ขอเชิญร่วมบุญปั้นพ่อขุนหลวงวิลังคะ สูง ๑.๘๐ เมตร

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย พระเสริฐ, 23 มิถุนายน 2018.

  1. พระเสริฐ

    พระเสริฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2010
    โพสต์:
    970
    ค่าพลัง:
    +2,507
    ด้วยวัดสันทราย จะประกอบพิธีปั้นพ่อขุนหลวงวิลังคะ สูง ๑ เมตร ๘๐ เซนติเมตร ประทับไว้ ณ บ่อนํ้ามนต์วัดสันทราย งบประมาณการปั้น ๖๐,๐๐๐ บาท ด้วยเหตุนี้จึงขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมบูญตามจิตศรัทธา ผ่านธนาคารกรุงไทย สาขาไชยปราการ ชื่อบัญชี กองทุนเพื่อการเผยแผ่ศีลธรรมวัดสันทราย เลขบัญชี 545 - 0 - 14343 - 5 ติดต่อสอบถาม พระครูวรสุตเขต โทร. ๐๘๙ - ๘๕๒๓๔๙๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. พระเสริฐ

    พระเสริฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2010
    โพสต์:
    970
    ค่าพลัง:
    +2,507
    ตำนานล้านนา เรื่องขุนหลวงมะลังก๊ะ


    1262268645.jpg

    อตีเต กาเล ในกาลอดีตอันล่วงพ้นไปแล้ว มีตำนานได้กล่าวถึงชนชาติโบราณที่ปกครองในดินแดนภาคเหนือ ก่อนที่จะมีอาณาจักรล้านนาเกิดขึ้น ดินแดนแถบนี้เคยปกครองด้วยชนเผ่าลั๊วะหรือละว้า กษัตริย์ลั๊วะมีพระนามว่า วิลังคะ หรือ มะลังก๊ะ เป็นผู้ครองนครมิลักขะ (เดาๆ ว่าอยู่แถวเชียงใหม่ปัจจุบัน)พระองค์มีฤทธาอานุภาพยิ่งนัก ทรงกรีฑาทัพไปปราบหัวเมืองน้อยใหญ่ใกล้เคียงจนราบคาบไปหมดสิ้น

    ต่อมาเมื่อ "วาสุเทพฤาษี" ได้สร้างนครหริภุญชัยขึ้น แต่ยังไม่มีกษัตริย์มาปกครอง วาสุเทพฤาษีจึงได้ส่งอำมาตย์ผู้ใหญ่ให้ถือสาส์นไปยังนครละโว้ ขอให้ส่งกษัตริย์ขึ้นมาปกครองนครนี้ด้วย กษัตริย์แห่งละโว้นคร จึงได้ส่งธิดาของพระองค์พระนามว่า"พระนางจามเทวี" ซึ่งพระนางได้มีพระสวามีแล้วเป็นเจ้าประเทศราชแห่งหนึ่ง แต่พระสวามีติดธุระราชการไม่สามารถมาด้วย พระนางจึงเสด็จมาตามลำพัง พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ขณะนั้นพระนางมีพระครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว เมื่อเสด็จมาถึงนครใหม่แห่งนี้ ชาวเมืองได้พร้อมใจกันอัญเชิญพระนางขึ้นครองราชย์และให้นามเมืองใหม่ว่า "นครหริภุญชัย" กาลต่อมาไม่นานพระนางก็ประสูติราชโอรสฝาแผดนามว่า "มหายศ" และ "อนันตยศ"

