ขันธ์ 5 กับ ทุกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อินทรบุตร, 8 พฤศจิกายน 2012.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [​IMG]

    ขันธ์ 5 กับ ทุกข์

    เมื่อเข้าใจในการทำงานของขันธ์ 5 แล้ว จะพบว่า แท้จริงแล้ว การดับทุกข์นั้น เราไม่ต้องต่อสู้กับความทุกข์ เพราะมันไม่มีอะไรให้ต่อสู้ ทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนเกิดขึ้นเมื่อขันธ์ 5 มาประชุมรวมกัน เกิดรับเวทนาขึ้นในชวนจิตนั้น และเมื่อประชุมรวมพร้อมกันเสร็จแล้ว ก็ดับลงไป จิตที่รับรู้ทุกข์ครั้งแรกนั้น ก็ได้รับรู้ และดับลงไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ คืออุปาทาน ในการยึดสภาวะนั้นต่อไป ทำให้สภาวะไม่เกิดดับตามธรรมชาติที่แท้จริง แต่เป็นการยึดอยู่ของสภาวะอุปาทาน

    การดับทุกข์ จึงไม่ใช่การต่อสู้กับทุกข์ แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อให้จิตเข้าใจถึงสภาวะที่แท้จริงของการทำงาน และเห็นตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนไปยึดเอาอุปาทานมาถือครองไว้ในจิต
     
  2. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,816
    ค่าพลัง:
    +15,099
    กล่าวคือ การฝึกสติเพื่ออบรมจิต ให้จิตเกิดกระบวนการเรียนรู้ในสภาวะธรรมนั้นๆที่เกิดขึ้นกับเบญจขันธ์ แล้วไม่เข้าไปยึดมันถือมั่น ในเวทนาขันธ์ทั้งในอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันขณะก็ดี
    ว่าสิ่งนี้เป็นเรา เป็นสุข เป็นทุกข์ของเรา...

    จนสามารถ ละวิปลาสธรรมได้(อัตตา) ด้วยปัญญาอันชอบ จากการตามรู้ตามเห็นความทุกข์ที่ครอบงำขันธ์ ๕ โดยความเป็นจริงแล้ว(พยามฝึกระลึกให้ได้ในทุกอิริยาบถ อย่างเป็นธรรมชาติ)
    แล้วจะไม่เกิดความลังเลสงสัยในธรรม! อันเป็นเหตุนำตนออกจากทุกข์

    จิตในขณะนั้นจะสงบราบเรียบสุขุม นิ่มนวล เป็นธรรมชาติที่ไม่ถูกปรุงแต่ง...เพราะมารู้เสียแล้วว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ จริงๆ!!...

