ขอถามเรื่องสภาวะที่เกิดขึ้นว่าปฏิบัติถูกหรือเปล่าครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สุโขสุขี, 17 พฤศจิกายน 2012.

  1. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,469
    ผมนั่งสมาธิอย่างจริงจังประมาณ1ปีกว่าแล้ว ช่วงหลังๆไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรเช่น ยืน เดิน นั่ง กินข้าว ผมก็จะภาวนาไปด้วย รู้สึกว่านิ่งและสงบดี ครับ แต่บางทีมันสงบมันนิ่งเกินไป เวลาอยู่ในวงสนทนาบางทีผมเหมือนกับตอไม้เลยคือนิ่ง ไม่ค่อยพูด บางครั้งก็คิดเรื่องที่จะพูดไม่ค่อยออก
    สภาวะแบบนี้ผมมาถูกทางหรือเปล่าครับ เพราะบางทีมันก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมเราไม่ค่อยอยากพูด กลัวคนรอบรอบข้างเบื่ออ่า ครับ วานผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วย ครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับผม
     
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    คนรอบข้างนี่ ใครหละคร้าบ

    เพื่อนร่วมงาน ขณะทำการประชุม หรือ ปรึกษา หารือ หรือเปล่า

    หรือเป็น กลุ่มสรวลเสเฮฮา หาสาระไม่ได้
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แล้วเห็นสิ่งต่างๆ มันเกิด และ ดับ ไหมครับ หรือว่าสงบอย่างเดียว?
     
  4. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,469

    คนรอบข้างเช่น เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ญาติ อะไรประมาณนี้ ครับ
     
  5. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,469
    เห็นเป็นบางครั้ง ครับ จะเห็นเฉพาะตอนที่ตั้งใจกำหนดดู
    แต่ส่วนใหญ่จะสงบนิ่ง ครับ
     
  6. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ลองเช็คตัวเองดูว่าภาวนาอย่างเดียว หรือ วิปัสนาด้วยกันแน่ครับ

    ถ้าวิปัสนาด้วยคือ มีสติดูอารมณ์ตัวเอง ไม่น่าจะมีปัญหาแบบนี้นะครับ ทำมานานขนาดนี้สติปัญญาจะไว้ทันเหตุการณ์

    ผมสงสัยว่าคงไม่ได้วิปัสนา แต่แค่จับลมหายใจเข้าออกภาวนาอยู่แค่นั้น เราจะตัดโลกภายนอกสนใจแต่ลมหายใจนั้นเอง เลยฟังไม่ทันคิดไม่ทัน ความหงุดหงิดจะตามมา เพราะเหมือนรบกวนสมาธิเรา

    ถ้าเป็นอย่างผมคิด ก็เริ่มเรียนวิปัสนาได้แล้วครับ ที่ทำอยู่ดีแล้ว แต่ขาดวิปัสนาไม่ได้เพราะเป็นตัวสร้างปัญญา ภาวนาคือสร้างสติ ครับ
     
  7. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ถ้านิ่งมากไป ให้ถอยจากความนิ่งออกมาอีกหน่อยก้ได้ จะให้นิ่งมากเข้าไปอีกก้ได้ หรือออกจากความนิ่งออกมา ให้แค่สงบพอประมาณก้ได้ ก้ดีเหมือนกัน(อย่างงี้น่าจะดีกว่า)
    อย่าไปหงุดหงิดสิ่งรอบข้างไปเลยคับ เพราะสิ่งรอบๆตัวเรา ไม่ใช่อุปสรรคในการพัฒนาจิต
    และเมื่อช่วงที่ไม่ได้ทำสมาธิ ก้ลองคุยกับคนรอบๆตัวเราด้วย เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
    ต้องติดต่อเพื่อสร้างประโยชน์หรือเพื่อติดต่อธุระหรือวานให้ช่วย เพื่อน พี่นอ้ง ญาติ หรือพ่อแม่ และ แฟน การมีปฏิสันถาร ถามเรื่องราวต่างๆ รวมถึงสารทุกข์สุขดิบ อย่างเปนกันเอง ก้ถือได้ว่าเปน ธรรมะ พื้นฐานข้อหนึ่งเหมือนกันครับ จะเรียกว่า "พูดเป็น" ก้ได้
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อืม มันไปพลาดตรงนี้แหละครับ

