ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    เมื่อวานนี้โอนเงินไปทำบุญ 200 บาท ครับ เวลา 17.11 ที่ TMB T002B157 SCHQ SUBBR.ADM

    อนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,779
    ค่าพลัง:
    +16,090
    เป็นทางเลือกหนึ่งในการทำบุญครับ (จาก forward mail)
    เราทุกคนรู้ว่า "ความตาย" คือ ปลายทางของชีวิต แต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไร ตรงกันข้ามมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่รู้ตัวดีว่า พวกเขากำลังเดินไปสู่ความตายและอยู่ใกล้มันขนาดไหนทุกวินาทีที่ผ่านไป
    หากใครมีโอกาสขึ้นไปบนชั้น
    16 ตึก สก. รพ. จุฬาลงกรณ์ จะพบเด็กๆ โกนหัวจนล้านเลี่ยนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเรียงราย เขาและเธอเหล่านี้เป็นโรคมะเร็งที่แตกต่างกันไป เมื่อรักษาไปได้ระยะหนึ่งแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า ไม่สามารถรักษาต่อไปได้ จะแนะนำพ่อแม่ผู้ปกครองถึงทางเลือก 2 ทาง คือ หยุดการรักษาทางเคมีการแพทย์แล้วกลับไปอยู่บ้าน แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์และใช้ชีวิตตามปกติ
    แต่ถ้าหากพ่อแม่เด็กตัดสินใจทางเลือกใหม่ คือ การหยุดรักษาทางเคมีแพทย์
    แล้วให้รักษาแบบประคับประคอง โดยให้เด็กมีคุณภาพจิตที่ดี ทำให้มีความสุขก่อนจากโลกนี้ไป แพทย์จะส่งต่อมาที่ Wishing Well หรือ โครงการส่งชีวิตสุขสมหวังก่อนสิ้นลม แทนที่จะนอนรอความตายอยู่กับยาแก้ปวด หรือสิ้นลมในห้องไอซียูอย่างเดียวดาย

    "
    เม่น"เด็กผู้ชายวัย 6 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งเยื่อหุ้มปอดมานาน 2 ปีแล้วเขามีอาการครั้งแรกเมื่อปลายปี 2547 ขณะเดินถือหม้อหุงข้าวอยู่เขาหันมาบอกแม่ว่า " ขอพักก่อน เหนื่อย เดินไม่ไหว " หลังจากนั้นแม่ก็พาไปหาหมอที่คลินิกประจำ และได้รับคำแนะนำให้ไปที่รพ.บางพลี รพ ..ศิครินทร์ ก่อนจะส่งต่อไปยัง รพ .....จุฬาฯ ตรวจวินิจฉัยโรคบังเอิญว่าเป็นช่วงปีใหม่และเกิดพิบัติภัยสึนามิ จึงต้องรอผลการตรวจระหว่างนี้แพทย์จะเจาะน้ำออกจากปอดทุกวันๆ ละ 500-800 ซีซี
    มกราคม
    2548 ครอบครัวน้องเม่นจึงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วโรคที่เด็กชายวัย 6 ขวบกำลังเผชิญอยู่ คือ มะเร็งเยื่อหุ้มปอดซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้เพียง 1 ในล้าน โอกาสรักษาหายมีเพียง 80% ขณะนอนรักษาตัวอยู่ที่ตึก สก ชั้น 18 น้องเม่นต้องทำเคมีบำบัด 3 สัปดาห์ครั้งและครั้งละ 3-5 วันมากถึง 17 ครั้งด้วยกันและครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ปีที่แล้วหลังจากเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์หมอไม่พบมะเร็งอีก จึงให้พักฟื้น 3 เดือนน้องเม่นกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง ไปโรงเรียนได้วิ่งเล่นได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ

    แต่แล้วอีก
    6 เดือนต่อมา เมื่อหมอนัดตรวจอีกครั้งน้องเม่นและครอบครัวก็ต้องพบกับข่าวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆเด็กชายในวัยซุกซนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 เดือนเท่านั้นหมอจึงแนะนำทางเลือกให้ 2 ทางคือ รักษาต่อซึ่งโอกาสหายน้อยมากกับการหยุดรักษาแล้วใช้ชีวิตตามปกติ ไปโรงเรียนตามปกติพาไปเที่ยวที่เด็กอยากไป ครอบครัวและน้องเม่นเลือกวิธีที่ 2 คือการอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของคนในครอบครัว ในวาระสุดท้ายของชีวิตเที่ยวทะเลบางแสน สวนสนุกดรีมเวิลด์ สยามโอเชี่ยน เวิร์ลและไปทำบุญตามวัดต่างๆ

    "
    โหน่งชะ ชะ ช่า " คือ ดาวตลกในดวงใจของน้องเม่น ก่อนช่วงสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเจ้าหน้าที่มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง โทรศัพท์ติดต่อไปยังตลกชื่อดังโหน่งกำลังทำงานอยู่ต่างจังหวัดบอกกับ "นิลอุบล จันทร์โหนง "เจ้าหน้าที่ให้หามือถือที่เปิดเสียงได้ "จะเล่นตลกให้น้องฟัง"ก่อนจะบอกลาน้องเม่นให้หลับให้สบายเมื่อการแสดงสั้นๆ จบลงในขณะที่ทุกคนในห้องหัวเราะกับเสียงของโหน่ง ชะ ชะ ช่าน้องเม่นหลับสบายไปพร้อมกับเสียง " พี่โหน่ง... มาแว้วววว"

    ในขณะที่ " น้องรุ้ง"
    เด็กผู้หญิงอีกคนอยากเพ้นท์เล็บ เจ้าหน้าที่ก็พาช่างมาเพ้นท์ถึงเตียงผู้ป่วยหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ น้องรุ้งก็จากโลกใบเล็กๆ นี้ไปอย่างสงบพร้อมกับเล็บที่เพ้นท์ด้วยสีสันสวยงามและรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข

    แต่สำหรับ "น้องซี" วัย
    7 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแม้จะต้องทนทุกข์ขนาดไหน น้องซีก็ยังมอบความสุขให้กับเพื่อนๆ พี่ๆในมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง ด้วยการร้องเพลงให้ฟังกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังเล็กๆ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯระดมเงินมาช่วยเหลือและก็ได้ครบในวันที่น้องซีจากไป

    ด้าน " น้องเจมส์"
    เด็กฉลาดที่อยากไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เจ้าหน้าที่มูลนิธิสารธารแห่งความหวังแอบทำเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการให้ " อ้อมพิยดา อัครเศรณี " ไปกับเขาด้วย น้องเจมส์กึ่งตกใจกึ่งดีใจและวันที่น้องเจมส์จากไปนางเอกสาวชื่อดังถึงกับหลั่งน้ำตา

    เด็กผู้หญิงอีกรายวัย
    12 ปีมีความหวังสุดท้ายของชีวิต คือ การเสริมดั้งจมูก เพื่อจะได้พบกับ "แอนดริวเกร้กสัน" แต่การตามตัวดาราดังไม่ใช่เรื่องง่ายดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงหาวิธีเข้าไปโพสต์ในอินเทอร์เน็ตบอกว่ามีคนไข้ต้องการเจอตัว และเขาใกล้จะเสียชีวิตแล้ว ไม่นานต่อมากลางดึกคืนหนึ่งแอนดริวในสภาพหนวดเคราเฟิ้ม เพราะกำลังถ่ายละครเรื่อง "คนระลึกชาติ " ก็โผล่เข้ามาให้กำลังใจเด็กสร้างความประทับใจกับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ป่วยแล้วอีก 2 วันต่อมา เด็กก็เสียชีวิตลง

    "
    ความฝันของเด็กๆ มีหลากหลาย ทำง่ายและทำได้ทันที เช่นเด็กคนหนึ่งอยากกินไก่ทอดเคเอฟซี เราก็สั่งมาให้ตอนนั้นได้เลยเด็กบางคนอยากไปเดินเล่นสวนลุมฯ เราก็พาไป" นิลอุบล จันทร์โหนง สรุป

    ก้าวเข้าปีที่
    4 แล้ว สำหรับโครงการ Wishing Well ซึ่งมีความหมายอยู่ 2 ประการ คือ การรักษาให้หายกับคำอธิษฐานสุดท้ายที่เป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ต่อชีวิตและส่งชีวิตเด็กๆ ไปแล้ว 35-40 รายเฉลี่ยมีคนไข้เสียชีวิต 3-5 คนต่อปี โดยเด็กๆหลายคนสุขสมหวังกับปรารถนาสุดท้ายของชีวิต จากไปด้วยรอยยิ้มอย่างสงบสุขถึงแม้จะรู้ล่วงหน้าว่า มีเวลาเหลืออยู่บนโลกกลมๆใบนี้อีกนานแค่ไหน

    หลังจากนั้นพวกเขาก็จะจากไป
    ไม่มีวันกลับมาอยู่ดูความศิวิไลซ์บนโลกใบนี้อีกต่อไป

    เรื่อง / ตวงรัตน์ มีศรี
    mesri@gmail.com ภาพ / มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง โทร 02-677-4117

    บริจาคเงินได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย
    บัญชีออมทรัพย์

    ชื่อบัญชี "
    มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง" เลขที่บัญชี 045-2-95999-4
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,779
    ค่าพลัง:
    +16,090

    หลังจากขอพรหลวงพ่อแล้ว สวดมนต์ไหว้พระ กำหนดเอาพระจันทร์ในคืนเพ็ญเป็น อาโลกสิณ ภาพเย็นๆ สบายๆ จะติดตาตรึงใจมาก โบราณว่าไว้ แม้จะอาบน้ำในตุ่ม หรือน้ำในฝักบัว ก็สามารถอธิษฐานฤทธิ์จากดวงจันทร์มาปัดเป่าสิ่งอัปมงคลทั้งหลายได้ "เรียกว่าอาบน้ำเพ็ญ" ในเวลาสองยามตรง นึกถึงตอนเป็นเด็กๆ กระโดดเล่นนำในแม่น้ำ แล้วอธิษฐานขอให้เรียนชนะเพื่อนก็สมหวังครับ วันนี้อยู่ต่างจังหวัดคนเดียวเหงาดีเหมือนกัน เพราะทุกทีต้องพาครอบครัวไปลอยกระทง ฝากลอยเผื่อด้วยเน้อ..

    [​IMG]


    ขอนำข้อความเดิมมาโพสท์อีกครั้ง อย่าลืมขอพรจากท่านกันครับ ในปีนี้ผมได้มาแล้วครับ...

    (หลายคนบอกว่าองค์ไหน ก็ต้องบอกว่า ท่านองค์ที่ห่มผ้าอังสะนั่นล่ะครับ "หลวงพ่อโสธร")
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2009
  4. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +3,886
    นอกจากกราบหลวงพ่อโสธรขอพรแล้ว คืนนี้ท่านใดไปลอยกระทงขอเป็นกระทงที่ทำจากวัตถุที่ย่อยสลายได้ง่ายจะดีมากครับ วันนี้ไปซื้อกระทงขนมปังไว้ค่ำจะพาเจ้าจอมซนประจำบ้านไปลอยในบึงของหมู่บ้าน มีปลาตัวโตๆคอยหม่ำกระทงขนมปังอยู่เพียบ ได้ทั้งสืบสานประเพณีและได้ทำทานกับปลา

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>
    </CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER><CENTER> </CENTER>
     
  5. onimaru_u

    onimaru_u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +854
    ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขในวันลอยกระทงนะครับ
    คิดสิ่งใดขอให้สมความปราถนาทุกประการ
    ส่วนกระผมคงจะนั่งแง่วๆอยู่กะบ้านครับ (เอ้อ!!เช็งจัง)
     
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ส่วนผมทำงานอยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อโสธรไปอีกแค่ไม่กี่กิโลเมตร
    แต่ยังไม่ได้ไปกราบนมัสการท่านเลยครับ ได้แต่ยกมือไหว้วิหารหลวงพ่อโสธรเวลานั่งรถผ่าน

