ขอสอบถามปรากฏการณ์ที่เกิดขณะนั่งสมาธิคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย phimwalan, 17 กันยายน 2015.

  1. phimwalan

    phimwalan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2015
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอสอบถามท่านผู้รู้ค่ะ!!!
    ตัวเองเพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิได้ไม่นานคะ ประมาณ 1-2 เดือน มานี้เอง
    ได้เรียนรู้วิธีการสายต่างๆ เช่น การฝึกรู้ตัวเวลานั่ง ฝึกอาณาฯ รวมถึงได้มีโอกาสได้ฝึกมโนมยิทธิ 1 ครั้ง หลังจากนั้นก็นั่งฝึกเองที่บ้านคะ แต่ก็ไม่ได้ฝึกแนวของมโนมยิทธิแล้วนะคะ ฝึกแบบรู้ตัว หรือไม่ก็แบบอาณาฯ คะ

    *** ขออนุญาตเกริ่นก่อนเข้าเรื่องค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นนานมาแล้วก่อนที่จะมาเริ่มปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจัง เวลานอนตอนกลางคืนช่วงเคลิมๆ ใกล้จะหลับ หนูจะมีความรู้สึกว่า หนูลืมอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าลืมอะไร นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าลืมอะไร แล้วจะมีความรู้สึกเสียใจมากที่ลืมส่ิงๆ นี้ และพอเร่ิมมาปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ มีวันหนึ่งจึงอธิษฐานขอพุทธานุภาพว่า ขอให้หนูรู้สักทีว่าหนูลืมอะไร แล้วหลังจากนั้นหนูก็มีอาการขนลุกซูทั้งตัว ทั้งศีรษะ มีอาการใจวิวๆ เหมือนอยู่ในภวังค์ อาการนี้คลุมกายหนูอยู่สักครู่จึงหายไป

    และหลังจากนั้น มีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่อยากจะสอบถามท่านผู้รู้คะ
    1.เหตุการณ์แรก นั่งไปสักพักไม่นาน มีแสงสว่างคล้างแสงนีออนจ้าสว่างขาวโพนวาบออกมา ซึ่งก่อนนั่งหนูได้ขอพุทธานุภาพจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยเจ้า รวมถึงครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติสืบๆ กันมา รวมถึงได้อธิษฐานว่า หากมีสายสัมพันธ์อันใดต่อกันก็ขอให้ท่านเหล่านั้นโปรดมาอนุเคราะห์อบรมสั่งสอนหนู ซึ่งในแสงสว่างจ้านั้น ได้ปรากฏเป็นนิมิตของ หลวงปู่มั่น มาให้เห็นชัดเจนมากคะ ซึ่งก่อนหน้านั้นหนูไม่ได้นึกถึงท่านมาก่อน จะสอบถามว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเรียกว่าอะไร และเป็นของจริงหรือไม่คะ
    2. เหตุการณ์ทีสอง เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แรกไม่นาน ห่างกันประมาณ สองหรือสามอาทิตย์ได้คะ หนูนั่งสมาธิโดยใช้วิธีการดูกายรู้สึกตัวไปสักพัก เริ่มเบื่อเลยเปลี่ยนมาใช้วิธีดูลมหายใจแทน จากนั้นนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ รู้สึกว่าจิตมีการรวมตัวกันคล้ายกลุ่มควันขนาดใหญ่สีขาวที่หน้าผาก สักพักรู้สึกว่าจิตมีการพุ่งตัวออกไปข้างหน้าอย่างรุนแรง จนรู้สึกว่าร่างกายโยกและเหมือนหัวโดนผลักไปด้านหลัง หนูตกใจ แล้วเหมือนร่างกายมี refect ต้านอัตโนมัติ อีกใจก็อยากปล่อยให้มันหลุดไป แต่อีกใจก็กลัวคะ รบกวนสอบถามท่านผู้รู้หน่อยนะคะ ว่าหนูต้องปฏิบัติต่อไปอย่างไรให้ถูกต้องค่ะ
     
