ขายของแพงเกินจริง ผิดศีลไหมครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Fabreguz, 7 ธันวาคม 2011.

  1. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    คือผมสงสัยว่า ขายของแพงเกินจริง ผิดศีลไหมครับ เพราะการขายของคือเราตกลงราคาไว้เท่านี้ จะซื้อหรือไม่ผู้ซื้อก็เป็นผู้พิจารณา เราไม่ได้ไปบังคับหรือขโมยเขามาเลย อย่างเช่นพวกของในห้าง ร้านอาหารในห้าง หรือเราซื้ออะไรมาขาย แต่เราเห็นว่าสังคมทั่วไปก็ขายราคาเท่านี้ เช่นซื้อมา 50 บ. แต่ขาย 800 บ. อย่างนี้ ผิดศีลไหมครับ ตามความคิดผมคือเข้าข่ายขูดรีดทางอ้อม คือบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของที่ซื้อทุกวันนี้ราคาจริงเท่าไร แต่ซื้อแพงไปหลายเท่า เช่น อาหารบางอย่างควรขาย 10 - 20 บ. แต่ขาย 150 บ. หรือกระเป๋ารองเท้าที่บางคนว่าถูก 200 - 300 จริงๆอาจจะแค่ 50 บ......... อย่างของบางอย่างถ้าได้มาฟรี แต่เราขายตามความต้องการของตลาดเช่นของหายากมากเราขายเป็นล้าน ทั้งที่เราได้มาฟรี อย่างนี้ละผิดอะไรไหม หรือมันเป็นสิทธิของเรา ขอโทษนะครับ อย่างที่เขาตีราคาพระเครื่อง บางรุ่นตีเป็นแสนเป็นล้าน บางรุ่นหลักร้อย แบบนี้คิดราคาเกินจริงหรือเปล่า หรืออยู่ที่กรรมสิทธิของเจ้าของ อยู่ที่การตกลงกันไม่ได้ขโมยไม่ผิด.... ขอโทษที่ถามยาวนะครับขอเน้นๆในคำตอบว่า ขายของแพงเกินจริง ผิดศีลไหมครับ....
     
  2. loguttara

    loguttara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +39
    ไม่ผิดศีล
    แต่ผิดธรรม

    ขาดเมตตาธรรม

    ครับผม
     
  3. 90

    90 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +67
    โอโฮ 20 ขาย 100 มันปล้นกันนี่หว่า
     
  4. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    ในฐานะแม่ค้าเหมือนกัน คิดว่าถ้าอันไหนเป็นของจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเพื่อนมนุษย์ก็ควรบวกกำไรนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นของสิ้นเปลืองก็บวกเยอะได้แต่ก็ดูท้องตลาดด้วยค่ะ
     
  5. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,086
    โดยส่วนตัวคิดว่าแล้วแต่สถานการณ์และความจำเป็นครับ

    ถ้าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย พวก น้ำหอม กระเป๋าแบรนด์เนม ไม่มีก็ไม่กระทบอะไรมาก ยกเว้นบางคนกิเลสมากอยากครอบครอง อยากไปอวด อยากเอากิเลสมาพอกตัว ถ้าไม่มีแล้วอาจจะชักตาย(แต่ไม่เห็นตายจริงสักคน)

    แต่บางอย่างมันจำเป็นนะ เช่น เคยเจอหลายครั้ง รถโดยสารตามต่างจังหวัดเที่ยวสุดท้าย
    จะบวกราคาจากปกติขึ้นไปอีก เช่น 20 บาท เป็น 40 บาท

    เค้าก็ไม่ได้บังคับเรานะ ไม่เอาก็ไม่มีใครว่า แต่เที่ยวสุดท้าย ดึกแล้ว มันก็จำเป็นต้องไป ใครจะไปแจ้ง สคบ.อะไรก็แล้วแต่นะ นั่นมันเรื่องทีหลัง แต่เฉพาะหน้านี้ มันต้องจ่าย ถ้าอยากจะกลับบ้านในคืนนี้ ไม่ก็หานอนตามข้างทางเอา รอรถตอนเช้าเอา

