ขอลูกแม่ย่าโม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 2 กันยายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    [​IMG]

    ขอลูกแม่ย่าโม


    ผมเป็นคนหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอพิมาย บ้านเดียวกับคนที่ผมกำลังจะเล่าประวัติเกี่ยวกับการสร้างกรรมก่อเวรของเขานี่แหล่ะครับ เราเป็นคนบ้านเดียวกัน รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี แม่ว่าฐานะของผมกับเขาจะค่อนข้างห่างกันก็ตาม พูดง่ายๆ เขาอยู่บ้านหลังใหญ่ เพราะเป็นคนมีฐานะดี ส่วนผมก็แค่คนเดินดินกินข้าวกับน้ำพริกแกล้มผักริมรั้วธรมดา แต่บังเอิญว่าเจ้าของบ้านหลังใหญ่เขาเป็นคนโออ้อมอารี ไม่ถือเนื้อถือตัวผมก็ฌลยได้รู้จักมักคุ้นกับเขาเท่านั้นเอง อีกอย่างคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ใจดีด้วยกันทั้งนั้น ไม่ค่อยเอาฐานะเงินทองมาเป็นเครื่องปิดกั้นความสัมพันธ์ที่ดีของเพื่อนบ้านหรอก……..​

    ครอบครัวนี้แม้จะโชคดีเรื่องฐานะความเป็นอยู่ แต่ทว่ากลับอับโชคในเรื่องของลูกหลานที่จะสืบสกุล คือ ครอบรัวที่ว่านี้ เขาแต่งงานอยู่กินกันมานานหลายปีแล้วแต่ว่าไม่มีลูกทั้งที่ใจอยากมีมากเหลือเกิน ก็ยังไม่สามารถมีลูกไว้เชยชมได้สมใจทั้งที่หมอก็บอกว่าปกติทั้ง 2 คนผัวเมีย ไม่ใช่หมอคนเดียวที่พวกเขาพากันดั้นด้นไปหา แต่ไม่ว่าจะได้ข่าวจากทางไหนว่ามีหมอดีอยู่ที่นั่นที่นี่พวกเขาเป็นต้องพากันไปขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำทว่าก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดีกระทั้งหมดสิ้นกำลังใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี
    ขณะที่กำลังคิดปลงกันว่า ชาตินี้คงไม่มีโอกาสมีลูกไว้เชยชมสมใจแล้วอยู่นั้นบังเอิญก็ให้ไปได้ยินคนเขาพูดกันว่าใครที่ต้องการลูก หากไปบนบานศาลกล่าวขอจากแม่ย่าโม วีรสตรีของเมืองโคราชเป็นได้สมใจทุกคน ลุงบุญมีกับป้าทองดี สองผัวเมียก็ฌลยาปรึกษากันว่าเมื่อหมอแผนปัจจุบันไม่สามารถช่วยให้มีลูกได้สมใจ ก็เห็นจะต้องไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือปาฏิหารย์ดูบ้าง อาจจะได้ผลขึ้นมาก็ได้ เมื่อต่างเห็นพ้องต้องกันอย่างนั้น จึงกำหนดวันที่จะไปเซ่นไหว้อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเพื่อขอลูกจากท่านซักคน
    เรื่องขอลูกแม่ย่าโมเกิดขึ้นเมื่อราวปี 2535 วันนั้นทั้ง 2 คนผัวเมียได้จัดเตรียมข้าวของต่าง ๆ ที่จะใช้ในการขอลูกไว้ครบถ้วนอาทิ ผลไม้มงคล 7 ชนิด ธูป เทียน พวงมาลัย พร้อมทั้งขันธ์ห้าที่บรรจงแต่งขึ้นมาด้วยน้ำมือของตนเองแท้ ๆ เมื่อเสร็จการตระเตรียมข้าวของ แล้วก็พากันขนข้าวของนั้น ขึ้นรถบึ่งไปยังจุดหมายทันที พอไปถึงก็จัดแจงแต่งโต๊ะเซ่นไหว้พร้อมสรรพ จากนั้นก็ลงนั่งคุกเขาพนมมือกล่าวอธิษฐานขอลูกกับแม่ย่าโมดังที่ตั้งใจไว้ โดยผู้เป็นเมีย คือ ป้าทองมี เป็นผู้กล่าว มีใจความว่า
