ขอถามครับ? ขอวิธีฝึกกังฟู

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wuttichai0329, 2 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    ทรงฌาณได้ เยี่ยมมากครับ อนุโมทนาครับ ผมยังไม่มีฌาณเลย ฮ่า ๆ
     
  2. นักพรตเหมา

    นักพรตเหมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +305
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.759258/[/MUSIC]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2009
  3. นักพรตเหมา

    นักพรตเหมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +305
    รำไท้จี๋ก็ไม่ต่างกับเดินจงกลมมากเท่าไรนะครับนะครับ ทุกก้าวย่างต้องมีสติ
     
  4. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740
    อันที่จริง

    วิชากำลังภายในนั้น

    เบื้องต้นผู้ที่ฝึกจะได้ อาณาปานสติ อยู่แล้ว เพียงแต่ท่านไม่รู้เอง

    ถ้าทรงอารมาณ์นี้ไว้ตลอดเวลา อารมณ์ที่รู้ลมหายใจนั้นแล้ว

    จิตท่านจะเป็นทิพย์ สามารถรู้เห็นเกินมนุษย์ปกติ
     
  5. Sinderking

    Sinderking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +673
    สวัสดียามค่ำครับ เข้ามาแวะดู :D

    ช่วงนี้จะฝึกมวยอ่อน ก็อย่าให้เกิน3ทุ่ม ถึงเที่ยงคืนนะ

    บวกกับอากาศร้อนๆ หนาวๆแบบนี้ ร่างกายจะเฉื่อยๆหน่อยล่ะ

    รักษาตัวด้วย ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
     
  6. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    "เมื่อเธอโคจรไปได้พบผู้มีปัญญาต่ำกว่าตน ตราบนั้นเธอยังไม่พบสหาย
    เมื่อใดเธอได้พบผู้มีความรู้เสมอตนหรือสูงกว่าตนเมื่อนั้นเธอได้พบสหาย"
    ตภาคตปกติตรัสอย่างนี้
     
  7. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    ดูไม่ได้ครับ อะไรรึครับท่าน
     
  8. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    มีใครมีคลิป หยุ่งชุนไหมครับ มาให้ดูหน่อยสิครับ
     
  9. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    --อยากรู้วิธีฝึก เคล็ดวิชาของ ปรจารย์ไท้เก็ก ของท่านจางซานฟง อย่างละเอียด --
    ท่านผู้รู้โปรดเป็นอาจารย์ให้ข้าด้วย
    __//\\__
     
  10. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    เอ่อผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อยากรู้จังว่ามีที่เรียนที่ไหน นอกจากไทเก๊ก เพราะเมืองไทยหายากเหลือเกิน

    เคยเรียนแต่ไอคิโด ดาบซามูไร มวยไชยา ดาบไทย และก็เทคล็อคมานิดหน่อย ก็เห็นไม่ก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่เลย มีแค่แนวคิดต่างกัน
     
  11. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    ดีนะผมว่า ท่านคงจะเป็นผู้คงแก่เรียน น่านับถือยิ่งแล้ว
     
  12. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    อยากเรียนวิชาไท้เก็ก กับท่านจางซานฟง แต่ยังไม่ได้มโนมยิทธิครับ ทำยังไงได้บ้างครับ ยังอยู่ขั้น บริกรรม ฝึกรู้ตัวให้มากอยู่ครับ ที่อยู่ไกลจากสำนักฝึกมากครับ ขอบคุณครับ

    เซฟเอาไว้แล้วค่อยๆไปทำตามนะครับ
    <!-- google_ad_section_end -->ลองเอา4ขั้นนี้ไปทำก่อนเลยก็แล้วกันครับ

