ถามว่า ทำไปต้องตัดและเข้าไปใหม่ เพราะต้องการกำลังสมาธิ
    สะสมจากการเข้าออกบ่อยๆตรงนี้ ไปหนุนยกระดับสมาธิให้
    สุงขึ้นนั้นเอง.............ถ้าไม่ทำ

    จะมัวไปสนใจ แต่การไปดูภาพต่างๆ แม้ไม่ยึด
    แต่ก็จะเห็นแต่ภาพโน้นนี่นั้นอยู่เรื่อยไป
    และจะเผลอไปรักษาภาพให้นานขึ้น(ถือว่าพลาดมากถ้าทำ)
    เพราะจะไม่มีกำลังพอที่จะยกระดับสมาธิไปสูงกว่านี้ได้
    นั่งสมาธิต่อไป มันเลยทำให้จิตคุ้นเคยกับสภาวะที่จิต
    เป็นทิพย์เห็นโน้นนี่นั้นอยู่เรื่อยไป ขาดการพัฒนายกระดับกำลัง


    ๕.๓. ผ่านระบบลมหายใจ ผ่านทริคในการยกระดับกำลังสมาธิ
    ถ้าไม่ขึ้นต้นด้วยภาพ (ข้อ ๔ ที่คุณถาม อย่าไปทำนะ อันตราย
    ใครทำโอกาสหลงสูงมาก ปกติแม้จะเห็นภาพพระในกำลัง
    สมาธิระดับที่เป็นประกายผลึกได้ แต่เราจะผลิกมาทิ้งภาพ
    และเข้าสมาธิจนมีภาพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และใช้ในการอฐิษฐาน
    จิตให้เกิดผลแทน ซึ่งที่คุณ ถามมันคนละวิถีทางอิทธิวิธีเลย
    มันจะเอาทริคทางด้านเทคนิคไปปนกันกับ ทริคสายวิชาพิเศษและทริคของหลักการอฐิษฐาน
    จิตไม่ได้นะครับ เข้าใจนะครับ)
    จิตจะไปแบบพรวดพลาด แล้วอีกกายหนึ่ง หรือ จิตคุณ
    มันจะหลุดออกมาเอง โดยที่คุณ ไม่มีทางควบคุมได้เลย
    ในครั้งแรก ใครบอกควบคุมได้ คือ มโนล้านเปอร์เซนต์ครับ
    คุณ ต้องมา เจริญสติ ให้ต่อเนื่องจริงๆทั้งวัน
    จนกระทั้ง สามารถควบคุมดวงจิต ให้มันแยกจากกาย
    ได้เด็ดขาดชั่วคราว และจิตอยู่นิ่งจริงๆในกาย
    ต้องประมาณ ทำอีก ๓ ถึง ๔ ครั้งถึงทำได้นะครับ
    พูดง่ายๆ จะต้องมองเห็นช่องท้องตัวเองจากด้านในก่อน


    ๕.๔ ถ้าขึ้นด้วยภาพ จะไปได้ แบบอฐิษฐานจิตข้างบน
    และปั่นปฏิภาคนิมิต จะไปได้ทางกำลังจิต มีรายละเอียดปลีกย่อย
    ค่อยว่ากันภายหลัง.........

    และเมื่อ สามารถ ควบคุมจิตที่ตัดจากร่างกายได้เด็ดขาดชั่วคราวแล้ว มันจะไปได้ ๒ กรณี คือ ๑.จิตวิ่งซ้อนในจิต และ ๒.
    จิตวิ่งดูอวัยวะภายในร่างกายตนเอง....ถ้าเป็นข้อ ๑
    เวลาลืมตาปกติ เราจะมีความสามารถใช้งานทางจิตได้
    ในชีวิตประจำวันปกติเลย ถ้าเป็น ๒ จะได้อานิสงค์ในเรื่อง
    การตัดร่างกายได้ถึงระดับละเอียด......และจะบอกว่า
    มันจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่สามารถบังคับได้

    เกิด ๑ หรือ ๒ ก่อน แล้วค่อยดูว่า หลังจากควบคุมจิตนิ่งๆ
    ที่แยกกับกายชั่วคราวได้แล้ว เราจะไปทางด้านไหนต่อ
    เช่น สร้างกำลังจิต อฐิษฐานจิต หรือ อรูปฌานถึงขั้นที่ ๓
    ค่อยว่ากัน เพราะได้ผลต่างกัน


