ข่าวสาร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี โดยเพจมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

คณะศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน กราบนมัสการพระธาตุดอยตุงพระธาตุจอมกิตติ เมื่อวันที่ วันที่ ๑๓ – ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑
คณะสีลม จัดทำถวายกุศลแด่หลวงพ่อพระราชภาวโกศล (อนันต์ พทฺธญาโณ)

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

จากกรรมฐาน ๔๐ หน้า ๑๘๖



ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

วันที่ ๒๙ มีค.๖๑ เวลาประมาณ๑๑.๐๐น พระราชปัญญาสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง รองเจ้าคณะภาค ๑๑ พร้อมคณะ ได้เดินทางมาเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม ถวายกุศลแด่พระราชภาวนาโกศล จากนั้นได้ถวายผ้าไตร และอุทิศส่วนกุศลจนเสร็จพิธี
ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

กำหนดการพิธีบำเพ็ญกุศลครบรอบ 50 วัน แห่งการมรณภาพ
ของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล (อนันต์ พทฺธญาโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง)
ณ มหาวิหาร ๑๐๐ ปี หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ศาลา ๑๒ ไร่) วัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัด อุทัยธานี

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑(ขึ้น15ค่ำ เดือน5)

เวลา 07.๔๕ น.- พระภิกษุสงฆ์ลงศาลาวันพระและฉันภัตตาหารเช้าที่ศาลาพระพินิจอักษร(ทองดี)
เวลา 11.00 น.- พระภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหารเพลที่มหาวิหาร ๑๐๐ ปี หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ศาลา ๑๒ ไร่)
เวลา 17.00 น.- พระเดชพระคุณพระราชสุวรรณเวที แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์
- จบแล้วพระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ (เจ้าอาวาส) เข้าถวายกัณฑ์เทศน์
เวลา 17.30 น.- พิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทาน ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เวลา 18.00 น.- พิธีสวดพระอภิธรรม ทำนองหลวง โดย พระพิธีธรรม วัดสระเกศ
- จบแล้วเจ้าภาพเข้าทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้า เจ้าภาพเข้าถวายเครื่องไทยธรรม
– พระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ (เจ้าอาวาส) เข้าถวายจตุปัจจัย
เวลา 19.00 น.- พระภิกษุสงฆ์วัดจันทาราม (ท่าซุง) ขึ้นสู่อาสน์สงฆ์ เพื่อสวดพระอภิธรรม
– จบแล้วเจ้าภาพเข้าทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้า เจ้าภาพเข้าถวายเครื่องไทยธรรม
– พระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ (เจ้าอาวาส) เข้าถวายจตุปัจจัย
– มัคนายกนำอุทิศส่วนกุศล พระสงฆ์ให้พร
(ช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 9.00-11.00 น. ที่มหาวิหารอนุสรณ์100ปีฯ(12ไร่) พระสงฆ์ 4รูป สวดพระอภิธรรม ตามปกติ)
วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑(แรม1ค่ำ เดือน5)

เวลา ๐๗.๐๐ น.- พระภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหารเช้าที่มหาวิหาร ๑๐๐ ปี หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ศาลา ๑๒ ไร่) เวลา ๐9.3๐ น.- พระเดชพระคุณพระพรหมโมลี แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์
– จบแล้วพระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ (เจ้าอาวาส) เข้าถวายกัณฑ์เทศน์
เวลา 10.00 น. - พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 77 รูป ขึ้นสู่อาสน์สงฆ์เพื่อสวดพระพุทธมนต์ (สวดธัมมนิยาม)
– จบแล้วเจ้าภาพเข้าทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้า เจ้าภาพเข้าถวายเครื่องไทยธรรม
– พระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ (เจ้าอาวาส) เข้าถวายจตุปัจจัย
– พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์กล่าวสัมโมทนียกถา
– พระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ (เจ้าอาวาส) เข้าถวายจตุปัจจัยไทยธรรม
– มัคนายกนำกล่าวคำถวายภัตตาหารเพล อุทิศส่วนกุศล พระสงฆ์ให้พร
เวลา ๑1.๐๐ น. - พระภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหารเพลที่มหาวิหาร ๑๐๐ ปี หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ศาลา ๑๒ ไร่)
เวลา 13.00 น.- พระภิกษุสงฆ์วัดจันทาราม (ท่าซุง) ขึ้นสู่อาสน์สงฆ์ เพื่อสวดพระอภิธรรม
– จบแล้วเจ้าภาพเข้าทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้า เจ้าภาพเข้าถวายเครื่องไทยธรรม
– มัคนายกนำอุทิศส่วนกุศล พระสงฆ์ให้พร
เวลา ๑9.๐๐ น. - พระภิกษุสงฆ์วัดจันทาราม (ท่าซุง) สวดพระอภิธรรม (รอบค่ำตามปกติ)
เวลา ๒๐.3๐ น. - เสร็จพิธี




ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

วันนี้วันพระตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขในธรรม

วันนี้ก็มาคุยกันนะโยมนะ คุยเพื่อการศึกษา ถ้าหากว่าถ้าเราปฏิบัติ ถ้าว่านั่งหลับตาๆ ไอ้หลับตามันก็แค่นั้นแหละ! หลับไปหลับมาหลับมาหลับไปก็เลยหลับส่ง เมื่อคืนนี้คุยไปคุยมาแล้วไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้คุยว่ายังไง วันนี้นอนๆ พอนอนก็สต๊าร์ทโน่น ถ้าเริ่มนอนปกติฉันก็ต้องไปหา พระมหากัสสป ก่อน พระมหากัสสป องค์ที่อยู่ที่เชียงตุงนี่นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ถํ้าที่หมอไป เขายังไม่เปิด (เขาไม่ให้ไปนะค่ะ) ไม่ใช่! เขาว่าไอ้ที่เมื่อคืนนี้ฉันพูดน่ะ ความจริงเขายังไม่เปิด ถํ้านี้ยังเข้าไม่ได้นะ
เมื่อหลังจากกึ่งพุทธกาลแล้วก็ปิดตามเดิม เข้าไปก็ไปกราบ กราบร่างท่านแล้วก็ดูว่าไอ้บ้านนี่มันมีสภาพเป็นบ้านร้างไปแล้ว ซึ่งไม่มีความหมาย ร่างกายนี่สภาพเมื่อวิญญาณหรือจิตมันออกไปแล้วก็หมดสภาพไปใช่ไหม แล้วก็ไปนั่งดู ฉันชอบที่นั่นน่ะ ดูแล้วก็มาวัดกับตัวเรา มันก็ไม่มีความหมาย ร่างกายเราก็เหมือนกับร่างกายของท่านนี่แหละ ก็มานั่งคิดว่า นี่ท่านเป็น “พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ” และก็เป็นสาวกองค์สำคัญของพระพุทธเจ้า แต่ทว่าร่างกายก็ต้องถูกทอดทิ้ง เราก็นั่งดูไอ้ร่างกายมันก็เหมือนกับบ้านเก่า เหมือนบ้านร้าง
เดี๋ยวย่องโผล่มาแล้ว บอกมาไหว้อะไร ก็บอกไหว้ธรรมะ เอาไหนเป็นธรรมะ บอกร่างกายนี่ที่มีสภาพเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธเจ้าตรัสอันนี้ถือว่าเป็นวัตถุที่เป็นธรรมะ แล้วท่านก็บอกว่าแล้วมากราบท่านทำไม บอกกราบธรรมะ บอกว่าโน่นก็ธรรมะแล้วทำไมต้องมาไหว้ธรรมะนี้อีก บอกว่าไอ้นี่แหละธรรมะแท้ นี่เป็นนามธรรม ไอ้นั่นเป็นวัตถุธรรมที่เป็นธรรมะ ให้ทราบว่าคนที่ไม่รู้สภาพจริงๆ ก็ไปติดวัตถุธาตุ ซึ่งไม่มีประโยชน์ ก็คุยกันไป ๒-๓ คำ