    1. ชักนำลมปราณ
    -ยืนในท่า นั่งม้า
    -ชูแขนสองข้างมาข้างหน้า แบมือออก
    -ให้เรานึกภาพว่า เราขอชักนำพลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธาตุธรรม ธาตุพระนิพพาน พลังบริสุทธิ์จากธรรมชาติ เป็นลำแสงเพชร ประกายสว่างระยิบระยับ
    -พร้อมๆกับชักมือเข้ามา เพื่อชักนำ ลมหายใจให้ไหลเวียนเข้ามาในร่างกายของเรา เวลาหายใจเข้ให้ หายใจแรงๆ ยิ่งแรงดีครับ
    -ให้ลมหายใจไหลเวียนเข้ามาจนเต็มท้อง เต็มอก เต็มขึ้นมาจนถึงขั้วปอด ใช้มือดึงลมหายใจไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ขั้วปอดจะอยู่ระนาบเดียวกันกับหัวไหล่ของเรา ดึงขึ้นมาจนสุด
    -ให้เรานึกภาพ ทำความรู้สึกว่า พลังบริสุทธิ์ เข้ามาชำระล้าง ร่างกายของเราจนเป็นเพชรทั้งร่าง
    -พอลมหายใจเต็มขั้วปอดแล้ว ค้างไว้ซักอึดใจหนึ่ง จึงหายใจออก
    -เวลาหายใจออก หายใจออกแรงๆเช่นกัน แล้วเรานึกภาพ ทำความรู้สึกว่า
    ของเสียโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของเรา สลายออกไป เป็นไอสีดำ พร้อมๆกับลมหายใจของเรา
    และผลักมือของเราออกไปพร้อมๆกัน ให้รู้สึกว่ากำลังดันอะไรบางอย่างอยู่
    -ทำซ้ำ เป็นจำนวนครั้ง เพิ่มไปทีละ8 เช่น 16 24 32 40 48 ครั้ง เพิ่มไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ
    จนได้เป็นร้อยครั้ง ต่อวัน
    -แล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้นครับ

    2. ชำระธาตุของร่างกาย
    -ให้เรานึกให้มี ภาพพระผุดขึ้นกลางอกของเรา เห็นภาพพระท่านแย้มยิ้ม ชัดเจนแจ่มใส
    ใจของเราก็เอิบอิ่มแย้มยิ้มตามภาพพระ ยิ่งเห็นภาพพระท่าน เป็นเนื้อเพชร ใส ระยิบระยับได้เท่าไหร่ยิ่งดีครับ
    -เสร็จแล้วให้เรานึกภาพต่อว่า ความเป็นเพชร ความเป็นประกายพรึกของภาพพระ ค่อยๆแผ่ขยาย ไปตามส่วนต่างๆของร่างกายของเรา
    -ทำให้ร่างกายของเราเป็นเพชรไปทุกส่วน
    -ไล่ตั้งแต่แขนเป็นเพชร ๆ ไล่มาจนถึงมือ ไล่ให้ครบทั้งสองข้าง
    -ไล่ลงขา เป็นเพชรๆ ความเป็นเพชรไล่ลงจนถึงเท้า เป็นเพชรทั้งหมด
    -ไล่ขึ้นศรีษะของเรา จนเป็นเพชรทั้งหมด
    -ไล่มองอวัยวะในร่างกายของเรา ให้เป็นเพชรทุกส่วน หากป่วยที่ไหน ให้นึกว่าจุดนั้นเป็นเพชร
    -นึกภาพว่า โมเลกุลทั้งหมด ในร่างกายของเรา สั่นสะเทือนๆ และเปลี่ยนเป็นเพชร ตั้งแต่ระดับโมเลกุล เซล อวัยวะ จนถึงทั้งร่าง
    -พอร่างกายของเราเป็นเพชร ครบทั้งร่างแล้ว ให้เราแผ่รัศมีเพชร แผ่กระจายขยายส่องสว่าง ออกจากภาพพระที่แย้มยิ้มกลางอกของเรา
    แผ่ขยายกระจายส่องสว่าง ไปยังละแวกบ้าน ไปยังจังหวัด ประเทศสยาม ไปยังัท้งโลก ทั้งจักรวาล
    -สถานที่ใด ที่รัศมีเพชรนี้ คลื่นแห่งความชุ่มเย็น จากเมตตา ความสุข ความอิ่มใจ แผ่ขยายไป ก็ปรับธาตุ ปรับสภาวะ ให้ทุกๆอย่าง กลายเป็นธาตุบริสุทธิ์ กลายเป็นเพชรไปหมด
    -แผ่รัศมีเพชร จากภาพพระกลางอกของเรา ให้ใจของเราเบิกบาน เบ่งบานเหมือนกับดอกไม้ ให้ใจของเราแย้มยิ้มตามภาพพระ ยิ่งใจแย้มยิ้มมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเพชรมากเท่านั้น
    -ให้ดวงจิตของเราตื่นขึ้นจากภายใน สว่างขึ้น เป็นเพชรขึ้นจากภายใน ให้สรรพวิชชาทุกอย่างที่ได้เคยฝึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นจอมยุทธ์ก็ดี กลับมารวมตัวกันอีกครั้งนึง ณ ขณะจิตนี้ด้วยเทอญ ร่างของเรา ยิ่งใสขึ้น ยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งเป็นเพชรมากขึ้น
    -แผ่คลื่นเย็น คลื่นเพชร ไปยังทุกๆดวงจิต แผ่ไปยังทั้งจักรวาล เชื่อมจิตของเรา เข้ากับธาตุเพชรทั้งจักรวาล
    -ยิ่งแผ่ออกไปมากเท่าไหร่ ธาตุในร่างกายของเราก็ยิ่งสะอาด ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งรองรับความเป็นทิพย์ ยิ่งรองรับอภิญญามากเท่านั้น แล้วทุกๆดวงจิตที่เราแผ่รัศมีเป็นเพชรไปให้
    ดวงจิตของเขาก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น ใสขึ้นด้วยเช่นกัน จะได้เป็นเพชรกันทุกๆดวงจิต
    -แล้วเราก็ตั้งใจว่า
    เราจะรักษา ดวงจิตของเรา ให้เป็นเพชร ให้มีความงดงาม มีความเย็น มีพระอยู่ในใจ สรรพวิชชากลับมารวมตัว ได้ตลอดไป ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไว้สามครั้ง