  2. panya18

    panya18 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +224
    ตามนี้เลย
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    นิมิต นี่ แล้วแต่ส่วนบุคคลครับ เราเห็นจริง แต่คนอื่นไม่ได้รับรู้ รู้เฉพาะตนเอง ครับ


    ส่วนอาการนั้น

    ปิติ ครับ ไม่ต้องไปสนใจมาก ให้กลับมาภาวนาในกรรมฐานที่ปฏิบัติตามเดิมครับ

    ถ้าไปส่งจิตออกไปจับออกการเหล่านี้ ฟุ้งซ่าน หลุดจากกรรมฐาน ลืมกรรมฐาน ก็จะติดอยู่แค่ตรงนี้ อาการพวกนี้ครับ

    แนะนำว่า อาการอะไรจะเกิด ก็อย่าไปสนใจ ให้รับรู้ แล้ว ปล่อย จดจ่ออยู่ในกรรมฐานที่ปฏิบัติ ตามเดิมครับ

    เราสมาธิ ต้องการให้ จิตสงบ อารมณ์หนึ่ง จิตเป็นสมาธิ ครับ ไม่ได้ต้องการไปรับรู้อาการต่างๆนาๆ ฟุ้งซ่านเข้ามาแทน กรรมฐานที่ปฏิบัติ

    อะไรจะเกิด ก็ปล่อยไป ไม่ต้องไปกลัว รักษาใจให้สงบ ไม่ต้องไปกลัวตาย หรือ กลัวอะไร เพราะ กุศลกรรม บุญรักษาคุ้มครอง อยู่ครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2015
  4. phimwalan

    phimwalan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2015
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอบพระคุณคะ
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ไม่มีอะไรผิดหรอก
    เป็นธรรมดาของผู้เริ่มปฏิบัติทางจิต บ้างก็เห็นนี่เห็นนั่น ได้ยินเสียงนั่นนี่ ได้กลิ่นนี่นั่น สารพัดบรรยายไม่หวาดไหวครับ

    ให้ดูตัวหนึ่งก่อน ขนาดเดินจงกรม ยังเห็นนิ

    วันนี้ ได้เดินจงกรมเห็นเทพนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า และสักพักเป็นในหลวง เป็นเพราะอะไรค่ะ?

    สภาวะทั้งหลายทั้งปวงที่เล่าๆกันในอดีต ปัจจุบัน และจะเล่าๆกันอีกในอนาคต ปรากฏแก่ผู้เริ่มฝึกจิตเจริญสมาธิ (หรือเรียกชื่ออะไรอีกสุดแท้แต่) เกิดจากสติ สัมปชัญญะ ไม่อยู่กับสิ่งที่กำหนดรู้ คือ ยังตามไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ว่างั้นเถอะ

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
    ผู้ใช้ลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานะ) ก็ดี ใช้อาการท้องพอง กับ ท้องยุบ เป็นต้นก็ดี ตามไม่ทันทุกๆขณะ ที่ลมเข้า-ลมออก ที่อาการท้องพอง-ท้องยุบ

    เมื่อตามลมเข้า-ออก,อาการพอง-ยุบ ทุกๆขณะไม่ทัน จิตก็มีอาการเบลอๆ จึงคิดวาดภาพนี่นั่นได้สารพัด (ภาพนั่นนี่เกิดๆดับๆ) อย่างที่เล่าๆกันทั่วๆไปตามบอร์ดธรรมะนั่นแหละ

    หนูต้องกำหนดรู้สิ่งนั้นๆ ภาพนั้นๆ ฯลฯ ตามที่รู้สึก ตามที่เป็น รู้สึกยังไง เป็นยังไง กำหนดในใจยังงั้น ทุกครั้งทุกขณะ ตย. เห็น "เห็นหนอๆๆๆ" รู้สึกกลัว "กลัวหนอๆๆๆ" ฯลฯ โดยไม่เลี่ยงหนีสภาวธรรม ข้อนี้สำคัญ แล้วจิตก็จะพัฒนายิ่งๆขึ้นไป
     