เดี๋ยวสมเด็จท่านก็เสด็จ ท่านขาวปลั่ง! ท่านบอกถูก บอกอย่างนี้แหละถูก แกเคยไหว้ผีมาหลายหน เดี๋ยวนี้ไหว้ธรรมะซะบ้างนะ แหม..เล่าประวัติย้อนประวัติเดิมเราเสียด้วยนะ ครึ้มๆ ท่านถามว่าวันนี้เขาจะให้คุยเริ่มต้นอีกรึ บอกเขาจะให้คุย คุยได้แต่เหมือนหรือไม่เหมือน บอกไม่รู้ฉันไม่ทราบ แต่เหมือนหรือไม่เหมือนฉันชอบใจฉันก็แล้วกัน ก็ว่ากันไป ก็นึกว่าก็เลยถวายท่านบอกว่า ขอถวายเป็นภาระของพระองค์ควรไม่ควรอะไรควรก็ขอถวายเป็นเรื่องของพระองค์ ถ้าเรื่องของฉัน ฉันก็พูดเรื่องของฉัน แล้วท่านจะว่าอย่างไรต่อไป เจี๊ยบ! ถามซิท่านว่าอย่างไรต่อไป เรื่องของท่านนี่ หลวงพ่อก็นั่งเฉยใช่ไหม (หัวเราะ) ก็เอ็งไม่ฟังหรอกนะ ฮึ! ใช่ไหม ไอ้นกน้อย นกยักษ์ นกเล็ก เอ้า! วันนี้ไอ้นกตาโตมันไปเหรอ (ค่ะ)
เออ..เบื้องต้นเมื่อคืนนี้เราพูดกันถึงอะไร ตั้งแต่ ขณิกสมาธิ ใช่ไหม นี่ฉันนึกอะไรไม่ออกเลย เมื่อตอนกลางวันที่ถามนี่ฉันนึกอะไรไม่ออกเลย เวลานี้นึกออก ท่านบอกว่าเริ่มต้นคือการปฏิบัตินี่ ให้ถืออารมณ์พอใจในปัจจุบัน คือว่าส่วนสุด ๒ อย่าง ที่พระองค์ตรัสเป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก ว่ากัณฑ์แรกก็ถือว่าเป็นเทศน์กัณฑ์สำคัญที่หักล้างอารมณ์ของพราหมณ์ และก็ความเข้าใจของพราหมณ์ก็คือ
พระองค์ให้ทรงละส่วนสุด ๒ อย่าง ได้แก่
(๑) อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติมีการทรมานเกินไป
(๒) กามสุขัลลิกานุโยค เวลาทำมีอารมณ์ย่อหย่อน คำว่าอารมณ์ย่อหย่อนในที่นี้หมายความว่า หย่อนในการทรงสติให้สมบูรณ์แบบ คือทรงอารมณ์เฉพาะที่เรียกว่า “เอกัคคตารมณ์” ก็หมายความถึงว่า มีความปรารถนาขณะที่ภาวนาอยู่พิจารณาอยู่ อยากจะเห็น อยากจะไป อยากจะละโน่น อยากจะตัดนี่ อันนี้ไม่มีผล อย่างนี้เขาเรียก “กามสุขัลลิกานุโยค”
ไอ้เวลาที่ภาวนาอยู่พิจารณาอยู่ ต้องพิจารณาในจุดที่เราต้องการ หรือภาวนาอยู่เฉพาะในอารมณ์ที่เราต้องการ และคำภาวนาที่เราต้องการ ถ้านอกจากนั้นต้องไม่เกี่ยว อย่างเราอยากเป็นพระอรหันต์นี่เราอยากได้ เวลาปกติที่เราไม่ได้ภาวนาไม่ได้พิจารณา เราอยากได้ดีเป็นของดี แต่ว่าเวลาที่เราพิจารณาเพื่อเป็นการตัดกิเลส จะตัด กามฉันทะ เขาจะต้องใช้ “อสุภกรรมฐาน” กับ “กายคตานุสสติ” นี่ไอ้จุดนี้ให้มันอยู่เฉพาะ “กายคตานุสสติ” กับ “อสุภกรรมฐาน” ไม่ใช่เอาจิตไปดึงพระนิพพานมาใช้
