ข่าวสาร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี โดยเพจมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, 19 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พระบัญญัติ อตุโล มอบเงินช่วยเหลือให้กับ
    กองร้อยตำรวจตะเวนชายแดนที่443
    กองกำกับการตำรวจตะเวนชายแดนที่44
    ค่ายพระยาลิไท
    เลขที่80 ถนนสุขยางค์ ตำบลสะเต็ง
    อำเภอเมือง จังหวัดยะลา

    ดำเนินงานโดยสาขาป่าละอู สาขาของวัดท่าซุง
    ต่อเนื่องจากที่พระบัญญัติและคณะได้ลงไปยังพื้นที่
    ซึ่งในการเริ่มต้นที่ทางสาขาป่าละอูให้การสนับสนุน
    ด้านสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นนั้น

    เริ่มจากการที่มีตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่
    3 จังหวัดภาคใต้ ที่เคารพนับถือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้มาเล่าถึงปัญหาและอุปสรรคในการทำงานแก่พระบัญญัติ

    และได้ร่วมเดินทางเข้าพบท่านเจ้าคุณที่บ้านสายลม
    เพื่อรายงานถึงการช่วยเหลือและสนับสนุนในเรื่องสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆและนำไปช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาชนในพื้นที่ ที่อยู่ด้วยความยากลำบาก
    (Admin Chai)

    -อตุโล-มอบเงิน.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ผสมโรงด่าพระไปอเวจี

    เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัย พระพุทธกัสสป เมื่อปลายสมัยของท่าน คือ ท่านนิพพานไปแล้วเหมือนสมัยนี้ มีนักบวชที่อวดเลวท่านหนึ่งชื่อ กปิลภิกขุ ท่านมีพี่ชายหนึ่งคน น้องสาวอีกหนึ่งคน มีแม่หนึ่งคน ท่านไม่กล่าวถึงพ่อ เข้าใจว่าพ่อคงตายไปแล้ว ต่อมาพี่น้องทั้งสองคนที่เป็นชายก็เข้าบวชในพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วอยู่มาเวลาพอสมควรต่างก็เข้าไปหาท่านอุปัชฌาย์ ถามว่า ธุระในพระพุทธศาสนามีเท่าไร ท่านอุปัชฌาย์ก็บอกว่า ธุระในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ มีการศึกษาตามตำรา และทำงานในวัด
    วิปัสสนาธุระ ได้แก่ การเจริญพระกรรมฐาน
    พระพี่ชายบอกว่า ผมแก่แล้วขอเจริญวิปัสสนาธุระเพียงอย่างเดียว น้องชายคือ กปิละ ก็บอกว่า ผมยังหนุ่มขอเอาคันถธุระก่อน ท่านพี่ชายเมื่อศึกษาวิปัสสนาธุระแล้วก็เข้าป่า ไม่ช้าก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
    ความจริงวิปัสสนาธุระนี้ อยู่ที่ความเข้าใจอย่างเดียว ถ้าเข้าใจแล้วก็ไม่มีอะไรยาก เข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ไม่นานเลย อย่างพระพี่ชายของท่านกปิละนี้เป็นตัวอย่าง
    ส่วนท่านกปิละ เรียนพระไตรปิฎกจบ และต่อมาเป็นครูสอนพระไตรปิฎก มีผู้เข้าศึกษารุ่นละนับร้อย เมื่อมีสานุศิษย์มาก ลาภสักการะก็เกิดมาก ความทะนงตนก็เกิดขึ้น นานเข้าก็ชักคิดว่าตนเด่น เดิมสอนตามตำรา ก็ต้องถือว่าถูกต้อง การสอนแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เพราะสอนตามและเป็นการสรรเสริญรวมอยู่ด้วย เมื่อมีศิษย์มาก ลาภสักการะมากเข้าก็ชักแปรธาตุ คือ อารมณ์วิปริต คิดนอกลู่นอกทาง สอนแยกออกจากตำราตามอารมณ์ของตน คัดค้านคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า เช่น ตายแล้วสูญ นรกสวรรค์ไม่มี เป็นต้น บรรดาพระอรหันต์ท่านทราบเข้าก็พากันเตือนขอให้สอนให้ตรงตามแบบแผนของพระพุทธเจ้า ท่านกปิละเลยด่าตะเพิดพระอรหันต์เอาเสียอีก
    ความจริงคนเรานี่ก็แปลก พระอรหันต์มีอยู่ก็น่าจะศึกษากับพระอรหันต์ท่าน ดันไปเรียนกับคนที่ไม่ได้อะไรเลย เรื่องของเรื่องก็ต้องเดือดร้อนพญายม
    ต่อมาแม่กับน้องสาวทราบเข้า ก็ช่วยกันด่าพระอรหันต์ร่วมกันท่านกปิละ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นท่าไม่ได้การ พระกปิละจะทำให้พระพุทธศาสนาสลายตัว จึงไปตามพระอรหันต์ผู้เป็นพี่ชายมาเตือน ท่านพี่ชายก็โดนด่าตะเพิดไปอีก
    ขอย่อความ
    เมื่อท่านทั้งหมดต่างคนต่างตายไปแล้ว พี่ชายที่เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน ท่านกปิละกับแม่และน้องสาวไปอเวจีมหานรก ต่างคนต่างถึงที่สุดด้วยกัน คือ ท่านพี่ชายไปสูงสุด ท่านกปิละกับแม่และน้องสาวไปลึกที่สุด
    ต่อมาสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เวลานั้นทรงประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ ลูกชาวประมงหลายคนเอาแหของพ่อออกทอดปลาเล่น พอทอดไปโครมเดียว ได้ปลาเกล็ดสีเป็นทองสวยมากตัวหนึ่ง ตัวใหญ่เสียด้วย จึงเอามาให้พ่อแม่ พ่อแม่ก็ดีใจมากที่ลูกชายออกโรงหาปลาก็ได้ปลาประหลาดเกล็ดเป็นสีทองสวยงามเป็นพิเศษ ต่างก็ดีใจ คิดว่าต่อไปลูกคงเฮงเพราะการหาปลาแต่พากันคิดว่า ปลาตัวนี้ถ้าเราขายก็คงไม่ได้ราคาเท่าไรนัก เอาไปถวายพระราชาดีกว่า ท่านคงจะให้รางวัลมากกว่าที่เราจะขายให้ชาวบ้าน จึงเอาใส่เรือไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระองค์รับแล้ว ให้รางวัลมากตามที่พวกเขาคิด และพระองค์ก็สงสัยว่าทำไมปลาตัวนี้จึงสวยมาก จึงให้นำเรือที่ใส่ปลาไปที่วหารที่ประทับของพระพุทธเจ้า แล้วถามประวัติความเป็นมาของปลา พระพุทธเจ้าทรงเล่าประวัติตามที่กล่าวมาแล้วและตรัสว่า ปากเธอเมื่ออ้าขึ้นจะเหม็นกลิ่นอุจจาระอย่างแรง ทั้งนี้เป็นเพราะกรรมอย่างนี้ คือ
    เกล็ดเป็นสีทอง เพราะบวชในระยะต้นเคารพพระพุทธเจ้าและสรรเสริญพระพุทธเจ้า ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เกล็ดจึงสวยเป็นสีทอง
    ปากเหม็นและลงอเวจี เพราะด่าพระอรหันต์ และคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงพาน้องสาวพร้อมด้วยแม่และบริวารที่เห็นดีเห็นชอบด้วยลงอเวจีเป็นแถว
    ต่อมาพระพุทธเจ้าก็ถามปลาว่า “เธอชื่ออะไร?”
    เธอก็ตอบว่า “ผมชื่อกปิละขอรับ”
    ท่านถามว่า “เธอมาจากไหน?”
    ปลาก็ตอบว่า “ผมมาจากอเวจีขอรับ”
    ท่านถามว่า “แม่และน้องสาวของเธออยู่ที่ไหน?”
    ปลาก็ตอบว่า “ไปอยู่อเวจีขอรับ”
    ท่านถามว่า “พี่ชายของเจ้าไปอยู่ที่ไหน?”
    ปลาก็ตอบว่า “ไปอยู่ที่นิพพานขอรับ”
    ท่านถามว่า “แล้วเธอจะไปไหน?”
    ปลาก็ตอบว่า “ผมจะกลับไปอเวจีขอรับ”
    เมื่อตอบจบ เธอก็เอาศีรษะ (หัว) ฟาดเรือถึงแก่ความตาย แล้วกลับไปอเวจีใหม่
    ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง ก็เพื่อเป็นการประดับความรู้ เผื่อว่าท่านมีลูกมีหลานต้องการจะให้บวชเป็นพระ ขอให้ท่านเลือกเอาตามความชอบใจของท่าน ท่านจะให้ลูกท่านไปสู่ สุคติ หรือ ทุคติ ก็ตามใจท่าน ให้ท่านเลือกสถานที่อบรมศึกษาเอาตามความพอใจ สุดแล้วแต่ท่านจะเลือก ถ้าลูกหลานของท่านปฏิบัติวิปัสสนาธุระไม่ไหว ก็ให้ปฏิบัติทางฝ่ายคันถธุระที่ถูกต้อง อย่างเลวก็ไปสวรรค์และพรหมได้ ดีกว่าไปอเวจี เรื่องนี้ขอจบส่วนที่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้
    “จะทำสิ่งอันใด ก็พึงพูดถึงสิ่งนั้น สิ่งอันใดไม่ทำ ก็อย่าไปพูดถึง บัณฑิตทั้งหลายชี้ให้เห็นว่า คนไม่ทำก็ดีแต่พูด”
    จากหนังสือ “หนีนรก (ฉบับพิเศษ)” หน้า ๖๕ – ๖๘
    ภาพโดย คุณสุพัฒน์
    โพสต์โดย achaya