  6. phimwalan

    phimwalan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2015
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอบพระคุณ คุณมาจากดิน ที่กรุณามาตอบโพสค่ะ
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    หาก จขกท. จะปฏิบัติทางจิตเรื่อยๆไป สภาวะจะยิ่งเข้มขึ้นๆ (บทเรียนยากขึ้นๆ) ดังนั้น เครื่องมือสำหรับภาคปฏิบัติทางจิต คืออย่างที่บอก สรุปอีกที

    1.หลัก (ลมหายใจเข้า-ออก,อาการพอง-ยุบ)
    2.กำหนดรู้สภาวะที่ปรากฏทุกๆอย่างทุกๆขณะ ทั้งทางกาย ทางใจ (ความรู้สึกนึกคิด) เป็นยังไงก็ยังงั้น ตรงๆ ไม่บิดเบือน ไม่เลี่ยงหนี

    เมื่อกำหนดตามสภาวะนั้นๆแล้ว กลับมารู้หลักเกาะหลัก ตามหลักตามลมทันต่อ เมื่อรู้สึกไงแวบเข้ามา ก็กำหนดยังงั้นอีก
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    มี ตย. ด้านสะดวกให้ดู

    แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
    แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
    ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

    ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

    เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

    เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

    กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
    เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

    เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

    ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
    เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

    ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย

    มันน่าน้อยใจนัก!!
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ตย. ด้านตรงข้าม

    ผมไปบวชได้แปดเดือน บวชวันแรกเกิดกำหนัดแอบ...สองอาทิตย์ผ่านไป เอาวินัยมาอ่าน อ่าวนี่มันผิดศีลนี่หว่าอายไม่กล้า ใครก็เดินจงกรมนั่งสมาธิ ตอนนั่งสมาธิ ก็หลับตา ไม่คิดอะไรท่องพุท-โธ ตามลมหายใจ จนเข้าเดือนที่สี่ออกพรรษาคิดว่าจะสึก แต่เห็นแสงเทียนในกระจกหน้าต่าง ก็วิ่งไปบอกเจ้าอาวาสๆก็ได้แต่ยิ้ม เข้าเดือนที่แปดนั่งสมาธิแบบเดิม ตอนนั้นเครียดเรื่องท่องหนังสือไม่ได้ ในขณะที่นั่ง มีเสียงผู้ชายมาถามว่าบรรลุรึยัง ผมเลยบอกว่ายังพูดในใจ อยู่ดีๆก็มีเสียงสวดมนต์เพราะมาก ตามด้วยบทธรรมจักร อยู่ดีๆก็มีภาพผมมีน้ำอสุจิไหลออกมาเห็น ภาพที่เคยมีอะไรกับแฟนและมีเรื่องไม่ดีมากมาย ก็เลยพิจารณาการเกิดดับแก้ เรื่องหนึ่งมันก็มาอีก เรื่องหนึ่งเสียงก็ด่าว่าไอ้เลวตลอด อวัยวะเพศแข็งอยากมีเซ็กตลอดเวลา เลยตัดสินใจสึก คิดอะไรเหมือนมีคนรู้ เสียงด่าก็ด่าตลอด เลยไปพบจิตแพทย์ หมอบอกว่าเป็นโรคจิตเภทและโรคไทรอยด์ เลยอยากบวชใหม่ไปอยู่กรรม แต่ยังกินยาเลย ถ้าไปบวชอีกกลัวจะบ้ากว่าเดิมครับ
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    นำ ตย.สองด้านให้ดู

    เรื่องชีวิตจิตใจ ลึกซึ้งเข้าใจยากครับ ดังนั้น พิจารณาทั้งกายทั้งใจเงียบๆ หมั่นสังเกตการทำงานของมัน ให้เห็นต้นสายปลายเหตุ
     
  11. phimwalan

    phimwalan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2015
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอบพระคุณ ทุกๆ โพส นะคะ ดีมากแล้วคะ
    รู้สึกมีกำลังใจในการปฏิบัติมากขึ้นคะ
    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  12. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ขออนุญาตเกาะกระทู้ พูดภาคปฏิบัติให้จบกระบวนนะครับ
    คือ
    เมื่อว่ารวมๆแล้ว ผู้ฝึกฝนพัฒนาจิต ขณะนั้นๆ เขากำลัง ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด อะไรอยู่ก็ตาม ทุกๆอริยาบถทุกๆการกระทำ ถ้ามีความรู้สึกตัวอยู่กับสิ่งนั้นๆการกระทำนั้นๆ ก็อยู่ในเงื่อนการฝึกทั้งสิ้น