    จริงๆเรื่องกรรม concept ก็มีอยู่แล้วว่า you get what you give นะครับ
    ดังนั้น ถ้าเราขายของแพง เราก็จะต้องซื้อของแพง โดยปริยาย กรรมจะจัดสรรให้เราเองครับ ให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ หรืออยากได้ของสิ่งนั้น โดยไม่มีทางต่อรอง หรือต่อรองไม่ได้

    พอเดินไปเจอเจ้าอื่น ดันขายของเหมือนกัน แต่ราคาถูกกว่า เจ็บใจขึ้นมา อิอิ
    ส่วนคนที่ไม่มีกรรมเรื่องนี้ ก็จะมาเจอเจ้าที่ขายถูกกว่าตั้งแต่แรก อะไรประมาณนี้

    เรื่องกรรมพูดยากนะครับ ใครไม่เจอกับตัว ไม่มีวันรู้ จริงๆครับ
     
  6. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    ผิดสิครับเพราะการขายเกินความาจริงย่อมตามมาด้วยการโกหกต่าง ๆนานา มุสาวาส แล้วข้อหนึ่ง
    มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการกล่าวเท็จ

    เท็จหรือมุสาคือไม่เป็นความจริง กล่าวเท็จคือพูดไม่จริง หรือพูดปดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ไม่รู้ ไม่เห็น พูดว่ารู้ ว่าเห็น ไม่ได้ทำ พูดว่าทำ หรือได้รู้ ได้เห็น ได้ทำ พูดปฏิเสธเสีย

    ไม่ใช่พูดด้วยปากเท่านั้น เขียนหนังสือเท็จปดเขา หรือแสดงอาการให้เขาเข้าใจผิด เช่น เขาถามว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไหม ความจริงก็เห็นแต่สั่นศรีษะ เพื่อให้เข้าใจว่าไม่เห็น

    เรียกว่ากล่าวเท็จหรือมุสาวาทเหมือนกัน การแสดงความเท็จนั้น มักใช้กันเป็นส่วนมาก จึงเรียกว่ามุสาวาท

    แต่ก็หมายถึงทุกๆ วิธี ที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจากความจริง เช่น ที่เรียกว่า ปด ได้แก่ มุสาจังๆ เพื่อให้แตกกัน เพื่อหลอก เพื่อยอยก เพื่อประจบสอพลอ เป็นต้น

    ทนสบถสาบาน เพื่อให้เขาเชื่อในคำเท็จ
    ทำมารยา เช่น ไม่เป็นอะไรแกล้งทำเป็นไข้
    ทำเลศนัย เช่น ทำกลอุบายหลอกหลวง หรือล่อให้เขาตายใจให้เชื่อผิดๆ หรือทำแย้มพรายให้เขาคิดต่อไปผิดๆ

    เสริมความ คือขยายให้มากกว่าความเป็นจริง เช่นคนที่หนึ่งพูดเพียงว่า ไปเยี่ยมเพื่อนป่วย คนที่สองพูดต่อไปว่าเพื่อนคนนั้นป่วยมาก คนที่สามพูดต่อไปอีกว่า เพื่อนคนนั้นป่วยมีอาการร่อแร่

    อำความ คือพูดไม่หมด เว้นความบางตอนไว้เสียเพื่อปกปิด เช่นกลับบ้านผิดเวลาผู้ปกครองถามว่าไปไหนมา
    ก็ตอบว่าไปบ้านเพื่อน ไปบ้านเพื่อนจริงเหมือนกัน แต่ก็ได้พากันไปเที่ยวที่อื่นอีกด้วย

    เพราะศีลข้อนี้ประสงค์ให้รักษาประโยชน์ของกันและกันด้วยความจริง
    คือมุ่งหมายให้ไม่เบียดเบียนกันด้วยวาจา อาศัยความมุ่งหมายดังกล่าว เมื่อพูดทำลายประโยชน์ของกันและกัน

    เช่น พูดถึงด้วยเจตนาร้าย เป็นการทับถม ส่อเสียดนินทาว่าร้าย เพื่อกดให้เขาเลวลงบ้าง ยกตนขึ้นบ้าง ถึงจะเป็นความจริง ก็ถือว่าเป็นการผิด เพราะผิดความมุ่งหมายของศีลที่บัญญัติขึ้น

    มีกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าเองตรัสวาจาที่จริง และมีประโยชน์ ทั้งถูกเหมาะแก่การเวลา และนอกจากที่ทรงบัญญัติศีล ให้เว้นจากพูดมุสาแล้ว ยังตรัสให้เว้นการพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์ด้วย

    มุสาวาททุกวิธีที่กล่าวนี้ มีโทษน้อย ปานกลางหรือมาก ตามระดับแห่งเรื่องที่มุสาจะก่อให้เกิดขึ้นได้เพียงไรและเจตนา(ความจงใจ) แรงเท่าไร
    กิริยาที่ประกอบมุสาวาท ใช้พยายามเท่าไร

    เวรมณี คือความเว้นจากมุสาทุกอย่าง เป็นศีลข้อ ๔ นี้
    ถ้าเว้นด้วยตั้งใจรับศีลไว้ก่อนเป็น สมาทานวิรัติ
    ถ้าเว้นด้วยตั้งใจขึ้นเดี๋ยวนั้นเอง ในขณะที่พบโอกาสจะพูดเท็จได้ เป็น สัมปัตตวิรัติ
    ถ้าเว้นได้จนเป็นปกตินิสัยจริงๆ ก็เป็นสมุจเฉทวิรัติ

    เมื่อรับศีลข้อนี้ไว้แล้ว ทำอย่างไรศีลจึงจะขาด ให้กำหนดมองดูลักษณะดังนี้ คือ

    จิตคิดจะพูดให้ผิดไปจากความจริงทั้งรู้อยู่ มีความพยายามจากจิตนั้น และคนอื่นรู้เข้าใจความ เช่นพูดกันด้วยภาษาไทยแก่คนที่รู้ภาษาไทย เขาฟังออกว่าพูดอย่างไร

    หรือใช้กิริยาสั่นศรีษะ เขาเห็นแล้วเข้าใจความประสงค์ว่าปฏิเสธ ใช้กิริยาพยักหน้าเขาก็เข้าใจว่ารับรอง
    ถ้าคนอื่นไม่รู้เข้าใจความหมาย เหมือนอย่างพูดปดด้วยภาษาไทย แก่คนไม่รู้ภาษาไทย เขาฟังไม่รู้ว่าอะไร
    ศีลก็ยังไม่ขาด

    ผู้ที่ตั้งใจรักษาศีลข้อนี้ ควรเว้นจากมุสาวาทโดยตรง ดังเช่นที่กล่าวแล้ว
    ควรเว้นจากมุสาวาทโดยทางอ้อมด้วย เช่น พูดส่อเสียด พูดเสียดแทง ประชดหรือด่า พูดสับปรับ เหลวไหล
    เมื่อทำสัญญากันไว้แล้วก็รักษาสัญญา ไม่บิดพลิ้วทำให้ผิดสัญญา

    เมื่อให้สัตย์แก่กันไว้แล้วก็รักษาสัตย์ ไม่กลับสัตย์หรือเสียสัตย์ เมื่อรับคำแล้วไม่คืนคำ
    รวมความว่าให้รักษาสัจวาจา คือ ให้พูดจริงและให้ทำจริงดังพูด การพูดจริงนั้นง่ายกว่าพูดเท็จ
    เพราะไม่ต้องคิดประดิษฐ์เปลี่ยนแปลงเรื่อง พูดตรงไปตามเรื่องเท่านั้น

    แต่การพูดเท็จต้องคิดประดิษฐ์เปลี่ยนแปลงยากที่จะโกหกได้สนิท มักมีพิรุธให้จับได้ไม่ช้าก็เร็ว
    แต่การทำจริงดังพูดอาจยากสำหรับคนที่ชอบพูดอะไรพล่อยๆ แต่ไม่ยากสำหรับคนที่ตริตรองแล้วจึงพูด
    ใครก็ตามจะรักษาสัจวาจาได้ต้องมีธรรมที่คู่กับศีลข้อนี้ในจิตใจ คือความมีสัตย์

