เพื่อการกุศล ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี หล่อพระ กับหลวงพ่อสมคิด ปโยคจิตโต วัดป่าพุหวาย

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย วรรณนภา, 12 กันยายน 2016.

  1. วรรณนภา

    วรรณนภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +251
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี หล่อพระ กับหลวงพ่อสมคิด ปโยคจิตโต วัดป่าพุหวาย
    โดยจะหล่อสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หน้าตัก 30 นิ้ว
    ในวันที่ 16 ตุลาคม 2559 ณวัดป่าพุหวาย

    **ท่านที่ร่วมทำบุญ 100 บาทจะได้รับเหรียญหลวงปู่ฝั้นเนื้อทองแดง 1 เหรียญ

    **ทำบุญ 2000 บาทรับเหรียญหลวงปู่ฝั้นเนื้อทองแดง 20 เหรียญ และพระร่วงอุ้มบาตร เนื้อตะกั่ว 1 เหรียญ (หลวงพ่อบอกมหาลาภครับรุ่นนี้) หรือจะรับซองไปแจกต่อก็ได้นะครับ ยินดีครับ ร่วมบุญกันครับ ส่งที่อยู่ใน in box เลยครับ

    โอนเงินภายในวันที่ 12 ต.ค. 2559 ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. วรรณนภา

    วรรณนภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +251
    หลวงพ่อสมคิด วัดเขาวงศ์ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพระที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโรโดยตรง ตะกรุดได้รับการลงอักขระด้วยมือทุกดอกและยังเป็นการลงอักขระด้วยวิธีพิเศษ และจะทำการปรกเสกใหญ่อีกครั้งในพิธีเสาร์ห้า(20 มี ค.2553)รายได้ทั้งหมดร่วมสร้างศาลาการเปรียญ
    ตะกรุดที่หลวงพ่อสมคิดได้จัดสร้างในครั้งนี้จะ ถือว่าเป็นรุ่นแรกที่ทำออก มาอย่างเป็นทางการก็ว่าได้เพราะโดยปกติแล้วในท่านจะสร้างไว้แจกในหมู่ลูก ศิษย์ที่ใกล้ชิดเพียงปีละครั้งและไม่กี่ดอกเท่านั้น นั่นจึงเป็นที่เรียกขานกันในหมู่ของลูกศิษย์ของคำว่า"ตะกรุดคืนวัน เพ็ญ"เพราะท่านจะนั่งปรกเสกอธิษฐานจิตในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองเป็นการนั่ง อธิษฐานเดี่ยวข้ามคืนในถ้ำแห่งวัดเขาวงศ์ ซึ่งวิชาการทำตะกรุดตลอดจนอักขระต่างๆท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาโดยตรงจาก หลวงปู่ฝั้น อาจาโรแห่งวัดป่าอุดมสมพร เป็นลงอักขระด้วยมือ ทุกดอกและยังเป็นการลงอักขระด้วยวิธีพิเศษ การจัดสร้างครั้งนี้เป็นการจัดสร้างจำนวนจำกัดสามแบบด้วยกันคือ
    1.ตะกรุดทองแดง
    2.ตะกรุดเงิน
    3.ตะกรุดทองคำ