    เลยใช้การอธิษฐานจิตแทน

    วันนี้ก็ไม่ได้ไปลอยกระทงที่ไหนครับเพราะต้องทำงานเข้ากะกลางคืน
     
  7. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +3,671
     
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    908
    ค่าพลัง:
    +4,280
    กราบขอบพระคุณทุกๆท่านและโมทนาบุญในงานบุญเมื่อวันอาทิตย์(9 พ.ย. 2551)ที่ผ่านมา ส่วนเงินที่บริจาคในวันงานประมาณ 10,000 กว่าบาท จะได้นำรายชื่อมาประกาศให้ทราบทั่วกันครับ
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    เนื่องด้วยในโอกาศอันเป็นมงคลที่ท่านอาจารย์ ประถม อาจสาคร เจริญอายุ
    ครบ 88 ปีในปีนี้ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร จึงได้จัดพิมพ์หนังสือขึ้นมาเพื่อเป็นการเทิดเกียรติคุณของท่านอาจารย์ ประถม อาจสาคร และรวบรวมประวัติ ความรู้ และประสบการณ์อันยาวนาน 70 กว่าปีที่ท่านได้อยู่ในแวดวงพระเครื่องมาบันทึกไว้ จึงได้นำตัวอย่างมาให้ชมกันครับ

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • .jpg
      .jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.9 KB
      เปิดดู:
      1,506
    • kumnum.jpg
      kumnum.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.2 KB
      เปิดดู:
      1,340
    • สารบัญ.jpg
      สารบัญ.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.4 KB
      เปิดดู:
      1,314
    • p1.jpg
      p1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      97.6 KB
      เปิดดู:
      1,325
    • p2.jpg
      p2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.7 KB
      เปิดดู:
      1,309
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,779
    ค่าพลัง:
    +16,090
    น่าอ่านมากมีหลายเรื่อง วันนั้นที่ประชุมกันครั้งสุดท้ายอ่านคร่าวๆ เรื่อง "สมเด็จมโนยิทธิ" น่าสนใจดีครับ อ่านมากรู้มาก ในสมเด็จพิมพ์แปลกแต่มีที่มาและอิทธิคุณที่ควรค่าแก่การเสาะหา แต่น่าเสียดายหนังสือนี้พิมพ์น้อย ให้เฉพาะคน แต่เนื้อเรื่องจะทยอยนำมาลงให้ดูได้ครับ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,779
    ค่าพลัง:
    +16,090
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    <TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 12 พฤศจิกายน 2551 7:37:28 น.-->จับกับวาง
    <!-- Main -->
    [​IMG]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]นักศึกษาธรรมะ หรือนักปฏิบัติธรรมะ มีสองประเภท

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ประเภทหนึ่ง ศึกษาปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง [/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ประเภทสอง ศึกษาปฏิบัติเพื่อจะอวดภูมิกัน ถกเถียงกันไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น[/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ใครจำตำราหรืออ้างครูบาอาจารย์ได้มาก ก็ถือว่าตนเป็นคนสำคัญ[/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]บางทีเข้าหาหลวงปู่ แทนที่จะถามธรรมะข้อปฏิบัติจากท่าน[/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ก็กลับพ่นความรู้ความจำของตนให้ท่านฟังอย่างวิจิตรพิสดารก็เคยมีไม่น้อย [/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]แต่สำหรับหลวงปู่นั้นทนฟังได้เสมอ เมื่อเขาจบลงแล้วยังช่วยต่อให้หน่อยหนึ่งว่า [/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]​
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,779
    ค่าพลัง:
    +16,090
    [​IMG]
    สังคหวัตถุ 4

    .....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกสังคหวัตถุ ๔ ว่า เป็นธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจคนให้อยู่รวมกันได้ด้วยความรักและสามัคคี ทั้งทรงเปรียบสังคหวัตถุ ๔ ว่า เป็นเสมือนเพลา หรือสลักรถที่เชื่อมล้อทั้ง ๒ ด้านไว้จึงทำให้รถแล่นไปได้ ถ้ารถปราศจากเพลาหรือสลักเสียแล้ว ย่อมแล่นไปไม่ได้ฉันใด ถ้าโลกนี้ขาดสังคหวัตถุธรรมเสียแล้ว ความเคารพนับถือกันระหว่างบุคคล ย่อมไม่เกิดขึ้นฉันนั้น เช่นบุตรธิดาก็ไม่มีความเคารพนับถือมารดา บิดา เป็นต้น

    โดยเหตุนี้ บัณฑิตทั้งหลายจึงให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติสังคหวัตถุธรรมเป็นอย่างยิ่ง และบุคคลใดก็ตามที่มีอริยวินัยประพฤติปฏิบัติสังคหวัตถุธรรมอย่างสม่ำเสมอ ย่อมได้รับการสรรเสริญจากผู้รู้ทั้งหลาย

    ข้อคิดเกี่ยวกับสังคหวัตถุธรรม
    โดยเหตุที่โลกเรานี้มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด คนทั่วไปจึงพยายามกอบโกยทรัพย์สมบัติเข้ามาไว้ในครอบครองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้จะต้องประพฤติทุจริต คนส่วนมากจึงเห็นแก่ตัว ไร้หิริโอตตัปปะ อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างชนิดที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา หาความเมตตากรุณาต่อกันได้ยาก คนที่ไม่สมปรารถนาในสิ่งที่ตนอยากได้ก็เป็นทุกข์ หรือได้น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็เป็นทุกข์ คนในสังกัดจึงต่างรู้สึกกว่าตนเองอยู่ในโลกของความขาดแคลนสารพัด

    และความขาดแคลนมีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม จากสังคหวัตถุธรรม ย่อมมีนัยว่า พระองค์ทรงประจักษ์ว่า ความขาดแคลนอย่างหนักหนาสาหัสของคนเรา มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ

    ขาดแคลนทรัพย์สิ่งของ

    ขาดแคลนกำลังใจ

    ขาดแคลนความรู้ความสามารถในการแสวงหาสิ่งที่ตนอยากได้

    ขาดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

    ถ้าปล่อยให้คนในสังคมต่างหวาดผวาว่า ตนมีความทุกข์มีความขาดแคลนและขาดความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ การพัฒนาลักษณะนิสัยของคนดีตามวิธีการในทิศ ๖ อาจไม่ประสบผลสำเร็จ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงสังคหวัตถุ ๔ เพื่อเป็นบทฝึกพัฒนา ความมีเมตตากรุณาให้เกิดขึ้นในจิตใจของทุกคนก่อน โดยให้ต่างคนต่างตั้งใจสงเคราะห์ในสิ่งที่แต่ละฝ่ายขาดแคลาน คือ

    ๑. ทาน การให้ อาจเป็นการแบ่งปันสิ่งของซึ่งกันและกัน การแลกเปลี่ยนกันด้วยน้ำใจไมตรี การบริจาคสิ่งของให้ผู้ยากไร้ รวมทั้งการบริจาคทานให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ที่ยังชีพด้วยการบิณฑบาตตามพุทธวินัย ผู้ที่ให้ทานสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย ย่อมมีควาเมตตากรุณาต่อผู้อื่นเสมอ

    ๒. ปิยวาจา การเจรจาไพเราะ ถ้อยคำมุสาวาททุกแบบนอกจากจะบั่นทอนกำลังใจกันแล้ว ยังก่อให้เกิดความอาฆาตพยาบาท และเป็นศัตรูกันอีกด้วยดังนั้นคนเราจึงจำเป็นต้องเจรจากันด้วยถ้อยคำไพเราะ ผู้ที่เจรจาไพเราะได้ ก็เพราะมีใจเมตตากรุณาเป็นพื้นฐานสำคัญ ขณะเดียวกันเจรจาไพเราะย่อมเป็นการให้กำลังใจกัน สร้างความรักสมัครสมานสามัคคีกัน ทำให้มิตรภาพระหว่างกันยืนยาวตลอดไป

    ๓. อัตถจริยา การประพฤติให้เป็นประโยชน์ เป็นการช่วยเหลืออนุเคราะห์ ฝ่ายที่ขาดแคลนความรู้ความสามารถในเรื่องต่างๆ ตามความเหมาะสม เป็นการพัฒนาความเมตตากรุณาและความรับผิดชอบต่อสังคมแบบหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนในสังคมสามารถมีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถลดปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้นได้มาก

    ๔. สมานนัตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลาย เป็นการแสดงความจริงใจต่อเพื่อนทุกๆ ทิศ เพื่อแสดงให้ผู้ที่คบหาสมาคมกับเรารู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องหวาดระแวงว่า คนที่เป็นเพื่อนกันด้วยดีเสมอมา จะกลับกลายเป็นศัตรูมุ่งทำร้ายทำลายกันเมื่อใดก็ได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างมีความจริงใจต่อกัน ย่อมอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกัน เมตตากรุณาต่อกัน ความรักสามัคคีกันระหว่างคนในสังคม ย่อมนำความมั่นคงปลอดภัย และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชาติบ้านเมือง

    จะเห็นว่าคุณธรรมทั้ง ๓ ข้อคือ อริยวินัย หิริโอตตัปปะ และความเมตตากรุณานี้เป็นสิ่งที่จะเป็นต้องปลูกฝังอบรมให้เกิดขึ้นในจิตใจของทุกคนให้ได้ บุคคลที่สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมทั้ง ๓ ข้อนี้เท่านั้น จึงจะสามารถปั้นให้คนดีตามแนวทางในทิศ ๖ ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืนตลอดไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเมตตากรุณานั้น สามารถส่งเสริมบุคคลให้ปฏิบัติสังคหวัตถุ ๔ ได้สัมฤทธิผลอย่างแท้จริง สังคมที่ขาดสังคหวัตถุธรรมย่อมมีแต่ความแตกแยกร้าวราน ไม่มีทางเจริญรุ่งเรือง ถ้าขาดสังคหถวัตถุธรรมส่งเสริมสนับสนุน ความสำเร็จในการฝึกอบรมเพื่อก่อให้เกิดเครือข่ายคนดีของทิศ ๖ ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,779
    ค่าพลัง:
    +16,090
    [​IMG]

    ธรรมชาติของจิต <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>
    <!--MsgIDBody=0-->

    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

    จิตตภาวนาการปฏิบัติอบรมจิตนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงสั่งสอนไว้ โดยที่ได้ตรัสไว้มีใจความว่า จิตนี้เป็นธรรมชาติปภัสสรคือผุดผ่อง แต่เศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายที่จรเข้ามา แต่ว่าจิตนี้วิมุติหลุดพ้นจากอุปกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายได้ อาศัยการปฏิบัติทำจิตตภาวนาคืออบรมจิต

    ทุกๆ คนต่างมีกายกับจิตประกอบกันอยู่ จิตนั้นท่านเปรียบเหมือนอย่างคนพายเรือ กายนั้นเปรียบเหมือนอย่างเรือ เรือจะไปทางไหนก็ต้องอาศัยคนพายเรือ พายเรือไป ฉันใด ทุกคนก็ฉันนั้น ร่างกายจะไปทางไหนจะทำอะไร ก็จิตนี้เองเป็นผู้สั่ง เป็นผู้บงการ เช่นโดยเจตนาคือความจงใจให้ทำนั่นให้ทำนี่ต่างๆ จิตจึงเป็นส่วนสำคัญมากที่ทุกๆ คนมีอยู่


    ๏ ปรกติของคนเป็นอย่างนี้

    และจิตนี้เองที่ต้องเศร้าหมองไป เพราะอุปกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายที่จรเข้ามาอาศัยอยู่ในจิต ปรากฏเป็นกิเลสอย่างละเอียด อันเรียกว่า อาสวะ กิเลสที่ดองจิต หรืออนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตบ้าง โดยเป็นกิเลสอย่างกลางคือเป็นนิวรณ์ คือกิเลสที่ปรากฏเป็นความโลภความโกรธความหลงต่างๆ บังเกิดขึ้นกลุ้มรุมอยู่ในจิต ที่ทุกคนก็รู้ว่าจิตของตนมีโลภบ้างมีโกรธบ้างมีหลงบ้าง