    ปล.เอาประมานนี้ก่อนครับ ค่อยๆปรับความเข้าใจ
    ทางนามธรรม และเทคนิคคอลเทอมก่อนครับ

     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ปรกติ จขกท ชอบ หาคำเทศนา ของพระ

    ลอง ฟังอันนี้ละกัน ....คนถามพระ ในคำถามที่สอง เรือง จิตถอด ถอดจิต พอดี

    http://www.sa-ngob.com/media.php?id=5134&con=1
     
  6. &เมฆา

    &เมฆา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    262
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +610
    ขอตอบแบบประสพการณ์
    1.ต้องมีจิตใจแน่วแน่ในสิ่งที่ทำ หรือพูดง่ายๆคือ ศรัทธา
    2.ต้องมีจุดปลายทางที่กำหนดไว้ (ข้อนี้ น่าจะขาด)
    3.คำภาวนาเหมือน เหยื่อล่อปลาให้ติดเบ็ด
    พอปลาติดเบ็ดแล้ว เหยื่อก็ไม่จำเป็น
    4.ควรสวดมนต์ เพื่อวอร์มอารมณ์ให้นิ่ง สงบก่อน คล้ายๆนักกีฬาก่อนลงสนามแข่งจริง
    5.ความเชื่อมั่นในตนเอง หรือวิริยะ ต้องมีเต็มร้อย เช่น ถ้าไม่สำเร็จในคืนนี้ จะภาวนาให้ถึงรุ่งเช้าไปเลย
    6.ถ้าทำจนครบแล้วไม่ได้แสดงว่า ต้องใช้อธิษฐานบารมีช่วย
     
  7. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ฝึกอะไรก็ได้ให้รู้ถึง กายเวทนา กายจิต และกายธรรมารมณ์(อัตตาจิต) เมื่อรู้แล้วก็สังเกตุการทำงานของมันทั้งหมดนะครับ
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จะถอดทำไมหรือคะ ถอดไปไหน ถอดไปทำอะไร...เพื่ออะไร ใช่ทางพ้นทุกข์หรือป่าว

    ความอยากรู้อยากเห็น เกิดจากความลังเลสงสัย ดูซิเหตุปัจจัยอะไรนำมาซึ่งทุกข์ เหตุปัจจัยอะไรนำมาซึ่งความพ้นทุกข์

    พิจารณาไตร่ตรองดีๆ ค่ะ

    การถอดจิตนี้ใช้กำลังสมาธิในระดับฌานค่ะ คำบริกรรมเป็นอุบายล่อจิตให้อยู่กับฐานในเบื้องต้นของการทำสมาธิ จิตไม่ซัดส่ายสอดแส่ออกไปภายนอก จึงเป็นจิตที่มีกำลัง เมื่อมีกำลังแล้ว. สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ก็เป็นเรื่องของอำนาจจิตหรือพลังจิต

    ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้นะคะ ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องสงสัย

    เจริญในธรรมค่ะ
     
  9. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +248
    ถ้าถอดจิตออกไปได้แล้วก็น้อมเข้ามาที่กายนี้เวทนานี้ด้วย ว่า กายนี้ไม่ใช่จิตนี้จริงๆ เวทนานี้ไม่ใช่จิตนี้จริงๆ กาลใดที่จิตไปเกาะไปติดไปยึดถือว่าเป็นตน ก็ทุกข์ก็โง่ก็หลงจริงๆ ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง
     
  10. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    เบื้องต้น ของการถอดจิต ต้องรู้จักจิตก่อนว่าคืออะไร

    ท่องบ่นไปยังงัยก็ไม่ออกหรอกครับ นอกจากตายแล้ว

    จิตคือ อะไร จิตในที่นี้ ของคนธรรมดา ที่ไม่ใช่อรหันต์ คือ ความรู้สึกตัว ,อัตตา ตัวกูของกู ,ดวงกสิน ,ตัวดู ,วิญญาณขันธ์