    วิธีการเขียนอักขระตะกรุด
    การลงอักขระตะกรุดด้วยวิธี พิเศษนั้นเป็นอย่างไร เมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "คราว นี้หลวงพ่อฯสร้างตะกรุดมากกว่าทุกครั้ง(ปกติท่านทำไม่กี่ ดอก)และเขียน ด้วยมือทุกดอกไม่เหนื่อยแย่หรือครับ "หลวง พ่อฯท่านบอกว่าเราเขียนทีเดียวหกหรือเจ็ดดอกไปเลย ไม่งั้นเหนื่อยแย่" ผมเองก็งงท่านเขียนอย่างไรพร้อม กันครั้งละหกหรือเจ็ดดอกจึงเรียนถามท่านต่อ ไปว่า "แล้วหลวงพ่อฯเขียนอย่างไรครับ"พูดจบท่านก็เดินไป ที่ศาลาแล้วบอกว่า "ตาม มานี่" สิ่งที่ผมเห็นก็คือท่านถือแผ่นเงินที่ใช้ทำตะกรุดติดมือมาจำนวนหกแผ่น แล้วท่านก็ทำสมาธิจิตที่นิ่งมากพร้อมๆกับบรรยากาศที่เงียบสงัดของค่ำคืนนั้น ซึ่งมีแต่ท่านกับผมเท่านั้นในศาลา แล้วหลวงพ่อฯท่านก็บรรจงลงอักขระทีละตัวจนเสร็จแผ่นแรกแล้วนำมาวางบนห้าแผ่น ที่เหลือโดยวางซ้อนกัน หลังจากนั้นท่านก็ใช้นิ้วมือ(ไม่ใช่ฝ่ามือ)ตบเบาๆไปที่แผ่นตะกรุด หลังจากนั้นท่านก็ส่งแผ่นตะกรุดทั้งหมดให้ผมดู ผมก็ค่อยๆดูทีละแผ่นปรากฏว่ามีอักขระแบบเดียวกันกับที่ท่านเขียนแผ่นแรกทุก ประการเหมือนกับเป็นการถ่ายเอกสารลงในแผ่นเงินที่เหลืออีกห้าแผ่น ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์ท่านมาก็เพิ่งได้รู้ได้เห็นนี่แหละครับ
    " หลวงพ่อฯท่านเห็นผมนิ่งเงียบไปเลยเล่าให้ฟังว่า "หลวง ปู่ฯท่านสอนเราฝึกอยู่นานร่วมสองปีแล้วท่านให้เราตบผงอิทธิ เจ(ถ้าเขียน ผิดต้องขออภัย)บนแผ่นกระดานชะนวนจนทะลุลงด้านล่างหลวงปู่ฯจึงบอกว่าใช้ได้ แล้ว" และแผ่นเงินชุดนั้นทั้งชุดผู้ที่ได้ครอบครอง เป็นหลวงพี่ในวัดนั่นแหละครับ ส่วนผมมัวแต่อึ้งก็เลยไม่กล้าขอท่าน
    หลวงพ่อสมคิดจะได้รับการถ่ายทอดวิชาความ รู้ต่างๆจาก หลวงปู่ฝั้นแล้วท่านยังได้ถูกส่งไปศึกษาธรรมะต่อจากหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังษีเป็นเวลา 18 ปีหลังจากนั้นก็ได้ไปศึกษาหา ความรู้จากหลวงปู่ชอบและหลวงปู่ขาว อนาลโย
    ตะกรุดรุ่นนี้จะต่างจากตะกรุดคืนวันเพ็ญ ครับเพราะ รุ่นนั้นจะเน้นด้านเมตตาล้วน ส่วนรุ่นนี้ผมได้นั่งดูหลวงพ่อสมคิดท่านเขียนอักขระและอธิบายให้ฟังว่าจะครบ เครื่องกว่าคืนวันเพ็ญเพราะนานๆจะมีวันที่เป็นเสาร์ห้าจึงลงอักขระล้อมปิด เต็มที่จึงมีทั้งด้านเมตตาและมหาอำนาจ
    สำหรับตะกรุดหลวงพ่อท่านบอกว่า ปกติท่านทำปีละไม่กี่ดอกแต่ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ 5 ขึ้น 5 ค่ำ ซึ่งหลายๆ ปี จะมีสักครั้งหนึ่ง ซึ่งการอธิษฐานจิตวัตถุมงคลในวันดังกล่าวจะมีอานุภาพมากกว่าปกติโดยทั่วไป หลวงพ่อบอกที่ทำตะกรุดเพราะอยากสงเคราะห์โลกในยามที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ อยากให้ลูกหลานได้มีวัตถุมงคลที่จะอำนวยพรให้การกิจการงานที่ทำเกิดความงอก เงย สมบูรณ์พูนสุข ซื้อง่ายขายคล่องที่สำคัญคืออยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในบุญสร้างศาลาเพื่อใช้ ทำกิจในพระศาสนา จะได้เป็นบุญติดตัวไปด้วยอีกทางหนึ่ง