    หมั่นชำระ หมั่นล้างธาตุ ให้เป็นเพชร ให้มีพระอยู่ในใจ ให้ได้ตลอดเวลาครับ

    สมัยโบราณ ลัทธิเต๋าเขามีการฝึกจนเป็นเซียน ก็คือได้อภิญญา เหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งใจ
    เผอิญ ไปเจอตำราของลัทธิเต๋า ปรากฏว่า เขาใช้วิธีนึกภาพว่า ร่างกายของเขาเป็นเพชรทั้งร่าง
    แล้วก็ฝึกไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เป็นชำระธาตุให้เป็นเพชร จนกระทั่งได้อภิญญา
    ที่ได้ก็เพราะว่า การนึกภาพให้ร่างกายเป็นเพชร ก็เป็นกสิณ เป็นฌาณ4 โดยตรง ก็เลยเกิดเป็นฤทธิ์ขึ้นมา

    3.โคจรลมปราณ
    -เราก็นึก ก็ทำความรู้สึกว่า กระแสเพชร ไหลเวียนทั่วร่าง ทะลุทะลวง ตามทางเดินของลมปราณทุกๆเส้น จากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย จากหน้าไปหลัง จากหลังไปหน้า
    -หาหนังสือลมปราณมาเปิด แล้วนึกภาพว่า กระแสเพชร ไหลเวียนตามทางเดินลมปราณแต่ละเส้นได้เลยครับ

    4.รักษาโรค
    -ให้เราแบมือข้างซ้าย แล้วนึกภาพว่า ในมือข้างซ้ายมีพระพุทธรูป เป็นเนื้อเพชร ใสระยิบระยับ มีรอยยิ้ม องค์ใหญ่มาก ประทับลอยอยู่เหนือมือของเรา
    -แล้วก็ ตั้งจิตขอบารมีท่าน ตั้งกำลังใจว่า
    การรักษาโรคนี้เราทำด้วยความเมตตา ปรารถนาให้ผู้ที่เราสงเคราะห์ หายใจจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาสงเคราะห์ รักษาบุคคลนี้ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยเทอญ
    -แผ่เมตตาไปยังคนที่เราจะรักษา และเจ้ากรรมนายเวรของเขาก่อน
    -เสร็จแล้ว นึกภาพว่า กระแสเพชร ไหลจากภาพพระ เข้ามาทางมือซ้าย มาตามแขน ผ่านอก มายังแขนขวา ไปยังมือขวา แล้วออกมาทางมือขวา ไปยังคนที่เราต้องการจะรักษา
    -ให้กระแสเพชร ที่มาจากภาพพระ ชะโลมล้าง ชำระล้าง ทั้งร่างกาย จิตใจ และส่วนที่ป่วยของเขา ให้เป็นเพชรทั้งหมด
    -พอส่งกระแสเพชรไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าพอ ก็หยุดครับ

    จอมยุทธ์สมัยก่อนจึงเรียกว่า เป็นผู้ทรงกสิณก็ว่าได้
    ทำให้คนโบราณมีความสามารถมากกว่าคนในยุคปัจจุบัน ที่เน้นฝึกแต่ร่างกาย แต่ไม่ได้ฝึกจิต ควบคู่ไปด้วย
    แก่นคือ ขอบารมีพระ และนึกทุกอย่างให้เป็นเพชรครับ

    ลองนำไปปฏิบัติดูครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งจิตใจที่อ่อนโยน งดงาม เป็นเพชร เป็นจอมยุทธ์ที่มีเมตตา ที่ผดุงคุณธรรม ที่ทำเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ตลอดไป ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  13. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=VmP62Pi3xww]YouTube - Jackie Chan Vs Jet Li HD[/ame]
     
  14. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    การทำสมาธิด้วย “ไทเก๊กโบราณ” ตามหลักปรามาจารย์จางซานฟง