    หรือที่เป็นกิเลสที่รุนแรง ก็คือโลภโกรธหลงนั้นเองที่รุนแรง จนถึงก่อเจตนาคือความจงใจประกอบกรรมออกไปเป็นภัยเป็นเวรต่างๆ เช่นผิดศีล ๕ คือฆ่าเขาบ้าง ลักของเขาบ้าง ประพฤติผิดในกามทั้งหลายบ้าง พูดเท็จหลอกลวงเขาบ้าง ซ้ำยังแถมดื่มน้ำเมาคือสุราเมรัยยาเสพติดให้โทษต่างๆ เพิ่มความมัวเมาประมาทให้มากขึ้น ปรกติของคนเป็นอยู่อย่างนี้

    ฉะนั้น จิตเองที่เป็นธรรมชาติประภัสสรคือผุดผ่อง จึงกลายเป็นจิตที่ไม่ผุดผ่อง แต่กลายเป็นจิตที่เศร้าหมองไม่ผ่องใส ทั้งจิตนี้เองนอกจากเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่องแล้ว ยังเป็นวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ด้วย ฉะนั้น เมื่อเศร้าหมองไปไม่ผ่องใส จึงกลายเป็นความมึนซึม โง่เขลา ไม่รู้ ซึ่งความไม่รู้นี้ก็หมายถึงว่าไม่รู้สัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นตัวความจริง

    ความไม่รู้นี้ของคนสามัญที่มีกิเลสทั่วไป ก็มีอวิชชาคือความไม่รู้สัจจะที่เป็นตัวความจริง เป็นหัวหน้าใหญ่ เป็นตัวการใหญ่ นำให้เกิดโมหะคือความหลงถือเอาผิดต่างๆ ถือเอาดีเป็นชั่ว ถือเอาชั่วเป็นดี ถือเอาสุขเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นสุข ถือเอาเหตุเกิดทุกข์ว่าเป็นเหตุเกิดสุข ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

    เพราะฉะนั้น จึงต้องประสบความทุกข์เดือดร้อนต่างๆ ความชั่วร้ายต่างๆ จิตที่เป็นธาตุรู้ ก็กลายเป็นไม่รู้ กลายเป็นโง่เขลา จิตที่ปภัสสรก็กลายเป็นเศร้าหมอง จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ทุกคนมีของดีอยู่แล้วติดตัวมาเป็นธรรมชาติคือจิตดังกล่าว ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง เป็นวิญญาณธาตุคือธาตุรู้


    ๏ ธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิต

    การที่จิตที่มีธรรมชาติอันดีอย่างยิ่งกลับกลายไปเช่นนั้น ก็เพราะจิตนี้มีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งคือว่าน้อมไปได้ น้อมไปดีก็ได้ น้อมไปไม่ดีก็ได้ หากน้อมไปไม่ดีบ่อยๆ ก็ทำให้เคยชินติดอยู่ในความไม่ดี แต่ถ้าหากว่าหัดน้อมมาในทางดีบ่อยๆ ก็จะทำให้ติดอยู่ในทางดี อันตรงกันข้าม

    แต่ก็เป็นเคราะห์ดีของทุกๆ คนที่มีจิตเป็นธาตุรู้ดังกล่าวนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อได้ประสบพบผ่านสุขทุกข์ต่างๆ มาบ่อยๆ ครั้งเข้า ได้ทำดีทำชั่วต่างๆ มาบ่อยครั้งเข้า และก็ได้รับผลเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์จากกิเลสในใจ ที่เรียกว่าอุปกิเลสนั้น และจากกรรมที่ประกอบกระทำออกไปทางกายทางวาจาทางใจ จึงทำให้จับเหตุจับผลได้บ้างตามสมควร ว่ากิเลสนั้นให้เกิดทุกข์ แต่ความสงบกิเลสให้เกิดสุข กรรมชั่วนั้นให้เกิดทุกข์ กรรมดีนั้นให้เกิดสุข

    และทั้งตนเองก็มีธรรมชาติของตนเองอยู่คือรักตน ต้องการให้ตนเป็นสุขไม่เดือดร้อน และไม่ต้องการให้ใครมาก่อความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง ต้องการให้ใครๆ มาเกื้อกูลตนเอง และนอกจากตนเองแล้ว ตนเองยังรักคนที่ควรรักทั้งหลาย เช่นว่ามารดาบิดารักบุตรธิดาของตน เมื่อรักใครก็ต้องการให้คนที่รักนั้นเป็นสุขมีความเจริญ ไม่ต้องการให้มาทำลายล้าง ต้องการให้ใครๆ มาเกื้อกูลตนให้ตนมีความสุขความเจริญ ไม่ต้องการให้ใครมาทำลายล้างเช่นเดียวกัน

    แต่ว่าเพราะโมหะคือความหลง เพราะอวิชชาคือความไม่รู้จริง จึงทำให้ไม่นึกถึงจิตใจของคนอื่นว่าเป็นเช่นเดียวกัน ยังไปทำร้ายคนอื่น ทั้งที่ไม่ต้องการให้ใครมาทำร้ายตน แต่ถ้าหากว่ารู้จักนึกเทียบเคียงดู ว่าตนเองต้องการฉันใด คนอื่นก็ต้องการฉันนั้น ตนเองรักสุขเกลียดทุกข์ คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อตนเองต้องการสุข ไม่ต้องการให้ใครมาก่อทุกข์ให้ ตนเองก็ไม่ควรจะไปก่อทุกข์ให้แก่ใครๆ แต่ก่อสุขให้แก่ใครๆ เมื่อคิดดั่งนี้ก็จะทำให้รู้สึกถึงการควรทำไม่ควรทำอันเกิดจากตนเองในทางที่ถูกที่ชอบ