แต่พอมานึกว่าถ้าเราจะตัด โทสะ ตัดความโกรธ ก็ใช้ “พรหมวิหาร ๔” หรือ “กสิณ ๔” อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าใช้ “พรหมวิหาร ๔” ก็เป็นอารมณ์คิด คิดในด้านเมตตาความรักในฐานะที่คนหรือสัตว์มีสภาวะเสมอกัน และมีความต้องการอย่างเดียวกัน ไม่ต้องการให้ใครมาประทุษร้ายตนเอง ไม่ต้องการให้ใครมาลักมาขโมยแย่งทรัพย์สิน ไม่ต้องการให้ใครมาแย่งความรัก ไม่ต้องการให้ใครมาโกหกมดเท็จ ไม่ต้องการเสียสติสัมปชัญญะ นี่ถ้าเรามี “พรหมวิหาร ๔” อารมณ์อย่างนี้มันจะทรงตัว ถึงบอกเราไม่ต้องการฉันใด เขาก็ไม่ต้องการฉันนั้น
ก็ในเมื่อเราไม่ต้องการให้ใครประหัตประหารเรา เราก็ไม่ประหัตประหารเขา เราไม่ต้องการให้ใครมายื้อมาแย่งของเรา เราก็ไม่ยื้อแย่งของเขา เราไม่ต้องการให้ใครมาแย่งคนรักเรา เราก็ไม่แย่งคนรักเขา เราไม่ต้องการให้ใครโกหกเรา เราก็ไม่โกหกเขา เราไม่ต้องการบ้าเราไม่ดื่มสุราเมรัย เป็นอันว่าให้ทรงอารมณ์อยู่เฉพาะมันจะตัดโทสะได้ ถ้าความโกรธมันเกิดขึ้น ท่านบอกว่าให้คิดดูว่า ถ้าเราฆ่าเขาตายนี่ ไอ้ความแค้นหรือสิ่งที่มันเสียไปแล้วมันจะคืนตัวไหม มันก็ไม่มีการคืนตัว ไอ้การโกรธเราโกรธได้โกรธประเดี๋ยวเดียวก็ดีกัน ไอ้ความโกรธมันสร้างความดีอะไรขึ้นมาบ้าง มันมีแต่ความเร่าร้อน
เป็นอันว่าการปฏิบัตินี้ให้ตัด กามสุขัลลิกานุโยค รวมความว่า ภาวนาอยู่ว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้จิตมันอยู่แค่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ถ้าเราคิดว่าจะภาวนาว่า พุทโธ ก็ให้อยู่แค่ พุทโธ ไม่ถึง ธัมโม สังโฆ ถ้าเราคิดว่าจะภาวนาทั้ง ๓ อย่าง ก็ให้จิตมันจับให้ครบ ๓ อย่างเท่านี้ ให้จิตมันตั้งอารมณ์เป็น “เอกัคคตารมณ์” นี่เป็นความหมายของการปฏิบัติให้ได้ผลดี ก็มาเทศน์เป็นกัณฑ์แรก คือหนึ่งละ อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตน ทำแล้วใช้อารมณ์เครียดต้องนั่งเท่านั้นชั่วโมง ต้องนั่งเท่านี้ชั่วโมงอันนี้ไม่ใช้ มันเกินพอดี ต้องใช้แค่อารมณ์สบายๆ ไม่ลำบากกาย แล้วก็ไม่ลำบากใจ
ถ้ากายและใจมันมีความวุ่นวาย ควบคุมมันไม่อยู่ก็ต้องถือว่าเป็นของธรรมดานะ มันเป็นของธรรมดาที่จิตนี่คบกับ นิวรณ์ มานาน มันก็ต้องวุ่นวายเป็นของธรรมดา ก็สภาพมันเป็นอย่างนี้ เมื่อจิตมันซ่านไปบ้าง ก็มีความรู้สึกตัวขึ้นละก็มาพอตั้งต้นกันใหม่ เป็นอันว่าจับไว้เฉพาะอารมณ์ และอีกประการ