    อันดับแรก จำเป็นต้องทำความรู้สึกทั่วกายให้ได้ก่อน หลังจากนั้นจึงทำการฝึกเพิ่มลดควาทรู้สึกตัว และสุดท้าย หดความรู้สึก จนเป็น ก้อนเล็กๆ ภายในหัว ยิ่งหดเล็กเท่าไหร่ ยิ่งมีความแน่น เครียด และเป็นทุกข์ มากเท่านั้น นั้นคืออัตตา
    ยิ่งเล็กมาก เท่าไหร่ จะยิงออกได้ง่ายเท่านั้น

    ตัวที่ยิงออกนี้ละคือ จิต เมื่อยิงอัตตาออกไปได้ เราจะเหลือแค่สภาวะรู้ เป็นสภาวะ วิมุติ คือหลุดพ้นจากอัตตา นั้นเอง

    อัตตานี้เมื่อ พุ่งไปที่ใด ตนของเราก็อยู่ที่นั้น สภาวะรู้ จะรับรู้สิ่งที่ ก้อนอัตตานี้พุ่งผ่านไปที่ใด ย่อมจะรู้จนเห็น ว่า สภาพรอบทั้งหมด ของอัตตานี้คืออะไร เห็นอะไร

    วิธีทำ ความรู้สึกตัวเบื้องต้น คลิกที่นี้

    เริ่มด้วยโพสที่ 7 จะเป็นการทำความรู้สึกตัว

    จะรู้ได้เมื่อทำ

    ใครไม่ทำอย่าเสือก ok.
     
  11. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    อ้อ คืออย่างนี้ครับ จริง ๆ จิตมันจะหลุดหรือไม่หลุดก็ไม่เป็นอะไรครับ ผมไม่ได้สนใจ แต่ถ้าหลุดก็ดี คือผมอยากจะมีประสบการณ์ทางนี้ เพราะผมฝึกพิจารณามรณานุสสติหลายปีแล้ว จนผมไม่อยากจะอยู่บนโลกนี้แล้ว คือประมาณว่าถ้าตายวันนี้ได้ วินาทีได้ผมก็ยอมไป บางครั้งผมปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ผมก็มีความคิดเข้ามาในหัวเราว่า เราไม่กลัวตายแล้ว แต่จริง ๆ แล้วผมก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะยังไม่เคยไปถึงจุดนั้นจริง ๆ จริง ๆ ในชีวิตผมก็เคยเกือบตายมาอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเป็นวัยรุ่นอยู่ คือยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ถ้าตอนนั้นผมตายตอนวัยรุ่นก็คงน่าเสียดาย เพราะยังไม่เคยได้มาปฏิบัติธรรมเลย คือถ้าตายก็คงตายแบบเสียเปล่า บางทีอาจจะไปทุคติภูมิด้วยซํ้าผมว่า จุดประสงค์ที่ผมอยากจะสัมผัสกับสภาวะจิตหลุดเพราะว่า ผมอยากรู้ว่าตอนเราจิตหลุดออกมาก็คือเหมือนเราตายแล้ว เราจะเป็นยังไง ? เราจะกลัวไหม ? คืออยากจะสัมผัสกับมันก่อนที่ผมจะได้ตายจริง ๆ ซักวัน เพราะถึงแม้ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่า ผมไม่น่าจะกลัวตายแล้ว แต่มันก็ไม่มีอะไรรับประกันได้แน่นอน คือถึงแม้ผมจะรักษาศีล 6 ( ผมเพิ่มอีกข้อเข้าไป คือไม่นอนบนที่นุ่มเพื่อความสบาย ) สวดมนต์ ทําสมาธิ ฝึกวิปัสสนาทุกวัน แต่พอถึงเวลาต้องตายขึ้นมาจริง ๆ ผมอาจจะสติแตกก็ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าจิตของผมหลุดออกมาได้ อย่างน้อยก็จะได้สัมผัสถึงความตายแบบก่อนตายได้บ้าง อีกหน่อยพอถึงเวลาจริง ๆ ต่อให้เราจะตายร้ายหรือตายดี เราก็น่าจะพอจะเอาอยู่ อะไรประมาณนี้อะครับ