    (ผมก็ฝึกมหาสติปัฎฐาน๔ ตามแนวทางหลวงพ่อจรัญครับ!)
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนกล่าวกันว่า ทุกข์ ทุกข์ดังนี้ ทุกข์นั้นเป็นอย่างไรเล่าพระเจ้าข้า...ราธะ รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์ และวิญญานเป็นทุกข์แล.................ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนกล่าวกันว่า ทุกขธรรม ทุกขธนรรมดังนี้ ก็ทุกขธรรมนั้นเป็นอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า................ราธะ รูปเป็นทุกขธรรม เวทนาเป็นทุกขธรรม สัญญาเป็นทุกขสังขารทั้งหลายเป็นทุกขธรรมธรรม และวิญญานเป็นทุกขธรรม แล----ขนธ.สํ.17/240/381-382.....:cool:
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย รูป เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกขื สิ่งนั้น เป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั้นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวจนของเรา ดังนี้...................................ภิกษุทั้งหลาย เวทนาเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวจนของเรา ดังนี้..........................ภิกษุทั้งหลาย สัญญาเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตาพึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้......................ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป้นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเราดังนี้...........................ภิกษุทั้งหลาย วิญญานเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป้นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเราดังนี้แล-----ขนธ.สํ.17/28/43.....:cool:
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่เที่ยง พวกเธอพึงละฉันทะราคะ(ความกำหนัดพอใจ)ในสิ่งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งใดเล่าไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เท่ยง และวิญญานไม่เที่ยง พวกเธอพึงละฉันทะราคะในสิ่งนั้ ภิกษุทั้งหลายคือสิ่งใดที่ไม่เที่ยง พวกเธอพึงละฉันทะราคะในสิ่งนั้นแล---ขนธ.สํ.17/217/337.:cool:อริยสัจจากพระโอษฐ์ท่านพุทธทาส
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสอยู่ว่า เครื่องนำไปสู่ภพ เครื่องนำไปสู่ภพดังนี้ ก็เครื่องนำไปสู่ภพ เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า และความดับไม่เหลือของเครื่องนำไปสู่ภพนั้นเป็นอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า..........ราธะ ฉันทะก็ดี ราคะก็ดี นันทิก็ดี ตัณหาก็ดี และอุปายะและอุปาทานอันเป็นเครื่องตั้งทับ เครื่องเข้าไปอาศัย และเครื่องนอนเนื่องแห่งจิตก้ดี ใดใดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร และในวิญญาน กิเลสเหล่านี้เราเรียกว่า เครื่องนำไปสู่ภพ ความดับไม่เหลือของเครื่องนำไปสู่ภพ มีได้เพราะความดับไม่เหลือของกิเลส มีฉันทะราคะเป็นต้นเหล่านั้นเอง---ขนธ.สํ.17/233/368...:cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่ โดยแน่นอนเธอไม่ต้องปรารถนาว่า โอหนอ จิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่มีอุปาทานเถิด..ดังนี้....จิตของเธอนั้นก็ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานได้เป็นแน่...ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า...ข้อนั้นเพราะเหตุว่า เธอมีการเจริญสติปัฎฐานสี่ สัมมัปธานสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงคืเจ้ด อริยมรรคมีองค์แปด...ภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนฟองไข่8ฟอง 10ฟองหรือ12ฟองอันแม่ไก่กกดีแล้ว พลิกให้ทั่วดีแล้ว คือฟักดีแล้ว โดยแน่นอน แม่ไก่ไม่ต้องปรารถนาว่า โอหนอ ลูกไก่ของเรา จงทำลายกระเปาะฟองด้วยปลายเล็บเท้า หรือจงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีเถิด ดังนี้....ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถทำลายกระเปาะด้วยปลายเล็บเท้า หรือจงอยปากออกมาโดยสวัสดีได้โดยแท้ ฉันใดก็ฉันนั้น---สตตก.อํ.23/127/68.....:cool:
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ท่าน paetrix ปริยัติยาวมากเลยครับ
    ใจเย็นๆ ครับท่าน ปัญญาผมยังน้อย ยกมาเยอะๆ จิตผมยังไม่เห็นตามทั้งหมดที่ยกมาครับท่าน...
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ระยะเวลาของความเป็นทุกข์ ได้เกิดมีขึ้นอยู่แค่ช่วงเวลานั้นๆ

    พอผ่านช่วงเวลานั้นๆไปแล้ว บ้างก็หลงลืมไปว่าเคยเป้นทุกข์

    จากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่ ทุกข์มามากมายแล้ว

    บางครั้งหันกลับไปมองความทุกข์เหล่านั้น ยังมีบ้างที่หัวเราะในความทุกข์ที่เคยมองว่าเป็นทุกข์

    สาธุครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    พวกเราได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนากันมาแล้ว ในยามที่เกิดวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา ก็ควรมีส่วนในการสร้างบารมีในการปกป้องเอาไว้บ้าง การสร้างบารมีปกป้องพระพุทธศาสนาที่สำคัญนี้ ไม่น่าเกิน 10 นาทีโลกมนุษย์ แต่บารมีนี้ส่งผลต่อเนื่องจนถึงพระนิพพาน