    เพราะว่ามันภาวนาจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว มันก็จะไปอยู่กับความสงบนิ่ง แล้วคิดว่า ความสงบนิ่งนี่แหละ คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า

    แต่พอนานเข้าๆ จะเริ่มสังเกตตัวเอง ทำไมกิเลส โทสะ โมหะ ราคะ มันไม่ลดลงสักที แถมทำไม เรายังทำตัวนิ่งๆ เหมือนไม่ค่อยสนโลก...

    เพราะว่าแท้จริงแล้ว อันนี้ไม่ใช่สภาวะที่พระอริยเจ้าพึงจะมี อันนี้เป็นสภาวะแบบฤาษี ครับ ที่กิเลสมันไม่ค่อยโผล่ออกมา เพราะมันโดนสมาธิกดทับไว้ตลอดเวลา แต่ถ้าสมาธิอ่อนลงเมื่อไหร่ หรือป่วยทางร่างกาย ไม่สามารถรวมสมาธิได้ มันจะกลับมาเต็มพิกัดเหมือนเดิม

    ทางแก้ ต้องเจริญสติเยอะๆ นะครับ
    พอเจริญสติเยอะๆ จนจับสภาวะต่างๆ ได้ละเอียดดีแล้ว มองกลับมาเช็คตัวเอง จะเห็นเลย อาการไหลของจิต เข้าไปจับความว่าง จะเห็นกิเลสตัวนี้ชัดขึ้น
    (ติดกิเลสนะครับ เป็นอรูปราคะ อาการชอบในความสงบของสมาธิ)

    ต้องฝืนทำนิดนึงนะครับ เพราะว่าเราจะติดอยู่สองอย่าง
    อย่างแรก คือ ทิฏฐิมานะของตัวเอง คือเราจะคิดว่า อันนี้เราทำอยู่ถูกต้องแล้ว จริงๆ มันยังไม่ใช่ มันยังมีอะไรที่ดีกว่านี้อยู่ เราต้องละตัวนี้ให้ได้ เพื่อเจอตัวที่ดีกว่า

    อย่างที่สอง คือ ความเคยชินของจิต มันจะไหลเข้าไปจับความว่างเอง โดยอัตโนมัติ เราก็ต้องพยายามรู้สึก แกะมันออกมาเรื่อยๆ นะครับ

    อาการนี้ ถ้าติดขัดยังไง PM มาคุยกันเพิ่มเติมได้ เพราะผมติดตัวนี้มาก่อนครับ ตั้งคำถามกับตัวเอง แบบเดียวกับคุณเลย และผ่านมาได้แล้วครับ
     
  9. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    คุณกระฉับกระเฉง มีกำลังใจในการเป็นอยู่ ทำงาน-ทำการ ดีใช่ไหมครับ เบิกบานดีมาก มีคุณภาพ มีฝีมือมีความเพียร ในงานการดีขึ้นกว่าก่อน ใช่ไหม..นั่นแหละครับจิตคุณกำลังมีคุณภาพ มีกำลัง..
    คุณต้องสร้างเหตุ-ปัจจัย หาความรู้ในพระไตรฯล สายหลวงปู่มั่นนะครับ หลวงตามหาบั อย่าหลงเข้าไปธรรมกาย หรือลัดสั้นนะครับ เดี๋ยวหมดตัว ศรัทธากับปัญญา ต้องสมดุลย์กันแล้วจะไปโลด เข้าวิปัสสนาเลยดังท่านข้างบนแนะนำ..คุณไม่ผิดอะไรที่ไม่พูดในวง แค่ยังสับสน คิดไปเองว่านิ่งเกิน คนอื่นเขาควานหากันทั้งชีวิตเพราะต้องการนิ่งนี่แหละแต่มีสติ..คุณดันมารำคาญซะได้ อิอิ
    อีกอย่างครับเลือกใช้การภาวนา ให้ถูกสถาณที่..นั่งนิ่งๆ สงบ แต่มีสติรับรู้ได้ทุกอย่างนี่ต้องเป็นแบบนี้ถึงจะเจริญปัญญาไปด้วยครับ เยี่ยมมากๆไม่ใช่ไปนั่งโม้ คุยจ้อ ในวงเหล้าแล้วมานั่งภาวนานิ่ง..ผิดสถาณที่ครับ อิอิ:mad:
     