    ต้นไม้ชนิดเดียวกันทั้งโลก มีกี่ต้น? (น่าจะมากกว่าล้าน)

    ต้นไม้ชนิดเดียวกันแต่ละต้น มีรูปร่างทับกันสนิทหรือไม่? (น่าจะแตกต่างกันทุกต้น)

    ต้นไม้ที่เกิดมาแต่ละต้น เป็นธรรมชาติใช่ไหม? ปรับตัวตามธรรมชาติใช่ไหม? (ก็ใช่สิ)

    เช่นนั้น สภาวธรรมจะจำได้ไหม? จะมาจากการจดจำได้หมดถ้วนไหม? (ไม่น่าจะได้)
    เช่นนั้น ท่วงท่าของไทเก๊กเหตุไฉนจะได้มาด้วยการจดจำ? (ไทเก๊กมาจากสภาวธรรม)

    ปัจจุบันมีการฝึกไทเก๊กกันทั่วโลกมากมาย มากเสียยิ่งกว่ามวยชี่กง และมวยเส้าหลิน และหากเทียบกับการฝึกสมาธิแนวโยคะอื่นๆ เช่น สหจโยคะ และกุณฑาริณี ต่างก็เสื่อมหายไปหมด จนเพิ่งมาเริ่มต้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายเป็นธรรมชาติเข้ากับคนได้กว้างขวางของไทเก๊ก ว่าเป็นหลักการฝึกจิต ฝึกสมาธิ หลอมรวม กาย, จิต, วิญญาณ เข้าสู่สภาวธรรมได้ง่ายและกว้างขวางและได้รับความนิยมตลอดมา

    ทว่าในปัจจุบัน วิชชาการต่างๆ ในสมัยโบราณล้วนเสื่อมลงและถูกกลืนหาย ทำให้การเรียนการสอนเป็นแบบท่องจำ มีแต่ท่วงท่าที่จดจำกันมา ไม่กี่พันท่า ทั้งๆ ที่ไทเก๊กมีมากกว่าล้านๆ ท่าเสียอีก นับได้ว่าไร้ท่าไร้ลักษณ์ ย่อมมีนานัปการนับไม่ถ้วนท่านั่นเอง การเรียนไทเก๊กกันในปัจจุบันจึงขาดตกบกพร่องในหลักหัวใจที่สำคัญที่สุด คือ เคล็ดวิชชานั่นเอง อันได้แก่ หลักการทำสมาธิ, การฝึกปราณ, การหลอมรวมสามเป็นหนึ่ง

    หลักการทำสมาธิแบบร่ายรำ
    ในประเทศไทยมีการทำสมาธิแบบเคลื่อนกายของหลวงพ่อเทียน แต่จะไม่มีการร่ายรำและเคลื่อนลมปราณเป็นท่าการต่อสู้ต่างๆ ไทเก๊กก็มีการทำสมาธิขณะเคลื่อนที่เช่นกัน

    หลักการฝึกลมปราณแบบไทเก๊ก
    หลักการฝึกลมปราณของไทเก๊ก เป็นหลักการเดียวกับของเส้าหลิน เนื่องจากปรมาจารย์จางซานฟง เคยบวชเป็นเณรที่วัดเส้าหลิน และฝึกลมปราณพื้นฐานจากวัดนี้ ซึ่งก่อตั้งโดยปรามาจารย์ตั๊กม้อ (ซึ่งเป็นองค์อวตารแห่งพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์) สรุปดังนี้