    อ้อ ขอเพิ่มอีกหน่อย จริง ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าผมใช้อุบายแบบนี้จะได้รึเปล่านะ คือเวลาผมนั่งสมาธิ มีหลาย ๆ ครั้งที่ผมชอบวูบไป คือไม่ได้หลับนะ แต่มันวูบไปช่วงนึง คือพอเรารู้สึกตัวอีกทีเราก็กําลังนั่งสมาธิอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ คือไม่ได้วูบแบบสัปหงกนะ แต่รู้สึกวูบเพราะเกิดจากอาการตกจากฌาน ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอย่างนี้รึเปล่า ? ถ้าไม่ใช่ขออภัยครับ คือเคยอ่านหรือฟังมานี่แหละ คือผมจะเจออาการวูบบ่อย ทีนี้มาระยะหลังนี่ผมเลยใช้อุบายนี้พิจารณาเหมือนเป็นความตายของเรา คือผมเคยมีคนรู้จักอยู่ 2 คนได้ เค้าเคยมีประสบการณ์ motorcycle ควํ่า แล้วเค้าบอกว่าเค้าก็วูบไปเลย ไม่รู้สึกอะไร พอมารู้สึกอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลมั้งถ้าจําไม่ผิด คือผมเห็นคนตายมาก็เยอะ เห็นใน clip ก็เยอะ เช่นพวกที่เกิดอุบัติเหตุบนถนนแล้วเสียชีวิต ผมดู ๆ แล้วคนที่วูบ ๆ ไปแล้วยังไม่เสียชีวิตก็คงจะไม่ได้แตกต่างกับพวกที่เสียชีวิตเท่าไหร่ คือคนที่รอดก็วูบแล้วมีสติกลับมาอีกทีก็ยังอยู่บนโลกนี้ แต่คนที่ตายแล้วก็คือวูบแล้วพอรู้สึกตัวอีกทีก็คงเห็นร่างของตัวเอง แล้วก็รู้ว่าตัวเองเสียชีวิตแล้ว ตอนที่ผมวูบในสมาธิ ผมก็เลยใช้อุบายมาเปรียบเทียบประมาณแบบ เออ ถึงเราจะไม่เคยเจอกับสภาวะจิตหลุด แต่อย่างน้อยการวูบในสมาธิของเรา แล้วกลับมามีสติอีกทีมันก็เหมือนเราก็ได้สัมผัสความตายไปแล้วเหมือนกันนิดนึง คือผมใช้อุบายนี้นะกับการพิจารณาความตายในตอนนี้ อย่างที่ผมบอกไปว่า ไม่รู้ว่าผมพิจารณาแบบนี้จะถูกหรือผิด แต่ผมคิดว่าน่าจะใช้ได้ เพราะแต่ละคนก็มีอุบายต่างกันไป ตามนี้ครับ ขอบคุณมากครับสําหรับทุกคําแนะนําจากทุกคนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2018
  12. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    ขอตอบพี่ noppahakan แบบนี้แล้วกันครับ คือพี่เขียนมายาวมาก ผมคงตอบหมดไม่ไหว แหะ ๆ คือผมจะรักษาศีล 6 ( ผมเพิ่มอีกข้อเข้าไป คือไม่นอนบนที่นุ่มเพื่อความสบาย ) สวดมนต์ ฝึกวิปัสสนาดูจิตและดูกาย แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางดูจิตดูอารมณ์มากกว่า เช่นสุขก็ไม่ยึด ทุกข์ไม่ยึด อะไรแบบนี้ ก่อนเข้านอนผมก็จะเดินจงกรมแป๊บนึงก่อน แล้วก็นั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิเสร็จแล้วผมก็นอนสมาธิจนหลับไปทุกวัน นอนสมาธิของผมคือ ผมจะคิดว่า เรานอนวันนี้เราอาจจะไม่ตื่นแล้ว ถ้าตายตอนนอนก็ขอไปนิพพานเลย แล้วผมก็บริกรรมคําภาวนาสําหรับนิพพานทุกวันจนหลับไป อ้อ บางวันตอนเข้านอนผมก็จะนึกว่า ตัวของผมเน่าเปื่อยไม่ก็โดนไฟเผาอยู่จนดําเป็นตอตะโก ไม่ก็นึกว่าตัวเองมีแต่โครงกระดูก แล้วก็ดูลมหายใจเข้าออก แล้วก็บริกรรมคําภาวนาจนหลับไปทุกวัน บางวันผมก็จะนึกถึงพระพุทธรูปสีขาวประกายพรึกมีแสงจ้า ๆ ออกมาจากองค์ท่าน อ้อ แต่เรื่องจับภาพพระพุทธรูป อันนี้ผมนาน ๆ ทําที ส่วนใหญ่จะเน้นที่คําภาวนามากกว่า จริง ๆ แล้วคือผมก็ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดหรือถูกนะ คือถ้าผมจับภาพพระพุทธรูปสีขาวประกายพรึกแล้วมีแสงสว่างจ้าได้ทุกวันตอนเข้านอน ผมน่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับสภาวะจิตหลุดไปแล้วล่ะ แต่ปัญหาคือผมไม่ได้จับ แหะ ๆ คือยอมรับว่า กําลังใจยังไม่พอหรือผมขี้เกียจก็ไม่รู้ คือผมเคยไปศึกษามานานแล้ว เห็นเค้าบอกว่า ถ้าจับภาพพระพุทธรูปคือเน้นไปที่กสิณแสงสว่าง ถ้าเราจับภาพแสงสว่างแล้วให้จิตเราจดจ่อกับแสงนี้ เดี๋ยวจิตจะหลุดออกมา ถ้าผมเข้าใจผิดยังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ แต่เหมือนผมเคยไปอ่านเจอมาหรือฟังจาก clip มานี่ล่ะ คือนานแล้ว สรุปคือ ผมก็นอนสมาธิตอนเข้านอนพิจารณาความตายมาหลายปีแล้ว เวลาเข้านอน ส่วนใหญ่ไม่ถึง 1 นาทีก็หลับแล้ว ส่วนใหญ่ผมว่าน่าจะ 30 วินาทีก็หลับแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมปฏฺิบัติทุกวันครับพี่ noppahakan
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2018
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อาการวูบแล้วกลับมารู้สึกตัว เป็นการตกภวังค์ก่อนเข้าสู่สมาธิค่ะ ส่วนเรื่องกลัวตายนั้นเป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่นในกาย ยึดว่าร่างกายนี้คือเรา.