    “ขอให้แม่ย่าโมที่ศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกหลานด้วย หลานอยากมีลูกไว้สืบสกุล ไว้เชยชม ขอย่าจงช่วยบันดาล ประทานลูกให้ซักคนเถิด หากได้ลูกสมความตั้งใจหญิงชายก็ไม่ว่า ลูกจะเอาพวงมาลัยพวงใหญ่มาคล้องให้และจะเอาเพลงโคราชชื่อดังมาเล่นให้ดูพร้อมกัน 3 คณะ เลยทีเดียว”

    หลังจากนั้น 2 คน ก็พากันกลับบ้านพร้อมความหวังที่ว่า หากแม่ย่าโมสงสารคงจะประทานลูกมาให้ซักคนจะเป็นหญิงก็ได้ชายก็ดี เมื่อได้มาแล้วก็จะรักถนอมและตั้งใจเลี้ยงดูอย่างดี ไม่ให้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจเลย ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ป้าทองดีก็ได้ฝันว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายแบบสมัยโบราณ ตัดผมสั้น หรือทรงดอกกระทุ่ม มาเรียกให้ตื่น พร้อมกับบอกว่า
    “ทองมันมีเจ้าของแล้ว แต่เจ้าของเขาไม่อยู่ เขาฝากเอาไว้ ข้าเห็นเจ้าอยากได้ ข้าเลยเอามาให้ยืมใส่ แต่ถ้าเจ้าของเขากลับมา ข้าจะมาเอาคืนจากเอ็ง”แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ก่อนไปยังจะหันมาย้ำว่า “อย่าลืมนะ ข้าจะมาเอาคืน” จากนั้นป้าทองดีก็ตื่นขึ้นมาจริง ๆ
    ด้วยตกใจว่าตัวเองฝันแปลก ป้าทองดีจึงได้ปลุกลุงบุญมีขึ้นมาฟังความฝันของตัวเอง โดยทั้ง 2 คน ต่างเห็นว่าเป็นฝันที่แปลกมาก ๆ ลึก ๆในใจก็อดคิดไปถึงสิ่งที่ตนอยากได้และไปขอกับย่าโมไว้ว่าอาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้
    ไม่นานหลังจากนั้นป้าทองดีก็ตั้งท้องขึ้นมาจริงๆทั้ง 2 คนดีใจมาก พากันไปเซ่นไหว้ นำเครื่องของที่กล่าวไว้ว่าจะนำไปถวายแม่ย่าโมไปแก้บนอย่างครบถ้วนทั้งพวงมาลัยพวงใหญ่และแม่เพลงโคราชทั้ง 3 คณะ ตามที่ลั่นวาจาไว้
    ในทางส่วนตัวเองป้าทองดีก็ดูแลเอาใจใส่ครรภ์ของตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งไปให้หมอตรวจ สรรหาของกินดี ๆ มีประโยชน์มาบำรุงครรภ์ โดยเฉพาะช่วงแพ้ท้องป้าทองดีแกอยากจะกินขนมหวานๆ มาก จะต้องกินทุกวันขาดไม่ได้เลย ถ้าวันไหนป้าไม่ได้กิน จะหงุดหงิดอารมณ์เสียอย่างมาก ๆ บางครั้งพาลโกรธเลือดขึ้นหน้า อาละวาดฟาดหัวฟาดหางไปทั่ว พูดง่ายๆจากที่เคยเป็นคนอารมณ์เย็น ใจดี กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ใจร้อน ถึงขั้นใจร้ายใจดำไปเลยก็มี ลุงบุญมีจึงได้ไปหาซื้อขนมหวานมาจัดเตรียมไว้ทุกวัน ป้าทองดีหิวเมื่อไหร่ หรืออยากกินเมื่อไหร่เป็นต้องได้กิน
    มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นป้าทองดีท้องได้ประมาณ 3 เดือน เห็นจะได้ อารมณ์ร้ายของป้า ได้ทวีความรุนแรงอย่างสุด ๆ ตอนนั้นป้ายังแพ้ทองอยากกินขนมหวานอยู่ ซึ่งป้าก็ไปซื้อที่ตลาดมาเตรียมไว้เช่นที่เคยทำ แต่อยู่ ๆ มาวันหนึ่ง ขนมที่แกจัดหามาไว้สำหรับตัวเองได้หายไป ถามสามีว่าได้เอาไปกินบ้างหรือเปล่า สามีก็ไม่รู้เรื่อง ป้าแกโกรธมากถึงขนาดกล่าวอาฆาตว่าใครเอาไปจะไปตามฆ่าให้ตายเลยทีเดียว
    วันต่อมาขนมที่แกซื้อไว้ก็มีอันหายสาบสูญ แบบไร้ร่องรอยไปอีก คราวนี้ยิ่งเพิ่มความโกรธให้กับป้าเป็นหลายเท่า พอวันใหม่แกจึงวางแผนว่าจะต้องจับขโมยตัวนี้ให้ได้ ว่าแล้วป้าก็จัดแจงเอาขนมวางไว้ที่เดิม แล้วตัวแกก็เฝ้าแอบดูตลอดไม่ให้คลาดสายตา ไม่นาน ก็มีสุนัขผอมโซตัวหนึ่งเดินโซเข้ามาด้วยความหิวโหย หมายจะขโมยกินขนมของป้า ให้สมกับที่อดอยากเสียเหลือเกิน
    ด้านป้าทองดีที่แอบดูอยู่เห็นอย่างนั้นแทนที่จะสงสาร กลับโกรธแค้นแน่นอกขึ้นมาทันที พร้อมกับ ระบายความเค้นเคืองออกมา เหมือนดั่งกับเขื่อนกั้นน้ำแตก แกคว้าได้ไม้ท่อนใหญ่กระหน่ำตีสุนัขตัวนั้น แบบไม่เลี้ยง แกไม่สนใจใยดีต่อเสียงร้องคร่ำครวญ ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสของเจ้าสุนัขตัวนั้นเลย เมื่อสุนัขยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งร้องโอดโอย โหยหวน มันไม่คิดจะสู้เหมือนรู้ว่าตัวเองทำผิด จึงได้แต่วิ่งหนีออกไปในลักษณะขาลาก สะโพกคลาก กะโหลกแทบแตก ทุรนทุราย หัวซุกหัวซุนออกไปแบบไม่คิดชีวิต ทั้งที่จริงก็ไปได้ไม่เร็วนัก เนื่องจากขาที่เจ็บจากน้ำมือของป้าทองดี
    กระนั้นป้าทองดียังไม่หายโกรธแค้นออกวิ่งตามไล่ตีสุนัขต่อไป ชนิดว่าต้องตายไปข้างหนึ่งจึงจะหายแค้น สุนัขตัวนั้นวิ่งไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้เตี้ย ๆ ซึ่งที่นั่นยังมีลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ อายุซักเดือนเศษกำลังคลานต้วมเตี้ยมพร้อมกับร้องหาแม่อยู่ 2 ตัว แม่สุนัขวิ่งเข้าไปหาลูกเหมือนจะปลอบขวัญ ส่วนลูกพอเจอแม่ก็รีบวิ่งเข้าไปซุกไซร้หานมแม่ แล้วดูดดื่มอย่างหิวโหย แม่สุนัขยืนนิ่ง หอบจนตัวโยน ขาสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดและเหนื่อยล้า ปากก็ก้มลงเลียแผลให้ตัวเอง สลับกับเลียเนื้อตัวลูกน้อยอย่างปลอบโยน
    วินาทีนั้นมันคงคิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว ทว่าเปล่าเลย ป้าทองดีเมื่อตามมาถึง ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นตรงเข้าหวดตีสุนัขแม่ลูกอ่อนอย่างโหดเหี้ยม หมายจะให้ตายคามือให้ได้ แม่สุนัขเมื่อทนเจ็บไม่ไหวก็ต้องหนี แม้จะห่วงลูกแต่ก็ต้องไป ไม่เช่นนั้นต้องตายอย่างหมดทางสู้อยู่ตรงนั้น มันวิ่งหนีไปพลางหันกลับมามองดูลูกด้วยความเป็นห่วง ส่วนป้าทองดีก็ยังไม่ลดละ คงวิ่งตามไล่ตีสุนัขตัวนั้นต่อ จนมันหนีเข้าไปแอบในพุ่มไม้หนาม ตามเขาไปตีไม่ได้ ป้าทองดีจึงได้หยุดมองด้วยความเหนื่อยหอบ พร้อมกับก่น ด่า สาบแช่งหมาตัวนั้นต่อ