    เหตุการณ์ในวันนั่งปรกเสก
    ขอนำเรื่องราวบางส่วน ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมปี 2552ที่ ผ่านมา วันนั้นหลวงพ่อสมคิดได้ถูกนิมนต์ไปนั่งปรกเสกที่วัดไทรใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งประธานในการจุดเทียนชัยพิธีวันนั้นก็คือท่านสมเด็จเกี่ยวโดยปกติแล้ว หลวงสมคิดและพระที่วัดจะไม่รับกิจนิมนต์นอกวัด(นอกจากการมาทำบุญที่วัด)หลวง พ่อฯและพระที่วัดก็เพิ่งจะรับกิจนิมนต์ข้างนอกเมื่อไม่นานมานี้เอง ด้วยความสนิทสนมและเคารพเป็นการส่วนตัวที่หลวงพ่อฯมีต่อหลวงพ่อใหญ่วัดไทร ใหญ่จึงรับนิมนต์ในครั้งนี้และวันนั้นก็มีครูบาอาจารย์หลายท่านที่มาร่วม นั่งปรกเสกในพิธี ในระหว่างที่ทำพิธีอยู่นั้นบาตรที่ใช้ทำน้ำมนต์ที่อยู่ตรงหน้าหลวงพ่อฯก็ เดือดขึ้นมา(ขณะนั้นท่านกำลังอธิษฐานจิต)สักครู่ชาวบ้านที่ร่วมในพิธีก็ได้ ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งที่ย่ามของหลวงพ่อที่วางข้างกายท่าน ผู้คนบางส่วนก็ฮือกันลุกขึ้นมาดูและบางคนก็ถามกันว่าพระองค์นั้นชื่ออะไร อยู่ที่วัดไหน พอพิธีการทางศาสนาเสร็จแล้วเท่านั้นมีชาวบ้านที่มาร่วมในพิธีวิ่งมาอุ้มบาตร น้ำมนต์ของหลวงพ่อฯไปเฉยเลย(มารู้อีกทีก็คือเค้าไปกรอกใส่ขวดกลับบ้าน) ส่วนคนกลุ่มใหญ่ยังสงสัยของในย่ามหลวงพ่อฯว่ามีอะไรยังตามท่านไปรอท่านที่ หน้าห้องน้ำแม้พระสงฆ์และฆราวาสที่ติดตามท่านจะขอร้องทุกคนอย่าเพิ่งรบกวน ท่านก็ไม่เป็นผล สุดท้ายพอท่านออกจากห้องน้ำจึงต้องกำตะกรุดที่ท่านสร้างไม่เกิน 50 ดอก ในย่ามของท่านให้กับญาติโยมและพระที่มาร่วมในพิธีวันนั้น ซึ่งจริงๆตะกรุดวันนั้นท่านทำเป็นพิเศษไว้เตรียมแจกในหมู่ลูกศิษย์ในวันขึ้น ปีใหม่ที่ผ่านมา
    ถนนทางขึ้นวัดด้านบน
    เมื่อประมาณกลางปี 2552 ทางวัดได้สร้าง ทางขึ้นเขาด้านบนโดยสร้างเป็นถนนคอนกรีตปูด้วยวายเมท(เหล็ก เส้นขนาดเล็ก)เทปูนหนา 10 ซม.ใช้แรงงานโดยพระสงฆ์ใน วัดและชาวบ้านที่มาช่วยงานหลังเลิกงานทำกันถึงสาม ทุ่มทุกวันระยะเวลาในการสร้าง 10 วันครึ่ง ลักษณะการทำงานเป็นการเทปูนจากด้านบนสู่ด้านล่างไล่ลงมาเรื่อยๆ
    การทำงานมาถึงช่วงสุดท้ายซึ่งในขณะนั้นชาวบ้านได้ผสมปูน ลงในโม่เรียบร้อยรอ การเทอย่างเดียวแต่ฝนก็ได้ทะยอยตกไล่มาแต่ไกลจนมาถึงโรงโม่และฝนได้ตกไปทั่ว บริเวณโดยรอบ ส่วนที่เขาวงศ์นั้นท้องฟ้าปิดมืดมิดฝนเริ่มตกลงมาที่ละม็ดทำให้ผมกับหลวงพี่ นพซึ่งแยกตัวออกมายืนกันสองคนใต้ต้นไม้ห่างจากกลุ่มของพระสงฆ์และชาวบ้านพอ สมควรหลวงพี่นพก็บ่นขึ้น "แย่จริงๆเหลืออีกไม่เท่าไหร่ฝนดันจะมาตกซะนี่ แล้วปูนที่ผสมไว้จะทำยังไงดี" ในระหว่างนั้นเองผมและหลวงพี่นพเห็นหลวงพ่อฯเดินเข้าไปในป่าข้างทางตรงเชิง เขาห่างจากผมสองคนราว 50-60 เมตร ซึ่งถ้าไม่สังเกตจริงๆจะมองไม่เห็น เราสองคนมองเห็นคล้ายกับท่านยืนคุยกับใครแต่เรามอง ไม่เห็น สักครู่ท่านเดินอมยิ้มออกมาตัวผมเองจึงเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อฯครับฝนกำลังจะตกจะทำอย่างไรดี" สิ้นคำพูดท่านตอบกลับในทันที "ไม่ตกหรอก ไม่ตกแน่นอน คุยกับ......รู้เรื่องทำงานต่อได้เลย"
    พูดจบสักครู่ท้องฟ้าทั่วบริเวณเขาก็เริ่มเปิดฝนไม่ตกอยู่ ที่บริเวณเขาวงศ์ ที่เดียวแต่ที่อื่นโดยรอบตกหมดและวันนั้นงานก็เสร็จสิ้นด้วยดี