    ผู้ใดที่ต้องการสร้างบารมีที่สำคัญนี้ โปรดสร้างด่วน เพราะเวลาจำกัดมาก

    http://palungjit.org/threads/ด่วน-ลงชื่อคัดค้านการทำลายพุทธสถาน.370779/

    อย่าพลาดโอกาสนะ
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุๆๆ ลงชื่อเรียบร้อยแล้วครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2012
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ............จาก ที่ จขกท ยกมา ในตอนต้นนะครับ...ทุกข์คือขันธิ์5...เพราะสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์.......ลองดูตรงนี้ให้ดีนะครับ แม้ขันธิ์5นี้ยังไม่เป้นของใครธรรมชาติของตัวมันเองก็ไม่เที่ยงอยู่แล้ว....ทีนี้พอตัวเราสัตว์บุคคลมีฉันทะราคะ นันทิในขันธิ์5 ก็กลายเป็น ปัญจุปาทานักขันธิ์ หรือ รูปขันธิ์ที่ยังมีอุปาทาน เวทนาขันธิ์ที่มีอุปาทาน สังขารขันธิ์ที่มีอุปาทาน วิญญานขันธิืที่มีอุปาทาน.........ทีนี้ในอริยะสัจสี่ ทุกข์ควรกำหนดรู้(ขันธิ์5)......ทุกข์สมุทัย(เหตุแห่งทุกข์)คือตัณหาราคะในขันธิ์5หรือ อุปาทานในปัญจุปาทานักขันธิ์:cool:
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ข้อนี้พอได้ครับ แต่ สัมมัปธานสี่ พละห้า โพชฌงค์เจ็ด อันนี้ผมยังไม่กระจ่างครับ :)
     
  14. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เอ๊ะ เจอแล้ว กระทู้นี้ ท่านปุณณพิธลงทุนตั้งกระทู้เองเลย อย่างนี้ต้องติดตาม 555
     
  15. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ขอคำอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆหน่อยครับ เอาแบบเกิดความเข้าใจที่แท้จริง ถ่ายทอดมาเป็นภาษาง่ายๆ เจ้าของกระทู้น่าจะมีทุกข์เยอะนะครับ ตอนนี้ก็ชักจะคุมสติไม่อยู่แล้ว
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ท่านผู้ที่มากดโมทนาทั้งหลาย และอีกหลายท่านในห้องอภิญญานี้ ล้วนเป็นผู้ที่เข้าใจ และเข้าถึงสภาวะนี้แล้ว

    สภาวะนี้เป็นสภาวะที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรได้หมด ผมได้เลือกการถ่ายทอดที่คิดว่าสื่อใจความได้ง่ายที่สุดแล้ว (จริงๆ แล้ว ผมเลือกถ่ายทอดแบบที่ออกแนวบ้านๆ ซึ่งจะคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับปริยัติหมด 100% เสียด้วยซ้ำ แต่เน้นใจความการถ่ายทอดเป็นสำคัญ)

    ผู้ที่อ่านแล้วเข้าใจ ก็คือเข้าใจ ผู้ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ด้วยเหตุปัจจัยในปัจจุบันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2012
  17. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    มีอันไหนก็ทุกข์อันนั้น มีหัวก็ปวดหัว มีขาปวดขา มีสัญญาๆเป็นทุกข์ก็จำ อยากลืมกลับจำ วิญญาณก็ทางเข้ามาของทุกข์ สังขารไอ้นี่ตัวสร้างทุกข์ เวทนาอารมณ์ทุกข์ ก็เกิดมาทุกข์ มีทุกข์เป็นขันธ์ ต้องมีสติให้มากตามให้ทันทุกข์ แซงทุกข์ไปทุกข์มันตามสติไม่ทันมันก็ไม่ทุกข์
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ ครับ ท่านปัญญาวโร ผมสังเกตว่า หากเราไม่มีทิฎฐิมานะ การได้อยู่ใกล้พระอริยเจ้า ด้วยเมตตาบารมีของท่าน เราจะค่อยๆ ซึมซับธรรมะ และค่อยๆ ยกระดับจิตขึ้นมาได้ทีละน้อยๆ ครับ

    "เอ๊ะ เจอแล้ว" คือคำพูดของคนที่ค้นพบสิ่งที่ตนกำลังแสวงหา

    ท่าน khomeraya แสวงหาสิ่งใด ปรารถนาสิ่งใดกัน?
    ท่าน khomeraya แสวงหาความสุขนั้นหรือ? แสวงหาทางพ้นจากทุกข์นั้นหรือ?

    หากปรารถนาความสุข ความสงบ ก็อย่าได้แสวงหาสิ่งร้อนรน เอาเข้าไปเก็บสะสมในใจเลย
     
  19. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    การระลึกถึงพระอริยะสงฆ์และคำสอนของท่านอยู่เสมอ ก็จัดว่าเป็นเจริญสติอย่างนึง การเจริญสติให้มาก หมอกควันก็เบาบาง ปัญญาก็สว่างขึ้น คิดเห็นสิ่งซับซ้อนเป็นไม่ซับซ้อน ทุกอย่างมันไม่ได้ซับซ้อน แต่ขันธ์ ๕ ตัวทุกข์มันบดบัง สุขปลอมๆนี่แหละตัวดีตัวหลอกลวง อยากได้นิพพาน แต่ยังยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กันทั้งงั้น ถ้าไม่ติดสุขกันแล้วคงปลงใจโกนหัวบวชกันแล้วรวมตัวผมด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ก็เริ่มเบื่อชีวิตแหละ แต่ยังไม่เต็มที่กลัวบวชไปร้อนผ้าเหลือง
     