  10. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้าคุณ เลือกใช้กลุ่มคำ คำว่า รุ่น.... ญาติ ก็แปลว่า

    คุณมี "มานานุสัย" ค่อนข้างมาก และ เคยชินกับการบริหาร มานานุสัย

    ใช้มันเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ อาจจะมี สังกัปปะ คอนเซ็บ
    ชีวิตที่เคยปรารภกับใครต่อใครในเรื่อง ประโยชน์ของ seniority ถ้าแบบ
    นี้ก็ไม่ยาก

    ไม่ต้องไปดูว่า ตอนนี้จิตสงบนิ่ง หรือ จิตกำลังละทิ้งอุดมคติ

    ให้คุณทำการพิจารณา "มานานุสัย" เป็นสภาพธรรม ที่เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็
    ไม่มี เดี๋ยวเรามี เดี๋ยวมีในเรา เรามันเป็นเรา เดี๋ยวมันมีในเรา bor ram u
    bor ram u เพื่อพี่น้อง เพื่อนผอง และ เผ่าพันธ์ ดูมันไปตรงๆ เป็นลักษระ
    ของ ภพเกิด

    แล้ว ตามเห็น ภพดับไป

    ฟังดีๆนะ มันเป็น ภพ !!

    ไม่มีใคร ปฏิบัติธรรมเพื่อ ยึดติดภพ แต่ เราไม่ทำลาย ภพ เพราะว่า
    มันเป็นประโยชนของโลก แต่ หากเรา ตามพิจารณาตามเห็น ภพเกิด
    และ ภพดับ คุณจะค่อยๆ ทำให้จิตตั้งมั่นอยู่ในสัญญาอันเดียว ตามเห็น
    ภพเกิด และ ตามเห็นภพดับ ตอนเห็นภพเกิดก็เกิดสัญญา ตอนเห็นภพ
    ดับคุณก็เห็นสัญญาดับ

    เมื่อตามเห็นการเกิดดับของ ภพ อยู่เป็นประจำ จิตคุณจะคลายการยึดมั่นถือมั่น!

    ใช่ !!


    ตอนนี้ คุณไม่ได้ทำลาย ภพ ของ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ญาติ เพราะ ของมันมีปัจจัย
    ทั้งจากภายในเอง และ เกิดจากภายนอกด้วย เป็น อนัตตาธรรม ไม่สามารถ
    ควบคุมกะเกณฑ์ได้ ได้แต่ บริหารให้ถูกต้องเหมาะสม

    ดังนั้น อย่าเข้าใจผิดว่า การเงียบ การถอย การนิ่ง คือ การทำลาย ภพ หรือ
    อุดมคติอันมีประโยชน์ของโลก คุณทำลายมันไม่ได้หรอก ขาดคุณ พวกเขา
    ก็ยังมีกันและกัน

    ดังนั้น ตามเห็น การคลายตัวออกจากภพ ไปตามความเป็นจริง ไปตรงๆ ได้เลย

    แล้ว คอยพิจารณาว่า มันคลายออกมาเพราะอะไร แน่นอนหละ เพราะ เรา
    สมาทานสิกขา เครื่องนำออกจากภพ จากชาติ ชรา มรณะ

    และที่สำคัญ พระพุทธองค์ทรงชี้ให้ดูว่า ให้ตามดูการกำเริบกลับด้วย ก็คือ
    ให้ตามดู การทวงถาม การดำริมาถามในกระทู้ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับ ภพ ของ
    ผมครับ เนี่ยะ ให้ตามดูการกำเริบกลับด้วย ว่ามันเกิดจากอะไร เมื่อตามดู
    แล้ว สิ่งที่คุณเห็นคือ