    เล่าสู่กันฟัง
    ขอเล่า สู่กันฟังเท่าที่จะพอถ่ายทอดได้นะครับ(เกรงไม่ เหมาะสม) ผมเองได้รู้จักกับหลวงพ่อฯเกือบสองปีมาแล้วได้สนทนากับท่านเสร็จในวันนั้นก็ กราบขออนุญาตเป็นลูกศิษย์ท่านด้วยคน พอมีโอกาสผมก็จะแวะเวียนไปกราบท่านสม่ำเสมอค้างคืนที่วัดบ้างไม่ค้างบ้าง แล้วแต่โอกาสอยู่ที่นั่นก็ได้เจอลูกศิษย์ท่านในหลายวงการอาชีพแต่สิ่งหนึ่ง ที่ทุกคนมีเหมือนกันคือตะกรุดของหลวงพ่อฯแม้แต่พระสงฆ์ในวัด เมื่อสนิทกับหลวงพี่มากขึ้นมีโอกาสผมจึงได้ถามว่าทำไมจึงมีตะกรุดกันทุกคน เลยดีด้านไหน(ซึ่งตอนนั้นผมทราบแล้วว่าเป็นตะกรุดของหลวงพ่อฯ) หลวงพี่ท่านก็เล่าให้ฟังว่า " ตะกรุดของท่านจะเด่นมากด้านเมตตาและการค้าขาย " แต่ นั่นก็ขึ้นกับชนิดหรือประเภทของตะกรุดที่ท่านสร้าง ซึ่งตะกรุดที่เด่นด้าน เมตตานั้นบางทีบรรดาลูกศิษย์ก็เรียกว่า " ตะกรุดสาริกา " เป็นวิชาที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่ฝั้นฯ จากการสังเกตและพูดคุยกับบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็ต่างถ่ายทอดประสบการณ์ให้ ฟังว่า " ตั้งแต่ได้ตะกรุดท่านมาการค้าเจริญรุ่งเรืองมาก " ทำให้ผมเกิดกิเลสที่อยากจะได้มาครอบครองมาช่วยทำมาหากินบ้าง มาถึงวันสำคัญที่คาดไม่ถึงเป็นวันที่จะเริ่มสร้างกุฏิหลังแรกหน้า ถ้ำใหญ่ เป็นการขนอิฐบล็อคขึ้นเขา(ใช้แรงงานคนขนขึ้นอีกด้านหนึ่ง) วันนั้นเป็นการเริ่มงานครั้งแรกของผมและพระสงฆ์บางส่วนเหนื่อยกันมาก ถึงช่วงพักผมก็เดินเข้าที่ห้องครัวเพื่อมาล้างมือพอล้างเสร็จหันหลังกลับก็ เจอเข้ากับหลวงพ่อซึ่งท่านเดินมาเมื่อไหร่ไม่รู้เงียบจังเลยแล้วท่านก็พูด ขึ้นด้วยเสียงดุๆหน่อยว่า " เอานี่ตะกรุดอยากได้ไม่ใช่เหรอ(จริงๆผมเอก็ไม่เรียนท่านเรื่องนี้)อย่าบอก ใครนะเรามีแค่นี้แหละ " พูดจบท่านก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ ซึ่งผมเองก็ยังงงๆปนกับอาการดีใจอยู่เลยเพราะยังไม่ได้กราบเรียนถามท่านเลย ว่าวิธีใช้อย่างไรมีข้อหามอย่างไรบ้าง และผมก็ได้มีโอกาสเรียนถามท่านในภายหลัง
    เมื่อได้ตะกรุดดอกแรกมาความเปลี่ยนแปลงก็ เริ่มเปลี่ยนผมได้ตั้ง จิดในการใช้ ดังที่หลวงพ่อฯแนะนำ การค้าเริ่มดีขี้น(พอดีอาชีพผมทำการค้า)ผมเองกับหลวงพ่อฯจะพูดคุยสนทนากัน ไม่ค่อยมากแต่จะเน้นเนื้อๆซะส่วนใหญ่ เมื่อมีความมั่นใจในการใช้ตะกรุดมากขึ้นเป็นลำดับจึงกราบเรียนหลวงพ่อฯขอ ตะกรุดท่านเพื่อให้เพื่อนๆได้มีโอกาสครอบครองและได้ใช้บ้าง เพื่อนๆที่นำไปใช้ประสบผลดีบางคนก็อยากได้เพิ่มเพื่อนำไปมอบให้กับญาติพี่ น้องหรือเพื่อนที่สนิท