    ข่าวนครหริภุญชัยมีกษัตริย์เป็นหญิง มีรูปร่างหน้าตาสวยงามยิ่งนัก ประกอบกับนครนี้เจริญก้าวหน้ารวดเร็ว ทำให้ขุนหลวงวิลังคะสนพระทัย อยากจะได้นางมาเป็นอัครมเหสี นอกจากนั้นยังเป็นการรวมอาณาจักรของสองนครไว้ด้วยกัน พระองค์จึงให้อำมาตย์นำพระราชสาส์นถึงพระนางจามเทวี พร้อมด้วยของกำนัลมีแก้วแหวนเงินทองมากมาย ฝ่ายพระนางจามเทวี เมื่อได้รับพระราชสาส์น์ของขุนหลวงวิลังคะแล้ว พระนางรู้สึกไม่สบายพระทัยยิ่งนัก เพราะพระนางพึ่งมาปกครองใหม่ๆ บ้านเมืองยังไม่เข้มแข็ง ทะแกล้วทหารก็ยังมีไม่เพียงพอที่จะต่อกรด้วย

    หากพระนางกล่าวปฏิเสธไป ประชาชนพลเมืองคงจะได้รับความเดือดร้อนเป็นแน่ นครหริภุญชัยคงไม่พ้นเงื้อมมือกษัตริย์ลั๊วะ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ผ่อนหนักเป็นเบา พระนางจึงตรัสบอกแก่อำมาตย์ของขุนหลวงวิลังคะว่า"ข้าพเจ้าทราบความในพระราชสาส์น์สิ้นแล้ว ขอขอบพระทัยพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นหญิง จะรับปากง่ายๆก็เกรงจะเป็นที่ครหานินทาแก่คนทั่วไป ฉะนั้นขอพระองค์ลองเสี่ยงเสน่าดู หากพระองค์มีบุญญาธิการและอิทธิฤทธิ์มากจริง ขอให้เสน่านั้นพุ่งมาตกใจกลางเมืองหริภุญชัยด้วยเถิด"

    อำมาตย์ก็นำพระราชสาส์น์ของพระนางจามเทวีกลับมากราบทูลให้ขุนหลวงวิลังคะๆ ทรงทราบความในพระราชสาส์น์แล้ว พระองค์ทรงทรงพระโสมนัสยิ่งนัก ทรงพระขำเอิ๊กอ๊ากๆ "อย่าว่าแต่นครหริภุญชัยแล้ว ต่อให้ไกลถึง เขลางค์นคร หรือนันทบุรี พระองค์ก็ไม่ทรงวิตก

    ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นขุนหลวงวิลังคะพร้อมเสนาคู่พระทัยจึงได้ขึ้นไปบนเขาสุเทพ(ดอยสุเทพ) เมื่อถึงบนยอดเขาแล้วพระองค์ก็ร่ายพระเวทย์เรียกพลังทั้งหลายที่มี แล้วทรงกวัดแกว่งเสน่าพร้อมกับพุ่งขึ้นสู่อากาศ เสน่าแหวกอากาศเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่วฟ้า พร้อมกับพุ่งไปตกกลางนครหริภุญชัย เมื่อเสน่าได้ตกมาถึงนครเช่นนี้พระนางมิอาจบ่ายเบี่ยงได้ จึงยินยอมที่จะอภิเษกกับขุนหลวงวิลังคะ โดยพระนางให้จัดพิธีขี้นในเดือนแปดที่มาถึงนี้

    พอถึงเดือนแปด ขุนหลวงมิลังคะ ก็นำขบวนขันหมากไปยังนครหริภุญชัย เมื่อไปถึงพระนางจามเทวีตรัสว่า "พระองค์ทรงมาผิดเวลาแล้ว ในสัญญาว่าจะมาอภิเษกสมรสตอนเดือนแปด ขณะนี้เดือนสิบแล้ว ถ้าไม่เชื่อลองถามประชาชนดู ด้วยความสงสัยพระองค์จึงถามประชาชน ทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เดือนนี้เป็นเดือนสิบจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ ขุนหลวงวิลังคะจำต้องยกขันหมากกลับนครมิลักขะ (เดือนทางเหนือจะไวกว่าเดือนที่อื่นไปสองเดือน)