    .jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    หัวใจของการเจริญพระกรรมฐาน
    “…ดูก่อนท่านทั้งหลาย ส่วนสุดสองอย่าง เราปรารถนามรรคผลจงอย่าเข้าไปแตะต้อง คือ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนด้วยความลำบาก มีการเคร่งเครียด มีการทรมานกาย นี่ก็เห็นว่าเวลานี่เราก็นิยมกันมากสำหรับนักปฏิบัติที่ชอบผิดสาย คือชอบนั่งกันนานๆ ทรมานเป็นชั่วโมงๆ ถือว่าเป็นการดี อันนี้ผิด เป็นอันว่าการทรมานกายนี้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาถือว่าผิด ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล มันเครียดเกินไป
    ส่วนสุดเบื้องต่ำอีกอย่างหนึ่งคือ กามสุขัลลิกานุโยค เวลาที่เรานั่งภาวนาไปก็นึกอยากจะถึงนั่น อยากจะถึงนี่ อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะเป็นอย่างนี้ ไอ้ตัวอยากนี่มันเป็นตัณหา คือเป็นกิเลส แล้วทำไมเราจึงไปอยากกัน
    นี่อาการสองอย่างนี้ องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงให้ละเสียอย่าเข้าไปแตะต้อง ส่วนที่สมควรเป็นการบรรลุมรรคผลได้จริงๆ ก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา การปฏิบัติตนพอดีพอควร นั่งมันเมื่อยก็นอน นอนไม่สบายก็ยืน ยืนไม่ถนัดก็เดิน ใช้ได้ในอิริยาบถทั้งสี่ เอาแต่พอดีพอควร ไม่เกินพอดีเกินไป แล้วทำจิตใจให้ตรงเฉพาะต่ออารมณ์ที่เราต้องการ นี่อย่างนี้เขาเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ที่นักปฏิบัติจะต้องพยายามปฏิบัติให้ตรงสายจริง นี่เป็นกฏใหญ่
    ต่อไปเราก็หันเข้าไปดูในอุทุมพริกสูตร หรือพรที่พระเทวทัตขอต่อพระพุทธเจ้า มีส่วนที่เป็นอุปกิเลสหลายอย่างด้วยกัน ที่นักปฏิบัติในสมัยปัจจุบันมีความต้องการ แล้วมันก็จะไปได้อะไร ยังมีความเห็นว่าการกินข้าวหนเดียว การไม่กินเนื้อสัตว์เลยเป็นการบรรลุมรรคผล เราก็ดูองค์สมเด็จพระทศพลสมัยนั้น พระเทวทัตขอพรต่อพระพุทธเจ้าว่า พระที่อยู่ป่าจงอยู่ป่าอย่าเข้าบ้าน พระที่อยู่ในบ้านจงอย่าออกป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระทั้งหลายจงอย่าฉันเนื้อสัตว์ เพราะเป็นการสนับสนุนชาวบ้านให้ทำบาป เมื่อชาวบ้านอยากจะทำบุญก็เอาเนื้อสัตว์มาถวาย อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตตกิลมถานุโยค เพราะว่าถ้าชาวบ้านเขากินเนื้อสัตว์พระไม่กินเนื้อสัตว์ ชาวบ้านก็เกิดความลำบาก จะต้องทำอาหารเป็นสองประการ แล้วอีกประการหนึ่งพระองก็จะมีความลำบาก ลำบากด้วยอาหารเพราะชาวบ้านเขาไม่มีจะให้
    การบริโภคอาหารนี่ องค์สมเด็จพระจอมไตรมีระเบียบอยู่แล้ว จะเป็นอาหารประเภทไหนก็ตาม ถ้าเว้นไว้จากที่พระวินัยบังคับและอาหารที่เป็นโทษกับร่างกาย ก่อนที่จะฉันอาหารองค์สมเด็จพระจอมไตรให้พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา พิจารณาว่าอาหารนี่มันมีพื้นฐานมาจากความสกปรก พืชพันธุ์ธัญญาหารก็สกปรก เนื้อสัตว์ก็สกปรก ที่เรากินของสกปรกเข้าไป ร่างกายของเราก็สกปรก มันจะเอาอะไรมาสะอาด ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของสัตว์ก็ดี มีสภาพน่าเกลียด แต่ว่าเรากินไปเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น เราจะไม่เมาชีวิต เราจะไม่เมาในร่างกาย เราจะไม่ติดในรสอาหาร ระเบียบนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารมีอยู่แล้ว
    สำหรับในอุทุมพริกสูตร องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสถึงอุปกิเลสหลายประการรวมแล้ว ๔๐ ประการด้วยกันว่า ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า เจ้าจงอย่าคิดว่าบุคคลอื่นเขาโลภในอาหาร อย่าทะนงตนว่าเป็นบุคคลดี เป็นคนกินน้อยบริโภคน้อย บุคคลนั้นกินมากบริโภคมาก บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่เลือกอาหารอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นอันว่าการปฏิบัติภายนอกนี่ องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาไม่ทรงสรรเสริญ เพราะไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล ทางที่จะบรรลุมรรคผลมันมีอยู่เฉพาะที่ใจเท่านั้น ทำตัวให้สบาย เราไปทางไหนเข้ากับสังคมนั้นเขาได้ ถ้าหากว่าเราปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งไม่เหมือนกับสังคมนั้น ก็จะเกิดการทะนงตัว เป็นกิเลสไปว่า สมาคมนั้นสู้เราไม่ได้ สมาคมนี้สู้เราไม่ได้ สมาคมนั้นดีกว่าเรา สมาคมนี้เลวกว่าเรา กลายเป็นมานะถือตัวถือตนไป นี่เป็นอารมณ์ของอุปกิเลสใช้ไม่ได้
    ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์เป็นจำนวนมากที่บรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลไม่เคยสั่งให้ระงับนั่นระงับนี่ นอกจากอาการปกติ การฉันภัตตาหารให้เป็นไปตามระเบียบที่ชาวบ้านเขานำมาถวายเท่าที่มันมี เขามีมาแค่นี้เราไม่เลือกอย่างโน้น ถือว่ายังอัตภาพให้เป็นไป เขาให้มากก็กินมาก ให้น้อยก็กินน้อย เขาให้มากกินมากเกินไปก็ไม่ได้ การบริโภคอาหารให้เป็นไปตามโภชเน มัตตัญญุตา การรู้จักประมาณกินอาหาร กินไม่มากไม่น้อยเกินไปเอาตามสมควร ไม่นั่งเพ่งโทษบุคคลอื่น นี่เป็นอารมณ์อันหนึ่ง
    อีกอันหนึ่งต้องทำใจของเราให้หยุดอยู่ในจุดสงบ หมายความว่า เราเพ่งเล็งจิตของเราแต่ผู้เดียว ตามพระบาลีว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองไว้เสมอว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่ายังไงให้เราปฏิบัติ ห้ามไว้แบบไหน ไม่ให้เราทำ นี่อันนี้ต้องปฏิบัติให้เคร่งครัด ไม่ใช่จะไปนึกเอาตามอารมณ์ที่ชาวบ้านเขาทำกัน เห็นชาวบ้านเขาทำ ชาวบ้านไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าคนนั้นเขาดีจริงๆเขาก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าที่เขาสร้างแบบแผนขึ้นมาหักล้างคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เราเป็นพุทธสาวกปฏิบัติตามไม่ได้ ถ้าขืนปฏิบัติตามเราก็ไม่มีมรรคผลใดๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว
    สำหรับอารมณ์ทางใจ อารมณ์ทางใจก็มีอยู่ว่า อันดับแรก องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้พิจารณาแต่จิตของตัวเท่านั้น จริยาของบุคคลอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง ที่ว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองเตือนไว้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเราไว้แบบไหน เราทำตามนั้น พระพุทธเจ้าห้ามแบบไหน เราเว้นตามนั้น นี่เป็นประการหนึ่งที่เราจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด
    วิธีปฏิบัติที่ให้จิตเข้าถึงฌานหรือวิปัสสนาญาณขั้นดี จงจำไว้ว่า สมถะ แปลว่า อุบายเป็นเครื่องสงบใจ สมถภาวนาไม่ใช่อุบายเป็นเครื่องเห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นภาพต่างๆ ไม่ใช่อย่างงั้น จำคำแปลให้ดี สมถะแปลว่า อุบายเป็นเครื่องสงบใจ ทำใจให้สงบจากอารมณ์ภายนอก ยืดถืออารมณ์ฝ่ายเดียวที่เราตั้งใจไว้
    อันดับแรกองค์สมเด็จพระจอมไตรให้ระงับความคิดที่จะไปนั่งเพ่งเล็งชาวบ้านเขาคนนั้นดีคนนี้เลว ใจเราเฉพาะเท่านั้นว่าใจของเรามันดีหรือว่าใจของเรามันเลว ใช้สติสัมปชัญญะควบคุม ประการที่ ๒ ให้มีศีลบริสุทธิ์ ประการที่ 3 ระงับนิวรณ์ห้าประการได้ทุกขณะ นิวรณ์ห้า คือ ระงับจากความปรารถนาในกามารมณ์ รูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย กลิ่นหอม สัมผัสที่เราต้องการ อารมณ์เกลือกกลั้วไปด้วยกามารมณ์ อันนี้ต้องระงับได้ทันทีทันใดแล้วก็เสมอ ระงับจากความโกรธความพยาบาท ระงับจากความง่วงเหงาหาวนอน อย่างนี้วันนี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เข้ามา เราต้องไม่สนใจในเสียง อุทธัจจะ กุกกุจจะ จิตไม่ฟุ้งซ่านไปตามเสียง แล้วก็ไม่รำคาญตามเสียง จับองค์ภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยให้ทรงอยู่ ไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงพรหมวิหารสี่ คือ มีเมตตาปกติ คิดว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหมดทั่วโลก ทำใจให้สบาย กรุณา เรามีความสงสาร จะสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะทำได้ มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี อุเบกขา วางเฉยไว้ อย่างเสียงเขาเปิดขยายเสียงกันวันนี้ นั่นเขาถูกคอกัน เขาก็ต้องใช้เสียงประเล้าประโลมเป็นเรื่องของเขา งานการทำสมาธิจิตเป็นเรื่องของเรา
    นี่ หลักใหญ่ในการเจริญพระกรรมฐาน มีเท่านี้ ถ้าหากว่าเราทรงอารมณ์ได้ตามนี้แล้ว ไม่ฝ่าฝืนคำตักเตือนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วแล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนประเดี๋ยวมันก็ได้ฌานสมาบัติ
    เอ้า วันนี้เราลองสอบใจกัน วันนี้แหละดีมาก เพราะว่าเสียงขยายเสียงเข้ามารบกวนยิ่งดี ไม่ใช่ของไม่ดี อันดับแรกเราก็พยายามจับลมหายใจเข้าออก เพราะลมหายใจเข้าออกนี่ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หรือนับก็ได้ หายใจเข้าหายใจออกนับเป็น ๑ ลองนับดูซิมันจะได้สักเท่าไร นับมันแค่ ๑๐ คู่ พอถึง ๑๐ คู่ แล้วเราก็ขึ้นต้นใหม่ ดูซิชั่วเวลา ๓๐ นาทีนี่เราจะแพ้เสียงหรือว่าเราจะชนะเสียง
    ถ้าหูเรายังได้ยินเสียงถนัด รู้เขาร้องเพลงทุกอย่าง แต่ว่าใจไม่รำคาญ อันนี้ชื่อว่า จิตของเราเป็นปฐมฌาน ถ้าหากว่าเสียงเราได้ยินเบาลง อารมณ์แช่มชื่น ขาดคำภาวนาขาดไป อันนี้ชื่อว่าเป็นฌานที่ ๒ ถ้าลมหายใจเข้าออกรู้สึกว่าแผ่วเบาลงมาก อาการตึงเป๋ง ร่างกายเหมือนเครียด หูได้ยินเสียงแว่วๆ น้อยๆ จิตทรงสมาธิได้ดี อันนี้เป็นฌานที่ ๓ ขณะใดถ้าภาวนาไป พิจารณาไป บังเอิญหูไม่ได้ยินเสียงเลย คิดว่าเขาเลิกไปแล้ว ใจสบาย โปร่ง อันนี้เป็นฌานที่ ๔
    นี่เป็นเครื่องวัดสำหรับวันนี้ว่าการเจริญ เราเจริญพระกรรมฐานกันมาตั้งนานแล้ว นี่มีผลเป็นประการใด
    เอาละ ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา ลองซ้อมใจดูนะว่า สมาธิเราฝึกกันมามีผลหรือไม่มีผล วันนี้มันดีมากเป็นการซ้อมไปในตัวเสร็จ”

    ข้อมูล หนังสือกรรมฐาน ๔๐, เรื่องที่ ๘, หน้า ๔๗ – ๕๑
    สถานที่ พระมหาธาตุเจดีย์โลกะวิทู อ.แม่ตื่น อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
    รูป หัวหน้าป่าไม้ จรัล สิทธิ
    โพสต์โดย Admin เด็กวัดหลวงตาแสง

    .jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เณรน้อยยอดกตัญญู

    มีสามเณรน้อยองค์หนึ่งอายุเพียง ๗ ปี บวชในพระพุทธศาสนา สมัยนั้นในเขตนั้นมีพระอรหันต์มาก เณรองค์นี้ได้ฌานสมาบัติสูง ตอนเช้าทุกเช้าต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง แล้วออกบิณฑบาตกับคนที่อยู่ใกล้ ๆ บนยอดเขา สามเณรได้ทราบข่าวว่า บนพระธาตุจอมกิตติ (เวลานั้นยังไม่มีเจดีย์ เขาเรียกว่า ดอยน้อย ๆ เท่านั้น) สำหรับสามเณรองค์นี้ มีนิมิตอะไรน้อยๆ ได้ตามสมควร ยังไม่เก่งกล้านัก สามเณรทราบข่าวว่าบนดอยน้อยนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยมาประทับที่นั่น แล้วฝังพระเกศาไว้ด้วยการอธิษฐานจิต เณรได้ฟังจากครูบาอาจารย์มา

    เมืองเชียงแสนเดิมลูกรัก เราออกจากพระธาตุดอยกิตติ คือ ออกมาจากเมืองเก่านะ แล้วมาถึงบริเวณที่เขาเขียนว่า เขตเชียงแสน หลังบริเวณนั้นมาอีกหน่อย เป็นที่เมืองจมน้ำสมัยหลังพระเจ้าพรหมมาก เมืองจมน้ำเพราะกินปลาตะเพียน จากบริเวณเมืองจมน้ำมาแล้ว เราจะเลี้ยวซ้ายมือนั่นแหละ เป็นเขตเมืองเชียงแสนเดิม แต่เมืองจมน้ำหมดเพราะกินปลาตะเพียน

    สามเณรนึกจะมานมัสการพระเกศาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเวลานั้นขอมดำครองเมืองเต็มไปหมด คนไทยไม่มี จะมีอยู่บ้างก็เป็นคนไทยที่ขอมนำมาเป็นคนรับใช้ เป็นทาสเขา บางพวกหรือผู้หญิง ผู้ชายไทย ที่ผู้ชาย ผู้หญิงขอมเขาอยากได้ไปเป็นเมียเป็นผัว เขาก็เอาไปไว้ การเป็นเมียทาส ผัวทาสต้องปฏิบัติตามเขา เป็นอันว่าคนไทยอยู่ในที่นั้นมีบ้าง แต่ไม่มีอำนาจ

    สามเณรตั้งใจเดินธุดงค์ไปถึงดอยน้อยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิษฐานจิตวางพระเกศาไว้ ถึงตอนเย็นแล้วก็ค้างคืนบนดอยน้อย พร้อมกับนมัสการเจริญพระกรรมฐาน เวลากลางคืนเห็นรัศมีโชติช่วงพุ่งออกมาจากดอยน้อย เป็นรัศมี ๖ ประการ สวยสดงดงามมาก เณรก็เกิดธรรมปีติ มีความอิ่มใจ ชุ่มชื่นไปด้วยฌาน พอรุ่งเช้าสามเณรก็ออกบิณฑบาตตามปกติของพระในพระพุทธศาสนา บรรดาชาวขอมทั้งหลาย เห็นเณรองค์เล็กน่ารัก รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส มีหน้าตาแช่มชื่นก็มีความรัก พากันใส่บาตร
    พอดีเจ้าขอมดำนายใหญ่เป็นพ่อเมืองออกมาเห็นเข้าจึงได้ถามว่า