    แต่ที่เน้นสอนกันชัดๆ ก็ยืน เดิน (รวมอยู่ในจงกรม) นั่ง (อริยาบถนั่งกำหนดอารมณ์)

    ดังนั้น พูดเรื่องจงกรม

    [​IMG]

    จงกรม เดินไปมาโดยมีสติกำกับ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    อานิสงส์การเดินจงกรม ๕ อย่าง คือ

    ๑. เป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล
    ๒. เป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร
    ๓. เป็นผู้มีอาพาธน้อย
    ๔. อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้ว ย่อยง่าย
    ๕. สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรม ตั้งอยู่ได้นาน

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
    หน้าที่ ๒๖
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    จงกรม 6 ระยะ

    ระยะที่ 1 ซ้าย ย่าง หนอ - ขวา ย่าง หนอ - ซ้าย ย่าง หนอ - ขวา ย่าง หนอ ... (หนอเหยียบพื้น)

    ระยะที่ 2 ยกหนอ - เหยียบหนอ (ยก - เหยียบ)

    ระยะที่ 3 ยกหนอ - ย่างหนอ - เหยียบหนอ (ยก - ย่าง - เหยียบ)

    ระยะที่ 4 ยกซ่นหนอ - ยกหนอ - ย่างหนอ - เหยียบหนอ (ยกซ่น - ยก - ย่าง - เหยียบพื้น)

    ระยะที่ 5 ยกซ่นหนอ - ยกหนอ - ย่างหนอ - ลงหนอ - เหยียบหนอ (ยกซ่น - ยก - ย่าง - หย่อนเท้าลงแต่ยังไม่ถึงพื้น - เหยียบพื้น)

    ระยะที่ 6 ยกซ่นหนอ - ยกหนอ - ย่างหนอ - ลงหนอ - ถูกหนอ - กดหนอ (ยกซ่น - ยก - ย่าง - หย่อนเท้าลงยังไม่ถึงพื้น - ปลายเท้าถูกพื้น- กดซ่นเท้ากับพื้น)

    .......

    จงกรม เดินกลับไปกลับมาโดยมีสติอยู่กับการเดินๆ ความหมายก็คือใช้อิริยาบถ เดิน ยืน พัฒนาจิตรับรู้ขณะปัจจุบัน (ขณะเดิน) จะเดินไปไหนๆ แต่มีสติสัมปชัญญะอยู่กับการก้าวเดินไป (หมุนตัวกลับก็รู้สึกตัว)
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    การปฏิบัติกัมมัฏฐานสิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ การปรับอินทรีย์ ให้เสมอๆกัน

    บรรดาจงกรม 6 ระยะนั้น ระยะที่ 1-3 เน้นเสริมวิริยะ (วิริยิทรีย์)
    ระยะที่ 4-6 เน้นเสริมสมาธิ (สมาธินทรีย์)


    จงกรมกับนั่ง ต้องแบ่งเวลาเท่าๆกัน หรือใกล้เคียงกัน ตย. นั่ง (กำหนดอารมณ์) 20 นาที จงกรม ก็ 20 นาที

    เมื่อ เดิน,นั่ง คล่องแล้ว ก็ค่อยๆปรับเวลาขึ้นไปเรื่อยๆ (ครั้งละ10 นาที) จนถึงเดิน 60 นาที นั่ง 60 นาที พอ