    [HIGHLIGHT=#ffffff]๑) [/HIGHLIGHT]หลักการลมปราณ ๗ ฐาน[/B]
    ฐานที่กายและจิตจะเชื่อมสัมพันธ์กันได้ดี และประสานการทำงานกันได้ดีนั้น จะต้องมีวิญญาณขันธ์มาเชื่อมและคุ้มครองไว้ ทำให้วิญญาณในร่างกายมนุษย์ มีลักษณะคล้ายร่างกายมนุษย์ แต่จะเลื่อมออกมามากกว่าร่างกายมนุษย์ เพื่อปกป้องคุ้มครองแต่ละส่วน โดยวิญญาณจะทำหน้าที่เชื่อมโยงกับร่างกายในขณะรับความรู้สึก เรียกว่า “วิญญาณขันธ์ที่เกิดขึ้น ณ อายตนะต่างๆ” และหากทำงานเข้าร่วมกับจิตเพื่อเสริมการรับรู้ของจิตให้ชัดเจน ด้วยการปรุงแต่งเสริมให้ชัดขึ้นนั้น เรียกวิญญาณที่ปรุงแต่งร่วมกับจิตว่า “มโนวิญญาณธาตุ” คือ เป็นวิญญาณธาตุที่ประสานกับจิตในขณะดวงจิตรับรู้สิ่งต่างๆ ดังนั้น วิญญาณจึงเป็นตัวกลางประสานการทำงานระหว่างกายและจิต วิญญาณจะครองทั่วร่าง แต่จะมีฐานสำคัญที่มีมวลวิญญาณรวมตัวหนาแน่น ที่เรียกว่าที่รวมลมปราณ หรือที่เรียกว่า “จักระ” มีทั้งหมด ๗ แห่งทั่วร่างกาย ตามแกนร่างกายเป็นสำคัญ โดยจักระต่างๆ จะทำหน้าที่สอดคล้องกับร่างกาย ณ ตำแหน่งนั้นๆ และมีการเคลื่อนไหวหมุนเวียนช้าๆ ตามการหมุนเวียนของสรรพสิ่งในจักรวาล จึงนับเป็นจักรวาลน้อย หรือระบบที่คล้ายกับจักรวาลย่อส่วนมานั่นเอง (สรรพสิ่งไม่ว่าใหญ่ที่สุดหรือเล็กที่สุด ย่อมมีโครงสร้างระบบเช่นเดียวกัน) การเคลื่อนไหวนี้จะมีจังหวะถูกควบคุมด้วยอัตราการเต้นของหัวใจ ที่เรียกว่า “ชีพจร” ดังนั้น การเดินลมปราณตามเส้นชีพจร ก็คือ การกำหนดจิตสำรวจตามตำแหน่งที่มีการเต้นของโลหิตที่สำคัญๆ ไปทีละจุด ไล่ทะลวง ตรวจดูจุดที่ติดขัดก็ทะลวงให้คลายออก จนลมปราณเดินได้สมบูรณ์ดี แบบนี้ จะเป็นการฝึกลมปราณแบบเต๋า ซึ่งจะใช้เวลานานมาก เพราะเริ่มจากชีพจรเล็กๆ ไปจนทั่วร่าง ไม่ได้จับหลักจากจักระทั้งเจ็ด แต่สำหรับไทเก๊กจะทะลวงชีพจรเพื่อเปิดทางให้ลมปราณไหลเวียนสะดวก ด้วยการเริ่มต้นจากจักระที่สำคัญก่อน แล้วรวมกำลังจิตเพื่อดึงพลังปราณในจักระนั้น มาใช้ ปลุกลมปราณให้ตื่นขึ้น แล้วควบคุมหรือนำทางลมปราณด้วยจิต ไปยังทางออกที่ถูกต้อง เช่น ปลุกลมปราณจากจักระที่หนึ่ง (บริเวณก้นกบ ที่เรียกว่ากุณฑาริณี) ให้ไหลตามแกนกลางร่างกายไปสู่จักระที่เจ็ด (ทะลุศีรษะ) ก็จะส่งผลให้เกิดการทะลวงชีพจรหลักๆ ทุกจักระทั่วร่าง เมื่อลมปราณมีทางออกแล้ว จะไม่ถูกกักไว้ ไม่ขังอยู่ จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาในร่างกาย ขณะปลุกขึ้นมาใช้ และเมื่อปลุกมาใช้ควรใช้ให้หมด หรือเก็บเข้าที่จักระเดิมให้ถูกวิธี ไม่เช่นนั้นจะคั่งค้างเป็นปราณเสีย อุปมาเหมือนน้ำที่ขังแช่จนเน่าเสียฉะนั้น ลมปราณทั้งเจ็ดฐานนี้ ต้องฝึกสมาธิแบบเจ็ดฐานเป็นเบื้องต้นก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้น จึงฝึกปลุกลมปราณขึ้นมาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนั่งสมาธิบนพื้นน้ำแข็ง, การนั่งสมาธิกลางน้ำ, การใช้เคลื่อนเสียงปลุก, การใช้หลักหยิน-หยางปลุก
    [/SIZE]
    [HIGHLIGHT=#ffffff]๒) [/HIGHLIGHT]หลักการเคลื่อนและเก็บลมปราณ[/SIZE][/FONT][/SIZE]
    [/B]เมื่อมีการปลุกลมปราณขึ้นมาใช้แล้ว หากลมปราณยังหลงเหลือในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง จะคั่งค้างและกลายเป็นปราณเสีย ซึ่งจะส่งผลร้ายต่ออวัยวะที่กับลมปราณนั้นไว้ ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬาที่ออกกำลังกายมากๆ ลมปราณตื่นขึ้นโดยธรรมชาติ แล้วไม่เข้าใจหลักการของลมปราณ ทำให้ออกกำลังกายไปก็ปวดเมื่อยไป จึงเอายามาทาให้หาย แต่ลมปราณเสียก็ไม่ออกไปไหน ทำลายลึกลงไปสะสมลงไป ถูกเก็บกดลงไปทีละน้อย และส่งผลต่อนักกีฬาในระยะยาว เช่น นักมวย มักพบว่าเป็นโรคสมองเสื่อม, นักกีฬาส่วนใหญ่มักมีใบหน้าที่เหี่ยวย่นเร็วกว่าคนทั่วไป โตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว และอายุสั้น ในขณะที่คนที่ออกกำลังกายแต่ปานกลาง พอดีพอควร กลับได้ประโยชน์มากกว่านักกีฬาที่ออกกำลังกายเพื่อการแข็งขันกัน จนทำลายสุขภาพตนเองในระยะยาว ดังนั้น การออกกำลังกายที่ดี จึงควรเข้าใจหลักการของลมปราณด้วย โดยเฉพาะหลักการไหลเวียน การถ่ายเทของลมปราณ เมื่อลมปราณถูกกระตุ้นออกมาแล้ว ควรเก็บเข้าที่ให้เป็น ซึ่งวิธีเก็บลมปราณส่วนเหลือของแต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน ตามแต่ผู้ใดจะมีวาสนาไปร่ำเรียนมาในแต่ละรูปแบบ บางแบบก็จะสลัดลมปราณส่วนเหลือออกให้หมด แล้วเก็บตัวนั่งสมาธิสะสมพลังวัตร ซึ่งเป็นแหล่งพลังที่ก่อเกิดของลมปราณอีกที แบบนี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ทว่า บางครั้ง หากมีศัตรูรุกราน หลังป้องกันตัวด้วยลมปราณ และถ่ายเทออกหมดแล้ว จะต้องหลบหนีปลีกตัว เพื่อสะสมพลังวัตรใหม่อีกทันที นับว่ายังไม่ใช่วิธีที่ดีนัก หลักการเคลื่อนลมปราณของไทเก๊ก จะใช้หลักสอดคล้องกับธรรมชาติ เสมือนน้ำที่ไหลในแม่น้ำ ในร่องดิน หรืองูที่เคลื่อนกายผ่านดงหญ้ารก ยังต้องอาศัยการเลื้อยขดตัว ไม่ใช่การปะทะตรงๆ แต่เป็นการเคลื่อนที่แนววิถีโค้ง (Projection) เป็นวงกลม (Circle) ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการเคลื่อนที่ของยานอวกาศขององค์การนาซ่าและที่อื่นๆ เพราะการชกตรงๆ นั้น ร่างกายมีกระดูกหลายท่อน ทำให้แรงกระทบส่งผลต่อข้อต่อได้ อุปมาเหมือนโซ่หลายข้อที่พุ่งชนผนัง แต่ละข้อย่อมกระทบกัน จนเกิดความบาดเจ็บได้ นี่คือ หลักสำคัญในการป้องกันตัวเองโดยการปรับตัวตามสภาวธรรมของไทเก๊ก [/SIZE][/FONT][/SIZE]