ประการที่ ๒ ถ้าหากว่าจิตมันฟุ้งซ่านมากเกินไป อันนี้เราก็เลิกเสีย ถ้าขืนทำไปแล้วก็มันจะเกิดอาการกลุ้ม ถ้าเกิดอาการกลุ้ม ไม่ช้ามันก็เป็นโรคประสาท ความวุ่นวายของจิตเกิดขึ้น
ก็เป็นอันว่าในด้าน อัตตกิลมถานุโยค เราต้องไม่ทรมานทั้งกายและไม่ทรมานทั้งใจ คือกายนี่จะทรงอยู่ตามสภาพที่เราเห็นว่ามันสบาย นั่งพับเพียบสบายก็นั่งพับเพียบ นั่งพับเพียบข้างซ้ายไม่ถนัดก็กลับนั่งข้างขวา พับเพียบไม่ถนัดก็นั่งขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิมันไปไม่ไหว ก็นั่งเก้าอี้ห้อยขา เอนกายนอนตะแคงแล้วก็นอนตะแคงซ้ายตะแคงขวา ยืนหรือเดินก็ได้ทุกอย่าง ให้จิตมันทรงอารมณ์อยู่ นี่เป็นเรื่องเบื้องต้นนะ
สำหรับเรื่องของเทศน์กัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้านี่ต้องจำตลอดชีวิต และต้องจำจนกว่าจะถึงอรหัตผล เมื่อถึงพระอรหันต์แล้วก็ยังต้องจำต่อไป หรือไง เป็นพระอรหันต์แล้วก็ทำลายความดีของพระพุทธเจ้า ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนทำลาย เป็นอันว่าถึงแม้ว่าถึงพระอรหันต์แล้วก็สามารถทรงสมาธิ นั่งทำจิตได้นานเท่าไรก็ได้ แต่พระอรหันต์ยังต้องอาศัยร่างกาย อย่างนั้นก็ต้องดูว่าร่างกายมันเมื่อยไหม มันปวดไหม มันฝืนเกินไปไหม ถ้าฝืนก็ต้องเลิก ถือว่าเป็น อัตตกิลมถานุโยค ไม่ใช่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ปวดไม่เมื่อย นี่คือเบื้องต้นนะ
เป็นอันว่าเทศน์กัณฑ์นี้ของพระพุทธเจ้าเราต้องจำตลอดชีวิต คำว่าจำก็หมายถึง
(๑) เราจะไม่ปฏิบัติประเภททรมานร่างกายหรือทรมานใจ
(๒) เราไม่ปฏิบัติประเภทอยาก อารมณ์อยากถึงแม้จะอยากไปสวรรค์หรือนิพพาน อารมณ์ปกติเราอยากได้ ตั้งใจได้ แต่ถ้าหากว่าถ้าขณะที่เราภาวนาอยู่หรือพิจารณาอยู่นี่ เราจะทรงอารมณ์เฉพาะ ตัดอารมณ์ความอยากนั่นเสียให้จิตมันอยู่เฉพาะภาวนา
ทีนี้เมื่อคืนนี้เราจะพูดกันถึงเบื้องต้นว่า หนึ่งทำยังไงจิตมันถึงจะดี เมื่อคืนก็มีคนเขามาอ้างเหตุผลว่า ทำไมเขาจึงสว่าง เขาไม่สว่าง เขาไม่สามารถจะเห็น ลูกศิษย์เห็นได้ อาจารย์ไม่เห็น จะฝึกกันได้ไหม ทีนี้แกก็มีการดิ้นรนต้องการเห็น เมื่อมีการดิ้นรนต้องการเห็น ก็เลยยิ่งไม่เห็นใหญ่นี่ ทำไปเพื่ออยากจะเห็น ทำไปเพื่ออยากสว่าง ถ้าเป็น นิวรณ์ เขาเรียก “อุทธัจจะ” ถ้าเป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก ก็คือว่า “กามฉันทะ” เขาถือว่า กามสุขัลลิกานุโยค คือมีอารมณ์ซ่าน
