ขออนุญาตสอบถามพี่ๆและเพื่อนๆนักปฏิบัติทุกท่านครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rattanasak, 26 ธันวาคม 2017.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ "ส่วนใหญ่จะมีแต่คนบอกว่าอย่าไปสนใจ" ตรงนี้ คือ "ปัญหา" ของการปฏิบัติในแนวทางของพุทธศาสนา

    +++ คนที่บอกว่า "อย่าไปสนใจ" นั่นคือ "การตัด รู้ ธรรมเฉพาะหน้า" ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ ออกไปโดยขาดความรับผิดชอบ

    +++ "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรม เฉพาะหน้า" เป็นอาการ "ตั้งสติ รู้ ปรากฏการณ์ ที่เกิดในขณะนั้น ๆ"

    +++ ผู้ที่ทำตาม คำของพระพุทธองค์ จึงสามารถ "รู้" ในปรากฏการณ์นานาชนิด

    +++ ส่วนผู้ที่ "ไม่สนใจ" ย่อม "ตัด" ตัวเองออกไปนอกวง เป็นธรรมดา

    +++ ที่ไม่ให้สนใจจริง ๆ คือ "อย่าไปสนใจ ความคิดเอง เออเอง หรือ มโนแทรก" เรื่องจริง ๆ มีแค่นี้

    +++ แต่คำพูดที่ทำต่อ ๆ กันมา มันทำให้การปฏิบัติ เพี้ยน กันไปหมด
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ยามใดที่ผู้ถามสับสน หากให้คำตอบไป ผู้ถามจะยิ่งสับสนมากขึ้น เป็นธรรมดา
    +++ อโหสัมปชัญญะ น่าจะเป็น คำศัพท์ใหม่ ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ดังนั้น คงไม่สามารถให้คำตอบได้

    +++ น่าจะเป็น "อสัมโมหสัมปชัญญะ" คือ รู้วาระจิตที่ผ่านมาแล้ว และสามารถดึงกลับมา (ระลึก-ตรึง-ปรากฏ) เพื่อการทำ ธัมมะวิจัยยะ ด้วยการทำ โอปนยิโก ได้ มากกว่า

    +++ ที่ผมกล่าวไว้นี้ เป็นทั้ง "คำอธิบาย และ วิธีการทำ" ทั้งหมดในตัวของมันเองอยู่แล้ว

    +++ ขึ้นอยู่กับ Specification ของผู้อ่านเอง ว่าจะมี qualify ตรงตาม spec. หรือไม่ ที่จะอ่านรู้เรื่องได้

    +++ Specification ของผู้อ่าน ที่จะ qualify ในเรื่อง "อสัมโมหสัมปชัญญะ" ในรอบแรก มีคร่าว ๆ ดังนี้

    +++ 1. รู้วาระจิตแห่งตน minimum requirements ต้องทราบชัดใน "กิริยาจิต" ของตนเอง ในระดับ "ชัดเจน"
    +++ 2. รู้ "กิริยาจิต" ในระดับ "รับ/ส่ง (จิต ส่งออก/ตกกระทบ)" และสามารถ "จำแนกได้แม่นยำ" ว่า "รับ หรือ ส่ง"
    +++ 3. ณ กิริยาจิตในขณะ "รับ/ส่ง" นั้น สามารถ "อ่านออก" ว่า "กิริยาจิตนั้น ๆ บันจุ concept (สังกัปโป) พัสดุ" อะไรอยู่ข้างใน (เจโตปริยะญาณ)

    *** หมายเหตุ ตรงนี้ต้องทำ "ตั้งสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า ในระดับ กิริยาจิต" ให้ได้ก่อน

    +++ เพื่อป้องกัน "ความเครียด" ผมจึงใช้ ระบบไปรษณีย์ มาเป็นภาษานำร่อง ในรอบแรก เท่านั้นเอง
    +++ แต่ถ้า qualification 3 ตัวแรก "ไม่ผ่าน" ก็ถือว่า "ตกรอบคัดเลือก" ไปก่อนเลย นะ
    +++ เพราะการคัดเลือก รอบต่อไป จะหนักกว่านี้