    ระหว่างหันหลังกลับป้าทองดียังไม่หายโกรธ และก็เป็นความเหมาะเสียเหลือเกิน ที่แกเหลือบไปเห็นลูกสุนัข 2 ตัว ที่คลานต้วมเตี้ยมตามแม่มา ป้าหยุดมองมันเหมือนนึกอะไรได้ จากนั้นป้าก็หัวเราะอย่างสะใจ ตรงลิ่วเข้าไปอุ้มลูกสุนัขกลับเข้าบ้าน จัดแจงหาเชือกผูกขาของลูกสุนัขไว้ แล้วก็ไปเอาจอบมาขุดหลุมจนลึกเสร็จแล้วก็เอาลูก สุนัขทั้ง 2 โยนลงไปที่ก้นหลุม พร้อมกับเอาดินกลบหลุมฝังลูกสุนัขทั้งเป็น ท่ามกลางเสียงบ่นคำรามด้วยความสะใจของป้าทองดีนั้น แม่สุนัขได้ออกมายืนดูลูกของมันพร้อมกับเห่ากรรโชก เหมือนจะขู่ไม่ให้ป้าทำ บางครั้งก็ร้องคราง เหมือนจะของร้องให้ป้าไว้ชีวิตลูกน้อยของมัน แต่ป้าไม่สนแถมยังเหยียดหยันอาฆาต ท้าทายให้แม่สุนัขเข้ามาช่วยลูกน้อยของมันอีก
    “แน่จริง มึงเข้ามาช่วยลูกของมึงเลย กูจะได้ฆ่ามึงอีกตัว ก็มึงมันไม่เจียม เลือกมาขโมยของกู ก็ต้องได้รับโทษอย่างนี้แหล่ะ”
    การกระทำของป้าทั้งหมดอยู่ในสายตาของลุงบุญมีผู้เป็นสามีโดยตลอด ลุงได้พยายามเข้าห้ามปรามไม่ให้ทำ แต่ป้าไม่สนใจกลับด่าว่าลุง แถมพาลโกรธมาถึงลุงด้วย ที่ไปเข้าข้างหมาแทนที่จะเข้าข้างเมีย และว่าขนมที่เตรียมไว้ก็เพื่อจะให้ลูกกิน ไม่ใช่แกกินเองเสียเมื่อไหร่ ที่แกทำไปทั้งหมดก็เพราะรักลูกในท้อง อยากให้ลูกได้กินดี อยู่ดีมีสุข สมกับเป็นลูกของย่าโมที่ท่านประทานให้มา ลุงบุญมีฟังไปก็ได้แต่เศร้าสลดในการกระทำของเมียไปอย่างไม่รู้จะห้ามหรือช่วยเหลืออะไรได้ แกรู้ดีว่าเวลาเมียแกโกรธอะไรก็ฉุดไม่อยู่ทั้งนั้น
    ป้าทองดีระบายความโกรธแค้น ชนิดลืมไปว่า แกเองก็กำลังจะเป็นแม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่รับรู้เลยว่าสิ่งที่แกทำมันเป็นบาปหนาสาหัสเพียงใด แกไม่สนใจใยดีต่อ "แม่" ที่ต้องทนดูลูถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา อย่างชนิดที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แม้ว่าแม่ที่ว่าจะเป็นเพียงแม่หมาตัวหนึ่งก็ตาม
    แม่หมาเอง เวลานั้นได้แต่เฝ้าหอนและคุ้ยเขี่ยเนินดินที่เห็นลูกถูกฝัง ยากจะได้รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ รู้หรือไม่ว่าลูกนั้นได้ตายไปแล้ว ที่พอจะรับรู้ความรู้สึกได้ก็เพียง แค่มันต้องเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันและลูกของมันแน่ๆ มันรักลูก ข้อนี้ก็เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นมันคงไม่มาวนเวียนอยู่ที่หลุมฝังศพของลูกมัน วันแล้ววันเล่าหรอก