    เมื่อท่านขอ.....เราจัดให้
    เมื่อประมาณต้นปี 2552 ผมได้พากลุ่ม เพื่อนๆไปกราบหลวงพ่อฯในระหว่างนั่งมานั้นมีเพื่อนคนหนึ่งได้ พูดกับผมเบาๆว่า " ไม่ อยากให้หลวงพ่อฯท่านทักหรือ พูดอะไรต่อหน้าคนอื่นเพราะไม่สะดวกที่จะคุย กับท่าน " ผมก็ได้แต่นึกในใจ เออ...แปลกดีคนเค้ามาหาและอยากคุยกับท่านแต่รายนี้ไม่อยากคุย มารู้อีกทีว่าเค้าอยากคุยเป็นการส่วนตัวมากกว่าไม่ชอบให้ใครมารับรู้เรื่อง ของเค้าต้องคอยมาอธิบายต่างๆ เมื่อพวกเราทั้งหมดทุกคนเดินทางถึงที่วัดได้เข้าไปกราบท่านที่ศาลาที่ใช้รับ แขกเป็นประจำ พอกราบท่านเสร็จหลวงพ่อฯท่านก็พูดขึ้นมาทันทีว่า "ไม่ต้องห่วงนะโยม..... ไม่ให้เราพูดเราก็จะไม่พูด "
    พวกเราทุกคนในกลุ่มนั่งมองหน้ากันเลิกลั่กเพราะไม่รู้ว่า พูด ถึงใครจะมีแต่ผมที่นึกขำอยู่ในใจและเพื่อนอีกคนที่กระซิบผมตอนเดินทางมาที่ วัดนี่เองที่รู้