    [HIGHLIGHT=#000000][HIGHLIGHT=#ffffff]๓) [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]หลักการถ่ายเท-หมุนเวียนลมปราณ
    ลมปราณทั้ง ๗ ฐาน คือ บริเวณก้นกบ, บริเวณท้องน้อย, บริเวณกลางตัว (ใต้ลิ้นปี่), บริเวณหน้าอก, บริเวณลำคอ, บริเวณตาที่สาม (ระหว่างคิ้วสูงขึ้นไปเล็กน้อย), และตำแหน่งกระหม่อม เป็นฐานที่เก็บลมปราณจำนวนมากและหนาแน่น สำหรับควบคุมกิจกรรมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายแต่ละส่วน แต่จะไม่แน่นิ่งเหมือนสิ่งที่ตายแล้ว ตรงกันข้าม หากยังมีชีวิตก็จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง มีการเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของจักรวาลอย่างเบาบางเล็กน้อย การปลุกลมปราณขึ้นมาใช้ เช่น เมื่อไฟไหม้ จะตกใจและยกโอ่งน้ำได้ นั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งของลมปราณที่ตื่นขึ้นโดยธรรมชาติ ในภาวะที่ขาดสติกำกับดูแล ทำให้เสียพละกำลังไปในการยกโอ่งน้ำ ซึ่งไม่สำคัญเลย แล้วยังทำให้สูญเสียลมปราณไปเปล่าประโยชน์อีกด้วย ทั้งนี้ ลมปราณเมื่อเปิดจักระที่เจ็ดแล้ว จะมีการถ่ายเทเข้าออกโดยธรรมชาติ เสมือนลมหายใจที่เข้าออก โดยจะเข้ามาเพราะจิตของเราเป็นสื่อ กล่าวคือ หากจิตมีความเป็นอกุศล จะดึงลมปราณสายดำที่มีผลเสียต่อตนเองในระยะยาวมา ในขณะที่จิตที่เป็นกุศลจะดึงลมปราณสายขาวที่มีผลดีต่อตนเองเข้ามา ยิ่งบำเพ็ญเพียรช่วยเหลือคนมากเท่าไร สูญเสียลมปราณเก่าออกไปเท่าไร ลมปราณใหม่ที่บริสุทธิ์กว่าดีกว่าจะเข้ามาแทนที่ ในขณะที่ยิ่งทำร้ายคนมากเท่าไร ลมปราณที่เลวยิ่งกว่าจะยิ่งเข้ามาแทนที่ ลมปราณภายนอกเหล่านี้มาจากธรรมชาติ แหล่งที่สำคัญที่สุดคือดวงจิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ชาวพราหมณ์หรือฤษีต่างๆ นับถือเป็นตัวอย่างหนึ่ง หากจิตสามารถเปิดรับและสื่อตรงกับเทพเทวดาเหล่านั้นได้แล้ว ก็จะได้รับพลังเหล่านี้ตามหลักการฝึกจิตแบบโยคะนั่นเอง ดังนั้น การหมุนเวียนเข้าออกของลมปราณ จึงต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มาของลมปราณด้วย ว่ามาจากแหล่งที่เป็นกุศลหรือไม่ เพราะลมปราณที่มีพลังมาก แต่เป็นลบ มีแต่จะส่งผลร้าย