    ใคร ๆ ก็รู้ก็เห็นว่าหมามันรักลูก มันทำทุกอย่างไปก็เพื่อลูก มีเพียงคนเดียวในเวลานั้นที่ไม่ยอมรับรู้เลย คือ ป้าทองดี ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะแกปล่อยให้อำนาจความโกรธแค้น เข้าครอบงำจิตใจของแกจนมืดบอดนั่นเอง กระทั่งเมื่อหายโกรธจึงรู้ตัวว่าทำผิด แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
    เหตุการณ์ผ่านไปจนป้าทองดีท้องได้ 7 เดือน แกได้ปวดท้องคลอดลูกซึ่งลูกที่ออกมา ก็เป็นปกติดีทุกอย่าง เพศหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ใครเห็นใครรักใครเห็นใครชม เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจแก่ลุงป้าที่เป็นพ่อแม่มาก แกชื่นชมถนอมลูกอย่างดี ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวที่แกมีอยู่ จึงต้องรักษาอย่างดีที่สุด โดยที่ทั้ง 2 ลืมความฝันของป้าทองดีเมื่อครั้งก่อนจะตั้งท้องไปเสียสนิท
    เด็กหญิงรัศมี ลูกสาวของปาทองดีและลุงบุญมี เติบโตขึ้นท่ามกลาง ความรักและเอาใจใส่อย่างดีของพ่อแม่และญาติ พี่น้อง อย่างใกล้ชิด โดยที่เด็กหญิงรัศมีเองก็เป็นเด็กน่ารัก ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่โยเย สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยให้พ่อแม่ต้องกังวลใจ
    กระทั่งเด็กหญิงรัศมีอายุได้ขวบเต็มกำลังน่ารักน่าชัง เพราะเพิ่งหัดพูด หัดเดิน เป็นที่หลงใหล ของพ่อแม่ยิ่งนัก ก็ได้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คือ อยู่ ๆ เด็กหญิงรัศมีที่ไม่เคยเจ็บป่วย ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน พ่อแม่ พาไปหาหมอรักษากระทั่งทุเลาหมอให้กลับบ้านได้ แต่ไม่นานอาการก็ทรุดลงถึงขั้น ช๊อก หมดสติ ต้องพาไปหาหมอใหม่ ซึ่งคราวนี้โชคไม่เข้าข้าง ปรากฏว่าเด็กหญิงได้สิ้นใจไปเสียก่อนจะถึงโรงพยาบาลแล้ว
    ป้าทองดีเสียใจมากร้องห่มร้องให้แทบขาดใจ ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่ได้ผล ลุงบุญมี ก็เช่นเดียวกันแต่ไม่ว่าจะเสียใจซํกปานใด ก็ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ต้องปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป
    สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ชาวบ้านที่รู้ต่างพากันซุบซิบว่า คงเป็นเพราะกรรมที่ป้าทองดี ทำไว้กับหมาแม่ลูกอ่อน เมื่อคราวที่แกท้องได้สามเดือนนั่นเอง หากแกไม่ปล่อยให้อำนาจโมโหครอบงำจิตใจ เรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดขึ้น
    ส่วนตัวของป้าทองดีเองแกยังไม่ปักใจเชื่อนักว่า เป็นเรื่องของผลกรรมที่แกสร้างขึ้น แต่แกไปคิดเอาว่าที่แกสูญเสียลูกไป ก็เพราะแม่ย่าโมมาเอาคืน ตามที่แกเคยฝันเมื่อก่อนหน้าที่แกจะท้อง และด้วยความหวังว่าหากบุญยังพอมีแกขออธิษฐานให้ได้พบกับลูกคนนี้อีก ไม่ว่าจะไปเกิดใหม่เป็นลูกของใครก็ตาม