    ฝ่ายพระนางจามเทวี หาวิธีที่จะทำลายอำนาจอิทธิฤทธิ์ของขุนหลวงวิลังคะ จึงได้ส่งพระราชสาส์นไปถึงขุนหลวงวิลังคะ พร้อมกับพระมาลา(หมวก) ที่พระนางเย็บมากับมือ มอบให้และขอให้ขุนหลวงวิลังคะทรงเสี่ยงพุ่งเสน่าอีกครั้งหนึ่งจะยินยอมอภิเษกด้วยแน่นอน ขุนหลวงวิลังคะทรงดีพระทัยที่พระนางจามเทวีมีใจให้ตน จึงเอาพระมาลานั้นสวมใส่ แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนดอยสุเทพอีกครั้ง เมื่อไปถึงพระองค์ก็ร่ายพระเวทย์ เรียกพลังทั้งหลาย แต่ปรากฏว่าครั้งนี้ไม่เหมือนก่อน เรี่ยวแรงพลังอำนาจ หายไปสิ้น เสน่าที่พุ่งออกไปสุดแรง ปรากฏว่าไปตกที่ตีนดอยสุเทพนั่นเอง ที่เสน่าตกนี้เรียกว่า หนองเสน่า มาจนถึงทุกวันนี้

    พระองค์รู้สึกแปลกพระทัยที่พละกำลังพระเวทย์ที่มีอยู่ทำไมจึงเสื่อมไปสิ้น ในที่สุดก็ทราบว่า พระมาลาที่พระนางจามเทวีส่งมาเป็นของกำนัลนั้น แท้จริงแล้วทำด้วยฉลลองพระองค์ชั้นใน จึงข่มพลังอำนาจพระเวทย์ของพระองค์จนหมดสิ้น เมื่อถูกเหยึยดหยามเช่นนี้ ขุนหลวงวิลังคะจึงกรีฑาทัพ ด้วยขบวนลี้พลจำนวนมหาศาลมุ่งโจมตีนครหริภุญชัยให้แหลกลาญ เสียงเสนาทหารโห่ร้องปานแผ่นดินถล่มทลาย ชาวลั๊วะต่างแย่งกันรบ เพราะทุกคนแค้นที่พระราชาของตนถูกลบหลู่เกียรติ ต่างถกเถียงกันเป็นแม่ทัพนายกอง ที่ๆทหารเถียงกัน ปัจจุบันเรียกว่า หนองเส้ง ซึ่งเดิมเรียกหนองเสง เนื่องจากทหารที่อาสาออกรบมีจำนวนมากจนไปยืนพิงต้นยาง ทำให้ต้นยางเอนเอียงไปหมด ปัจจุบันหมู่บ้านนี้ยังคงเรียกว่า "บ้านยางเนิ้ง"

    เมื่อศึกประชิดเมืองพระนางจามเทวี จึงมอบหมายให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ควบคุมบัญชาการรบแทน พระนางให้เบิกพญาเศวตกุญชร "ช้างปู้ก่ำงาเขียว" เมื่อช้างปู้ก่ำงาเขียวออกมา ก็แผดกัมปนาท 3 ครั้ง แล้วบ่ายหน้ามุ่งสู่กองทัพขุนหลวงวิลังคะ เหล่าเสนาทหารของขุนหลวงวิลังคะ มองเห็นช้าง สูงใหญ่ตัวดำ งายาวเขียว มีแสงไฟโพยพุ่งออกจากปลายงา ต่างแตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่าน เป็นโอกาสให้ชาวเมืองหริภุญชัยไล่ติดตามฆ่าฟันทหารลั๊วะล้มตายเป็นจำนวนมาก ขุนหลวงวิลังคะหนีกลับนคร หลังจากนั้นไม่กี่วันพระองค์ก็ประชวร และเสด็จสู่สวรรคตในเวลาต่อมา ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระทัยพระองค์ตรัสสั่งให้เสนานำพระศพขึ้นไปบรรจุไว้บนยอดเขาสูงพอมองเห็นนครหริภุญชัย