    เจอเจ้าที่มาขับไล่

    ในช่วงแรกๆที่หลวง พ่อฯมาอยู่ที่วัดเขาวงศ์นั้นท่านบอกว่ามาโดย การที่เมื่อ ก่อนท่านเคยธุดงภ์ผ่านที่นี่หลายปีก่อน และหลังจากธุดงภ์ครั้งสุดท้ายที่เจอพิษไข้ป่าก็ไม่ได้กลับอิสานและอยู่มาวัน หนึ่งมีสหายธรรมที่เป็นสงฆ์ด้วยกันชวนท่านมาอยู่ที่วัดเขาวงศ์ด้วยกัน สาเหตุก็เพราะตอนนั้นเป็นวัดร้างไปแล้วสภาพไม่มีความเป็นวัดเลยเมื่อท่าน เดินทางมาถึงชาวบ้านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า " ท่านจะอยู่ได้เหรอ....พระสงฆ์ที่มาที่นี่มักจะอยู่ได้ไม่นานเพราะกลัวกันมาก " และเมื่อเห็นสภาพท่านก็ตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่และบอก ชาวบ้านว่า " เราไม่กลัว....ไม่ต้องหรอก "
    เมื่อตัดสินใจหลวงพ่อฯก็แขวนกลดที่ใต้ต้นไม้ ข้างๆเจดีย์เก่าและ ท่านก็ชี้ให้ ดูบริเวณที่ใช้กางกลดเดิม ซึ่งเมื่อก่อนยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆบนเขา เมื่อตกค่ำท่านก็นั่งสมาธิภาวนาตามปกติ จู่ๆก็มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่หน้ากลดโดยผู้หญิงนั้นใส่ชุดขาวไม่มีผมก็คือ เป็นแม่ชีนั่นเองส่วนผู้ชายตัวดำสูงใหญ่มากตาสีแดงก่ำยืนทำตาถมึงทึงและมี เสียงพูดดุๆออกมาจากแม่ชีว่า " ท่านมาที่นี่ทำไม "
    หลวงพ่อฯตอบกลับ " เราที่นี่เพื่อภาวนา ไม่ได้มารบกวนใคร "
    แม่ชีพูดต่อ " เราไม่ให้ท่านอยู่ ที่นี่เป็นที่ของเราอย่ามารบกวน "
    หลวงพ่อฯ " เรา ไม่ได้มารบกวนใคร เรามาเพื่อสร้างวัดและเราจะอยู่ที่นี่ "
    ตอบโต้กันสักครู่แต่ผู้ชายสูงใหญ่ตัวดำตาแดงก่ำนั้นได้ แต่ยืนดูไม่พูดสักคำ ปล่อยให้แม่ชีเป็นคนพูดคนเดียว เมื่อแม่ชีเห็นว่าจะขับไล่หลวงพ่อฯไม่เป็นผลแล้วจึงพูดกับหลวงพ่อฯด้วยน้ำ เสียงที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นว่า " ท่านจะอยู่ที่นี่ก็ได้แต่ต้องทำให้ดี "
    หลวงพ่อฯได้ฟังดังนั้นจึงตอบไปว่า " ไม่ต้องห่วง....เราจะทำให้ที่นี่เป็นดินแดนธรรมดังเช่นครูบาอาจารย์ที่ได้ กระทำมา "
    แม่ชีและชายคนนั้นได้รับคำตอบที่พอใจแล้วก็หายไปทันที
    ผมจึงได้เรียนถามหลวงพ่อฯว่า " เค้ามาหาในสมาธิหรือเปล่าครับ "
    หลวงพ่อฯบอกว่า " เปล่า....เขามาให้เห็นด้วยตาเนื้อนี่แหละ "
    ผมเรียนถามท่านต่อว่า " แล้วแม่ชีท่านนั้นเป็นใคร ผู้ชายคนนั้นเป็นใครครับ "
    หลวงพ่อฯเล่าต่อ " แม่ชีองค์นั้นท่านเคยปฏิบัติเจริญภาวนาอยู่ที่นี่และมาเสียชีวิตที่นี่แหละ ส่วนผู้ชายนั้นเป็นเจ้าที่อยู่ที่นี่เค้ากลัวว่าเราจะมารบกวนเค้า แต่เราก็ยืนยันกับเค้าว่าเราจะอยู่ที่นี่เราไม่กลัวและเราจะทำให้ที่นี่ เจริญเค้าจึงไม่มารบกวนเราตั้งแต่นั้นมา "
    สุดท้ายท่านตอกย้ำกับผมว่าสถานที่แห่งนี้ในอดีต มีพระมาปฏิบัติและสำเร็จที่นี่มากมายแต่ไม่มีใครรู้ ฉะนั้นอย่าลืมว่าครูบาอาจารย์ท่านทำไว้อย่างไรเราทุกคนต้องเดินตามรอยท่าน และอย่าลืมลมหายใจแห่งการภาวนา

    คัด ลอกบางส่วนมาจาก ข้อความโดย อู่ทอง

    ประวัติหลวงพ่อสมคิด วัดเขาวงศ์ อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี : [Powered By shop.free.in.th]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...