    มันไม่ได้สูญ ภพมันก็เกิดของมันไปตามเรื่อง เราไม่ได้ทำลาย ภพ หรือ ระบบ
    seniority สักกะหน่อย ยังไงมันก็ต้องมีของมันต่อไป แม้นไม่มีเรา

    และ มันไม่ได้เที่ยง คือ ไม่จำเป็นต้องมีเราก็ได้ ระบบย่อมดำเนินไปตามวิธี
    ของพวกเขาเองได้ แปรเปลี่ยนไปตามกาลและสมัย

    เมื่อตามเห็นแบบนี้ ก็ไม่เข้าไปส่วนสุดเห็น โลกขาดสูญ และ เห็นโลกเที่ยง

    เพียงแค่ตามดู การจางคลายจากภพ และ ตามดู การกำเริบกลับ ไว้เนืองๆ

    สรุปอีกที

    ผลการภาวนาของคุณ ปรกติดีอยู่ โคจรได้ตามรอยบาทของพระพุทธองค์

    ภพจางคลาย ชาติย่อมจางคลาย ชรา และ มรณะ ย่อมจางคลาย

    จนนำออกได้ในที่สุด ก็จะสำเร็จสมดังเป้าหมาย สัจจที่ให้ไว้กับพระพุทธองค์
    ว่าจะทำ นิพพานให้แจ้ง !!
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แล้ววันหนึ่งนะ จะ พบเลยว่า

    ในขณะที่ โลกเขาทำสโมสรสันนิบาต สังสรรคิ์ พบปะ เสวนากัน ประชุมกัน

    ในโลกนั้น เงียบเหงาที่สุด !!

    คือ โลกเขาเฮฮากันเนี่ยะ มันน่าสลดสังเวชที่สุด ที่เขา ไม่รู้ สัจจธรรม ความเป็นจริง


    ดังนั้น


    จงเป็น ลูกไก่ในฟองไข่ ตัวแรกของ สโมสร สังคมน้อยๆ ของคุณ

    แล้ว รอคอยมองหา ผู้ใฝ่หาความจริง แล้ว ยื่นมือชี้ทางให้เขา

    เมื่อเขาแลเห็นคุณ คือ แบบอย่าง เนื้อนาบุญ ในวันข้างหน้า!!

    อย่าช้า

    อย่ารีรอ

    อย่าเพียร

    อย่าพัก

    อย่ามัวประกอบธรรมเครื่องเนิ่นช้า เพราะ หลงว่า สะสมได้

    เพื่อประโยชน์ของ ระบบสังคมน้อยๆ ของคุณ ได้มีโอกาส ในชาตินี้ !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2012
  12. พุืทธวจน000

    พุืทธวจน000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +1,051
    **เหตุที่ไม่ค่อยพูด นิ่ง นั่นคือจิตของคุณอยู่กับกายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ฟุ้งไปในส่วนที่ทำให้คิดในอดีต (สัญญาขันธ์) หรือปรุงแต่งในอนาคต (สังขารขันธ์)
    ไม่ต้องหงุดหงิดครับ เพราะถ้าหงุดหงิด นั่นหมายความว่า จิตคุณหลุดจากกายมาจับที่ เวทนาขันธ์ (พอใจ-ไม่พอใจ)
    **จิตนิ่งไม่ใช่คนทั่วๆไปจะทำได้นะครับ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้น และเมื่อนิ่งแล้ว นั่นหมายถึงคุณได้สมถะ ขอให้เห็นการเกิดดับ ของขันธ์ทั้งห้า ให้ได้นั่นคือ..การเข้าสู่วิปัสนา เพราะถ้าเห็นการเกิดดับของขันธ์ห้าได้ นั่นคือคุณกำลังจะได้เห็น อริยสัจสี่ ขอให้ทำต่อไปครับ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ผมนั่งสมาธิอย่างจริงจังประมาณ1ปีกว่าแล้ว ช่วงหลังๆไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรเช่น ยืน เดิน นั่ง กินข้าว ผมก็จะภาวนาไปด้วย รู้สึกว่านิ่งและสงบดี ครับ แต่บางทีมันสงบมันนิ่งเกินไป