    +++ Specification ของผู้อ่าน ที่จะ qualify ในเรื่อง "อสัมโมหสัมปชัญญะ" ในรอบที่สอง ที่ "ต้อง" ผ่านรอบแรกมาแล้ว มีคร่าว ๆ ดังนี้

    +++ 1. สามารถ "ดึงกิริยาจิต" ที่ผ่านไปแล้ว ให้ย้อนกลับมาเป็น "ปัจจุบัณขณะ" ได้ (อกาลิโก ที่ไม่ใช่แค่ คำแปล)
    +++ 2. สามารถ "โน้ม (โอปนยิโก)" ความเป็นตน ให้เข้าไปสู่ กิริยาจิตนั้น ๆ ได้
    +++ 3. เมื่อเข้าไปสู่ "กิริยาจิตนั้น ๆ แล้ว" ต้องสามารถ "ตั้งสัมปชัญญะ ภายใน กิริยาจิตนั้น ๆ ได้" (อธิปัตติปัจจัยโย)

    +++ แต่ถ้า qualification 3 ตัวนี้ "ไม่ผ่าน" ก็ถือว่า "ตกรอบรองชนะเลิศ" ไปก่อน ส่วน "รอบชิง" มีดังนี้

    +++ 1. เมื่อ "ครอบครอง กิริยาจิตได้แล้ว" อาการสัพเพธัมมา ภายในกิริยาจิตนั้น ๆ จะเกิดขึ้น ในอดีตผมใช้คำว่า "ขันธ์ประธาน แตก ขันธ์บริวาร" ต่อเมื่อเดินจิตใน มหาปัฏฐานสูตรแล้ว จึงรู้ว่ามันเป็นอาการของ อนันตะระปัจจะโย ตรงนี้เอง

    +++ 2. จากนั้นก็จะ "รู้" สังกัปโป ในแต่ละ "กิริยาจิต" ได้เอง แล้วจึง "โอปนยิโก" ลงไปใน "กิริยาจิต" ที่ต้องการ ก็จะทราบเรื่องเอง


    +++ ทั้งหมดนี้ "อยู่ในบริเวณ ธัมมวิจยโพชฌงค์/ปิติสัมโพชฌงค์" เฉย ๆ ยังเป็นเรื่อง "จิ๊บ ๆ ในศาสนาพุทธ" เท่านั้นเอง
    +++ ทุกอย่างขึ้นต้นด้วย "ตั้งสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" จนเกิด "ความรู้สึกตัวทั่วถึง"
    +++ นี่เป็นเรื่องภายใน ของ ธัมมวิจยโพชฌงค์/ปิติสัมโพชฌงค์ เท่านั้น ยังมีอีกมาก


    +++ คำถามของคุณ jityim ตรง "คนเราส่วนใหญ่มักจะหลงเพราะไม่รู้ แต่คนที่รู้ในความหลง สามารถระลึกรู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นความหลง คือ ไประลึกผิดเห็นผิดได้ สามารถไปกำหนดดูได้ นั้นใช่อโหสัมปชัญญะหรือเปล่าค่ะ"

    +++ คำตอบ คือ "ใช่" ที่สำคัญ คือ หลังจากตอบไปแล้ว จะ "เข้าใจจริง" ได้แค่ไหน ตรงนี้คุณ jityim ต้องค่อย ๆ หาทางเอา