    ธรรมที่คู่กับศีลข้อ ๔ คือ ความมีสัตย์ ได้แก่มีความจริง ความตรง คนที่มีความจริง จะเป็นเด็กก็ตาม
    ผู้ใหญ่ก็ตาม ย่อมเป็นคนซื่อตรงต่อมิตรสหาย สวามิถักดิ์คือจงรักภักดีในเจ้าของตน
    มีความกตัญญูกตเวทีในท่านผู้มีพระคุณ มีความยุติธรรมหรือเที่ยงธรรม
    รู้จักผิดรู้จักถูกและว่าไปตามผิดตามถูกในบุคคลในเรื่องทั่วไป กล่าวโดยเฉพาะ ก็เป็นคนมีวาจาสัตย์
    พูดป็นที่เชื่อถือได้

    ศีลคือมุสาวาทา เวรมณี (เว้นจากการกล่าวเท็จ) และธรรมคือความมีสัตย์นี้ จำเป็นแก่สังคมมนุษย์ทุกสังคม เป็นต้นว่าในระหว่างเพื่อน ในระหว่างสามีภรรยาหรือครอบครัว ขึ้นไปจนถึงในระหว่างประเทศ เมื่อต่างมีศีลและธรรมคู่นี้ จึงอยู่ด้วยกันเป็นปกติเรียบร้อย เชื่อถือกันได้ ไว้ว่างใจกันได้

    ผู้ปกครองประชาชนตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อรักษาศีลและธรรมคู่นี้อยู่เป็นที่เชื่อถือทั้งในประเทศและทั้งต่างประเทศ คือ ภายในประเทศ ก็ไม่หลอกหลวงประชาชน
    รักษาสัตย์ต่อประชาชน สำหรับที่เกี่ยวกับต่างประเทศ ก็รักษาสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน เป็นต้น
    พระมหากษัตริย์ตั้งแต่โบราณกาลมา ปรากฏในเรื่องต่างๆ ว่าได้ทรงรัษาวาจาสัตย์อย่างกวดขัน
    บางพระองค็แม้จะรับสั่งพลั้งพระโอษฐ์ออกไปก็ไม่ทรงคืนคำ ด้วยทรงถือเป็นพระราชธรรมว่า
    เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ

    ..มนุษยธรรม..
    พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    <SCRIPT type=text/javascript src="http://palungjit.org/Scripts/AC_RunActiveContent.js"></SCRIPT>
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  7. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">อานิสงส์การรักษาศีล </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2>[​IMG]
    อานิสงส์การรักษาศีล


    ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ หนูขอทราบอานิสงส์ของกการรักษาศีล กับการให้ทานคะ..?”
    หลวงพ่อ : “จำที่พระบอกในตอนท้ายได้ไหมล่ะ..


    “สีเลนะ สุคติง ยันติ” การรักษาศีลเป็นปัจจัยให้มีความสุข สุขทั้งชาตินี้แหละชาติหน้านะ
    “สีเลนะ โภคสัมปทา” ถ้ามีศีลนี้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ฝืดเคือง ชาติหน้าก็มีทรัพย์สมบัติมาก
    “สีเลนะ นิพพุติง ยันติ” ศีลยังเป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่าย

    ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ ดิฉันไปซื้อดอกไม้แถวสนามหลวงราคา 150 บาท พอกลับมาถึงบ้าน บอกกับสามีว่าต้นไม้ราคา 50 บาท ที่บอกอย่างนั้นเพราะเกรงว่าสามีจะดุเอา ตอนหลังมานึกดูรู้สึกเสียใจคะ ไม่น่าโกหกเขาเลย อย่างนี้ศีลจะขาดไหมคะ..?”
    หลวงพ่อ : “อย่างนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ไว้ไม่ได้ทำลายประโยชน์ ข้อมุสาวาทา จะขาดมันต้องทำลายประโยชน์ของบุคคลอื่น แต่นี่เป็นการพูดเพื่อรักษากำลังใจเขา มันมีประโยชน์แต่ว่าไปโกหกอย่างอื่นเอาเรื่องนะ อย่างเช่นของเลวบอกว่าของดี ของราคาถูกบอกของราคาแพง อันนี้มันทำลายประโยชน์


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...