    ๏ บารมี อาสวะ

    คนเรามีธาตุรู้ที่จะคิดได้ดั่งนี้ ทั้งเมื่อได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งสั่งสอนให้ละชั่ว ให้ทำดี ให้ชำระจิตใจของตนบริสุทธิ์ผ่องใส ก็จะทำให้มีความสนใจนำมาใคร่ครวญ และปฏิบัติตาม ก็จะเป็นเครื่องนำให้จิตใจนี้น้อมไปในทางดียิ่งขึ้น คือน้อมไปในทางที่ละชั่ว ทำดี และชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส ตามหลักพระโอวาทสำคัญของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นเหตุให้จิตใจนี้น้อมไปในทางที่ละชั่ว ในทางที่ทำดี และในทางที่ชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสบ่อยๆ ทำให้มีความคุ้นเคยในทางดี น้อมไปในทางดี เป็นความดีที่ประพฤติติดตัว

    ความดีที่ประพฤติติดตัวนี้ก็เรียกว่าเป็นบารมีคือความดีที่เก็บไว้ อันตรงกันข้ามกับกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่เก็บไว้ อันเรียกว่าอาสวะอนุสัยดังกล่าวนั้น เพราะฉะนั้น ทุกคนที่เป็นสามัญชนจึงมีอยู่ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ฝ่ายดีก็คือบารมี ฝ่ายร้ายก็คืออาสวะหรืออนุสัย ประจำอยู่ในจิตใจของตนเอง และทั้งเมื่อได้มาปฏิบัติจิตตภาวนาการอบรมจิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้

    ก็เป็นการปฏิบัตินำจิตให้น้อมไปในทางดี ให้ประทับอยู่ในทางดี หรือพูดอย่างง่ายๆ ว่าติดอยู่ในทางดีมากขึ้น และดีนี้เองก็จะลดชั่วให้น้อยลง ในเมื่อน้อมไปในทางดีมาก และเมื่อลดชั่วได้ หรือว่าเก็บฝ่ายดีได้ไปโดยลำดับก็จะทำให้เป็นกัลยาณชนคือคนดี จนถึงเป็นอริยชนคือเป็นบุคคลที่เป็นพระอริยะ หรือที่เรียกกันว่าผู้สำเร็จ เมื่อลดชั่วได้หมดสิ้นเรียกว่าถึงที่สุดดีถึงที่สุดชั่ว ก็เป็นพระอรหันต์ ผู้เสร็จกิจในทางพระพุทธศาสนา

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ก่อนที่จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ยังมีทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่ว คือทั้งส่วนที่เป็นอาสวะอันเป็นส่วนชั่วที่เก็บชั่วเอาไว้ ทั้งส่วนดีคือบารมีที่เก็บดีเอาไว้เช่นเดียวกัน แต่อาศัยที่ท่านได้น้อมจิตไปในทางดี เก็บดีคือบารมีนี้ให้มากขึ้นๆ บารมีก็ละอาสวะที่เป็นส่วนเก็บชั่วนี้ให้น้อยลง จนถึงสุดดีคือเก็บดีไว้เต็มที่สมบูรณ์ที่สุด ก็ละอาสวะได้หมดสิ้นเป็นสุดชั่ว จึงเป็นผู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ยังไม่บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อได้ทำดีเก็บดี และละอาสวะที่เป็นส่วนชั่วได้บางส่วน ก็เป็นพระอริยะบุคคลที่ต่ำลงมา จนถึงเมื่อยังละไม่ได้แต่ว่าทำความดีเก็บดีเอาไว้ได้มาก ลดเก็บชั่วลงไป ก็เป็นกัลยาณชนคือคนดี แม้ยังเป็นบุถุชนคือคนที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างเต็มที่ ยังละไม่ได้ แต่ก็เป็นกัลยาณชนคือคนดี

    หากว่าจิตยังไม่น้อมมาในทางดี น้อมไปในทางชั่วมาก เก็บชั่วไว้มาก ก็เป็นพาลชนคือคนเขลา และหากว่าน้อมไปในทางชั่วมากที่สุด เก็บชั่วไว้มากที่สุด ส่วนดีมีอยู่น้อยคล้ายกับไม่มี ก็เป็นอันธพาลบุถุชน คือบุถุชนที่เป็นอันธพาล คือเป็นผู้เขลาเหมือนอย่างตาบอด เป็นผู้มืด ต้องประสบความทุกข์อยู่ในโลกเป็นอันมาก จนกว่าจะตาสว่างขึ้น รู้จักละชั่วทำดี รู้จักชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส จึงจะค่อยประสบความสุขมากขึ้น ก็จะเลื่อนขึ้นเป็นสามัญชนที่เป็นคนสามัญทั่วไป

    แล้วก็เป็นกัลยาณชนคนดี เป็นอริยชน ชนที่เป็นพระอริยะ จนถึงเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ก็แปลว่าทำดีถึงที่สุดเป็นสุดดี แล้วก็สุดชั่วคือว่าละชั่วได้หมด ละอาสวะกิเลสได้หมด จิตนี้ก็ปภัสสรผุดผ่องขึ้นโดยลำดับ จนถึงผุดผ่องเต็มที่ และธาตุรู้ของจิตก็เป็นความรู้จักสัจจะคือความจริงขึ้นโดยลำดับ จนรู้จักสัจจะเต็มที่ คือรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างสมบูรณ์ ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,779
    ค่าพลัง:
    +16,090
    [​IMG]

    แรงบันดาลใจในธรรม

    <!--Main-->[SIZE=-1]
    เห็นแมงมุม ลอกคราบไว้ เหลือเปลือกเปล่า
    เหมือนมาเล่า เรื่องราว แต่หนหลัง
    ความโลภหลง ความดุร้าย ทรงพลัง
    เหยื่อที่ขัง ดักจับไว้ ใครได้กัน