    +++ ผู้ที่ยังไม่ได้ "ฝึกปฏิบัติ" ตามทางที่ พระพุทธองค์ ทรงวางไว้ ก็ควรหา "ยาแก้ปวดหัว" กินไปก่อน นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2018
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ กลิ่น ปลั๊กไฟช๊อต สามารถ "ฝังตัว" ลงไปใน โมเลกุล ในบริเวณที่มันอยู่ ก็ได้ กลิ่นจึงมีอยู่ได้นาน
    +++ กลิ่นอย่างอื่น ให้สังเกตุจับเวลาแบบ "จันทรคติ" ด้วย ว่า มันมาเป็นเวลาหรือไม่ แต่ละครั้งเป็นเวลา 10-15 นาทีโดยประมาณหรือเปล่า

    +++ กลิ่นนั้น ไม่หายไปตามกระแสลม ด้วยหรือไม่ ตรงนี้ควร "เก็บรายละเอียด" ให้ดี ๆ เพื่อ "ป้องกันความงมงาย จากทั้ง ใช่/ไม่ใช่" ทั้งหมด นะครับ
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ณ ขณะที่อาการเกิด "เรามี สติ+สัมปชัญญะ ครบถ้วนบริบูรณ์"
    +++ และ หากจะให้ความเป็นธรรมแล้ว "ขณะนั้น สติสัมปชัญญะ แกร่งชัดเจนกว่าปกติ หรือไม่"

    +++ อาการ "กายที่ ยืดหยุ่นได้" นั้น ณ ขณะนั้น ๆ คือ "ตัวเราเอง ที่เรียกว่า ตน" ใช่หรือไม่
    +++ อาการนี้ "ไม่ใช่การเห็น แต่ มันคือการเป็น" ใช่หรือไม่

    +++ ถ้าหากใช่ ตรงนี้คือ "อาการ กายในกาย เบื้องต้น"
    +++ เป็น "กายแห่งความรู้สึก เป็นกายแห่งสัมปชัญญะ"

    +++ กายนี้ สามารถ "เปลี่ยนลักษณะ ไป/มาได้"
    +++ ควบคุมกายนี้ให้ดี ๆ "มันเป็น กาย ที่ยามใดจุติ จะกำหนด ความเป็น สัตว์/เผ่าพันธ์" ด้วยเช่นกัน

    +++ ตรงนี้ยังเป็น "ส่วนของกาย ยังไม่ใช่ส่วนของจิต" กายนี้ "เป็นสนามชิงชัย ของ สัมปชัญญะ"
    +++ ห้าม ละเฉย/เมินเฉย เมื่อคุมได้แล้ว มันก็จะสงบ และจะรู้จัก ปิติสัมโพชฌงค์ ได้เอง

    +++ สรุป "มันเป็นตัวเราเอง" สิ่ง ๆ นี้เรียกว่า "ความเป็น ตน ในระดับเบื้องต้น"
    +++ เพียงแต่ "ยังควบคุม ตน ไม่ได้เท่านั้น" แต่ หาเจอแล้ว


    +++ ตน นี่แล... ที่ กำหนดความเป็น สัตว์/เผ่าพันธ์ ต่าง ๆ ตาม "จุติจิต"
    +++ นี่เป็น "กาย" ที่ท่องเที่ยวไปตาม ภพ น้อยใหญ่ต่าง ๆ
    +++ กายตรงนี้ "เป็นนามกาย" ที่จะไปกำหนด "รูปกาย" ในขณะ จุติ
    +++ โพสท์นี้ คง "สวนกระแส" ความเชื่อต่าง ๆ มากมาย


    +++ คำถามนี้ หากนำไปถาม พระปฏิบัติ ที่ผ่านตรงนี้มาแล้ว
    +++ ท่านก็จะตอบได้ เพียงแต่ว่า ท่านจะตอบให้หรือไม่
    +++ ทั้งนี้ขึ้นกับ การวินิจฉัยในเรื่อง อุตริมนุษธรรม ประการใด
    +++ ตรงนี้เป็น ข้อจำกัดประการหนึ่ง ขอให้เข้าใจไว้ด้วย