    เวลาอยู่ในวงสนทนาบางทีผมเหมือนกับตอไม้เลยคือนิ่ง ไม่ค่อยพูด บางครั้งก็คิดเรื่องที่จะพูดไม่ค่อยออก

    +++ จุดที่สำคัญที่สุดคือ บางครั้งฟังแบบไม่ใส่ใจ จึงจับใจความจริง ๆ ไม่ได้ และบางครั้งตั้งใจฟัง แต่จิตมันตัดต่อไป ๆ มา ๆ ระหว่าง การฟัง กับ ความสงบ หรือเปล่าครับ และในกรณีที่สงบเฉย ๆ นี้ มีอาการเหม่อรวม ๆ ผสมอยู่ด้วยหรือเปล่า แล้วเริ่มคล้าย ๆ กับเริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ บ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเปล่า

    สภาวะแบบนี้ผมมาถูกทางหรือเปล่าครับ เพราะบางทีมันก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมเราไม่ค่อยอยากพูด กลัวคนรอบรอบข้างเบื่ออ่า ครับ วานผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วย ครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับผม

    +++ หากทุกอย่าง คล้าย ๆ กับที่ผมกล่าวมาข้างบนนั้น และความหงุดหงิดมันเกิดขึ้นมาเองอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทุก ๆ อย่างดูคล้ายสงบ แต่มันมีอึดอัดซ่อนตัวอยู่อย่างไรพิกล ๆ หากทุกอย่างมีอาการคล้าย ๆ กับที่ผมกล่าวมานี้ ก็ขอให้หยุดฝึกไปก่อนนะครับ จนกว่าทุกอย่างจะเป็นปกติ

    +++ ให้พิจารณาแบบ คุณ ปัญฺญาวโร ในโพสท์ที่ 6 และคุณ อินทรบุตร ในโพสท์ที่ 8 ประกอบไปด้วย ระหว่างการเปลี่ยนวิธีการฝึกใน กับ การระงับการฝึก ในขณะนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากเปลี่ยนวิธีฝึกแล้ว มันกลับไปสู่แบบเดิมอีกโดยหาสาเหตุไม่เจอ ก็ควรระงับการฝึกไปก่อน ผมเคยหลงอยู่ในสภาพนี้นานหลายปีทีเดียวครับ เพราะมันมาผิดทางหากฝึกต่อไปเรื่อย ๆ จะกลับมาฝึกให้ถูกทางยากมาก
     
  14. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +3,776
    ปฏิบัติช่วงแรกๆก็เป็นแบบนี้แหละครับ
    สงบคำ ย่อมดี เพราะวาจาทุจริตจะออกมาน้อย

    บางทีมันนิ่งเกินไป... คุณอยากฟุ้งให้มากกว่านี้เหรอครับ
    นิ่งเกินไปคุณต้องวัดด้วยความคิดที่ว่า... มันจำเป็นต้องพูดมั้ย
    ถ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร นิ่งก็ดีแล้ว

    ปฏิบัติเริ่มต้น ก็จะไม่อยากพูดแบบนี้แหละครับ
    ดีแล้ว อินทรีย์ยังไม่แข็ง อย่าไปพูดมาก
    จนกว่าจะปฏิบัติจนมีปัญญามากกว่านี้ มันถึงจะคิดออกว่าควรพูดอะไร
    ใจเย็นๆครับ
    อย่าเอาอารมณ์ปุถุชนมาวัดกำลังใจของผู้ปฏิบัติในอริยมรรค
    การปฏิบัติของเรา ถ้ามาถูกทาง เราจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาครับ
    เขาด่าเราก็เฉย เขาชมเราก็เฉย เพี้ยนจากชาวบ้านมั้ยละ
    นี่แหละครับ การปฏิบัติมันต้องนิ่งๆ เฉยๆ เงียบๆ แต่ไม่ซึม มีสติรู้ตัว
    ถ้าไม่มีเหตุให้พูด ก็ไม่จำเป็นต้องพูดครับ
    ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร... แล้วจะพูดทำไม