    การเจริญมรณานุสสตืก็เพื่อให้ปัญญาเห็นแจ้ง ในเรื่องของความพลัดพรากที่เกิดจากความตาย ความตายเป็นทุกขสัจจ์ เป็นของเที่ยง ทุกคนล้วนต้องตายเป็นที่แน่นอน การตัดความยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นเรา เราคือร่างกาย ควรใช้กองกรรมฐานกายคตานุสสติค่ะ แยกองค์ประกอบของกายออกมาดูแล้วพิจารณาว่า เราอยู่ส่วนไหนของร่างกาย เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นจริงว่ากายไม่ใช่เรา ไม่ได้เป็นของเรา ต้องเห็นจริงแจ้งประจักษ์ลงไปที่ใจ

    ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คือที่เราทำไม่ใช่ไม่ดี
    ไม่ใช่ขี้เกียจหรอก บอกแล้วว่า
    มันจะไม่ค่อยสนใจเพราะมีการควบคุมอยู่
    และวิธีเราเป็นอุบายใน
    การเข้าถึงกะแสพระฯเฉยๆ
    แต่กำลังสมาธิมันไม่พอ ถ้าว่าจะส่งจิต
    ในระดับที่ปลอดภัยทั้งกายและจิต
    เพราะกำลังระดับนี้ ทำให้หลงง่าย
    แต่เราคืออะไรที่โชคดีอยู่ที่ไม่เป็น
    มันต้องภาพพระในกำลังระดับสูงกว่านี้ครับ

    ปล อ่านดีๆ ถอดจิต ส่งจิต มันแค่กำลัง
    เล็กๆน้อยๆ การที่กิริยาฟ้องว่าสติในการ
    ควบคุมน้อยเป็นอย่างไรย้อนไปอ่านดู
    และมันไม่ใช่เรื่องสำคัญในทางพุทธศาสนา

    พวกที่กำลังสมาธิสูง ยกกายได้คือ
    จะค่อยๆลุกขึ้นมาเลย


    หลักสังเกตุอีกอย่างคือไม่เงียบ
    แค่เราทำสมาธิแค่จิตสงบ
    เสียงนาฬิกาเดินยังได้ยิน
    การยกกาย มันทิ้งกายชั่วคราว
    เสียงลมพัดเนี่ย หูแทบแตกแล้วนะครับ
    พอนึกภาพตามออกไหม