    +++ คำตอบของคุณ rattanasak คือ ใช่ "มันเป็น กาย ในฌานที่ 2 เป็น ปิติกาย สัมปชัญญะกาย"
    +++ ไป "ถูก ในแนวทางของ ปิติสัมโพชฌงค์" แล้วครับ
     
  5. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    อโมหสัมปชัญญะรึเปล่าครับ
     
  6. rattanasak

    rattanasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +616


    ขอน้อมกราบขอบพระคุณพี่ ธรรม-ชาติ มากครับพี่ที่ไขข้อข้องใจ และชี้หนทางสว่าง ให้น้องคนนี้ได้พบความจริงของการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย อนุโมทนา สาธุๆอีกครั้งครับ
     
  7. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    โพชฌงจะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อ ตามเห็นการเกิดดับของกายและจิตหรือเรียกอีกอย่างว่า การเพ่งลักขณูปนิชฌานของกายและใจ จนเกิดเห็นตามความจริงระลึกตรงลักษณัความจริง ธรรมะที่เราวิจัยอยู่นั้นปรากฎชัดประจักกายและใจเรา ปีติ ปัทสัทธิ ไปจนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์จะปรากฎไล่ตามกันมาอย่างถูกต้อง จะไม่มีการสงสัยอะไรเลย ในขณะที่อุเบกขาสัมโพชฌงปรากฎ ตนเองจะหมดความสงสัยอะไรในเส้นทางนี้ แต่ถ้าไปเพ่งกสินหรือทำสมาธิไม่พิจารณาเกิดดับท่านจะถูกพลังงานแห่งความเป็นโลกที่ละเอียดพาจิตไปสู่เส้นทางที่ละเอียดพิศดารเกี่ยวไปกับโลกที่ลึกลงไปยากที่จะกลับมาสู่เส้นทางหลุดพ้น ท่านจะตกอยู่ในรูปราคะ และอรูปราคายากจะหาทางออกได้ ความสุขที่ละเอียดหลงเข้าไปแล้วมันโงหัวขึ้นยากยิ่งกว่ารสกามรสนะครับ ขนาดกามรสยังไปกันไม่ค่อยรอดเลย ทั้งหมดเป็นมิจฉาปฎิปทา จะยึดเอาความสงบมาเป็นความสำเร็จ ออกทางไปไกลสุดกู่ แล้วกว่าจะกลับมาได้อาจหลายๆชาติ เพราะหลงคิดว่าตนเองสำเร็จธรรมะ บางคนต้องรอพระพุทธเจ้ามาสอน ถ้าท่านปรารถนาพระนิพพานจริงๆเห็นการเกิดมามีชีวิตนั้นเป็นทุกข์ ท่านจงตามเห็นการเกิดดับของรูปและนามตามคำสอนขอวพระพุทธเจ้าเถอะ ท่านจะไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องฌานสมาธิอะไรนั้น ท่านจะเห็นแต่กิเลสที่หลงเหลืออยู่ท่านจะเฝ้าคอยระมัดระวังกายใจในเรื่องตัณหาอุปาทาน ท่านจะเฝ้าทำกิจเหล่านี้ตลอด ท่านจะเห็นจิตที่ไม่ดีจองท่านตลอดเวลา หิริโอตัปปะจะเกิดกับท่านตลอด หันกลับมาเฝ้าตามเห็นการเกิดดับของกายและใจเท่านั้น กิจอื่นให้ทำยิ่งไปกว่านี้ไม่มี ให้มาสู่อานาปานสติดั่วพระองค์สรรเสริญไว้ครับ รับประกันชาตินี้ก็มีสิทธิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2018
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ตอบให้นะคับ จะได้ไม่หลงผิด