    ทั้งนี้ก่อนทำพิธีฝังศพสมัยนั้นเขายังถือกันว่า ศพเด็กห้ามเผาใช้วิธีฝังแทน ประจวบกับวัดแถวบ้านยังไม่มีเมรุสำหรับเผาศพ หากศพใดต้องการเผาแทนฝัง ก็ต้องสร้างเชิงตะกอนขึ้นมาเอง ป้าทองดีจึงเลือกที่จะฝัง ก่อนฝัง แกได้ใช้เขม่าสีดำ ป้ายไว้บริเวณหลังหูซ้ายเพื่อให้จำได้ เวลาที่กลับมาเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นลูกใครก็ตาม
    ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี กระทั่งปีถัดมา ทางวัดได้บอกบุญไปยัง ญาติ โยม ทั่วสารทิศ ขอบริจาคเงิน ทอง ข้าวของ เพื่อสมทบทุนในการสร้างเมรุ ซึ่งผลปรากฏว่าได้เงินมาก้อนหนึ่งมากพอที่จะทำให้ความตั้งใจเป็นจริงขึ้นมาได้ ทางวัดจึงได้จัดสร้างเมรุจนสำเร็จ ไม่นานต่อจากนั้น ทางราชการก็ได้จัดส่วนการบริหารท้องถิ่นที่เรียกว่า อบต. ขึ้นมา เพื่อสนองนโยบายดังกล่าว ชาวบ้านต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะขอที่วัด บริเวณป่าช้าเก่าสร้างเป็นที่ทำการ อบต. ซึ่งทางวัดก็อนุญาตแต่โดยดี
    ก่อนที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ ทางวัดและชาวบ้านต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรที่จะได้จัดพิธีล้างป่าช้าเสียก่อน เพื่อตัดปัญหาเรื่องไปสร้างอาคารทับที่อยู่ของใครที่เรามองไม่เห็นเข้า อีกอย่างก็เพื่อขอขมาลาโทษต่อดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมาก่อน
    ขณะทำพิธีขุดหาศพที่ฝังอยู่ใต้ดินเพื่อนำมาประกอบพิธีทางศาสนาอยู่นั้น ปรากฏว่ามีอยู่ศพหนึ่งเป็นเพศหญิงอายุขวบเศษ ๆ ยังอยู่ในสภาพปกติดีทุกอย่าง ไม่เน่าเปื่อย ทั้งที่เวลาได้ผ่านไปหลายปีแล้ว ที่เปลี่ยนไปบ้างก็แค่เนื้อหนังเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึงเหมือนคนธรรมดาเท่านั้น
    ศพที่ว่านั้นก็คือ ศพของเด็กหญิงรัศมี ลูกสาวของป้าทองดี กับลุงบุญมีนั่นเอง เมื่อป้าทองดีรู้ข่าว ก็ไปดูศพลูกพร้อมกับร่ำไห้ ทั้งด้วยความดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน จากนั้นก็ได้นำศพของลูกไปเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ยังไม่ให้ทางวัดเผา
    เมื่อเรื่องราวรู้ไปถึงหูชาวบ้านต่างแห่แหนกันมาดู และที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือ การขอเลขเด็ด ๆ จากแม่หนูรัศมีเสียเลย ส่วนจะมีใครถูกหรือไม่อันนี้ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ไว้ นับวันจำนวนผู้ที่มาขอเลขเด็ดยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น ป้าทองดีกับลุงบุญมีไม่รู้จะห้ามอย่างไร จึงตัดปัญหาด้วยการ นำศพลูกสาวไปมอบให้โรงพยาบาลมหาราชเพื่อศึกษาเป็นวิทยาทานต่อไป กระทั่งปัจจุบัน ศพของเด็กหญิงรัศมีก็ยังถูกเก็บรักษาไว้ที่นั่น ลุงและป้าเองก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมลูกแกเป็นระยะๆ