    เจ้าเณรองค์นี้มาจากไหน (ความจริงเขาก็นับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่มันก็เพียงสักแต่ว่านับถือ อย่างคนไทยที่อยู่ในเขตพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน อยู่ในเขตของพระพุทธศาสนา แต่ไม่เคยรู้เรื่องของพระศาสนาเลย อันนี้ก็มีมาก ที่เคารพพระพุทธศาสนาเวลานี้ ได้อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ และก็ญาณแปด ที่เราแนะนำกันออกไปก็มีมาก แต่คนนำไปใช้ดีก็มีใช้เลวก็มี เป็นเรื่องธรรมดา ปล่อยเขา จะไปนั่งห่วงว่า กลัวเขาจะลงนรกน่ะ เห็นเป็นการไม่สมควร คนชั่วก็มี คนดีก็มาก คนชั่วหายาก คนดีถมไป ถ้าได้ฌาน อย่างลูกนี่ พ่อคิดว่า ร้อยละหนึ่ง ร้อยคนเอายอมเสียไป ๑ คน แต่ความจริงควรจะเป็นแสนละหนึ่ง แต่ความเลวของคนที่ติดในลาภสักการะไม่ช้า คุณธรรมนี้ก็สลายตัวก็พังไป)

    เจ้าราชาขอมดำมันถามว่า “เณรมาจากไหน” พวกที่ใส่บาตรก็ตอบว่า “เณรเป็นลูกคนไทย” มันว่ายังไงรู้ไหม

    “ไอ้ลูกไทยใจทาส ห้ามไม่ให้มันกิน”

    “ใครใส่บาตรไปแล้วเท่าไร จับบาตรมันเททิ้งไปให้หมด อย่าให้มันกิน”

    “ไอ้ไทยทาสนี่ จะไปคบหาสมาคมกับมัน”

    “ต่อไปห้ามเข้าเขตของขอม”

    “เมื่อมันอยากจะกิน ก็ให้มันกินของคนไทยด้วย อย่ามากินของขอม”

    (ความจริงเขตนั้นเป็นเขตของไทย)

    สามเณรน้อยได้ฟังคำพูดของพญาขอม ดังนั้น ก็รู้สึกสลดใจ สลดใจเพราะเธอได้ฌานสมาบัติ แต่เธอไม่ถึงกับเสียใจร้องไห้

    จึงได้มาคิดในใจว่า

    “โอหนอ คนไทยนี่เป็นเจ้าของประเทศ แต่ถูกขอมเนรเทศไป ขอมกลับคิดว่าคนไทยเป็นทาส”

    คนไทยนี่มีความลำบากมากอย่างนี้

    “เราในฐานะที่เป็นหนี้ความดีของคนไทยทั้งชาติ จึงได้ขอบารมีขององค์สมเด็จพระบรมโลกนารถ ได้โปรดสงเคราะห์ให้คนไทยได้มีความสุขตามกำลังที่เราจะทำได้” อันนี้เป็นความคิดของสามเณร

    สามเณรคิดว่า ในเมื่อเขาไม่ให้ข้าวเราก็ไม่เป็นไร เณรไม่โกรธ เพราะทรงฌาน และอาจจะมีวิปัสสนาญาณด้วย โดยเฉพาะในตอนกลางคืนเห็นฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารพวยพุ่งมาจากพื้นดินก็ดีใจ

    เณรจึงได้กลับเข้าไปบูชาพระรัตนตรัย ขออนุมัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะหาถ้ำที่ใดสักที่หนึ่งเป็นที่อาศัย ก็เดินไปไม่ช้าก็เจอะถ้ำเล็ก ๆ ถ้ำหนึ่ง ก็นึกในใจว่า

    “เราเป็นหนี้สินของคนไทย คนไทยก็คือปู่ย่า ตายาย ของเราเอง ฉะนั้นตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะใช้ชีวิตของเราเป็นเครื่องสนองความดีของคนไทยทั้งชาติ จะไม่ยอมให้คนไทยอยู่ใต้อำนาจของขอมต่อไป เราไม่มีกำลังรบ เราไม่มีสรรพาวุธ อาวุธสำคัญของเรามีอย่างหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ นั่นก็คือ เมตตาบารมี” ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสกับพระว่า “เธอเข้าไปในป่า เธอต้องมีอาวุธไปด้วย ในบทกรณีที่ขึ้นต้นด้วย เมตตัญญะสัพพะโร”

    แต่ว่าสามเณรองค์นี้ ใช้วิธีแผ่เมตตาจิต คือ พรหมวิหารสี่ ว่า

    “ขอบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พรหม และเทวดาทั้งหมด และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอได้โปรดช่วยให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส” ให้พ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจของขอม”

    ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป “เราจะไม่ถอนจากฌานสมาบัติจนกว่าชีวิตินทรีย์จะหาไม่” เราจะอาศัยฌานเป็นธรรมปีติ เมื่อชีวิตทรงได้ก็ทรงไป ทรงไม่ได้ก็แล้วไป

    “แต่ถ้าบังเอิญเราจะพึงตาย เพราะอาศัยฌานสมาบัติ ก็ขอบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ได้โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาสเกิดเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบ ทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส”

    เวลานั้นเณรไม่ได้คิดพิฆาตเข่นฆ่าใคร ที่ตำนานเขาบอกว่า เณรเอาบาตรเทินหัวขอเกิดเป็นคนไทย ขอกลับมาฆ่าขอมน่ะไม่จริง ทำอย่างนั้นก็ลงนรก จิตตั้งบาป นี่เณรตั้งใจแบบนี้ อาศัยสามเณรที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์ และเป็นเด็กมีบุญญาธิการมาก มีท่านบอกว่าสามเณรองค์นี้ ก็คือ พระเจ้ามังราย ลูกชายพระเจ้าอชุตราช รวมความว่าเป็นรัชกาลที่ ๒ ของราชวงศ์นี้นั่นเอง พระเจ้าพังคราชเป็นรัชกาลที่ ๓๗ สามเณรองค์นี้เดิมเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ ๒ ดูซิลูกรัก สมัยหนึ่งเคยเป็นลูกกษัตริย์ มีอำนาจมาก ขยายอาณาเขตไปสี่เท่าจากที่พระราชบิดาปกครองเดิม มาชาตินี้กลายเป็นลูกชาวบ้านธรรมดา แล้วก็มาบวชเณร ถูกขอมย่ำยี แม้แต้ข้าวที่อยู่ในบาตรเขาก็เททิ้ง
    ลูกรักฟังไปแล้ว อย่าฟังเป็นนิทานนะลูกนะ ฟังไปแล้วก็ต้องคิดว่า
    ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความเกิด ความตาย เป็นของธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นของยุ่งยาก ในที่สุดมันก็ต้องตาย ถ้ากิเลสเรายังไม่หมดเพียงใด ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาใช้ชีวิตที่ไม่มีความสุข

    จากหนังสือ “เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)” หน้า ๓๙ – ๔๓
    ภาพจาก คุณสุพัฒน์
    โพสต์โดย achaya

    .jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
  6. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารฯ ขึ้นสำรวจความเรียบร้อยของพื้นที่สำหรับการติดตั้งเครื่องกรองน้ำให้ 6 โรงเรียน และสร้างฝาย บนดอยอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่

    1504970465_489_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970465_704_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970465_657_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970466_650_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970466_195_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970467_691_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970467_617_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970468_854_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg
    1504970468_767_ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    วันนี้วันพระ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสี่(๔) ปีมะโรง
    ขอให้ทุกท่านมีความสุขในธรรม

    บารมี ๑๐

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็จะขอเริ่มต้นเรื่อง บารมี ๓๐ ทัศ เพื่อเป็นการสนองความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าคำว่า บารมี บรรดาท่านทั้งหลายส่วนใหญ่มักจะมีความหนักใจกัน เมื่อเราพูดกันถึงว่าการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน หรือปฏิบัติเพื่อความดีในด้านของพระพุทธศาสนา อาตมาได้ยินมาเป็นปกติ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้ามักจะกล่าวกันว่า บารมียังไม่ถึงบ้าง บารมียังอ่อนอยู่บ้าง หรือ ยังไม่มีบารมีเพื่อจะปฏิบัติบ้าง
    การที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปรารภอย่างนี้ อาตมาก็เห็นใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาเข้าใจดีในคำว่า บารมี เดิมทีเดียวอาตมาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับบรรดาท่านพุทธบริษัท คิดว่าคนที่จะปฏิบัติเอาดีในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าถึงความดีสูงสุดได้ต้องมีบารมีมาเต็มแล้ว ตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาก็ทรงตรัสแบบนั้น
    ทีนี้คำว่า บารมี นี่เราไม่เข้าใจกัน นี่อาตมาไม่พูดถึงว่า บรรดาพุทธบริษัทไม่เข้าใจ พูดว่าอาตมาเองน่ะมีความไม่เข้าใจเรื่องบารมีมาก่อน แล้วก็บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะมีความดีกว่าอาตมามาก คือว่าท่านทั้งหลายอาจจะรู้จักคำว่าบารมีจริง ๆ มาก่อนก็ได้ แต่ว่าเรื่องนี้อาตมาขอยอมประกาศตรงๆ แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ยอมรับว่าอาตมาโง่เรื่องบารมีมามาก แล้วก็โง่มานาน อายุใกล้จะ ๖๐ ปี แล้วจึงได้รู้จักคำว่า บารมี
    ……
    ก่อนที่จะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทนมัสการองค์สมเด็จพระบรมสุคต เจ้าร่างกายจอมร้ายมันก็แสดงอาการออก คืออาเจียนอย่างหนัก (นี่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓) การอาเจียนไม่ยับยั้งผ่านไปประมาณ ๒ กระโถน รู้สึกหน้ามืด ใจสั่น กายหวิว เกือบจะทรงตัวไม่ไหว ขณะนั้นปรากฏว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มานั่งอยู่ด้วย ต่างก็พากันรายงานบอกว่า ถ้าร่างกายไม่ดีก็นิมนต์หลวงพ่อลงจากธรรมาสน์ ไม่ต้องสอน เขาจะทำกันเอง แต่อาตมาก็คิดในใจว่า ถ้ายิ่งร่างกายไม่ดีแล้ว อาตมาก็จะคุมกำลังใจให้ดียิ่งขึ้น เพราะไม่แน่ใจว่าการขึ้นมานั่งบนธรรมมาสน์คราวนี้จะเดินลงไปเองหรือว่าจะให้ชาวบ้านเขาอุ้มลงไป เพราะว่ากำลังใจมันสิ้นลมปราณลงไปเสียก่อน

    ในฐานะที่อาตมาประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร จึงบอกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า ท่านไม่ต้องห่วง ถ้าอาตมายิ่งจะตายในขณะนี้ด้วย เรื่องการเจริญพระกรรมฐานจะให้งดนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะยิ่งป่วยยิ่งเร่งรัดให้มาก เพราะเบื่อเจ้าร่างกายที่มีความอกตัญญูไม่รู้จักคุณที่เราขุนอยู่ตลอดเวลา อยากจะกินอะไรก็หาให้ ต้องการอะไรก็หาให้ แต่มันไม่เคยตามใจเรา ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้พูดเพราะเจ็บใจร่างกาย แต่เจ็บใจใจของตัวเองที่ไปคบกิเลสเข้าไว้

    วันนั้นเมื่อเสร็จจากการอาเจียน บ้วนปาก ทรงกำลังใจดีแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่รวน ก็นำบรรดาท่านพุทธบริษัททำวัตรสวดมนต์ สมาทานพระกรรมฐาน แล้วก็มานั่งพิจารณาตัวเองว่า เวลานี้ใจมันหวิวเกือบจะขาดใจ เสียงที่กล่าวออกไปก็ไม่ค่อยจะออก หน้ามืด มองคนข้างล่างดำไปหมด จำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่ก็ควบคุมกำลังใจ ทรงสติสัมปชัญญะตามสมควร คิดว่าวันนี้บางทีเราจะไม่ได้ลงเอง จะต้องถูกหามลง เพราะว่าสิ้นลมปราณเสียบนธรรมาสน์ จึงได้ตัดสินใจว่า

    วันนี้ต้องสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทเรียกว่าเอากันเฉือนขั้นสุดท้ายกันเลย เรียกว่าทิ้งทวนหรือว่าทิ้งไพ่ใบสุดท้าย และพุ่งทวนเล่มสุดท้ายที่มีอยู่ นั่นก็คือคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมครูที่เรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ

    วันนั้นสอนบารมี ๑๐ ทัศ แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจหรือไม่เข้าใจเพียงใด อาตมาก็ไม่ทราบ เพราะสอนไม่ค่อยตรงเป้าหมาย เมื่อสอนเสร็จเวลาผ่านไปก็ดับไฟ สั่งให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพากันเจริญพระกรรมฐานทรงสติสัมปชัญญะ คือว่าตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ให้คำภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย เพราะการภาวนาก็ดีพิจารณาก็ดีนี่ อาตมาไม่ขัดใจใคร ใครเคยทำแบบไหนคล่องมาแล้ว ให้ทำอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เพราะอะไร…?