    ไม่ใช่ฌานขั้นที่ 2 คับ

    อาการที่เล่าๆมา เป็น อุปจารสมาธิ ครับ
     
  9. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    หลักการในพระพุทธศาสนา ถ้าเริ่มต้นอย่างถูกต้อง เริ่มต้นด้วยการโยนิโสมนะสิการ พิจารณาเห็นความทุกข์ การดำเนินนั้นจะไปอย่างไม่มีความอยากเป็นตัวนำ มีแต่ฉันทะในการหลุดพ้นเริ่มต้นด้วยกุศลไปสู่กุศลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยความยาก คำถามจะตามมามากมายและคำตอบที่ได้ไปนั้นก็ไปเติมให้ความอยากต่อไปอีก กลับมาเริ่มต้นทบทวนปฎิปทาในการปฎิบัติท่านเองเส้นทางนี้ต้องการอะไร มีอะไรเป็นที่ไป จะเสียเวลากับอะไรๆไปเพื่ออะไรกับสิ่งที่ทำให้เราต้องกลับมาเป็นอย่างนี้อีก พุทธวจนนั้นเป็นหลักในการนำพาท่านไปสู่จุดหมายได้อย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2018
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,419
    ค่าพลัง:
    +3,195
    จากการอ้างอิงโพสของท่านธรรม-ชาติ ไม่ได้แย้งนะค่ะ แต่ขออ้างอิงหน่อยค่ะเพื่อความเข้าใจไม่คลาดเคลื่อน

    นิพพานเป็นอนัตตา ถ้าสุญญตาของนิโรธ นั้นไร้อัตตา เป็นอนัตตา "ไม่มีตัวกู"

    คือเป็นสภาวะธรรมชาติหนึ่งที่มีเหมือนไม่มี ไม่มีสิ่งใดปรากฎขึ้นในสภาวะนั้น มันเป็นธรรมชาติหนึ่งของความว่างมันไร้อัตตา ไม่มีตัวกู แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย

    สภาวะสุญญตา เป็นความว่าง แต่ในความว่างนั้นไม่ใช่ว่างเปล่า หรือว่างสูญ แต่เป็นลักษณะความมีที่เหมือนไม่มี เหมือนในอากาศมีลม แต่ลมไม่พัดไหว ก็ดูเหมือนลมไม่มี แต่ที่จริงมีลม เพียงแต่ลมสงบนิ่ง ในความสงบนิ่งก็มีบรมสุขอยู่ เหมือนจิตนิ่งเราจะพบความสุข และนอกจากความสุขสงบอย่างเดียวไม่มันยังมีความบริสุทธิ์ สว่าง ผ่องใส ซึ่งเราอาจจะหมายถึงอายตนะนิพพาน คือ มีการรู้สภาวะนั้นอยู่ ซึ่งแตกต่าง กับการไม่มีอะไรเลยซึ่งมันหายไปอย่างไร้ร่องก็เลยไม่มีอะไร

    ทีนี้อนัตตาในสังขตธาตุ ข้างในนิโรธ มีตัวตน แต่เป็น อนัตตา "ไม่ใช่ ตัวกู" ก็คือ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ ที่เปรียบดั่งโลกนี้ ที่เห็นว่ามีอยู่ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ ไม่ใช่"ตัวกู" หรือไม่ใช่ตัวเราของเรา

    คำตรัสของพระพุทธเจ้า....เรื่องนิพพานและสุญญตา

    ๑.อัคคิวัจฉโคตตสูตร

    สูตรที่แสดงว่าพระอรหันต์ ตายแล้วสูญ หรือ ไม่สูญ

    ดูก่อนวัจฉะ !ข้อนี้ท่านจะพึงเข้าใจอย่างไร ? ถ้าหากไฟจึงลุกขึ้นต่อหน้าท่านท่านก็ย่อมรู้อยู่มิใช่หรือว่าไฟนี้ลูกอยู่ต่อหน้าเรา

    ข้าแต่พระสมณผู้เจริญถ้าไฟลุกโพลงขึ้นต่อหน้าข้าพระองค์ข้าพระองค์ก็รู้ว่าไฟนี้ลูกอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์