    ท้ายนี้เล่าให้ฟังเล่นๆ
    ประเภทเงียบๆ เห็นนู้นเห็นนี่
    มันเป็นกิริยาที่จิตเกิดไปแล้ว
    มันยังไม่มีประโยชน์อะไร
    เพราะไม่รู้กระบวนการที่เกิดและกำลัง
    มันแค่ระดับอุปจารสมาธิ
    ที่มักทำให้คนหลงตัวเองได้
    เพราะมักจะไปยึดกับสิ่งที่สร้าง
    อัตตาตัวตน คิดว่าที่ตนเห็นเท่ห์
    คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร
    ทั้งๆที่กำลังจิตก็ไม่มี
    ใช้งานสากลก็ไม่ได้
    เรียกว่าเก่งแต่ปาก และโม้ไปวันๆ
    จะทำให้วางตัวเป็นราชสีห์
    ฝีมือใช้งานเท่าลูกแมว
    และจะคิดว่าตัวเองมีบารมีมาก
    บรรลุโน้นนี่นั่น
    ทั้งๆที่ไม่มีแม้ผีจะ
    มาขอส่วนบุญ
    ก็ยังคิดไปได้ว่าตนเอง
    มีอะไรเหนือใคร
    ประหลาดดีไหมครับ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การถอดจิต คำพูดที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ "ตัวเอง ถอดออกมาจาก ตัวเอง"
    +++ เป็นอาการของ "ความเป็น ตัวกู/ของกู ถอดออกมาจาก กาย"
    +++ เป็นอาการของ "ตน ออกมาจาก ตัว" ก็ได้ ให้เลือกภาษาเอาตามถนัด ก็แล้วกัน
    +++ คำพูดที่ "ท่องบ่นในใจ (บริกรรม)" อิมัส+สะมิง มันสามารถทำให้รู้จัก "ความเป็น ตน ได้แน่เหรอ" มัน คนละเรื่องกันหรือป่าว...
    +++ ความเป็น ตน ที่ถอดออกมาจาก ความเป็น ตัว "ไม่มี และ ไม่เกี่ยวกับ คำบริกรรม หรือ คาถาใด ๆ จะทำให้ออกมาได้"
    +++ ความเป็น ตน ที่มีเสถียรภาพ อยู่ได้ด้วยอาการ "อยู่กับตน มีตน เป็นที่พึ่ง ท่องเที่ยวไปลำพัง ตน ประดุจนอแรด" จึงจะ "ถอดออกจาก ตัว ได้"
    +++ การทำสมาธิ ทั้งแบบ "ฌานฤษี (ธัมมารมณ์) หรือ สัมโภชฌงค์ (สติ)" จน ความเป็น ตน เกิดเสถียรภาพ (ฌาน) ก็จะ "ถอด ตน ได้" เช่นกัน
    +++ ให้ทำความเข้าใจไว้ว่า "การนึกถึงสถานที่ คือการ ตั้งสัญญาขันธ์ (ไม่ใช่ปัจจุบัณขณะ) ก่อนที่จะทำการ ตั้งตนมั่น" นั้น โอกาสที่จะ "หลงสภาวะ" มีสูง
    +++ หากเกิด "การถอด ตน" ในขณะนั้น ๆ "สติ+สัมปชัญญะ" จะไม่ "ตั้งมั่น" ตรงนี้เป็นอาการแบบเดียวกับ "จุติจิต" ซึ่งเป็นไปตาม "ยถากรรม" (ฌานฤษี)