    เพราะว่าการภาวนาหรือพิจารณาที่ทำมาแล้ว ถ้าไม่ผิดก็ไม่ควรจะเปลี่ยน เพราะแบบปฏิบัติมีมากด้วยกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้จึงจะถูก ทำอย่างไรก็ตาม ถ้าปรารภจิตเป็นสมาธิระงับจากนิวรณ์ หรือปรารภจิตเป็นปฏิปักษ์ขันธ์ ๕ ใช้ได้หมด ถ้าตรงกับแนวคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตแล้ว อาตมาไม่ปฏิเสธการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทเริ่มปฏิบัติ อาตมาก็คิดในใจว่าร่างกายไม่ดีแบบนี้เราจะทนมันอยู่ทำไม ไปเสียจากร่างกายดีกว่า ปล่อยให้มันนั่งอยู่ตรงนี้ พอสัญญาณบอกเวลาปรากฏเราจึงจะกลับมา ฉะนั้นจึงได้ไปเสียจากกาย ไปไหว้พระ จะไปแบบไหนอันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาไม่บอก บอกไม่ได้ ไปอย่างไร ไปโดยวิธีไหน อยากจะรู้ก็ปฏิบัติกันเอาเอง แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่ของดีของเด่นอะไรนัก การไปได้มาได้ถ้าใจเหลิงเกินไปก็ยังลงนรกได้ ไม่ใช่ของพิเศษ เมื่อออกไปแล้วก็พบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    นี่ขวางกับชาวบ้านเขาแล้ว เขาบอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว จะพบกันได้ยังไง นั่นมันเรื่องของเขาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นี่มันเรื่องของอาตมา อาตมาพบกันได้ก็แล้วกัน เมื่อพบแล้วก็เข้าไปนมัสการองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พอเงยหน้าขึ้นมาพระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า “สัมพเกษี วันนี้เธอสอนบารมี ๑๐ ทัศใช่ไหม …?”

    ก็กราบทูลพระองค์ว่า “ใช่พระพุทธเจ้าข้า”

    พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า “สัมพเกษี บารมีแปลว่าอะไร…?”

    ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอได้โปรดทราบว่า ถ้าอาตมาสอนถูกพระองค์จะไม่ทรงตรัสแบบนั้น อาตมารู้ทันรู้เท่าเข้าใจทันทีว่า การสอนวันนี้ผิดพุทธพจน์บทพระบาลี
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทการสอนนี้ไม่ใช่ว่ามันจะถูกเสมอไป มันก็ผิดได้เหมือนกัน เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรมีพระพุทธฎีกาตรัสถามแบบนั้นอาตมาก็ทราบ จึงได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่แน่ใจนักพระพุทธเจ้าข้า แต่ที่เรียนกันมา ครูสอนว่าบารมีแปลว่าเต็ม”

    พระองค์จึงทรงตรัสถามว่า “อะไรมันเต็ม และมันเต็มแบบไหน สมมุติว่าเธอจะปฏิบัติในทานบารมี ทำยังไงทานบารมีมันถึงจะเต็ม ถ้าหากว่าจะนำของมาให้เต็มโลก เธอจะไปขนมาจากไหน ถ้าเราจะไม่นำของมาให้ ทำยังไงทานบารมีมันจึงจะเต็ม…?”

    แบบนี้มันก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าคนอย่างอาตมา ถ้าหากว่าท่านที่เป็นนักปราชญ์ดีกว่าอาตมาก็ไม่เป็นไร ท่านไปได้ เพราะท่านมีความเข้าใจ ท่านมีความฉลาด อาตมาบอกแล้วนี่ว่าอาตมามีความรู้ไม่เท่าหางอึ่ง คือยาวไม่เท่าหางอึ่งหรือไม่แค่หางอึ่งเพราะความโง่มันมาก

    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสแบบนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจในบารมีพระพุทธเจ้าข้า”

    พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “สัมพเกษี เธอเข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอดีแต่เฉพาะบริโภคเองเท่านั้น แต่การที่จะแบ่งปันให้บุคคลอื่นน่ะ เธอไม่มีความฉลาด การที่เธอตั้งกำลังใจในด้านบารมี ๑๐ ทัศ เป็น ๓๐ ทัศ ด้วยกัน ๓ ชั้น เธอทำได้ แต่ว่าวันนี้เธอสอนบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เธอทำไม่ถูก เธอจงมีความเข้าใจเสียใหม่ว่า คำว่าบารมีนี้มันแปลว่าเต็ม แต่อะไรมันเต็มตถาคตจะบอกให้ว่า บารมีนี่ควรจะแปลว่ากำลังใจเต็ม”

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จำไว้ให้ดีว่า คำว่าบารมีก็คือกำลังใจ ทำกำลังใจให้เต็ม ตอนนี้ซิชักจะฉลาดขึ้นมาทันที มานึกในใจว่าเรานี่มันแสนจะโง่เสียมาก

    กำลังใจเต็มตอนไหนบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็ทรงให้ทวนเรื่องบารมี ๑๐ ทัศ ว่ามีอะไรบ้าง อาตมาก็ถวายคำตอบแก่พระองค์ว่า

    ๑. ทานบารมี
    ๒. ศีลบารมี
    ๓. เนกขัมมบารมี
    ๔. ปัญญาบารมี
    ๕. วิริยบารมี
    ๖. ขันติบารมี
    ๗. สัจจบารมี
    ๘. อธิษฐานบารมี
    ๙. เมตตาบารมี
    ๑๐. อุเบกขาบารมี

    องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สัมพเกษี ถูกแล้ว บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ไม่มีอะไรบกพร่อง คือ

    ๑. จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    ๒. จิตพร้อมในการทรงศีล นี่ซิบรรดาพุทธบริษัท พร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ ไม่ใช่ปล่อยให้ศีลมันหล่นไป
    ๓. จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะก็แปลว่าการถือบวช บวชผมยาว บวชผมสั้น บวชโกนหัว ไม่โกนหัว ได้ทั้งนั้น
    ๔. จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารอุปาทานให้พินาศไป
    ๕. วิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    ๖. ขันติ มีทั้งอดทั้งทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    ๗. สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลาว่าเราจะจริงทุกอย่าง ไม่มีอะไรในคำว่าไม่จริงสำหรับใจเรา ในด้านของการทำความดี
    ๘. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    ๙. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดีไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    ๑๐. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ ในเมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว อย่างที่เธอเป็นวันนี้ อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมัน ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า วันนี้ยังไม่สอนอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัท เรามาคุยกันในคำว่า บารมี ทั้งหลายได้ทราบชัดว่า บารมีที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ให้เราสร้างให้มันเต็มนั้น ก็คือสร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งคิด เราจะมานอนคิด เราจะมาทรงจิตว่า เอ๊…บารมีของเรามันไม่มีนี่ ชาติก่อนบารมีของเรามันไม่พอ บารมีของเรายังไม่เต็ม เราจะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ยังไงได้
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความเข้าใจตามนี้ พอยังจะรู้รึยังว่าเราสามารถจะสร้างบารมีได้ด้วยอาศัยกำลังใจ ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทมี กำลังใจอย่างเดียวเท่านั้นที่เราจะทำให้มันดีหรือไม่ดี อันนี้ก็ตรงกับพระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในเรื่อง พระจักขุบาล ว่า

    มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา

    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ นี่ความจริงเรื่องนี้ก็เรียนกันมาแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่เวลาปฏิบัติจริง ๆ มันทำไมถึงลืมก็ไม่ทราบ

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคงจะเข้าใจคำว่า บารมี แล้วอย่าลืม บารมีแปลว่าเต็ม แต่ส่วนที่เราจะทำให้เต็มนั้นก็คือกำลังใจ ให้กำลังใจมันพร้อม พร้อมที่จะทรงความดีในด้านบารมีไว้ ถ้ากำลังใจของเราพร้อมทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย

    ที่นำบารมีทั้ง ๑๐ ประการมากล่าวในตอนนี้ก็เพราะว่า ในตอนต้นพูดเรื่องพระโสดาบันเข้าไว้ เห็นว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะคิดว่า แหม…มันยากเกินไป ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบันมันยังครบถ้วนไม่ได้ ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์

    ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
    ศีล เราก็ตัดความโกรธ
    เนกขัมมะ ตัดอารมณ์ของกามคุณ
    ปัญญา ตัดความโง่
    วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
    ขันติ ตัดความไม่รู้จักการอดทน
    สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
    อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์
    เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
    อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเราไม่ปรารภ

    เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทสมบูรณ์เพียงใด คำว่า พระโสดาบัน นั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะรู้สึกว่าง่ายเกินไปสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ก็เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ มีกำลังใจเต็มทุกอย่างใน ๑๐ ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เรียกว่าพระโสดาบัน แล้วท่านเรียกว่าอะไร ท่านเรียกว่า พระขีณาสพ แปลว่า ผู้มีอาสวะอันสิ้นไปแล้ว หรือเรียกว่า พระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาอันดับสูงสุดเข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน ได้
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี

    จากหนังสือ “บารมี ๑๐” โดย…พระราชพรหมยาน หน้า ๑ – ๒ และ หน้า ๖ – ๑๖
    ภาพจาก คุณสุพัฒน์
    โพสต์โดย achaya

    -ตรงกับวันอ.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เล่าเรื่องบ้านสายลม
    โดย …. ลูกสาวท่านโกษา

    พุทธบริษัทลูกศิษย์เจ้าประคุณพระราชพรหมยานเถระ ส่วนใหญ่คงจะได้เคยไปกราบนมัสการ และทำบุญกับหลวงพ่อที่ บ้านสายลม บ้างไม่มากก็น้อย บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ เคยโทรศัพท์มาติดต่อถามไถ่ แต่ยังไม่เคยมาก็มี แต่ทุกคนก็รู้กันเป็นส่วนใหญ่ว่า บ้านเลขที่ ๙ ซอยสายลม ๑ เป็นสำนักในกรุงเทพ ฯ ของหลวงพ่อ จึงจะขอเล่าประวัติของบ้านไว้ ก่อนที่จะหายไปกับสายลมเหมือนชื่อซอย

    บ้านสายลม เป็นบ้านของ พลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม ศุขสวัสดิ์ อดีตเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศและเจ้ากรมสื่อสารทหาร กับ คุณเฉิดศรี หรือรู้จักกันทั่วไปในนามของ คุณอ๋อย ผู้เป็นภรรยา คุณอ๋อยซื้อที่นี้ไว้เมื่อกว่า ๖๐ ปีมาแล้ว ด้วยราคา ตารางวาละ ๙ บาท เมื่อที่นี่ยังไม่มีรถเมล์ผ่าน ยังเป็นทุ่งนา บ้านที่สร้างตอนแรกมีลักษณะเป็นกระท่อมมากกว่า และเกือบจะเป็นบ้านหลังเดียวของซอย เล่ากันว่าเปิดวิทยุทีหนึ่งได้ยินเกือบถึงปากซอยความที่เงียบ คุณอ๋อยกับเพื่อนบ้านเป็นผู้ไปปักป้ายหน้าซอยว่า ซอยสายลม เพราะลมแรงจริง ๆ

    เจ้ากรมเสริม อย่างที่หลวงพ่อเรียกและ คุณอ๋อย มีความเคารพหลวงพ่อเป็นอย่างสูงและเริ่มไปทำบุญกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า ๓๐ ปี (เจ้ากรมเล่าไว้ในหนังสืองานศพคุณอ๋อย) ถ้าใครไปวัดและข้ามไปด้านที่ติดกับแม่น้ำก็จะเห็นชื่อทั้ง ๒ ท่านปรากฏอยู่ตามถาวรวัตถุอยู่ประปราย คุณอ๋อยเองพื้นเพเป็นชาวอุทัย แต่ก็ติดตามคุณพ่อซึ่งเป็นนายอำเภอและข้าหลวงหลายจังหวัด การได้ไปปฏิบัติธรรมและทำบุญที่วัดท่าซุงนั้นจึงเหมือนกลับไปเยือนบ้านเก่าด้วย

    ความที่ทั้ง ๒ ท่าน เป็นผู้มีเพื่อนมาก ไม่ช้าท่านก็ชักชวนเพื่อนในวงการต่าง ๆ เข้ามากราบนมัสการหลวงพ่อมากขึ้น และการที่ท่านเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาปสาทะในปฏิปทาของหลวงพ่อเป็นอย่างสูง จึงได้กราบอาราธนาหลวงพ่อให้เข้ามาสอนพระกรรมฐานและพักที่บ้านสายลมเป็นประจำกว่า ๔๐ ปีมาแล้ว นอกจากหลวงพ่อท่านจะเริ่มเข้ามาสอนพระกรรมฐานและพักที่บ้านสายลมเป็นประจำทุกเดือนแล้ว บ้านสายลมยังเป็นที่วางจำหน่ายวัตถุมงคล หนังสือ และเทปของหลวงพ่อแต่เพียงแห่งเดียวนอกจากวัดท่าซุง

    หลวงพ่อท่านเล่าว่า สถานที่นี้เคยเป็นวัดมาก่อน ท่านเจ้าอาวาสสมัยนั้นมีนามว่า หลวงตาแสง และเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังคงคุ้มครองดูแลอยู่ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายจึงมักเรียกบ้านสายลมว่า วัดหลวงตาแสง หลวงตาแสงนั้นตามที่หลวงพ่อเล่า ท่านบรรลุอรหัตผล ณ ทีนี้ และยังมีอีกหลายองค์ที่ได้บรรลุมรรคผลในทีนี้ หลวงพ่อท่านว่า ที่ใดก็ตามที่เคยเป็นวัด เคยมีผู้บรรลุมรรคผลที่นั่นจะทำกรรมฐานได้ผลดี เมื่อสมัยแรก ๆ ที่หลวงพ่อมาโปรดพุทธบริษัทที่นี่ ท่านจะทำบวงสรวงในวันเกิดท่านเจ้ากรมคือ วันที่ ๒ เมษายน ต่อมาการบวงสรวงในเดือนเมษายนของทุกปี หลวงพ่อท่านจึงให้ถือเป็นวันไหว้ครูของบ้านสายลม

    เมื่อสมัยที่หลวงพ่อมาโปรดพุทธบริษัทที่บ้านสายลมใหม่ ๆ นั้น ตัวบ้านยังมีขนาดเล็กห้องที่เป็นห้องพระกรรมฐานนั่งกันได้ประมาณ ๒๐ คน ก็ชักจะแน่น ๆ แล้ว เวลานั้นคนเก่า ๆ คงจะจำได้ว่า คุณอ๋อยจะเป็นต้นศรัทธาคอยดูแลควบคุมความประพฤติของบรรดาลูกศิษย์ให้ดูงามอยู่เสมอ ใครที่นั่งขัดสมาธิกับหลวงพ่อจะโดนคุณอ๋อยเอ็ด ใครกิริยาวาจาไม่สุภาพเรียบร้อยจะถูกดุ ใครมีปัญหาหัวใจปรึกษาคุณอ๋อยได้ ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรก ๆ จึงไม่มีใครไม่รู้จักบ้านสายลม และเจ้าของบ้านคือเจ้ากรมเสริมและคุณอ๋อย

    หลวงพ่อท่านจะใช้คุณอ๋อยในการจัดการเรื่องธุรการต่าง ๆ ของวัดที่ต้องเนื่องกับทางโลกคุณอ๋อยก็จะใช้ลูกทั้ง ๕ คน ซึ่งก็มีความศรัทธาและมีความเคารพต่อหลวงพ่อเช่นเดียวกันเป็นมือเป็นไม้ รวมทั้งกลุ่มลูกศิษย์ลูกหาที่รับหน้าที่ไปตามความถนัด เจ้ากรมและคุณอ๋อยตลอดจนผู้ทำงานวัดจะมั่นในหลักที่หลวงพ่อสอนในเรื่องการรักษาสมบัติของสงฆ์ และยึดเป็นสรณะในการทำงานถวายวัด

    งานวัดในสมัยแรก ๆ จะมีคุณอ๋อยเป็นหัวแรง ตั้งแต่งานเล็กงานน้อย จนถึงงานใหญ่ เช่นการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกช่อฟ้าพระอุโบสถ พระลูกศิษย์หลวงพ่อจะมีความคุ้นเคยกับ ” โยมอ๋อย “เป็นอย่างดี ลูกศิษย์หลวงพ่อที่ไม่รู้จักบ้านสายลมและครอบครัวของเจ้ากรมกับคุณอ๋อยแทบจะไม่มี

    โยมอ๋อยติดตามหลวงพ่อไปโปรดพุทธบริษัทในที่ต่าง ๆ เป็นแรงสำคัญในการที่หลวงพ่อไปให้กำลังใจทหารตามชายแดน ทำพิธีทางศาสนาเพื่อบรรเทาเคราะห์ของประเทศชาติ นำพุทธบริษัทออกไปนมัสการพระอริยสงฆ์ (ล่าพระอาจารย์) บ้านสายลมจึงเคยเป็นที่พักของพระอริยสงฆ์ นับตั้งแต่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่วงศ์ ส่วนหลวงปู่ชุ่ม นั้นท่านว่าเจ้ากรมและคุณอ๋อยเคยเป็นโยมท่านมาก่อน ท่านขอให้ถ่ายรูปร่วมกันไว้ และเมื่อท่านละสังขารก็ยังมาตั้งศพไว้ที่บ้านสายลมอยู่วันหนึ่ง กล่าวได้ว่าการที่หลวงพ่อท่านมาโปรดพุทธบริษัทที่บ้านสายลมนั้น ได้นำมงคลมาสู่บ้านสายลมเป็นเอนกอนันต์ และบ้านสายลมก็ยังรับใช้พระพุทธศาสนาโดยยึดปฏิปทาหลวงพ่ออยู่อย่างต่อเนื่องและเหนียวแน่น
    ฝ่ายเจ้ากรมท่านเป็นผู้มีความรักทางวิชาการ ท่านศึกษาพระไตรปิฎก เมื่อมีปัญหาใดทางพุทธศาสนา ท่านก็จะกราบเรียนถามหลวงพ่อ และไม่มีปัญหาใดที่หลวงพ่อตอบให้หายข้องใจไม่ได้ เมื่อฟังท่านเทศน์และเล่าเรื่องเกร็ดทางศาสนาและความรู้พิเศษต่าง ๆ มากเข้าเจ้ากรม ฯ จึงอาราธนาให้หลวงพ่อท่านอัดลงเทป และเจ้ากรมก็ลงมือถอดเทปเองจัดพิมพ์เป็นหนังสือ และเพื่อตัดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ หลวงท่านจึงมอบลิขสิทธิ์หนังสือที่จัดพิมพ์ในตอนต้นทั้งหมดให้เจ้ากรม เจ้ากรมก็เอาเงินตัวเองลงทุนพิมพ์หนังสือจำหน่าย เงินที่ได้ก็ใช้เป็นทุนหมุนเวียนพิมพ์ต่อไปและถวายวัดสนับสนุนกิจการของโรงเรียนสุธรรมวิทยาเพื่อเป็นธรรมทานด้วย

    ต่อมาเมื่อ คุณอรอนงค์ อรรถไกวัลวที เพื่อนของคุณอ๋อยขออนุญาตหลวงพ่อนำหนังสือประวัติหลวงพ่อปานไปพิมพ์แจกในงานศพมารดาของเธอ ก็ปรากฏว่าเป็นที่สนใจของพุทธบริษัทในวงกว้างขึ้นอีกมาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตและการขยายตัวของสำนักของหลวงพ่อที่ซอยสายลม เจ้ากรมกับคุณอ๋อยต่อเติมบ้านอีกหลายครั้งเพื่อให้พอรับกับศรัทธาที่หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็แคบเกินไปทุกที เมื่อคุณอ๋อยเจ็บหนักเมื่อปี ๒๕๑๙ ก่อนเสียชีวิต คุณอ๋อยได้กล่าวกับหลวงพ่อขอถวายบ้านสายลมให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เมื่อคุณอ๋อยสิ้นชีวิตไปแล้วเจ้ากรมก็ยังดำเนินตามแนวปฏิบัติแต่ดั้งเดิมมาโดยตลอด จนกระทั่งหลวงพ่อท่านมรณภาพไป

    เจ้ากรมและลูก ๆ ก็ได้กราบอาราธนาให้ท่านเจ้าอาวาส พระครูปลัดอนันต์ พัทญาโณ ไปโปรดพุทธบริษัทเช่นเดียวกับที่หลวงพ่อเคยทำต่อเนื่องกันมาจนปัจจุบันอย่างไรก็ตามความที่มีพุทธบริษัทมาทำบุญปฏิบัติพระกรรมฐานกันมากขึ้น บรรยากาศเก่า ๆ ที่เคยมีคุณอ๋อยเป็นต้นศรัทธาดูแลทุกอย่าง ใครเข้ามาในบ้านสายลมจะต้องพบคุณอ๋อยก่อน ก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา บ้านสายลมเป็นสาธารณะ มากขึ้น ลูกศิษย์ที่เข้ามาทำบุญไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของบ้านระเบียบวินัยถดถอยไปบ้าง เมื่อเจ้ากรมสิ้นชีวิตลงใน ปี ๒๕๔๑ ลูก ๆ ของเจ้ากรมก็พร้อมใจกันกราบยืนยันกับท่านเจ้าอาวาสว่า จะดำเนินตามปณิธานของท่านเจ้ากรมและคุณอ๋อยอยู่ต่อไปโดยให้บ้านเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

    อย่างไรก็ตาม ทาง มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร เห็นว่ากิจการบุญของวัดขยายกว้างขวางขึ้นและมีพุทธบริษัทมาทำบุญมากมายขึ้นทุกวัน จึงได้ขอซื้อที่ดินที่ติดกับบ้านสายลม เพื่อสร้างอาคารที่ทำการของมูลนิธิ และขยายที่ปฏิบัติธรรมออกไปให้เป็นสัดส่วน ความจริงส่วนที่ซื้อใหม่นี้ก็เคยเป็นที่ดินของคุณอ๋อยมาก่อน แต่ตัดขายออกไปเมื่อหลายสิบปีมาแล้วเพื่อนำเงินมาปลูกบ้าน และก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดหลวงตาแสงเช่นกัน

    ในการออกแบบอาคารนั้น ม.ล.ภาวินี สันติศิริ ลูกสาวคนที่ ๔ ของท่านเจ้ากรมได้จ้างสถาปนิกมาออกแบบ เพื่อที่จะให้เข้ากับอาคารเดิมได้ดี โดยเธอเป็นผู้ออกเงินทำบุญ เมื่อได้แบบมาแล้วก็กราบถวายท่านเจ้าอาวาสเพื่อมอบให้แก่มูลนิธินำไปดำเนินการก่อสร้างต่อไป ในอาคารใหม่นี้จะมีห้องกรรมฐาน ๒ ชั้น และมีพื้นที่จำหน่ายหนังสือและวัตถุมงคลโดยที่อาคารในที่เก่าก็ยังคงเก็บรักษาส่วนที่เป็นกุฏิดั้งเดิมของหลวงพ่อไว้ รวมทั้งห้องพระใหญ่จะยังคงเป็นที่ที่ท่านเจ้าอาวาสใช้รับแขก และโปรดพุทธบริษัท ตลอดจนเป็นที่พักของท่านและพระผู้ติดตามเช่นปัจจุบัน

    ในส่วนใช้สอยของเจ้าของบ้าน เนื่องจากอาคารเดิมสร้างมา ๕๐ ปีแล้ว บรรดาลูก ๆ ของท่านเจ้ากรมและคุณอ๋อย จึงเตรียมใช้เงินของตัวเองในการปรับปรุงใหม่เสียก่อนที่จะพังทลายลงมาเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยได้ดีขึ้น โดยแต่ต้องรอหลังจากที่มูลนิธิสร้างอาคารใหม่เรียบร้อยแล้วเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนการปฏิบัติธรรมของลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหลาย ฉะนั้น ในไม่ช้านี้ วัดหลวงตาแสงบ้านสายลม ก็จะขยายออกไปให้บรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อมีที่ปฏิบัติพระกรรมฐานที่กว้างขวางสะดวกสบายขึ้น สมดังที่เจ้ากรมเสริมและคุณอ๋อยรวมทั้งลูก ๆ ตั้งใจปฏิบัติมาโดยตลอด….

    จากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่๒๕๐ ประจำเดือน มกราคม ๒๕๔๕
    ภาพจาก บ้านสายลม
    โพสต์โดย achaya

    .jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
  10. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    วันนี้มีฝึกมโนมยิทธิฯที่บ้านสายลม ตั้งแต่เวลา ๑๒.๓๐ น. ถึงเวลา ๑๕.๐๐ น.
    ให้มาถึงห้องฝึกก่อนเวลาฝึก ๓๐ นาที

    “…เรานึกรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตายแน่ ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายไม่ใช่ของเรา ทั้งนี้เพราะเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตายเหมือนกัน คำว่าแก่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าแก่หง่อม ไม่จำเป็นต้องแก่หง่อมเสมอไป การที่เราเกิดขึ้นมาแล้ววันหนึ่ง เคลื่อนไปหนึ่งนาทีสองนาที มันก็แก่ไปทุกที ทีแรกมันอ่อนปวกเปียก เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาทุกที การที่เคลื่อนเข้ามาสู่ความเจริญ เขาเรียกว่าแก่ขึ้น พอถึงวัยยี่สิบห้าไปแล้ว ทีนี้ก็แก่ลง มันโค้งลง มันก็แก่ทั้งนั้น คำว่าแก่ของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงต้องถือ ไม้เท้ายันเสมอไป เกิดมาวันสองวันสามวันก็ชื่อว่าแก่ นี่มีความเกิดขึ้นแล้ว ความแปรปรวนมันก็ปรากฏขึ้น คือความแก่มันปรากฏ ในที่สุดมันก็ตาย…”

    .jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ร่วมงานไหว้ครูประจำปี บ้านสายลม
    วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มี.ค ๒๕๕๖
    เวลา ๐๘.๐๐ น. มีพิธีบวงสรวงไหว้ครูประจำปี ที่บ้านสายลม เสร็จแล้วถวายสังฆทาน
    เวลา ๑๒.๓๐ น. เริ่มฝึกกรรมฐานมโนมยิทธิฯ

    “…หลวงพ่อท่านเล่าว่า สถานที่นี้เคยเป็นวัดมาก่อน ท่านเจ้าอาวาสสมัยนั้นมีนามว่า หลวงตาแสง และเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังคงคุ้มครองดูแลอยู่ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายจึงมักเรียกบ้านสายลมว่า วัดหลวงตาแสง หลวงตาแสงนั้นตามที่หลวงพ่อเล่า ท่านบรรลุอรหัตผล ณ ทีนี้ และยังมีอีกหลายองค์ที่ได้บรรลุมรรคผลในทีนี้ หลวงพ่อท่านว่า ที่ใดก็ตามที่เคยเป็นวัด เคยมีผู้บรรลุมรรคผลที่นั่นจะทำกรรมฐานได้ผลดี เมื่อสมัยแรก ๆ ที่หลวงพ่อมาโปรดพุทธบริษัทที่นี่ ท่านจะทำบวงสรวงในวันเกิดท่านเจ้ากรมคือ วันที่ ๒ เมษายน ต่อมาการบวงสรวงในเดือนเมษายนของทุกปี หลวงพ่อท่านจึงให้ถือเป็นวันไหว้ครูของบ้านสายลม…”

    จากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่๒๕๐ ประจำเดือน มกราคม ๒๕๔๕
    โพสต์โดย Mk

    -บ.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
  13. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
  14. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    หนังสือธัมมวิโมกข์ เดือนเมษายน ๒๕๕๖ มีจำหน่ายที่บ้านสายลม และ ที่วัดจันทาราม (ท่าซุง)

    “…ตัวเรานี้เวลานี้มีอุปมาเหมือนท่อนไม้ที่เขาทิ้งอยู่ในป่า ย่อมไม่มีใครมีความสนใจ ร่างกายของเรานี่หาสาระประโยชน์อะไรไม่ได้ เวลานี้ไม่มีประโยชน์ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่เคลื่อนที่ได้ ในไม่ช้าความดับจะเข้ามาถึง…”

    จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 385 เดือนเมษายน 2556
    เรื่องธรรมปฏิบัติ หน้าที่ 27

    แจ้งข่าวจากเจ้าหน้าที่ ธัมมวิโมกข์ ท่านใดมีหนังสือธัมมวิโมกข์เก่าตั้งแต่ เล่มที่ ๑ – ๒๐๐ กรุณาติดต่อ ( ธัมมวิโมกข์ 056502507 )

    …..จุดประสงค์ต้องการข้อมูลที่มีอยู่ในหนังสือนำไปทำประวัติเก็บไว้จ๊ะ….

    โพสต์โดย Mk

    -เดือ.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
  16. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    วันนี้วันพระ ตรงกับวันพุธ แรม ๘ ค่ำ เดือนสี่(๔) ปีมะโรง
    ขอให้ทุกท่านมีความสุขในธรรม

    ก้าวแรกของพระนิพพาน

    การเจริญพระกรรมฐานของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อันดับแรกสุดถ้าจะทำสมาธิหรือวิปัสสนาญาน ก็ขอจงตัดความกังวลเสียก่อน ก่อนที่จะภาวนาหรือพิจารณา คำว่า กังวล ได้แก่ ความห่วงใยทุกอย่างที่มันมีอยู่ ถ้าทำที่บ้านก็จัดข้าวจัดของ เก็บข้าวเก็บของเสียมันให้เสร็จประตูหน้าต่างอย่าปิดให้มันหมดนะ หายใจไม่ออก
    คือว่าให้มันไม่มีกังวลทุกอย่างที่เราจะต้องห่วง แล้วก็เอาจิตตัดกังวลว่าเวลานี้ในช่วงระยะเวลาที่เราทำสมาธิหรือวิปัสสนาญาณ อะไรมันจะมีขึ้นก็ตาม เราจะไม่สนใจในเหตุนั้น หมายความว่าเหตุปกตินะ เช่น สามี หรือภรรยา หรือบุตรธิดา หรือเพื่อนอะไรก็ตาม ก็ช่างเขา แต่ว่าทั้งนี้ก็ต้องไม่ขาดเมตตาจิต การเกิดเป็นคนป่วยไข้ไม่สบายขึ้นจริงๆ ก็ต้องช่วย ในยามปกติจิตปลดไว้เสียก่อนว่า เราจะไม่ห่วงอะไรก่อน สิ่งที่เราจะห่วงนั่นคือว่าจิตจะต้องชนะนิวรณ์ นี่เราต้องห่วง นิวรณ์ ที่จะต้องระงับในขณะที่ทำสมาธิจิตหรือวิปัสสนาญาณ ก็คือ
    ๑. ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ถ้าอย่างนี้เราระงับชั่วคราว คือว่ากามฉันทะนี่ถ้าจะตัดได้จริงๆ ต้องเป็นอนาคามี ในเมื่อเรายังไม่เป็นพระอนาคามี เราก็ระงับจิตชั่วคราว ว่าในขณะที่เราทำสมาธิจิต เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมัน คือว่าไม่เอาจิตเข้าไปข้อง
    และประการที่ ๒ ความโกรธ ความพยาบาท เวลานั้นต้องไม่มี จะโกรธใครหรืออะไรก็ตาม เหวี่ยงทิ้งไปก่อน แล้ววางไว้ข้างๆ เลิกทำสมาธิค่อยเอากลับมาสวมใจใหม่ก็ได้ใช่ไหม ขอพักชั่วคราวนะ
    ข้อ ๓ คือ ความง่วง
    ข้อ ๔ อารมณ์ฟุ้งซ่านเกินพอดี หรือรำคาญ
    ข้อ ๕ ความสงสัย
    คือว่านิวรณ์ ๕ ประการนี้ถือว่าเป็นอารมณ์ชั่วของจิต ถ้าจิตเข้าไปข้องอย่างใดอย่างหนึ่งจิตจะไม่เป็นสมาธิ หรือว่าความกังวลมีขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งจิตก็ไม่เป็นสมาธิเหมือนกัน และวิธีที่เราจะไล่เบี้ยตัดความกังวล หรือว่าไปไล่เบี้ยจับตัวนิวรณ์มันก็ไม่ไหว แต่ก็มีวิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นกลางๆ สามารถระงับได้ทั้งนิวรณ์และความกังวลนั่นคืออานาปานุสสติกรรมฐาน
    อานาปานุสสติกรรมฐานก็ได้แก่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ นี่ตามแบบของมหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าตามแบบปฏิบัติของกรรมฐาน ๔๐ ยากหน่อย ไม่พูดดีกว่า ของยากๆ ไม่เอา หากินยากๆ ไม่สะดวกใช่ไหม อย่างแกงหอยขมต้องดูดกินจ๊วบๆ จะกินเสียเวลา ถ้าเขาเอาเปลือกออกมีแต่เนื้อกินดีกว่า ใช่ไหม ออกแรงมากเปล่าๆ
    ก็รวมความว่าเวลาที่ญาติโยมพุทธบริษัทจะเริ่มทำวิปัสสนาญาณหรือสมาธิ ก็จงอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ถ้าจะภาวนาด้วยคำภาวนาในด้านสุกขวิปัสสโก ถ้าพูดกันตามสายกลางๆ ก็ถือว่าภาวนาอย่างไรก็ได้ ไม่ขัดข้อง แต่ว่าถ้าเราจะทำเฉพาะกิจๆ นี่สายสุกขวิปัสสโกมี ๔๐ อย่าง เฉพาะหลักใหญ่นะ ถ้ายิ่งย่อยๆ มีหลายร้อยอย่าง
    อย่างเราเจริญ พุทธานุสสติกรรมฐาน ที่ภาวนาว่า พุทโธ ต้องคู่กับลมหายใจ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ แต่ว่าพุทธานุสสติกรรมฐานนี่ไม่ใช่พุทโธอย่างเดียวนะ อย่างที่ท่านภาวนาว่า สัมพุทโธ บ้าง สัมมาอรหัง บ้าง นี่เป็นพุทธานุสสติ ก็รวมความว่าอิติปิโสบทต้นทั้งหมดเป็นพุทธานุสสติ แต่ว่าบางท่านก็จับอะไรต่ออะไรมาต่อบ้าง เขาก็ไม่ผิด
    อย่างธัมมานุสสติ ก็ใช้คำภาวนาในบทอิติปิโสบทกลางคือสวากขาโต ใช้ศัพท์ว่า ธัมโม ไม่งั้นก็ใช้ในนั้นจุดใดจุดหนึ่งก็เป็นธัมมานุสสติ อย่าง สังฆานุสสติ ก็ภาวนาว่า สังโฆ หรือว่าใช้ในบทภาวนาในอิติปิโสท่อนปลายคือสุปฏิปันโน อย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นสังฆานุสสติ
    ในคำภาวนาถ้าจะใช้เฉพาะกิจ ก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน จะว่าแต่พุทโธอย่างเดียวก็ไม่ได้ อย่างบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทต้องการจะไปพระนิพพาน อันนี้พระพุทธเจ้าให้ใช้อุปสมานุสสติกรรมฐาน อุปสมานุสสติกรรมฐานเขาถือว่าให้นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าใช้บทภาวนาตามที่พระที่ท่านไม่อยากจะเกิด และท่านก็เกิดไม่เป็น ท่านพวกนี้ใช้คำภาวนาว่า นิพพานัง สุขัง อุปสมานุสสตินี่ใช้คำภาวนาว่า นิพพานัง ก็ได้ นิพพานัง สุขัง ก็ได้ แต่ว่าส่วนใหญ่พระที่ทำถึงจุดใหญ่สุดท้าย ท่านแนะนำว่าให้ใช้คำภาวนาว่า นิพพานัง สุขัง ถ้านึกไว้เป็นปกติอันนี้จะดีมาก คือว่าเราคิดว่าจะไปนิพพานด้วย แล้วก็ภาวนาไว้เพื่อพระนิพพานด้วย จนกระทั่งขึ้นใจ จะเห็นว่าคำภาวนานี่ไม่เหมือนกัน ใช่ไหม
    และก็ถ้าหากว่าเราจะไปใช้ในด้านกสิณ กสิณก็มีคำภาวนา ๑๐ อย่าง ไม่ได้เหมือนกันเสมอไป อย่างปฐวีกสิณก็ ปฐวีกสิณัง อาโปกสิณก็ อาโปกสิณัง วาโยกสิณก็ วาโยกสิณัง ใช่ไหม อย่างกสิณสีแดงก็ โลหิตกสิณัง กสิณสีเหลืองก็ ปีตกสิณัง อะไรพวกนี้ นี่คำภาวนาถ้าเราไปพบใครที่ภาวนาไม่เหมือนเรา จงอย่าว่าเขาผิด นี่ขอบอกไว้ก่อนนะ เพราะเคยพบบ่อยๆ ถ้าไปพบคนที่ภาวนาไม่เหมือนกัน ก็หาว่าเขาผิดเสียนี่ ถ้าเขาผิดเมื่อไรก็แสดงว่าเราผิดเมื่อนั้นแหละ เราเป็นผู้ผิดเพราะเราไม่เข้าใจรอบคอบ เราศึกษาไม่ครบ
    ก็เป็นอันว่าญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าประสงค์จะชนะนิวรณ์ หรือว่าชนะความกังวล ก็ให้ใช้อานาปานุสสติกรรมฐานเป็นพื้นฐาน คำว่าอานาปานุสสติกรรมฐานคือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และก็เฉพาะอานาปานุสสติกรรมฐานนี่ ท่านทำกรรมฐานกองอื่นนอกจากนี้ก็ต้องขึ้นด้วยอานาปานุสสติ ถ้าทิ้งอานาปานุสสติแล้วกรรมฐานกองนั้นจะไม่มีผลถึงฌานสมาบัติ อานาปาฯ นี่ถ้าจะศึกษาถึงอรหัตผล ก็ไปฟังเทปหมวดอานาปาฯ ปี ๒๕๒๑
    สำหรับวันนี้ก็ขอพูดเรื่องก้าวแรกของพระนิพพาน ก้าวแรกของพระนิพพานคือตัดโลภะ ความโลภ แต่ว่าคณะของเรานี้เห็นจะไม่ยากเรื่องการตัดความโลภ แต่ก็อย่าลืมนะว่าคนที่เขามีความขยันหมั่นเพียร หาเลี้ยงชีวิตโดยชอบธรรม อย่าไปหาว่าเขาโลภนะ ถ้าไปหาว่าเขาโลภเราผิดอีก ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงมีศัพท์อยู่ ๒ ศัพท์ คือ โลภะ ความโลภ กับ สัมมาอาชีวะ ถ้าหาเลี้ยงชีวิตโดยชอบธรรม ที่เขาไม่คดไม่โกงใคร เขามีความขยันหมั่นเพียร
    อันดับแรกทุนน้อยมีความยากจน และเขายากจน และสามารถสะสมทรัพย์สินได้เป็นล้านเป็นพันล้าน เป็นหมื่นล้านก็ตาม อันนี้ไม่ถือว่าเขาโลภ เป็นการหาเลี้ยงชีวิตโดยชอบธรรม เพราะการเลี้ยงชีพอย่างนั้นไม่มีโทษทางวินัยและทางธรรม คือว่าไม่ใช่ทางลงอบายภูมิ ถ้าความโลภนี่มันต้องทางลงอบายภูมิ สำหรับคำว่าโลภก็หมายความว่าอยากจะโกงเขา อยากจะยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของเขา ปล้นขโมยเขา อย่างนี้เป็นต้น
    ทีนี่วิธี ตัดความโลภ พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ใช้ ทาน การบำเพ็ญทานกองการกุศลทานนี่ก็ต้องคิดกันหลายระยะ คุณค่าไม่เสมอกัน ให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน คุณค่าก็น้อยไปหน่อย แต่ต้องให้ ใช่ไหม เพราะให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉานนี้ลงทุนน้อย ก้างก็ได้ ใช่ไหม เศษอาหารก็ได้ เราจะทิ้งมันเสียเปล่า ก่อนที่เราจะทิ้ง เราไม่ใช้มัน ก็ใช้มันเป็นประโยชน์ คือว่า กระดูกเป็ด กระดูกไก่ กระดูกหมู เราไม่กิน หมาชอบ ใช่ไหม แต่นั่นมันชอบจริงๆ เราก็ให้เป็นประโยชน์แก่มัน
    แต่ว่าการให้ต้องให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ อย่าหวังว่าเราเลี้ยงสุนัขไว้คุ้มขโมย เลี้ยงแมวไว้เพื่อกัดหนู อันนี้ไม่มีผลในการให้ทานนะ ต้องให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์….
    และการให้ทานกับคนที่มีศีลก็มีอานิสงส์มากกว่าให้กับคนที่ไม่มีศีล การให้กับคนที่มีฌานสมาบัติก็มีอานิสงส์มากกว่าให้ทานกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์ ตามลำดับขึ้นไปนะ จนกระทั่งถวายสังฆทาน มีอานิสงส์สูงมาก ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
    แต่ว่าการถวายทานใดๆ ก็ตาม ถ้าเราให้เฉยๆ ให้ธรรมดาอานิสงส์ดีมาก แต่ว่าการตัดกิเลสยังเบาไปนิดหนึ่ง ถ้าจะตัดให้หนัก
    ให้ชนะความโลภจริงๆ ก็ควรมีจาคานุสสติกรรมฐานประจำใจด้วย ตัวจาคานุสสติกรรมฐานนี่ยังไม่ได้ลงทุนนะ ลงแต่กำลังใจ ให้คิดว่าคนก็ดีสัตว์ก็ดี พระภิกษุสามเณรก็ดี ใครก็ตามที่มีความทุกข์มา ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะสงเคราะห์ได้ เราจะสงเคราะห์ตามกำลัง ให้จิตตัวนี้คิดไว้เสมอ…ทีนี้การสงเคราะห์ก็ต้องดูนะ อย่าให้มันเกินพอดี ให้ไปแล้วอย่าให้เราเดือดร้อน ถ้าเราเดือดร้อนเป็น อัตตกิลมถานุโยค พระพุทธเจ้าทรงติเตียน ไม่สรรเสริญ ถ้าให้แล้วเป็นการเบียดเบียนตัวเอง ให้แล้วเกิดไม่มีกิน เกิดไม่พอกินขึ้นมาจิตมันจะเศร้าหมอง ให้ตามควร ถ้าเขามาขอเรา ถ้าเราไม่มีจะให้ หรือมีเพื่อกินเราแบ่งไม่ได้ แบ่งแล้วมันอดกช
    ก็แนะนำว่า บ้านโน้นบ้านนี้เขามีจิตใจดี เขาอาจจะให้ สงเคราะห์ไป นี่ก็เป็นการให้เหมือนกัน ให้การแนะนำ…
    ก็รวมความว่าวิธีที่เราจะชนะโลภะ ความโลภ เป็นของไม่ยาก พิจารณาดูจิตของเราว่า จิตของเราเคยคิดที่จะโกงชาวบ้านบ้างไหม คิดอยากจะขโมยใครบ้างไหม ขณะที่ไม่มีของขโมย ยังไม่แน่ ถ้ามีของที่จะขโมย โอกาสที่จะโกงมีได้จริงแต่เราไม่ทำ ตัวนี้แน่นอน ใช่ไหม ถ้าทำถึงตอนนี้ละก็ทุกคนพึงทราบว่า ท่านผู้นั้นหรือทุกคนที่ทำได้ เป็นผู้ชนะโลภะความโลภแล้ว
    การที่เราชนะความโลภได้ คือมี
    ๑. จิตคิดจะให้
    ๒. ให้ได้ด้วย
    แต่ว่าการที่จะให้ได้มันมีเหตุ ๒ ประการ อันดับแรก มี เมตตา ความรัก อันดับสอง มี กรุณา ความสงสาร คือโดยปกติ คนที่เราใจให้ได้ก็ต้องให้กับคนที่เรารัก คนที่เรารักคือรู้จักคบหาสมาคมกันอยู่ รู้จักกันอยู่ ถ้าเขามีความเดือดร้อน เรารับว่าเขาดีเราให้ แต่คนอื่นอีกประเภทหนึ่งเราไม่รู้จัก ไม่เคยรัก แต่เขามีทุกข์ เกิดความสงสารขึ้นมาเราจึงให้ ใช่ไหม ถ้าคนที่ประกาศเป็นศัตรูกับเราให้ได้ไหม ให้เหมือนกัน อาจจะให้ตะพด ให้ลูกปืน ใช่ไหม คือว่าเราให้ไม่ได้
    ฉะนั้นทุกคนจงอย่างลืมว่า ตัวรักกับตัวสงสารเป็นตัวตัดโทสะ ถ้าเรามีการให้ทานได้จริงๆ จิตทรงชนะกิเลส คือชนะโลภะได้ ชนะความโลภได้ คือ
    ๑. จาคานุสสติ คือคิดว่าจะให้
    ๒. เรามีความรักในบุคคลนี้ เราให้ในเมื่อเขามีความทุกข์
    ๓. เราไม่เคยรัก แต่เราสงสาร
    ตัวนี้อย่างลืมนะ ตัวทานตัวเดียวนะ อย่าลืมว่าบารมี ๑๐ อย่าง ขึ้นต้นด้วยทาน ถ้าเราจะพูดกันอย่างย่อในวันนี้ ก็หมายความว่าเรามีทานตัวเดียวแน่นอน เราสามารถชนะความโลภก็ได้ด้วย ชนะความโกรธก็ได้ด้วย ใช่ไหม ถ้าชนะความโลภได้ ชนะความโกรธได้ ความหลงมันจะอยู่กับใคร….

    จากหนังสือ “คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๒๐” หน้า ๑๐๕ – ๑๑๑
    ภาพจาก คุณสุพัฒน์
    โพสต์โดย achaya

    1504630036_375_วันนี้วันพระ-ตรงกับวันพ.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    วันจักรี ซึ่งตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี ร่วมระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และมหาจักรีบรมราชวงศ์

    “…คนที่จะสละแบบนี้มันหายาก ทั้งสองพระองค์หายากเสียด้วยกันทั้งคู่ คือ พระเจ้าตากสิน ก็ยอมเสียชื่อเสียงที่ทำตนเป็นคนบ้า และรัชกาลที่ ๑ ก็ต้องยอมเสียชื่อ ในฐานะที่เป็นกบฎ เป็นอันว่า ทั้งสองพระองค์นี่ เสียสละเพื่อชาติหมดทั้งคู่ ใช่ไหม ไอ้กบฎมันดีนักหรือ ใช่ไหม ไม่ดี แต่ถามท่าน ท่านบอก “ไม่ทำอย่างนี้บ้านเราพัง”…”

    เสียสละเพื่อชาติ

    …วันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเสด็จประทับอยู่ในห้องเจริญพระกรรมฐาน เวลานั้นเป็นเวลากลางวัน พระองค์ทรงฉลองพระองค์ขาว คือนุ่งผ้าขาวห่มสไบเฉียงขาว มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานไปตามสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เวลานั้นมีตำแหน่งคล้ายๆ มหาอุปราชเข้ามาเฝ้า…
    เป็นอันว่าพระเจ้าตากสินเมื่อสั่งให้พระพุทธยอดฟ้าฯ มาเฝ้า เป็นเพื่อนเก่ากัน สั่งด้วยว่าให้แต่งชุดรบให้ครบถ้วน และขัดดาบมาด้วย พระพุทธยอดฟ้าได้ฟังก็ตกใจว่า เอ๊ะ! ข่าวคราวทั้งหลายมันก็เงียบ นี่สงครามอาจจะเกิดขึ้นที่ไหนพระองค์จึงได้สั่งแบบนี้ เพราะอาศัยความจงรักภักดีของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกที่มีกับพระเจ้าตากสินมหาราช ทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน ก็ยอมรับนับถือเคารพ ความจริงคนโบราณเขามีความกตัญญูรู้คุณ
    เมื่อมาถึงแล้วก็เห็นว่าพระเจ้าตากสินเสด็จประทับอยู่องค์เดียว ก็ตกใจคิดว่าคงจะประชุมอำมาตย์ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด แต่ไม่มีใครเลย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเห็นว่าเป็นการไม่สมควร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่พระองค์เดียว แล้วตัวเองจะขัดดาบเข้ามาอย่างนั้น ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งจึงถอยหลังไปทำท่าจะถอดดาบออกทั้งฝัก ไม่ใช่ถอดเฉพาะคมออกมา ขยับจะเอาดาบออก
    พอดีพระเจ้าตากสินมหาราชเห็นเข้าพอดี พ่อไม่ขอใช้ราชาศัพท์ จึงตรัสว่า “นั่นใคร ด้วงรึ เข้ามาสิ เอาดาบเข้ามาด้วย อย่าเอาออก”
    สมเด็จเจ้าพระมหากษัตริย์ศึกก็หมอบคลานเข้าไปเฝ้า และก็ถอดดาบออกวางไว้อยู่ใกล้ประตู ตัวก็คลานเข้าไป พระเจ้าตากสินมหาราชจึงมีพระราชดำรัสตรัสว่า “ด้วง เอาดาบเข้ามาใกล้ๆ “
    สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงได้เอามือกระทุ้งดาบออกไปเสียนอกประตูเลย และก็มีหญิงคนหนึ่งมาเก็บดาบไป เมื่อเข้าไปใกล้ไม่มีใคร พระเจ้าตากสินมหาราชก็ตรัสถามว่า “ด้วง อยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม”
    สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็กราบทูลว่า “ไม่เคยคิดเลย พระพุทธเจ้าข้า”
    พระเจ้าตากสินก็บอกว่า “ด้วง ไม่ได้หรอกนะ ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่ามันมีความจำเป็นมาก ด้วงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันน่ะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่มีทรัพย์ไม่มีสิน เพราะว่าการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ฉันไม่สืบเชื้อสายมา ทรัพย์สินทั้งหลายมันก็ไม่มี เวลานี้ฉันเป็นหนี้ข้าราชการ ไม่ได้ให้เบี้ยหวัดเงินปีเขามาก เงินที่เราจะใช้กัน ความจริงการปกครองประเทศมันใช้เงินมากจริงๆ ก็ต้องกู้เจ้าสัวเขามาจากเมืองจีน นี่อีกไม่ช้า เขาจะมารับเงินเก่าพร้อมดอกเบี้ยและก็ให้เรากู้ใหม่ การรับเงินเก่าเพียงแค่ต้นทุนเราก็ไม่มีให้เขาแล้ว ไม่พอให้เขาแล้วแถมดอกเบี้ยอีก ฉันจะเอาที่ไหน แล้วพวกข้าราชการของเราก็ไม่ได้จ่ายกัน รบราฆ่าฟันทำงานกันหนัก ฉันเป็นหนี้เขามาก”
    “เวลานี้เขมรขบถคิดทรยศ ด้วงจงยกทัพไปที่เขมรและก็เอาลูกชายฉันไปด้วย ถ้าหากว่าถ้ายึดเขมรได้ ลูกชายของฉันอย่าเอาเข้ามาเลย ให้ครองอยู่ที่เขมร แล้วกลับเข้ามาที่นี่ด้วงจงมายึดพระนคร ฉันจะบวชพระ ทำเป็นบ้า และก็ด้วงก็กำจัดฉันออกจากราชสมบัติเท่านั้นก็พอ…
    “และในเมื่อด้วงทำงานคราวนี้ ต้องทำเป็นรูปปฏิวัติ หรือว่าทำในรูปกบฎยึดอำนาจจากฉัน แต่ว่าการยึดอำนาจกันเฉยๆ เขาจะหาว่าด้วงเป็นคนอกกตัญญู และก็เห่อเหิมมาก ฉันจะทำทีเหมือนว่าเป็นนักบวช แล้วก็ทำเป็นคนสติฟั่นเฟือน ในที่สุดกลับมาแล้ว ด้วงก็จับฉันประหารชีวิต แต่ว่าการประหารชีวิตน่ะ ด้วงจะประหารจริงๆ หรือว่าจะประหารหลอกๆ ขอให้เป็นวิธีการของด้วง ฉันพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติ”
    เห็นมั้ยลูกที่รัก คนดีท่านทำกันอย่างนี้ ท่านไม่มานั่งเมามันว่า ต้องการรัฐธรรมนูญต้องการรัฐสภา เวลาที่ประกาศ เวลาที่ประกาศกับประชาชนว่าต้องการเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย แต่เมื่อเลือกเข้าไปได้แล้ว ก็อยากจะเป็นรัฐมนตรี มุ่งความเป็นใหญ่
    แต่นี่พระเจ้าตากสินท่านไม่ต้องการอย่างนั้น ในเมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยนั้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงทราบตามความเป็นจริง แล้วก็พระเจ้าตากสินก็มีพระทัยมั่นคง ต้องการให้พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ เพราะว่าท่านกู้เงินของจีน ถ้าไม่มีเงินให้เขา อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนน่ะกำลังต่างกัน เราเองก็เพิ่งจะตั้งตัวใหม่ๆ จีนเขาใช้กำลังใกล้ๆ เราก็สู้เขาไม่ได้ ถ้าเขาหาว่าโกง นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้ …
    แล้วมาตอนหนึ่งที่คนคิดว่าพระเจ้าตากสินนั่นบ้า เอาพระมาบังคับให้พระไหว้ แต่ความจริงเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ตามที่ท่านเล่าสู่กันฟัง พระที่กระทำความผิด ท่านให้นำตัวเข้ามาในพระราชฐาน แล้วก็เก็บพระไว้ในที่ลับ เอานักโทษที่เอามาโกนหัวแล้วให้นุ่งผ้าเหลือง
    ผ้าเหลือง แล้วก็เฆี่ยนให้ประชาชนดู บอกว่า นี่แม้แต่พระทำความผิดยังต้องถูกลงโทษ ถ้าพวกประชาชนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระมีความผิดจะต้องตาย
    ไอ้ข่าวลือนี้ก็ลือไป หาว่าพระเจ้าตากสินบ้า เฆี่ยนกระทั่งพระกระทั่งเจ้า อันนี้เป็นอาการที่แสดงออกให้คนเขาคิดว่าพระองค์เสียพระสติจริงๆ
    ต่อมาเมื่อพระยาสรรค์เข้าไปจับ จึงได้จับได้ง่ายตามนโยบาย และก็เอาไปขังไว้ที่วัดระฆัง ในที่สุดพระยาสรรค์บุรีก็กำเริบ ไม่รู้เรื่องความเป็นจริงจะยึดอำนาจครองแผ่นดินเสียเลย จะไม่ยอมให้แผ่นดินแก่ใครทั้งหมด นั่นแน่! เก่งมา ในที่สุดความโลภย่อมฆ่าคนชั่ว คือ พระยาสรรค์บุรีต้องตาย
    เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเห็นบ้านเมืองยุ่งเหยิงผิดไปแบบนั้น ก็ต้องยกทัพกลับ มาถึงวัดสระเกศ พักทัพอยู่ วัดสระเกศเดิมทีชื่อวัดสะแก พักทัพอยู่ตรงนั้น มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ไปเชิญขึ้นครองราชย์ เพราะรู้สึกว่าพระเจ้าตากสินบ้าเสียแล้ว พระยาสรรค์บุรีคิดขบถพยศถูกจับได้
    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาจึงทรงสระผมที่นั่น สระเกศาที่นั่น สระเกศคือสระผม แต่งตัวอาบน้ำที่นั่น เสร็จแล้วจึงเสด็จเข้ามาถึงที่กรุงธนบุรี วัดนั้นจึงมีนามใหม่ว่าวัดสระเกศ และเข้ามาเถลิงราชย์ พิจารณาความผิดของพระเจ้าตากสินว่าบ้าใบ้กระทำความชั่วเฆี่ยนตีกระทั่งพระ จึงได้สั่งประหารชีวิต
    การประหารชีวิตพระราชาสมัยนั้น เขาใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทน์เดิมทีเดียวเข้าต้องการนักโทษที่จะต้องถูกประหารชีวิต เอาตายแทน ใส่กระสอบออกไปจากที่ลับ ไม่รู้ใครเป็นใคร และก็ทุบให้ตาย ศพก็โยนฝังไป มันก็หมดเรื่อง แต่ว่ามีคนๆ หนึ่งที่มีความจงรักภักดีแด่พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นราชวัลลภมหาดเล็กผู้ใกล้ชิด ขออาสาตายแทน ในที่สุดคนนั้นก็จำเป็นจะต้องตาย เพราะไม่ตายเดี๋ยวปากแกมาก แกพูดไปว่าไอ้เรื่องฆ่ากันไปเป็นความจริง มันจะยุ่ง
    ในที่สุดก็ต้องฆ่าเอาแกใส่กระสอบไปแทน ฆ่าแล้วพระเจ้าตากสินมหาราช อาศัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเวลากลางคืนใช้ขบวนห้อมล้อมกันไปใช้พาหนะบรรทุก เอาไปเก็บไว้ที่ปากท่อเพราะสถานที่ตรงนั้นสร้างไว้ก่อนแล้วเรียบร้อย พักที่ปากท่อพอสมควร
    ต่อมาพระเจ้าตากสินมหาราชคิดว่า ที่ตรงนี้ไม่ลี้ลับอาจจะมีคนรู้เห็นได้ สมัยนั้นมันก็เป็นป่าพอสมควร จึงขยับขยายไปที่นครศรีธรรมราช ไปเลยน้ำตกพรหม เลยเข้าไปเป็นป่าชัฏ เวลานี้ยังไปยังรู้สึกสงัดๆ มันยังเป็นป่า เป็นที่ลับจริงๆ เวลานั้นถือว่าเป็นป่าดงดิบและก็เป็นถ้ำเล็กๆ ไม่มีใครไป…
    เป็นอันว่าเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ทราบมาจากผี ลูกรักจริงไม่จริงเพียงใดก็ช่าง…
    พระเจ้าตากสินมหาราช ยอมเสียชื่อว่าตัวเองเป็นบ้าและถูกออกจากกษัตริย์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ต้องยอมเสียชื่อในฐานะเป็นกบฏ แต่ความจริงทั้งสองท่านนี้ทำเพื่อไทยทั้งชาติ ให้ชาติไทยทรงอยู่
    นี่ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ ถ้ามีความจำเป็น เราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตเวลานี้ของพ่อก็ดี ชีวิตของลูกก็ดี อยู่ในช่วงของอันตราย จะเห็นว่า ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มีบุคคลบางกลุ่มไม่ทราบมาจากไหน ส่งมือปืนมาเพื่อจะยิงพ่อที่วัดเกินกว่าสิบครั้ง แล้วก็หาทางก่อวินาศกรรมเกินกว่าห้าครั้ง บางครั้งก็ส่งมือปืนมาเวลากลางคืนถึงสองคันรถปิคอัพ เพื่อจะทำลายทั้งสถานที่และทำลายชีวิตพ่อ แล้วก็การไปที่ไหนก็มีการถูกติดตามอยู่เสมอ
    ทั้งนี้ทำไม เขาว่าอย่างไร เขาหาว่าพ่อน่ะเป็นคนขัดคอเขา ความจริงพ่อทำเพื่อเป็นการสงเคราะห์ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนไทยทั้งชาติมีความสามัคคีกัน แต่พ่อไม่มีวาสนาบารมีให้คนไทยทั้งชาติให้มีความสามัคคีกันได้ แต่ทำได้เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เขาไม่ชอบใจ…
    ฉะนั้น ชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจว่าจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน เพียงแค่สังขารมันก็แย่อยู่แล้ว มันคอยจะตายอยู่แล้ว แล้วก็ยิ่งมาถูกการคิดประหัตประหารแบบนี้เข้าอีก พ่อก็ยังไม่มั่นใจว่า ชีวิตจะอยู่ไปนานสักเพียงใด
    ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคน คำสอนอันใดที่พ่อให้ไว้กับลูก ลูกจงถือว่าคำสอนนั้นนั่นแหละคือพ่อของเจ้า สำหรับร่างกายของพ่อนี่เล่า ลูกอย่าถือมากเกินไป เพราะว่าชีวิตและร่างกาย เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ตามสภาวะของท่าน
    เป็นอันว่า พ่อเห็นชีวิตไม่มีความสำคัญ ความสำคัญมีอยู่อย่างเดียวว่า ทำอย่างไรเราจะทำให้ไทยเป็นไทตลอดไป การลงทุนลงรอนใดๆ ก็ตาม พ่อทำทุกอย่างด้วยมือเปล่า พ่อไม่ได้สะสมเงินทองอย่างเขาทั้งหลาย ที่เขาลือกันว่าพระมีเงินเป็นล้านๆ เป็นสิบล้านยี่สิบล้านนั้นไม่ใช่พ่อ พ่อมีแต่หนี้ และลูกของพ่อก็เป็นคนดี ส่งเสริมสงเคราะห์พ่อทั้งๆ ที่เงินทองของลูกก็ไม่ค่อยจะมีกันนัก เราไม่ใช่คนรวย ไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่เพราะอาศัยกำลังใจดีของลูก พ่อชื่นใจ พ่อสบายใจ
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งลูกชายและลูกหญิงของพ่อ เวลานี้ก็ได้อภิญญาสมาบัติกันหมดแล้ว พ่อต้องถือว่าหมด คนที่อยู่ในช่วงใกล้ไม่มีใครไม่ได้
    ขอลูกทั้งหลายจงถือว่าอภิญญาสมาบัติที่พ่อให้ เป็นสมบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานมา ถ้าพ่อตายลงไปเมื่อไร ขอลูกจงเข้าใจว่าอภิญญาสมาบัตินี่แหละคือชีวิตของพ่อ ที่อยู่กับใจลูกอยู่กับการของลูกตลอดเวลา คิดถึงพ่อเมื่อไรก็จงคิดถึงอภิญญาสมาบัติที่ลูกได้ และลูกเองก็จะมีความภูมิใจว่า ลูกได้อยู่กับพ่อตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก

    จากหนังสือ “พ่อสอนลูก” ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๑ หน้า ๒๔๑ – ๒๔๔, ๓๐๘ และ ฉบับปี พ.ศ.๒๕๕๒ หน้า ๑๘๖- ๑๙๑
    ภาพจากwww.board.fortunestars.com
    โพสต์โดย achaya

    -ซึ่งตรงกับวันท.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
  19. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    คณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ และ ศูนย์สงเคราะห์ฯ นำโดย พระปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ ออกเดินทางจากวัดจันทาราม(ท่าซุง) วันที่๕ เม.ย เวลา ๑๔.๐๐ น. เพื่อปฎิบัติภาระกิจ ตรวจการสร้างฝายที่แล้วเสร็จ , ติดชื่อฝาย, ร่วมดำเนินการสร้างฝาย ตรวจงานเครื่องกรองน้ำ, สำรวจพื้นที่เตรียมสร้างอาคารพักนอน และ สำรวจพื้นที่สร้างฝายถาวร สาเหตุ ที่ต้องไปในช่วงนี้เนื่องด้วย เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ทำงานและอาทิตย์นี้เป็นวันจักรีจึงหยุดได้หลายวัน และ เป็นช่วงหน้าแล้งฝนไม่ตก ถ้าไปล่าช้ากว่านี้ก็อาจจะมีปัญหาการเข้าพื้นที่และทำฝาย ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนรถก็จะไม่สามารถเข้าพื้นที่ไปได้ภาพโดย เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯและมูลนิธิฯโพสโดย Mk

    .jpg
    1504969984_173_คณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ.jpg
    1504969984_716_คณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ.jpg
    1504969985_629_คณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ.jpg
    1504969985_348_คณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ.jpg
    1504969986_283_คณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ.jpg
    1504969986_828_คณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ.jpg

    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...