  20. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,816
    ค่าพลัง:
    +15,099
    สนทนากันว่าด้วยเรื่องของทุกข์แล้ว ลองสังเกตุดูอารมณ์ของเราเอง ด้วยความเป็นกลาง อย่าให้ถูกความยินดี ยินร้ายครอบงำจิตได้...จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในการปฎิบัติ

    ความปล่อยวาง มันจะซึมเข้ามาสู่จิตสู่ใจ ทีละเล็กทีละน้อย! (จะเรียกสมมุติสภาวะธรรมอาการนั้นว่าอย่างไร ก็เป็นเรื่องของ"วิชชา"เป็นของที่เกิดมีในจิตเราพึงรู้เฉพาะเอง ไปโดยลำดับ

    "ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเน้อ" เราหลงแบกหามกันมานาน หากเผลอลืมสติไปชั่วขณะหนึ่ง มันก็ขว้าเข้าไปแบก ไปหามอยู่ได้เรื่อยๆ...ถึงว่าทางที่เราเคยเดินจนชำนาญ มันฉลาดเหลือเกิน ทางของกิเลสนะ...

    แต่ทางสัมมาปฎิบัตินี่แหม! มันยากจัง ก็ว่ากันไปเป็นความฉลาดของท่านนักปฎิบัติ
    ให้มันหลาบลงด้วยภาคปริยัติ ให้มันหลาบลงด้วยภาคปฎิบัติ ก็เห็นว่าจะพอเป็นไปได้อยู่บ้างแล้ว สำหรับจิตดวงพยศนี้

    หากกระแสมันลงเป็นธรรมอันเดียวกัน ลงไปในรอยเดียวกัน มันก็สื่อกันง่ายหน่อย
    ที่ว่าใจถึงใจ ก็ว่าจิตถึงธรรม มันก็มีแต่ความโล่งโปร่งเบา ที่กัลยาณมิตรจะพึงหยิบยื่นให้แก่กัน แม้มันจะเห็นเพียงชั่วขณะระยะเวลาหนึ่ง ก็ยังดีสำหรับใจดวงมืดบอดของตน...
    ที่ได้เห็นแค่เพียงสายฟ้าแล็บก็ยังดี เพราะทำให้รู้ว่าแสงสว่างที่มันยิ่งใหญ่กว่านี่ยังมีอยู่

    ศรัทธา เกิดแล้ว วิริยะ ความเพียรก็ตามมา สติ สมาธิ ปัญญา มันจึงหมุนเป็นวงล้อแห่งธรรมภายในตน บดขยี้สิ่งที่เคยหมักดองเป็นอนุสัย ติดอยู่ในขันธสันดาน ให้มลายหายไปตามลำดับกำลังความเพียรนั้น

    ถึงว่า พระเถระ ในครั้งพุทธกาลเมื่อบรรลุธรรมแล้วบางท่านจึง อุทานว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ!"

    โดยส่วนตัวข้าพเจ้ามีปริยัติน้อย เวลาอ่านท่านผู้คงแก่เรียนภาคปริยัติบางท่าน โอ้ย ปวดหัว กิเลสข้าพเจ้ายังหนาอยู่...ไม่ใช่ปฎิเสธแต่เรามันความจำไม่ดี เอาแค่อ่านใจความบทใด ที่มันเป็นธรรมชาติเกิดจากปฎิเวธแล้ว มันก็มีโดนอยู่หลายท่านเหมือนกัน

    หัวข้อทุกข์นี้มันก็โดนอยู่ เพราะเป็นเหตุแรกเริ่มของ อริยะสัจจ์ ซึ่งพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้วนำมาประกาศแสดง ให้เราจำเริญเดินตามทางอริยมรรค
    หากเรายังมองไม่เห็นทุกข์ที่มันซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ภายในเบญจขันธ์แล้ว เราก็เห็นแต่ความเพลิดเพลินสนุกสนาน หลงเดินทางวนเวียนกันไปบนเส้นทางเดิมๆโดยความสำคัญผิดว่าเป็นสุข แล้วหลงติดอยู่นั้นเอง!


     

แชร์หน้านี้

Loading...