    เรื่องประหลาดยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ไม่นานหลังจากขุดศพของเด็กหญิงรัศมีขึ้นมา น้องสาวของป้าทองดี ก็ได้ตั้งท้อง และฝันว่า เด็กหญิงรัศมี ลูกของพี่สาวได้มาขอเกิดเป็นลูก เมื่อเล่าให้สามีและพี่สาวฟังแล้ว ต่างคนก็ต่างเฝ้ารอคอยว่าจะเป็นจริงตามที่ฝันหรือไม่
    จวบกระทั่งคลอดออกมา ปรากฏว่าเป็นเด็กหญิง มีหน้าตาละม้าย คล้ายกับเด็กหญิงรัศมี ลูกสาวของป้าทองดีมาก หนำซ้ำยังมีรอยปานสีดำติด อยู่ที่หลังใบหูด้านซ้าย ตามที่ป้าทองดีทำตำหนิไว้ไม่มีผิด ทำให้ทุกคนเชื่อว่า เด็กหญิงรัศมีได้กลับมาเกิดใหม่จริง ๆ
    ที่แปลกยิ่งไปกว่านั้น เด็กหญิงที่เกิดใหม่หรือ เด็กหญิงอรอุมา แทนที่จะติดพ่อแม่ ที่แท้จริง กลับไปติดป้าทองดีแทน เหมือนกับว่าป้าทองดีเป็นแม่แท้ ๆ ไม่ใช่ป้า ปัจจุบันเด็กหญิงอรอุมาอายุได้ 4 ขวบเแล้ว และอาศัยอยู่กับป้าทองดี โดยที่ป้าทองดีได้รับมาอุปการะเป็นลูก เด็กหญิงเองก็เรียกป้าว่าแม่ เช่นเดียวกัน
    ส่วนป้าทองดี เชื่อว่าลูกสาวของตนกลับมาเกิดใหม่ ก็ได้พาเด็กหญิงอรอุมาไปกราบไว้แม่ย่าโม และขออธิษฐานกับแม่ย่าโมว่า คราวนี้ ขอให้ลูกอยู่กับตนไปนาน ๆ อย่าให้มีเหตุต้องพลัดพรากเช่นครั้งก่อนอีกเลย ซึ่งจนปัจจุบันก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น โดยที่เด็กหญิงอรอุมา ก็โตวันโตคืน ท่ามกลางความรักที่แท้จริงของพ่อแม่ ทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้ว
    ที่ผมเขียนเล่ามาทั้งหมดนี้ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ ที่จะผิดแผกไปบ้างก็เพียงชื่อบุคคล เอ่ยถึงทั้งหมดเป็นชื่อที่ผมสมมติให้ใหม่ เนื่องจากไม่ต้องการให้เจ้าของเรื่องได้รับผลกระทบใดๆที่ตามมา ซึ่งผมเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิด หรือไม่เกิด ก็ขอป้องกันเอาไว้ก่อน ดีที่สุดครับ
    ส่วนใครที่อ่านเรื่องนี้ จะตีความหมายว่าเป็นเรื่องของกรรม หรือเรื่องอภินิหาร ก็สุดแล้วแต่ก็แล้วกัน
    สำหรับผมเชื่อว่า มันเป็นเรื่องของผลกรรมที่ทำไว้ครับ และ ผลกรรมนั้น ๆ ก็ได้ตามมาอย่างทันตาเห็น ดังที่ป้าทองดีแกได้ประสบ ซึ่งก็มีทั้งผลจากกรรมดี และกรรมไม่ดีที่แกได้สร้างไว้ส่วนใครอยากได้กรรมแบบไหนก็สร้างเอาก็แล้วกัน ขอให้คิดไว้เสมอว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ก็เท่านั้น หาเปลี่ยนแปลงได้ไม่
    ที่มา http://www.lekpluto.com/suksit/suksit_02.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...