    หรือไม่มี ผู้ได้ เยื่อใยร้าง
    คราบที่วาง ว่างกลวง ลวงความฝัน
    ไร้ดี-ชั่ว ตัวอยู่ไหน อะไรกัน
    จิตคิดฝัน หันมองมุม แมงมุมใย

    คราบที่ร้าง ไร้พิษสง ตรงกลวงว่าง
    ไม่แตกต่าง จากร่างอื่น ที่สลาย
    เคยมีใจ อยู่เบื้องหลัง คอยชักใย
    บัดนี้หาย ใจอยู่ไหน หรือไม่มี


    มีไม่มี ก่อนเคยมี แต่ไม่ใช่
    ไม่ใช่ใจ จิตวิญญาณ หรือภูตผี
    เป็นพลังงาน หว่างช่องว่าง ธาตุสี่มี
    แต่ไม่มี ที่เป็นตน พ้นครอบครอง




    หลงคิด ให้เจ็บใจ ในเรื่องเก่า
    ในเรื่องเศร้า เอามาคิด เจ็บจิตไหม
    ขาดสติ สัมปชัญญะ ไม่รู้ใจ
    มัวแต่ไหล ไปในคิด จิตทุกข์ตรม


    หากจำได้ ว่าใจคิด ติดทิฐิ
    จิตดำริ ว่าเราหมาย แต่ไม่สม
    คิดว่า
     
  14. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ต้องขอขอบคุณพี่พันวฤทธิ์มากเลยนะครับที่นำความรู้ธรรมะดีๆมาให้ได้อ่านกัน
     
  15. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ผมขออนุญาติโพสมั่งนะครับมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ตโต ปรํ ปน ตถา ปริคฺคหิเตสุ สปจฺจเยสุ เตภูมิกสงฺขาเรสุ อตีตาทิเภทภนฺเนสุ ขนฺธาทินยมารพฺภ กลาปวเสน สงฺขิปิตฺวา อนิจฺจํ ขยฏฺเฐนาติ ทุกฺขํ ภยฏฺเฐน อนตฺตา อสารกฏฺเฐนาติ อทฺธานวเสน ขณวเสน วา สมฺมสนญาเณน ลกฺขณตฺตยํ สมฺมสนฺตสฺส เตเสวว ปจฺจยวเสน ขณเวเสน จ อุทยพฺพยญาเณน อุทยพฺพยํ สมนุปฺปสุสนฺตสฺส จ โอภาโส ปีติ ปสฺสทฺธิ อธิโมกฺโข จ ปคฺคโห สุขํ ญาณมุปฏฐาน- มุเปกฺขา จ นิกนฺติ เจติ. โอภาสาทิวิปสฺสนูปกิเลสปริปนฺถปริคฺคหวเสน มคฺคลกฺขณววตฺถานํ มคิคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทธิ นาม. มัคคามัคคญาณวิสุทธิ ได้แก่ การกำหนดลักษณะของมัคคปฏิปทา ด้วยสามารถกำหนดรู้อันตรายคือ วิปัสสนุปกิเลส ๑๐ มีโอภาสเป็นต้นคือ๑.โอภาส ได้แก่ แสงสว่าง๒.ปีติ ได้แก่ ความอิ่มเอิบ๓.ปัสสัทธิ ได้แก่ อาการสงบเงียบ๔.อธิโมก ได้แก่ น้อมใจเชื่อ๕.ปัคคหะ ได้แก่ ความพยายาม๖.สุข ได้แก่ ความสบาย๗.ญาณ ได้แก่ ปัญญา๘.อุปัฏฐาน ได้แก่ สติ๙.อุเปกขา ได้แก่ อาการวางเฉย๑๐.นิกันติ ได้แก่ ความใคร่วิปัสสนูปกิเลสทั้ง ๑๐ นี้ ย่อมเกิดขึ้นแก่โยคาวจรบุคคลผู้ปรารภนัยวิปัสสนาภูมิมีขันธ์ ๕ เป็นต้น ในสังขารอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันแตกต่างด้วยขันธ์ที่เป็นอดีตเป็นต้น พร้อมทั้งปัจจัยอันตนได้กำหนดรู้แล้วตามเป็นจริงต่อจากกังขาวิตรณวิสุทธินั้น แล้วประมวลพิจรณาด้วยสามารถกลาป ( กลาปสัมมสนะคือพิจรณาแต่ละขันธ์โดยไม่แยกกาล ) ด้วยสามารถอัทธานคือกาลไกลก็ได้ ( อัทธานสัมมสนะคือพิจรณาแต่ละขันธ์แยกตามกาลไกลคืออดีตภพ ปัจจุบันภพ อนาคตภพ ) ด้วยสามารถสันตติ คือความสืบต่อของรูป,นาม ก็ได้ ( สันตติสัมมสนะ คือพิจรณาแต่ละขันธ์ที่ต่อเนื่องกันในภพเดียวกัน เช่นความเย็นตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงที่สุด หรือความทุกข์ใจตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงที่สุด เป็นต้น ) ด้วยสามารถขณะคือ อุปปาทะ ฐีติ ภังคะ ก็ได้ ( ขณสัมมสนะ คือพิจรณาแต่ละขันธ์ด้วยขณะทั้ง ๓ คือขณะกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ) จนเห็นพระไตรลักษณ์คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้ ชื่อว่า อนิจจะ เพราะอรรถว่าสิ้นไป ชื่อว่า ทุกขะ เพราะอรรถว่าน่ากลัว ชื่อว่า อนัตตะ เพราะอรรถว่าไม่มีสาระแก่นสาร ด้วยสัมมสนญาณ แล้วพิจรณาเห็นความเกิดดับของรูป,นามเหล่านั้น ด้วยสามารถปัจจัย ๑ ขณะ ๑ ด้วย อุทยัพพยญาณ การเห็นนิมิตต่างๆ เช่นเห็นรัศมีสว่างเป้นต้น ถ้ายึดถือเอาว่าเป็นของวิเศษ เป็นของดี เป้นวิปัสสนาแท้ นั้นเป็น อมัคคะ คือหลงทางเสียแล้ว แต่ผู้ที่มีความรู้ปริยัติสามารถนึกได้ว่านิมิตเหล่านั้นไม่ใช่หนทางแท้จริง ทางวิปัสสนานี้ได้แก่ความรู้เกิดดับของรูป,นามโดยอุทยัพพยญาณเท่านั้น เมื่อโยคาวจรรู้มัคคะ,อมัคคะ แสดงว่าบรรลุถึง มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ในปัจจุบัน ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น ได้เห็นนิมิตกันมาก ควรได้พิจรณาว่า มัคคะ หรือ อมัคคะ การเห็นนิมิตต่างๆ เช่น แสงสว่าง รัศมี พระพุทธรูปหรือเทวดาเป็นต้นนั้น หาใช่ทางของวิปัสสนาไม่ เพราะนิมิตเหล่านั้นยังเป็นอารมณ์บัญญัตินั่นเอง โยคาวจรบุคคลได้บำเพ็ญวิปัสสนาภาวนาจนกระทั่งนิมิตเหล่านั้นปรากฏแล้ว ถ้าไปเกิดความยินดีพอใจในนิมิตเหล่านั้นเสีย ชื่อว่าเป็นผู้หลงทางหรืออกนอกทางวิปัสสนาที่ตนเองกำลังทำอยู่ แต่ถ้าดยคาวจรบุคคลสามารถรู้ได้ด้วยตนเองก็ดี หรือได้กัลยาณมิตรเช่นอาจารย์คอยแนะนำให้รู้ว่า นิมิตที่ปรากฏแก่ตนนั้นไม่ใช่หนทางของวิปัสสนา ควรตั้งใจกำหนดให้รู้ความเกิดดับของรูป,นาม ต่อไป จนปรีชารู้แจ้งชัดในวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ มีโอภาสเป็นต้น เรียกว่า บรรลุถึงมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิดังนี้ จากหนังสือ วิปัสสนาทีปฎีกา รจนาโดย ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหกัมมัฏฐาน ธัมมาจริยะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2008
  16. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=4 width=455 align=center bgColor=#996633 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffcc>[SIZE=+2]ม[/SIZE]โนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา
    มโนเสฏฺฐา มโนมยา
    มนสา เจ ปทุฏฺเฐน
    ภาสติ วา กโรติ วา
    ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ
    จกฺกํ ว วหโต ปทํ . . . ฯ ๑ ฯ

    ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่
    ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจชั่วเสียแล้ว
    การพูด การกระทำก็พลอยชั่วไปด้วย
    เพราะการพูดชั่วทำชั่วนั้นทุกข์ย่อมตามสนองเขา
    เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโค

    Mind foreruns all mental conditions,
    Mind is chief, mind-made are they;
    If one speaks or acts with a wiked mind,
    Then suffering will follows him
    Even as the wheel, the hoof of the ox.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณ
    [​IMG]
     
  17. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=4 width=455 align=center bgColor=#996633 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffcc>[SIZE=+2]น[/SIZE] หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ
    สชฺชุ ขีรํ ว มุจฺจติ
    ฑหนฺตํ พาลมเนฺวติ
    ภสฺมาจฺฉนฺโน ว ปาวโก . . . ฯ ๗๑ ฯ

    กรรมชั่วที่ทำแล้ว ยังไม่ให้ผลทันทีทันใด
    เหมือนนมที่รีดใหม่ ๆ ไม่กลายเป็นนมเปรี้ยวในทันที
    แต่มันจะค่อย ๆ เผาผลาญผู้กระทำในภายหลัง
    เหมือนไฟไหม้แกลบฉะนั้น

    An evil deed committed
    Does not immediately bare fruit,
    Just as milk curdles not at once;
    Smouldering like fire covered by ashes,
    It follows the fool.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณ
    [​IMG]
     
  18. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=4 width=455 align=center bgColor=#996633 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffcc>[SIZE=+2]เ[/SIZE]สโล ยถา เอกฆโน
    วาเตน น สมีรติ
    เอวํ นินฺทาปสํสาสุ
    น สมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตา . . . ฯ ๘๑ ฯ

    ขุนเขาไม่สะเทือนเพราะแรงลมฉันใด
    บัณฑิตก็ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาหรือสรรเสริญฉันนั้น

    Even as a solid rock
    Is not shaken by the wind.
    So do the wise remain unmoved
    By praise or blame.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    เสียงเทศนา อัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน >>Download<<

     
  20. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    :VOบทสวดและเสียงสวดมนต์จุลชัยยะมงคลคาถาหรือไชยน้อย Download chaiya.mp3

    เพราะดีครับนำมาฝากกัน
    ขอขอบคุณ
    http://palungjit.org/group.php?groupid=26&pp=10&page=6

    รายละเอียดเพิ่มเติม
    บทสวดนี้ชื่อ จุลชัยยะมงคลคาถา หรือชัยมงคลคาถา หรือในท้องถิ่นอีสานเรียนสวดไชยน้อย ประพันธ์ในสมัยล้านช้างร่มขาว ประเทศลาว
    โดยพระมหาปาสมันตระมหาเถร ว่าด้วยชัยชนะของพุทธเจ้า
    ต่อเทพพรหม ครุฑ นาค ปีสาจ ฯลฯ และอวมงคลทั้งหลาย

    นิยมสวดในยุคสมัย หลวงปู่ เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบ ปัจจุบันนี้มีสวดเพียงไม่กี่ที่ ครับ ที่ผมเห็นในอีสานจะเห็นสวดที่วัดมหาวนาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือวัดที่ประดิษฐานพระเจ้าใหญ่อินทร์แปงพระพุทธรูปค ู่บ้านคู่เมืองอุบลราชธานีครับ
    และสวดเนื่องในงานที่สำคัญ ๆ ครับ

    ส่วนที่วัดธรรมมงคลจะสวดทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน เสียงที่ได้ยินฟังอยู่ก็เป็นเสียงสวดที่วัดธรรมมงคลครับ

    อ่านต่อได้ที่
    http://audio.palungjit.org/showthread.php?t=2581
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...