    ในแต่ละวันๆ จะทำมากน้อยแล้วแต่ คือปฏิบัติไปเรื่อยๆจนกว่าชีวิตจะหาไม่

    ส่วนนาฬิกาให้ปิดกริ่งเสีย ถึงเวลาที่กำหนดไว้จะได้ยินเสียงดังแป๊กพอได้ยิน
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    สัตว์ป่ามีลิงเป็นต้น มนุษย์ผู้ฉลาดเป็นผู้ฝึกให้ ฝึกทำไม ? ฝึกเอาไว้ใช้งาน มีขึ้นเก็บมะพร้าว เป็นต้น

    https://www.youtube.com/watch?v=Z9O-Wzvijss

    แต่มนุษย์เองต้องฝึกฝนพัฒนาจิตตนเองเอาเอง ฝึกทำไม ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2015
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    การเจริญภาวนาจะสำเร็จไม่สำเร็จยังไง ท่านว่ามีองค์ประกอบ ๒ อย่าง คือความแก่อ่อนแห่งอินทรีย์ ๕ กับ การฝึกที่ถูกวิธี เป็นต้นด้วย สังเกตดู


    เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะความพร้อม หรือแก่กล้าของอินทรีย์ต่างๆ

    - บางคนอาจฝึกซ้อมไม่ต้องมาก ก็ประสบความสำเร็จโดยง่าย

    - บางคนอาจฝึกหัดใช้เวลานาน แต่ฝึกไปสบายๆ ก็สำเร็จ

    - บางคนทั้งฝึกยากลำบาก ทั้งต้องใช้เวลายาวนาน จึงสำเร็จ

    - บางคนจะฝึกหัดอย่างไร ก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย

    นอกเหนือจากความแตกต่างระหว่างบุคคลแล้ว ความสำเร็จ และความช้าเร็ว เป็นต้น ยังขึ้นต่อปัจจัยอื่นอีก โดยเฉพาะการฝึกที่ถูกวิธี การมีผู้แนะนำ หรือครูดี ที่เรียกว่า กัลยาณมิตร ตลอดจนสภาพในกาย และสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เป็นต้น

    ท่านจึงจำแนกการปฏิบัติธรรมที่ประสบความสำเร็จออกเป็น ๔ ประเภท เรียกว่า ปฏิปทา ๔ คือ

    ๑. ทุกขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติยากลำบาก ทั้งรู้ช้า (มีอภิญญาช้า)

    ๒. ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติยากลำบาก แต่รู้เร็ว (มีอภิญญาเร็ว)

    ๓. สุขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวกสบาย แต่รู้ช้า (มีอภิญญาช้า)

    ๔. สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวกสบาย ทั้งรู้เร็ว (มีอภิญญาเร็ว)
    (องฺจตุกฺก.21/161-3/200-4; 166-8/207-9 ฯลฯ)

    ในบรรดาองค์ประกอบต่างๆ หลายๆอย่าง ที่ทำให้ปฏิบัติยากหรือง่าย รู้ได้ช้า หรือเร็วนั้น สมาธิก็เป็นปัจจัยแห่งความแตกต่างอย่างหนึ่งด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2015
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    เห็นคำว่า อภิญญา อย่าคิดไปไกลถึงเรื่องเหาะเหิรเดินอากาศหูทิพย์ตาทิพย์ไปเสียหมด คำนี้มีความหมายหลายนัย


    คำว่า "อภิญญา" เป็นคำน่าศึกษามากคำหนึ่ง แปลกันมาว่า ปัญญาอันยิ่ง หรือความรู้ยิ่ง (= อุตตมปัญญา ที่ องฺ.อ.2/8 และอธิกญาณ ที่ วินย. อ. 1/134...อาจแปลโดยอาศัยรูปศัพท์ว่า ความรู้เจาะตรง ความรู้จำเพาะ ความรู้เหนือ (ประจักษ์ทางประสาททั้ง ๕)

    คัมภีร์อัฏฐสาลินี และวิสุทธิมัคค์ อธิบายว่า ปัญญาที่เป็นไปตั้งแต่อุปจาระ (อุปจารสมาธิ) จนถึงอัปปนา (อัปปนาสมาธิ) เรียกอภิญญา คัมภีร์ปรมัตถมัญชุสาชี้เฉพาะลงไปอีกว่า อภิญญา คืออัปปนาปัญญา (ปัญญาที่เกิดเมื่อจิตเป็นอัปปนาสมาธิ. ปราชญ์บางท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า direct knowledge บางทีจะเป็นความรู้จำพวก intuition

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...