    หลักการหลอมรวมสามเป็นหนึ่ง
    สามนั้นคือ กาย, จิต, วิญญาณ และหนึ่งนั้นคือ “ธรรม” อธิบายได้ดังนี้ว่า กายคือฐานที่ตั้งแห่งสติอย่างหนึ่ง ขณะเคลื่อนกายไปตามท่าไทเก๊กต่างๆ หากมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วมีฐานตั้งมั่นแห่งจิต สมาธิย่อมเกิดในกายนั้น, จิตคือฐานที่ตั้งแห่งสติอย่างหนึ่ง ขณะเคลื่อนกายไปตามท่าไทเก๊กต่างๆ หากมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วมีฐานตั้งมั่นที่จิต สมาธิย่อมเกิดขึ้นที่จิตนั้น, ปราณคือเวทนาละเอียด คือ ความรู้สึกถึงกายในกายที่ละเอียด จึงฐานที่ตั้งแห่งสติอย่างหนึ่ง ขณะเคลื่อนกายไปตามท่าไทเก๊กต่างๆ หากมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วมีฐานตั้งมั่นที่ลมปราณ สมาธิย่อมเกิดขึ้นที่เวทนาอันละเอียดนั้น, และท้ายที่สุด คือ สภาวธรรม ที่อาศัยรูปภายนอก เป็นเครื่องแสดงสัจธรรมการเกิดดับและเปลี่ยนแปลงไปของแต่ละท่วงท่า เมื่อเห็นท่าของผู้บุกรุกเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องมีสติรู้เท่าทัน ไม่ยึดมั่น และปรับตัวเองตามสภาวธรรมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงนั้น โดยไม่ทำลายฐานที่ตั้งของตนเองด้วยการปรับเปลี่ยนท่าที่ผิดพลาด เมื่อหลอมรวมสามเป็นหนึ่งดังนี้ จากฐาน กาย, เวทนา, จิต เข้าสู่ฐานธรรม จึงกลายเป็นมหาสติปัฏฐานสี่ ที่มีสมาธิเป็นเครื่องหลอมรวมอีกที นี่คือ หลักสามรวมเป็นหนึ่ง ของไทเก๊ก ซึ่งเป็นหลักการหลอมรวมของการฝึกจิตสาย “โยคะ” (โยคะ แปลว่าการหลอมรวม เป็นพราหมณ์โบราณที่ได้รับการสืบทอดจากโยคีทิคัมพร ซึ่งถือว่าเป็นองค์อวตารจากพระศิวะ ผู้เป็นบรมครูของฤษีทั้งมวล) โดยนำพระธรรมจากพุทธศาสนาเข้ามาเป็นเครื่องนำทางในการฝึก