    ปฏิบัติดีแล้วครับ
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อาการของคนติดสงบ มักจะอยากเข้าสมาธิโดยไม่รับรู้เรื่องภายนอก
    เพราะเรื่องภายนอกจะทำให้จิตสะเทือน

    บางท่านจะหนีไปหาที่สงบฝึก
    แต่บางท่าน จะทำสมาธิท่ามกลางผู้คนด้วย คือสามารถสงบได้ท่ามกลางความวุ่นวาย
    แต่กระนั้น แม้จะทำความสงบได้ท่ามกลางความวุ่นวาย ก็ยังอาจไม่เข้าใจจิตใจตน

    สติปัฏฐานสี่ ทำความรู้ตัวและรู้สิ่งรอบตัว(ในชีวิตประจำวัน) อาจจะยากสักนิดสำหรับการทำความรู้ตัวตลอดหรือให้มากที่สุด เมื่อเห็นจิตว่ายังมีกิเลส มีความหวั่นไหว ก็กำหนดรู้ให้มากขึ้น สลัดกิเลสและอารมณ์คืนได้มากขึ้น เข้าใจการทำงานของรูปและนาม และไม่หลงไปกับอารมณ์ แต่รู้หน้าที่ตามที่ตนเป็นอยู่โดยเหมาะสม
    สตินี้ หากทำได้ต่อเนื่อง สมาธิที่ได้จะตั้งมั่นแม้นท่ามกลางความวุ่นวาย ทั้งยังทำให้จิตตื่นตัว รู้เวทนาตน รู้เวทนาผู้อื่น แต่ที่ต้องแก้ไขมีแต่เวทนาของตน และสามารถทำจิตให้มีอุเบกขาด้วยสติและปัญญา(ปัญญา) ...ไม่ใช่อุเบกขาแบบไม่รับรู้อะไร(โมหะ)
    สติปัฏฐาน จะทำให้สมาธิเป็นโลกุตตระสมาธิ ไม่ใช่โลกียสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2012
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับอาการจิตส่งใน ตามนี้ครับ
    http://www.nkgen.com/337.htm

    สำหรับผู้ที่ชำนาญในทางสมาธิ อาจจะทรงสมาธิได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน แต่กลายเป็นมิจฉาสมาธิ ก็จะออกมาเป็นการนิ่ง แข็ง ไม่รับรู้ ได้ครับ
     
  17. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    ตอบสั้นๆ ว่า ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก เพราะการปฏิบัติสมาธิ จะเป็นตัวช่วย เมื่อคุณออกจากการฝึกแล้ว จะทำให้มีประสาทที่ว่องไวมากขึ้นกว่าเดิม สามารถคิดหรือจะเรียกว่า มีปฏิภาณไหวพริบดีกว่าเดิม ถ้าหากคุณไม่ปฏิบัติสมาธิแบบหลงงมงาย คือ คิดว่าจะดีถ้านั่งสมาธิได้นานๆ หรือ ทำสมาธิแบบที่คุณทำอยู่นั่นแหละ เพราะความเขลาไม่รู้จักสภาพร่างกายของตัวเอง
    ส่วนที่คุณเล่ามาว่า เวลาอยู่ในวงสนทนา บางครั้งคุณไม่พูด ก็ดีแล้วขอรับ พูดมากไร้สาระ พูดแต่เรื่องมีสาระ ที่คิดเรื่องจะพูดไม่ได้ ก็เพราะข้อมูลในสมองของคุณไม่มี ไม่สามารถปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไรได้ ก็ดีแล้วนี่ขอรับ
     
  18. ทศมาร

    ทศมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +237
    แล้วมันหงุดหงิดหรือเปล่าเวลาคนถามเรา หรือมีคนมาทำเสียงอะไรแล้วหงุดหงิดง่ายเปล่าเวลาเรานั่งสงบอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...