นี่ถ้าหากจะทำจิตให้สบายจริงๆ มันต้องไม่คำนึงว่าสว่างหรือไม่สว่าง สว่างจริงๆ มันคือจิตว่างจากกิเลส จิตว่างจากนิวรณ์ และไอ้ตัวที่จิตว่างจากกิเลสหรือตัวที่จิตว่างจากนิวรณ์นี่มันก็มีอารมณ์ อารมณ์หนึ่งซึ่งเป็นของง่ายๆ ว่าในขณะนั้นถ้าใจเรากำลังทำอะไรอยู่ ภาวนาอยู่จิตทรงอารมณ์ได้แค่ไหนเราพอใจแค่นั้น ไม่ใช่ว่ามีคนเขาคุยว่า แหม..เขาได้ ฌาน ๔ ฌาน ๕ ได้ อภิญญาสมาบัติ ได้ ปฏิสัมภิทาญาณ เวลาที่เรานั่งทำสมาธิหรือวิปัสสนาญาณอยู่ จะนั่งอยากตามเขา คนอื่นเขาสว่างไสวดีเขาแจ่มใสดี เราไม่สว่างเท่าเขาก็อยากจะให้สว่างเท่าเขา ภาวนาไปพิจารณาไปก็อยากจะให้สว่างเท่าเขา มันยิ่งมืด มันไม่มีทางที่จะสว่าง เพราะว่าจิตมันฟุ้งซ่าน
เพราะฉะนั้นถ้าอารมณ์จิต ไอ้จิตนี่ เมื่อคืนนี้นึกไม่ออก ก็นึกได้แล้ว ท่านบอกว่าจิตมันเหมือนแมวใช่ไหม นี่ไม่ใช่ฉันล่ะนะ นั่งแคะมาทีละอย่างๆ นี่เป็นอันว่าจิตมีสภาพเหมือนแมว แมวถ้าเราผลักไปข้างหน้ามันพยายามจะถอยหลัง หือ..หมอ ใช่ไหม ถ้าดึงมาข้างหลังมันจะไปข้างหน้า เป็นอันว่าจิตมีสภาพเหมือนแมว ทีนี้ถ้าหากว่าเวลาเราเจริญสมาธินี่หวังเอาดีเกินไป มันไม่มีทางจะดี หวังเอาดีก็หมายถึงจิตฟุ้งซ่าน เป็น “กามสุขัลลิกานุโยค” จิตไม่ทรงตัว ถ้าว่าโดย นิวรณ์ ก็ถือว่า อุทธัจจกุกกุจจะ ถ้าว่าโดยกิเลสก็เป็นทั้ง ตัณหา แล้วก็ทั้ง มานะ เราปฏิบัติเพื่อพ้นกิเลส
นี่ถ้าจะทรงอารมณ์ให้ดีแล้วก็เดินให้มันเร็ว คำว่ามันเร็วน่ะ คือเร็วตามสภาพของมัน ไม่ใช่เร็วตามใจเรา ถ้าเร็วตามใจเราก็ยิ่งช้า คือว่าเร็วไปตามสภาพของมัน เขาเร็วแบบนี้ ตามที่ท่านตรัสเมื่อคืนนี้ ท่านว่าถ้าจิตเราอยู่ในขั้น ขณิกสมาธิ เวลานี้เราภาวนาอยู่ เอามือลงก็ได้ มันเป็นชั่วโมง ประเดี๋ยวก็เลยไปไหนกันไม่รอด เวลานี้จิตน่ะมันอยู่อันดับไหน ให้สร้างความพอใจอันดับนั้น เมื่อจิตมันอยู่ขั้น ขณิกสมาธิ เราก็พอใจ ขณิกสมาธิ หมายถึงว่า นี่คนฝึกเบื้องต้นนะ ถ้าอย่างพวกเรานี้ไม่มีล่ะ ต้องตัดอารมณ์แรกพระนิพพานไว้ก่อน อารมณ์แรกตัดจับพระนิพพานไว้ก่อน ในเมื่ออารมณ์ตัดจับพระนิพพานไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราภาวนาหรือพิจารณา จิตมันอยู่ระดับไหนก็ช่างรักษาอารมณ์ตามสบาย