    ดูก่อนวัจฉะ ! ก็ถ้าหากจะมีใครถามท่านอย่างนี้ว่าไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้มันลุกขึ้นเพราะอาศัยอะไรท่านจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร

    ข้าแต่พระสมณ โคดมผู้เจริญ..ถ้ามีคนถามข้าพระองค์อย่างนี้ข้าพระองค์ก็จะพึงพยากรณ์ว่าไฟนี้ลุกโพลงขึ้นเพราะอาศัยคือหญ้ากับไม้

    ดูก่อนวัจฉะ! ถ้าไฟนี้ดับต่อหน้าท่าน..ท่านก็จะพึงรู้ว่าไฟนี้ดับต่อหน้าเราไม่ใช่หรือ?

    ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ..ถ้าหากว่าไฟนั้นดับต่อหน้าข้าพระองค์ข้าพระองค์ก็พึ่งรู้ว่าไฟนี้ดับต่อหน้าข้าพระองค์

    ดูก่อนวัจฉะ ! ก็ถ้าหากมีใครถามท่านอย่างนี้ว่าไฟที่ดับต่อหน้าท่านนี้ไปสู่ทิศไหน ทิศบูรพา ทิศประจิม อุดร ทักษิณ..เมื่อท่านถูกถามเช่นนี้วัจฉะ ท่านจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร?

    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ..ข้าพระองค์ก็จะพึงกล่าวว่าข้อนั้นไม่ควรกล่าวเพราะไฟลุกโพลงขึ้นก็เพราะอาศัยเชือหญ้ากับไม้ เพราะสิ้นเชื้อนั้นและไม่ใส่เซื้ออีก ขาดเชื้อเสียแล้วไฟนั้นก็ย่อมดับไป

    ดูก่อนวัจฉะ! ข้อนี้ก็เหมือนกันผู้ที่พูดถึงตถาคตจะพึงพูดโดยอาศัยรูปใดเป็นที่บัญญัติ รูปนั้นตถาคตละเสียแล้วตัดรากเหง้าขาดแล้วกระทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ถึงซึ่งความไม่มี มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา

    ดูก่อนวัจฉะ! ตถาคตหลุดพ้นแล้วจากสิ่งที่นับว่าเป็นรูป ตถาคตเป็นสภาพลึกซึ้งประมาณมิได้หยั่งถึงได้ยาก..เปรียบเหมือนมหาสมุทรที่พูดไม่ได้ว่ากำลังเกิดขึ้นหรือยังไม่เกิด เกิดขึ้นแล้วและไม่เกิดขึ้น ด้วยจะว่าเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่

    แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ย่อมจะเข้าใจภาวะแห่งตถาคตได้ดี


    .“ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ย่อมพบกับปีติปราโมทย์อันใหญ่หลวง รู้สึกตนว่าได้พบขุมทรัพย์มหึมาหาอะไรเปรียบมิได้ อิ่มอาบซาบซ่านด้วยด้วยธรรมตนของตนเองนั่นแลเป็นผู้รู้ว่าบัดนี้กิเลสานุสัยต่างๆ ได้สิ้นไปแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนบุคคลผู้ตัดแขนขาดย่อมรู้ด้วยตนเองว่าบัดนี้แขนของตนได้ขาดแล้ว”