    เมื่อพระองค์เสด็จสู่สวรรคต เสนาก็ปฏิบัติตาม โดยได้เคลื่อนพระศพออกจากนครไปทางทิศตะวันตก นำขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ขณะนั้นได้เกิดลมพายุขึ้นพัดดอกไม้และเครื่องตกแต่งพระศพตกกระจายไปทั่ว ที่นี่ชาวบ้านเรียกว่า "กิ่วแมวปลิว" เนื่องจากพระศพขึ้นเขาหลายวัน พระศพจึงเน่า มีน้ำเหลืองตกลงมาแล้วไหลไปรวมกัน ทำให้มีกลิ่นเหม็นเน่า ชาวบ้านเรียกว่า"ขลุกน้ำเน่า" ยิ่งสูงขึ้นไป ฆ้องกลองที่นำไปก็หนักและเอาไปลำบาก พวกหาบฆ้องหาบกลองจึงทำลายเสีย เขาลูกนี้จึงชื่อว่า "ดอยผ่าฆ้องผ่ากลอง" เสนานำพระศพขึ้นไปจนสุดยอดดอยจนมองเห็นนครหริภุญชัยได้ชัดเจน จึงจัดบรรจุพระศพไว้ที่นี่ และเรียกที่ตรงนี้ว่า "ม่อนคว่ำหล้อง"(หรือเนินคว่ำโลง) เขาลูกนี้ปัจจุบันมองเห็นชัดเจนทางด้านอำเภอแม่ริม

    และเสน่าที่ขุนหลวงวิลังคะพุ่งไปตกครั้งแรกพระนางจามเทวีให้คนขุดเอามูลดินไปสร้างพระเจดีย์เพื่อล้างเสนียด เจดีย์แห่งนี้เรียกว่า "กู่พระลบ" ตรงที่ช้างปู๊ก่ำงาเขียวแผดเสียงร้องเดี๋ยวนี้เป็น"วัดช้างร้อง" และทีฝังช้างปู๊ก่ำงาเขียวปัจุบันเรียก กู่ช้าง ลำห้วยโลหิตไหลลงจนน้ำแดงฉานนั้นเรียกว่า "เหมืองขี้เลือด" และที่สำคัญที่สุดคือชื่อนครหริภุญชัย อีกชื่อหนึงซึ่งเรียกกันตราบเท่าทุกวันนี้ คือลำพูน นั้น แผลงมาจากคำว่า "ลั๊วะพุ่ง" นั่นเอง
     
  3. Middle Earth

    Middle Earth Middle Earth

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +799
    ร่วมบุญ 100 บาท สาธุ สาธุ สาธุ

    ธนาคารเจ้าของบัญชี
    ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
    เพื่อเข้าบัญชี 545-0-14343-5 กองทุนเพื่อการเผยแผ่ศีลธรรมวัดสันทราย
    ชื่อเจ้าของบัญชีในฐานข้อมูล
    กองทุนเพื่อการเผยแพร่ศีลธรรม
    จำนวนเงิน (บาท)
    100.00
    ค่าธรรมเนียม (บาท) 0.00
    วันที่โอนเงิน 24/06/2018 [00:23:15]
    บันทึกช่วยจำ ปั้นพ่อขุนหลวงวิลังคะ
     
  4. พระเสริฐ

    พระเสริฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2010
    โพสต์:
    970
    ค่าพลัง:
    +2,507
    สาธุ อนุโมทามิ
     
  5. tung696969

    tung696969 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +1,689
    ร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา บุญปั้นพ่อขุนหลวงวิลังคะ สูง ๑.๘๐ เมตร
    โอนแล้ว ธนาคารกรุงไทย 27/06/2018
    บุญปั้นพ่อขุนหลวงวิลังคะ สูง ๑.๘๐ เมตร.jpg
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานและข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้า ในครั้งนี้ด้วยเถิด
    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้เถิดหากยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่า ไม่มี ไม่รู้ ไม่รวย ความขัดข้องและอุปสรรคใด ๆ จงอย่าบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเทอญฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...