สมมติว่าจิตมันอยู่ข้าง ขณิกสมาธิ เพราะอารมณ์แรกก่อนที่เราจะภาวนานี่ เราก็ต้องพิจารณาก่อน หรือตั้งอารมณ์ไว้ก่อนว่า ชีวิตของเราถ้าตายวาระนี้ จะถือว่าเป็นการตายครั้งสุดท้ายของชีวิต ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ต้องการอะไรอีก มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่มีสำหรับเรา เราต้องการจุดเดียวคือ…”พระนิพพาน”
แล้วเราก็หันไปมองไอ้ตัวเรากับตัวชาวบ้าน ชาวบ้านที่เขาแก่กว่าเรา เขามีสภาพเป็นยังไง แล้วก็ชาวบ้านที่เขาตายไปแล้ว เขามีสภาพเป็นอย่างไร ควรจะมองคนที่ตายไปแล้ว ไอ้คนที่ตายไปแล้ว ก่อนจะตายไอ้โน่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู เวลาเขาตายจริงๆ น่ะ เขาแบกอะไรไปได้บ้าง ก็เหมือนกับไปดูร่างกายของ พระมหากัสสป เมื่อคืนนี้ ก็นั่งมองดูไอ้ตู้เก่าๆ เหมือนกับตู้เก่าๆ ที่เขาเก็บเพชร หรือเก็บอุจจาระก็ไม่รู้ ถ้าจิตหมดจากกิเลสมันก็เป็นเพชรนะ ถ้าจิตมีกิเลสมันก็เป็นอุจจาระใช่ไหมล่ะ ไอ้ตู้เก่าๆ เวลานี้มันเป็นตู้เปล่า ถ้าเทียบกับบ้านก็เหมือนบ้านร้าง เพราะปราศจากวิญญาณ ทีนี้คนที่ตายแล้วทุกคนก็มีสภาพเหมือนกับร่างกายของ พระมหากัสสป
เวลาอยู่ก็โน่นก็ลูกของกู พ่อของกู แม่ของกู ผัวของกู เมียของกู หลานของกู ทรัพย์ของกู แล้วเวลาตายแล้วแบกอะไรไปบ้าง หมดไม่มีอะไรไปเลย แล้วก็มานั่งนึกว่าไอ้นี่สภาพของคนจริงๆ ร่างกายจริงๆ มันไม่ใช่ของเรา และมันก็เป็นเรือนร่างที่แสนจะสกปรก เป็นเรือนร่างที่ซ่อมแซมยาก แล้วก็เป็นเรือนร่างที่มีแต่ความทรุดโทรมตลอดวัน แล้วก็เป็นเรือนร่างที่มีการพัง มีความพังไปในที่สุด มันไม่มีอะไรเป็นสาระเป็นแก่นสาร ถ้าเรายังจะติดร่างกายนี้อยู่อีก เราก็ต้องเกิดมามีความทุกข์อย่างนี้ แล้วก็ต้องมาทุรนทุรายอย่างนี้ เวียนว่ายตายเกิด หาที่สุดไม่ได้
ฉะนั้น การไปนิพพานของเราคือเราตั้งใจไปพระนิพพาน เพราะเราไม่ต้องการร่างกายอันนี้อีก อันนี้จะทิ้งไม่ได้นะ ตัวนี้ตัวตัด สักกายทิฏฐิ ตัวเดียว ตัวนี้เป็นพระโสดาบันก็ตัวนี้ เป็นพระสกิทาคามีก็ตัวนี้ พระอนาคามีก็ตัวนี้ เป็นพระอรหันต์ก็ตัวนี้ ตัดจุดเดียวนี่ เขาตัดแค่จุดนี้ก่อนที่เราจะคิดว่าเราจะไปพระนิพพาน