    ๓.สุญญตวรรค

    จูฬสุญญตสูตร


    ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่าป่าไม่ใส่ใจสัญญาว่าแผ่นดิน ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญาจิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใสตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในอากาสานัญจายตน สัญญา เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในอากาสานัญจายตนสัญญานี้ ไม่มีความกระวนกระวาย ชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่าและชนิดที่อาศัยสัญญาว่าแผ่นดินมีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือภาวะเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญาเท่านั้น เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าแผ่นดิน และรู้ ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญาเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย และรู้ ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาดบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2018
  11. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขอขอบคุณและขออนุโมทนาคุณธรรมชาติอีกครั้งครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  12. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    พระพุทธเจ้าให้พิจารณาธรรมทั้งหลายเป็นเพียง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นปฎิจสมุปบาท
    ฉะนั้นคำว่าสัพเพธรรมาอนัตา ก็คือธรรมทั้งหลายเป็นเพียง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิจสมุปบาท อนัตตาจึงเป็นการแสดงธรรมส่วนสังขตะธรรมเท่านั้น ธรรมที่มีการปรุงแต่งเท่านั้น ไตรลักษณะนี้เป็นสิ่งที่มีในสังขตะธรรมเท่านั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านใดเข้าใจผิดบ้างก็พิจารณาเอานะครับ
     
  13. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    "ปัญญาสังขาร...
    ละความปรุงแต่งไม่ได้

    ถ้าปัญญาวิปัสสนา...
    มันจะตัดการปรุงแต่งได้
    เพราะวิปัสสนานี้มันจะเข้าไป"สุญญตา"
    คือความว่างของจิต ไม่ได้ว่างด้วยสัญญา

    ถ้าว่างด้วยสัญญา ก็ไปว่างด้วยสังขาร
    เอาสังขารปรุงแต่งว่า"ว่าง ว่าง"...
    แต่จิตมันไม่ว่าง!

    แต่ถ้าไปถึงสุญญตา มันจะว่างเองหมดเลย
    ไม่ต้องปรุงว่างเลย "ว่าง"เองเลย...
    ถึงจะปรุงยังไงก็ไม่ได้ เพราะมันว่างด้วยจิต
    ความว่างตรงนี้จะไม่มีอะไร
    มันมาด้วย"ปัญญา"แท้ๆ เลย

    :::หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล:::
     
  14. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สนทนากัน ทำไมต้องเอาหลวงพ่อ มากำกับไว้ครับ
     
  15. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ขอยกพระสูตรหน่อยนะครับเกี่ยวกับอนัตตา
    สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
    เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

    อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
    เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
    นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

    จะเห็นได้ว่าอนัตตานั้นคือธรรมะทั้งปวงที่เห็นด้วยปัญาญา แล้วเบื่อหน่ายเพราะเป็นทุกข์. แล้วจึงเป็นทาวไปสู่นิพพาน. อนัตตาจึงไม่ใช่นิพพาน
     
  16. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    สนทนากันทำไมเอาพระพุทธองค์มากำกับไว้ครับ
     
  17. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    พระพุทธเจ้าคือต้นคำสอนที่ถูกต้อง. ต้องเอาคำสอนมายืนยันซิครับ
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,419
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโหมะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ

    ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโทสะ นี้เรียกว่า "อมตะภาพ"

    นิพพานเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ละเอียดประณีต สงบเย็น เป็นบรมสุขไม่มีสุขใดยิ่งกว่า

    สามัญลักษณะของนิพพาน

    - อนัตตลักษณะ ปราศจากตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีเกิดแก่เจ็บตายใด ๆ ทั้งสิ้น
    - อนิมิตนิพพาน ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีรูปร่าง
    - อัปปณิหิตนิพพาน นิพพานไม่มีอารมณ์ที่ปารถนา
    - สุญญตนิพพาน นิพพานสูญสิ้นจากกิเลสและอุปาทานและขันธ์ห้าไม่มีอะไรเหลืออยู่


    นิพพานสูตร ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
    อากาสานัญจายตนะวิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
    โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป
    เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้
    มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

    นิพพานสูตร ๓

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว
    เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว

    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น
    การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว
    ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ ฯ

    พระสูตรที่ยกมาพอที่จะยืนยันได้ไหมค่ะ
     
  19. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    แล้วมันเป็นอนัตตาอย่างไร
     
  20. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ท่านยกมาเพื่อยืนยันว่านิพพาน เป็นอนัตตาเหรอครับ. หรือว่าอย่างไรครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...