    +++ ผิดกันกับการ "ทำสติ+สัมปชัญญะ ไว้กับ ตน (สัมโภชฌงค์)" จนความเป็น "ตน ตั้งมั่น และ เป็นเอกภาพ" จากนั้นจึง "ออกมาจาก ความเป็น ตัว (กาย)"
    +++ ซึ่งตรงนี้จะ "นึกถึงสถานที่ใดก็ได้" หลังจาก "ถอดออกมาแล้ว" สติ+สัมปชัญญะ จะครบถ้วนทุกประการ และจะไม่มีอาการ "ตามยถากรรม แบบ จุติจิต"
    +++ นี่เป็น "คำถามแบบ ฌานฤษี" ที่ "นึกก่อนถอด"
    +++ ตรงนี้เป็นอาการ "นึกเอาเอง" ไม่ได้เห็น ตามความเป็นจริง (ไม่ใช่ สัมมาทิฏฐิ)
    +++ ขึ้นต้นผิด ผลลงท้าย มันก็ย่อม เข้าใจผิด เป็นธรรมดา (ไม่ใช่ สัมมาสังกัปโป)
    +++ หากจิตมัน หลุด ออกมา จะ "หลง" ผิดได้ลึกว่าเดิม ในระดับ "จิตไร้สำนึก (มโนหลอน)"
    +++ อะไรก็ตาม ที่ไม่ได้ขึ้นต้น "ตามความเป็นจริง" โอกาสที่จะโดน "หลอน" ก็เกิดขึ้นได้ ทุกขณะจิต
    +++ นึกไปท่องไป "การเห็น (มโนเอาเอง) เกิดขึ้นได้จริง แต่ สิ่งที่เห็น มันไม่มีอยู่จริง" หนะซี

    +++ ไม่ต้องนึกไม่ต้องท่อง ลืมตาอยู่เฉย ๆ มันก็ "เห็นตามความเป็นจริง" จากนั้น "โอปนยิโก (น้อม ตน ไปสู่)" มันจึงจริงขึ้นมาได้

    +++ ปัญหาอยู่ที่ "รู้จัก ความเป็นตน (รู้จักขันธ์) หรือยัง" จากนั้นฝึก "ใช้ขันธ์ (โอปนยิโก)" ใช้ความเป็น "ตน" เข้าไปสู่ สถานการณ์ นั้น ๆ นั่นแหละ
     
  16. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ลด ละ มานะทั้ง 9
    ถ้าทำได้ ก็ขอขมา จักรวาลต่อ
     
  17. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ขออนุญาตโพสต์ครับ ไม่รู้ว่าเรียกจิตหลุดได้ไหม
    - คือผมเข้าไปฟิตเนส แล้วยกเครื่องเล่นช่วงไหลดึงมาข้างหลัง (น้ำหนักพอสมควร แต่เส้นสลิงยึดดันหลุดออก. ทำให้เหล็กฟาดมาที่หัว ลุกขึ้นยืน มองดูร่างตัวเองนอนอยู่ คนอื่นมุงดู จากนั้นมันล่องลอยไปที่ถนนเส้นยาวๆ เส้นทางที่น่าเดินมาก ใจคิดว่า ดีใจฉิบเป็ง กุตายละ55555555 สักพักมีคนปั้มขึ้นมา ( เลยถามพี่ๆในห้องฟิตเนสว่าอาการเป็นไงบ้างตอนผมออกมา ก็คือ ชักตาเหลือ กระตุกๆ ส่ง รพ. เอ็กซเรย์สมอง. รักษาตัวหาย) ออกแบบนี้ไม่ต้องกำลังฌานเลยครับ

    ปล.จบเรื่องจริง ไม่ต้องฝึกครับ ออกจริง เจ็บจริง ไม่มีสตั๊น ขำๆครับ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อ่านดูแล้ว ก็ตอบได้ว่า "ใช่" แต่มัน "หลุดแบบ อุบัติเหตุ และ ยังไม่ถึงที่" เท่านั้น
    +++ ฝรั่งเรียกตรงนี้ว่า Near Dead Experience (NDE) ลองค้น กูเกิ้ล ดูนะ
    +++ ก็ "ใช่" อีกแหละ เพียงแต่ว่า มันเป็นการออกแบบ "สัมภเวสี" ซึ่งแล้วแต่ "ยถากรรม"

    +++ แต่คุณ -VaLentine- น่าจะได้เปรียบคนอื่น เพราะ "ประสพการณ์ที่ รู้ชัดเจน" ว่า ชีวิต หลังจากที่ "จิตออกจากร่าง/ถอดกาย/ถอดจิต" นั้นมีอยู่
    +++ ตรงนี้เป็นเรื่อง "แล้วแต่บุคคล (ปัจจัตตัง)" เมื่อถึงเวลา ก็ ให้ทำใจให้ "รื่นเริง" ไว้ก็ดี นะครับ
     
  19. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    726
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503

แชร์หน้านี้

Loading...