    ท่วงท่าของไทเก๊กแบบไม่ต้องจำเป็นอย่างไร?
    ให้เข้าสู่สมาธิ วางจิตไว้ที่จักระใดจักระหนึ่ง จากนั้น ปลุกลมปราณในจักระนั้นขึ้นมา เมื่อสติละเอียดดีจะรู้สึกถึงเวทนาอันละเอียดในร่างกายได้ คือ กายในกาย คือ ลมปราณ อันมีอุเบกขาเวทนาเป็นสำคัญในการทำสมาธิ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่รัก ไม่เกลียด ไม่ริษยา ไม่อาฆาต เมื่อลมปราณตื่นขึ้นมาแล้ว ให้จิตจับลมปราณสายนั้น ว่าเคลื่อนไหวไปมาในร่างกายอย่างไร อุปมาลมปราณที่ไหลเวียนในร่างกายเหมือน น้ำที่ค้างอยู่ในท่อยาว เมื่อท่อเคลื่อนที่น้ำก็ไหวตาม เมื่อน้ำเคลื่อนที่ก็ให้ปรับท่อตามน้ำนั้น ดังนั้น ท่าร่างของไทเก๊กจึงมาจากการดูลมปราณในร่างกายเป็นสำคัญ แล้วปรับตัวไหลไปตามลมปราณนั้นเป็นเบื้องต้นก่อน โดยพยายามไม่ให้น้ำในท่อหก หรือก็คือ ไม่ให้ร่างกายเสียศูนย์ถ่วง หรือจุดสมดุล ทำอย่างไร ให้ขยับท่อน้ำไปมา เพื่อเอาน้ำในท่อไปเลี้ยง ไปล้างส่วนต่างๆ ทั้งท่อน้ำนั้น (ทั่วร่างกาย) ให้สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ชำระสิ่งสกปรกทั้งมวลออกไปได้ โดยที่ร่างกายภายนอกไม่เสียสมดุล (ต้องมีสมาธิมั่นคง) เมื่อได้ถึงขั้นนี้แล้ว ให้หา “รูป” ภายนอก เช่น ต้นไม้เถาวัลย์ หรือบุคคลผู้ฝึกด้วยกัน เพื่อให้เป็นโจทย์ฝึกจิต สมมุติว่าเราจะปรับตัวตามสภาวธรรมภายนอกได้อย่างไร เมื่อมีผู้เข้ามาประชิดก็ดี เมื่อร่างกายไปสัมผัสแตะต้องต้นไม้เถาวัลย์ก็ดี จะปรับอย่างไร ไม่ให้ร่างกายปะทะจนตัวเองต้องเจ็บ และร่างกายบิดพลิ้วหลบเลี่ยงการถูกปะทะจากบุคคลภายนอกได้ นั่นแหละ คือ ที่มาของกระบวนท่าไทเก๊กโบราณ ที่ไม่ได้เกิดจากการท่องจำ แต่อาศัยจิตสัมผัสฐานทั้งสี่ ที่นับเป็นหลักการฝึกจิตตามหลักพระพุทธศาสนาโดยแท้
    ที่มา
     
  15. นมัสดา

    นมัสดา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +18
    กังฟูเรียนที่ไหนใครรู้บ้าง
     
  16. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    อยากรู้อะไรเกี่ยวกับกังฟู ให้อ่าน ที่กระทู้ นี่แหละ นะ ตังแต่ หน้า 1-14 นะ แต่ต้องฝึกสมาธิด้วยนะครับ ถ้าสงสัยอะไรเกี่ยวกับสมาธิให้ ถามได้ที่กระทู้นีครับ
    http://palungjit.org/threads/รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน.161084/page-75
     
  17. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    ถ้าอยากรำมวย แขนงไหน มวยอ่อนหรือมวยแข็งก็หาดูได้จาก youtube อะนะ
    หรือถ้าอยากบ้าเหมือนผม ก็หาหนังกังฟู มาดู ผมซื้อมาหลายเรื่องแล้ว สนใจไท้เก็ก ครับ มาจำกระบวนท่าแล้วร่ายรำตาม บ้า ไหมครับ เฮอ ๆ
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ไทเก็กสูงสุด คือไร้กระบวนท่า
    ก็คือ ให้เราสัมผัสปราณธรรมชาติให้ได้ แล้วก็ปล่อยให้ปราณชักนำให้ร่างกายร่ายรำไปเองของมัน

    ผมไปอ่านเจอที่ไหนซักแห่งนี่แหละ เขาบอกว่า ในขั้นสูงสุด
    กระบวนท่า 10% การกำหนดจิต 70-80% อีก 10 จำไม่ได้
    ถึงที่สุดแล้วจะเข้ามาเป็นเรื่องของจิต ของสมาธิล้วนๆ
     
  19. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    ขอบคุณมากครับท่านชัด
     
  20. manussanun

    manussanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +202
    ....
    เป็นการทำสมาธิแบบไหนหรือครับ อย่าง งง
     

แชร์หน้านี้

Loading...