โพสต์โดย achaya



ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

จากกรรมฐาน ๔๐ หน้า ๑๕๗



ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

วันอาทิตย์ที่๑เม.ย.๖๑
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารได้เดินทางมาร่วมงานพิธีบำเพ็ญกุศลครบ๕๐วัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล ณ มหาวิหาร๑๐๐ปีพระราชพรหมยานโดยมีท่านพระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ (เจ้าอาวาส)พร้อมด้วยพระเถระที่มาในงาน ให้การต้อนรับ



ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

จากกรรมฐาน ๔๐ หน้า ๑๘๗



ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

กำหนดการเดินทาง / งานวัดท่าซุง ประจำเดือน “เมษายน” ปี 2561

บรรพชาสามเณร บวชชีกรรมบถ ๑๐
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน
เวลา ๑๔.๓๐ น. บรรพชาสามเณร นักเรียนชาย ร.ร.พระสุธรรมยานเถระวิทยา และ นักเรียนหญิง บวชชีกรรมบถ ๑๐ ถวายกุศลแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ

ทำบุญวันสงกรานต์
วันพุธที่ ๑๓ เมษายน – วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน
เวลา ๐๗.๓๐ น. ทำบุญใส่บาตร และถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ ที่ศาลา ๑๒ ไร่
เวลาเย็นร่วมก่อพระเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชา ที่ ลาน ๒๕ ไร่
เวลา ๑๙.๐๐ น.สวดอภิธรรมที่ศาลา ๑๒ ไร่

พิธีสะเดาะเคราะห์
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน
เวลา ๑๐.๐๐ น. ทำพิธีสะเดาะเคราะห์รอบที่ ๑ ที่ ศาลา ๑๒ ไร่
เวลา ๑๔.๐๐ น. ทำพิธีสะเดาะเคราะห์รอบที่ ๒ เป็นรอบสุดท้าย
เวลา ๑๕.๐๐ น. สรงน้ำพระภิกษุและสามเณร ที่ศาลา ๑๒ ไร่



วัดจันทาราม (ท่าซุง) – รายงานข่าว..กำหนดการเดินทาง / งานวัดท่าซุง ประจำเดือน “เมษายน” ปี 2561

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

วันพุธที่ ๔ เม.ย ๒๕๖๑ สวดพระอภิธรรมถวายกุศลฯ พระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ) (๑)
พระสงฆ์วัดท่าซุง ๔ รูป สวดอธิธรรมถวายกุศลแด่ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล (อนันต์ พทฺธญาโณ) ด้านหน้าพระประธานมหาวิหาร ๑๐๐ ปี หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

กำหนดการงานวันสงกรานต์ และวันสะเดาะเคราะห์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๑๓-๑๕ เม.ย.๖๑ ณ ศาลาพระพินิจอักษรและมหาวิหาร ๑๐๐ปีพระราชพรหมยาน ตามกำหนดการนี้

ส่วนงานบำเพ็ญกุศลครบ๑๐๐วัน แห่งการมรณภาพ ของท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล จะจัดขึ้นในวันที่ ๒๐-๒๑ พ.ค. ๖๑ ซึ่งได้เปิดรับจองการเป็นเจ้าภาพไทยธรรมในแต่ละรอบ ตามกำหนดการของวันดังกล่าวแล้ว





ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๑ สวดอภิธรรมถวายกุศลแด่พระราชภาวนาโกศล ณ มหาวิหาร๑๐๐ปีพระราชพรหมยาน รอบค่ำ
พระสงฆ์วัดท่าซุง ๔ รูป ขึ้นสวดอภิธรรมถวายแด่ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล ที่อาสน์สงฆ์หน้าพระประธาน จากนั้นทายกนำเจ้าภาพอาราธนาศีลและอาราธนาธรรม หลังจากพระสงฆ์สวดจบแล้ว เจ้าภาพเข้าทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้า จากนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลถวายแด่ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล พระสงฆ์ให้พร เป็นเสร็จพิธี
ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

วันจันทร์ที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๑๕๖๑ สวดอภิธรรมถวายกุศลแด่พระราชภาวนาโกศล ณ มหาวิหาร๑๐๐ปีพระราชพรหมยาน รอบเวลา…
พระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งวัด ขึ้นสวดอภิธรรมถวายแด่ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล ที่อาสน์สงฆ์หน้าพระประธาน จากนั้นทายกนำเจ้าภาพอาราธนาศีลและอาราธนาธรรม หลังจากพระสงฆ์สวดจบแล้ว เจ้าภาพเข้าทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้า จากนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลถวายแด่ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล พระสงฆ์ให้พร เป็นเสร็จพิธี
ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

 

วันอังคารที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๑๕๖๑ สวดอภิธรรมถวายกุศลแด่พระราชภาวนาโกศล ณ มหาวิหาร๑๐๐ปีพระราชพรหมยาน รอบเวลา…
พระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งวัด ขึ้นสวดอภิธรรมถวายแด่ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล ที่อาสน์สงฆ์หน้าพระประธาน จากนั้นทายกนำเจ้าภาพอาราธนาศีลและอาราธนาธรรม หลังจากพระสงฆ์สวดจบแล้ว เจ้าภาพเข้าทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้า จากนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลถวายแด่ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล พระสงฆ์ให้พร เป็นเสร็จพิธี
ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร