ข้อความจากต่างมิติ - โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) - Part 1+2

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 สิงหาคม 2014.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    โอ..ข้อความนี้แต่ละตอนมีความยาวมาก
    แถมยังมีถึง 2 ตอนอีกต่างหาก..
    ซึ่งผมก็รวมเอามาแปลและโพสต์ในกระทู้เดียวกันนี้ทั้งหมดเลย

    และมิหนำซ้ำก็มีเนื้อหาที่ยากต่อความเข้าใจมากๆซะด้วย
    เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์อยู่มาก
    แต่ก็ไม่ได้หมายถึงวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ทั้งหมดหรอกนะครับ
    เพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่าง
    ครายออนก็พูดถึงสิ่งที่พวกเรายังไม่ค้นพบกันด้วย

    และเพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็ขอให้ทุกๆท่าน
    โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลเอาเองนะครับ


    .......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 1

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1997
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice PI

    ตอนที่: 1


    สวัสดีที่รักทั้งหลาย ฉันคือครายออนแห่งหน่วยบริการแม่เหล็ก

    โอ..มันเป็นเรื่องที่ดีมากที่ได้กลับมาอยู่ในพลังงานนี้อีกครั้งหนึ่งต่อหน้าพวกคุณ คืนนี้จะเป็นคืนที่แตกต่างไปจากคืนก่อน
    เพราะว่า ณ.สถานที่แห่งนี้มันจะมีหลายคนที่เปลี่ยนไป..ด้วยความเต็มใจ พวกคุณบางคนจะได้เห็นเป็นครั้งแรก
    ว่าความรักที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไร และก็จะได้เห็นว่ามัน “จับมือ” กับส่วนที่เป็นจิตวิญญาณที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณ
    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวมทั้งหมด..อย่างไร? คืนนี้จะเป็นการเปิดเผยถึงองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญบางอย่างให้พวกคุณได้รู้
    เพราะว่าพวกคุณพร้อมแล้วที่จะได้รู้ และมนุษย์โลกที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็พร้อมอย่างเต็มที่ที่จะฟังมันแล้ว

    โอ..ครอบครัวที่รักทั้งหลาย ที่พวกเรามารวมตัวกันที่นี่และในคืนนี้นั้น แม้ว่าพวกเราจะมีจำนวนไม่มากนักก็ตาม
    ก็เพื่อที่จะมารู้สึกถึงความรักของ “บ้าน” กัน และพวกเราก็อยากจะบอกพวกคุณว่า
    พวกคุณบางคนอาจจะรู้สึกไม่เข้าใจอยู่ซักพักหนึ่ง ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เสียงที่กำลังได้ยินอยู่นี้
    (หรือข้อความที่กำลังอ่านอยู่นี้) ไม่ได้มาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคู่หูของฉัน
    ซึ่งเป็นผู้ที่กำลังพูดมันออกมาให้พวกคุณได้ฟังกันอยู่ในขณะนี้อีกต่อไปแล้ว แม้ว่าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้
    (ในระหว่างการสัมนา) เขาจะเป็นคนพูดให้พวกคุณฟังเองก็ตาม โอ..ไม่เลย ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
    เพราะว่าตอนนี้พวกคุณกำลังฟังเสียงที่มาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของรูปธรรมชีวิตหนึ่งอยู่ ซึ่งรักพวกคุณมากเหลือเกิน
    และรูปธรรมชีวิตที่ว่านี้ก็มีแก่นแท้เป็นพระเจ้าซะเองด้วย และก็เป็นผู้ที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของพวกคุณดีซะด้วย
    รูปธรรมชีวิตนี้คือผู้ที่รักพวกคุณมากกว่าใครๆในจักรวาลแห่งนี้ และก็เป็นผู้ที่ล่วงรู้ถึงความลับทุกอย่าง
    แม้จะเป็นความลับที่เก็บไว้มิดชิดที่สุดของพวกคุณก็ตาม แต่รูปธรรมชีวิตนี้ก็ไม่เคยตัดสินชี้ถูกผิดใดๆให้แก่พวกคุณเลย

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    โอ..จงฟังให้ดีนะ มนุษย์โลกผู้ประเสริฐ คือรูปธรรมชีวิตในจักรวาลที่ยอมเสียสละตัวเอง
    เพื่อมาเกิดบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ และก็ยินยอมพร้อมใจที่จะมาอยู่ในร่างกายเนื้ออันเปราะบางนี้
    และยินยอมที่จะเก็บซ่อนความดีเลิศและความสง่างามของตัวเองเอาไว้ และยินยอมที่จะเก็บซ่อนความดีเลิศ
    และความสง่างามของเมอร์ขะบะห์ของตัวเอง และสีสันของตัวเองเอาไว้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้มายืนเคียงข้าง
    อยู่กับมวลหมู่มนุษยชาติทั้งหลาย และก็เพื่อที่จะพยายามจดจำตัวตนที่แท้จริงของตัวเองให้ได้
    มันไม่มีความรักใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว จึงได้ทำให้พวกคุณยอมเสียสละตัวเองมากมายถึงเพียงนี้
    ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้มาอยู่ที่นี่ และมาทำให้โครงสร้างทั้งผืนของจักรวาลแห่งนี้ เปลี่ยนแปลงไป!

    ใช่แล้ว..พวกคุณฟังไม่ผิดหรอก เพราะว่าสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่ที่นี่ บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ และในภพชาตินี้นั้น
    มันจะไปเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสิ่งต่างๆมากมาย ในแบบที่พวกคุณคิดไม่ถึงเลยทีเดียวหละ
    เพราะฉะนั้น พวกเราจึงอยากจะขอใช้โอกาสนี้เพื่อล้างเท้าให้กับพวกคุณสักครู่ (หยุด)
    ซึ่งนี่ก็เป็นแบบแผนและวิธีการอย่างหนึ่งของครายออน ที่ในระหว่างการสอน ก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเสมอ

    ดังนั้น พวกเราก็จะมาพูดถึงสิ่งต่างๆที่พวกคุณหลายคน เคยได้ยินได้ฟังกันมาก่อนหน้านี้แล้วอีกครั้งหนึ่งโดยปริยาย
    ว่าที่พวกเรามาอยู่ที่นี่กันในคืนนี้ ก็เพื่อที่จะมาทำให้พลังงานของพวกคุณคุ้นเคยกับพลังงานอันนี้อีกครั้งหนึ่ง
    และก็เพื่อที่จะมายื่นมือของพวกเราออกไปแล้วจับเท้าของมนุษย์แต่ละคนเอาไว้ ทีละข้างๆ
    แล้วก็ค่อยๆบรรจงล้างมันด้วยน้ำตาแห่งความสุขของพวกเรา และผู้ที่กำลังเดินอยู่ระหว่างแถวที่นั่งของพวกคุณอยู่ในขณะนี้
    ก็คือบรรดารูปธรรมชีวิตที่พวกคุณก็รู้จักแล้ว ซึ่งก่อนที่การสอนในครั้งนี้จะจบลง พวกคุณจะสามารถรู้สึกถึงพวกเขาได้
    ในตอนที่พวกเขาห้อมล้อมพวกคุณ และโอบกอดพวกคุณ แล้วก็บอกพวกคุณว่าพวกเขารักพวกคุณ

    ในห้องนี้มีเหล่าวิญญาณผู้ที่ติดตามมนุษย์แต่ละคนมา จำนวนมากกว่ามนุษย์เองหลายเท่าตัว
    และในคืนนี้ ขณะที่พวกเรากำลังดำเนินการสอนอยู่นี้ พวกเรากำลังจะบอกพวกคุณว่ากลุ่มผู้ติดตามเหล่านี้
    จะใกล้ชิดพวกคุณมากขึ้นกว่าเดิมอีก และในการสอนครั้งนี้ มันก็จะมีพวกคุณหลายคนที่จะอนุญาตให้ตัวเอง
    สามารถดำเนินชีวิตต่อไปด้วยเจตจำนงอันบริสุทธิ์ได้ และก็จะเข้าใจในสิ่งที่พวกเรากำลังจะสอนต่อไปนี้ได้ด้วย
    ข้อความในคืนนี้อาจจะดูเหมือนว่าเป็นข้อความแรกที่จะไม่ใช่ข้อความแบบเป็นส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว
    แต่เมื่อพวกเราดำเนินต่อไปเรื่อยๆแล้ว พวกคุณก็จะเข้าใจว่าทำไมข้อความนี้ถึงได้มอบให้กับพวกคุณในเวลานี้
    และเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

    ช่วงเวลาที่พวกคุณให้การยอมรับกระบวนการที่พวกคุณเรียกกันว่า “การสื่อสารแบบจิตสู่จิต” (Channeling) แบบนี้
    เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่ามากสำหรับเหล่าวิญญาณ (Spirit) ทั้งหลาย เพราะว่ามันหมายความว่า
    พวกคุณอาจจะได้มาฟังข้อความชุดนี้ยังไงหละ ฉันกำลังบอกพวกคุณว่าเหล่าวิญญาณทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ติดตามมนุษย์มานั้น
    ได้พากันมารอคอยอยู่ในที่มืดอย่างอดทน ภายในห้องๆนี้นานแล้ว ก่อนที่พวกคุณจะมาถึงที่นี่ซะอีก
    พวกเขามาตระเตรียมพลังงานเอาไว้ให้กับพวกคุณ พวกเขาพากันตื่นเต้นที่จะได้เห็นมนุษย์โลกผู้ที่จะมานั่งลงบนเก้าอี้เหล่านี้
    พวกเขาทุกๆรูปธรรมรู้จักชื่อของพวกคุณทุกๆคน ซึ่งเป็นชื่อที่พวกคุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน
    แต่ว่าชื่อเหล่านั้นก็เป็นชื่อของ “พลังงาน” ของพวกคุณเอง พวกเขาคือเพื่อนของพวกคุณที่อยู่ ณ.อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่านพราง
    พวกเขาคือรูปธรรมชีวิตที่จะรักพวกคุณเสมอ ไปจนตลอดชีวิตของพวกคุณเอง พวกเขาคือผู้นำทาง (Guides) ของพวกคุณ
    และบางส่วนก็เป็นเพื่อนของผู้นำทางเหล่านั้น และบางส่วนของพวกเขาก็เป็นครูบาอาจารย์ของพวกคุณเองแต่ละคน
    ที่กำลังรอคอยพวกคุณ (ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นผู้ที่ได้รับการเจิมแล้ว) ให้เข้ามาในห้องๆนี้อยู่

    นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเรารู้และเห็นในการสื่อสารของครายออนแต่ละครั้งหละ พวกคุณเห็นไหมว่าพวกเรามาอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยพวกคุณอยู่
    และเมื่อใดที่พวกคุณนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว ฉันก็อยากจะบอกให้พวกคุณเข้าใจเอาไว้ด้วยว่า พวกคุณคือผู้ที่สูงส่ง
    และพวกเราก็มาที่นี่เพื่อที่จะมาพบกับพวกคุณ!

    พวกเรากำลังจะบอกอะไรบางอย่างแก่พวกคุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราไม่เคยบอกพวกคุณมาก่อนเลย
    คู่หูเอ๋ย..พวกเรากำลังจะเจาะเข้าไปในหัวข้อที่ บางส่วนของมันมีความเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ
    แต่อีกส่วนหนึ่งของมันกลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแต่ละบุคคล และคู่หูเอ๋ย ฉันอยากจะขอให้คุณค่อยๆแปลข้อความ
    ที่พวกเรากำลังจะพูดถึงอยู่นี้อย่างระมัดระวังด้วย ค่อยๆไปอย่างช้าๆเท่าที่จำเป็น เพราะว่านี่คือข้อมูลใหม่สำหรับพวกคุณ

    และกระบวนการถอดความของการสื่อสารชุดนี้ออกมาเป็นตัวหนังสือก็จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ลงในไม่ช้านี้
    และพวกเราก็สามารถที่จะมองเห็นบรรดาผู้ที่กำลังอ่านมันอยู่ได้ด้วย แม้กระทั่งในตอนนี้
    เพราะว่ามันเป็นกาลเวลาใน “ปัจจุบัน” ของพวกเขา แม้ว่ามันจะเป็นกาลเวลาใน “อนาคต” ของพวกคุณ
    ที่กำลังฟังอยู่ในขณะนี้ก็ตาม และเพราะว่าข้อความชุดนี้จะมีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างมาก
    แต่ว่า..ที่รักทั้งหลาย มันก็จะเหมือนกับเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์อื่นๆจำนวนมากมาย
    ที่พวกเราเคยนำมาเปิดเผยกับพวกคุณแล้วนั่นแหละ คือในช่วงเริ่มต้นของมันก็อาจจะดูเหมือนว่า
    เป็นอะไรที่กว้างๆและเป็นสากล แล้วจากนั้นมันก็จะกลายไปเป็นเรื่องที่
    เกี่ยวข้องกับแต่ละบุคคลอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นแล้ว จงอยู่กับข้อความนี้ต่อไปก่อน

    ที่พวกเรามาอยู่ที่นี่กัน ก็เพื่อที่จะมาเปิดเผยถึงวิถีความเป็นไปของสิ่งต่างๆให้พวกคุณรู้เป็นครั้งแรก
    เพราะว่าพวกเราไม่เคยเปิดเผยให้คนกลุ่มไหนรู้มาก่อนเลย และมันก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่มันจะถูกเปิดเผย ณ.ที่แห่งนี้
    เพราะว่าระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคนที่อยู่ตรงนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระหายใคร่รู้
    และเอาจริงเอาจัง ซึ่งฉันกำลังพูดอยู่กับเหล่า Light workers ทั้งหลายอยู่ ผู้ซึ่งกำลังชูแสงสว่างของตัวเองให้สูงขึ้นอยู่
    ฉันกำลังพูดกับพวกคุณอยู่ ที่รักทั้งหลาย (ทั้งผู้อ่านและผู้ฟัง) ฉันรู้จักหัวใจของพวกคุณ
    และฉันก็รู้ว่ามันบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหนด้วย ฉันรู้ว่าทำไมพวกคุณถึงได้มาอยู่ที่นี่กัน

    ข้อความสื่อสารชุดนี้ คือข้อความสำหรับพวกคุณแต่ละคน และก็คือข้อความสำหรับนักวิทยาศาสตร์
    และนักอภิปรัชญาทั้งหลายที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกในขณะเดียวกันด้วย เพราะฉะนั้นแล้วข้อความชุดนี้จึงจะไปไกลแสนไกล
    ดังนั้นเรามาเริ่มต้นกันเถอะ

    ............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 1

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1997
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice PI

    ตอนที่: 2

    โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lacttice)

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    คืนนี้พวกเราอยากจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับพลังงานอะไรบางอย่าง
    ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พวกคุณบางคนอาจจะคิดว่ามันคือวัตถุ แต่ว่ามันไม่ใช่ เพราะว่ามันคือปรากฎการณ์อย่างหนึ่ง
    (phenomenon) มันเป็นอะไรบางอย่างที่มีอยู่ทั่วๆไปรอบๆตัวของพวกคุณทุกๆคน
    แต่มันก็เป็นอะไรที่ลึกลับมากๆจนมีเพียงพวกคุณไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักมัน
    มันคือชิ้นส่วนที่หายไปของพลังงานที่พวกคุณเฝ้าค้นหากันมานานแล้ว
    มันคือพลังงานแห่งความรัก มันคือพลังงานแห่งวิญญาณ (Spirit) มันคือพลังงานแห่งจักรวาล
    และทั้งหมดนี้ ในคืนนี้ พวกเรากำลังจะพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่ตามศัพท์ในภาษาอังกฤษแล้ว
    พวกเราเรียกกันว่า “โครงผลึกของเอกภพ” (The Cosmic Lattice)

    ฉันจะค่อยๆส่งข้อมูลนี้ให้แก่สู่คู่หูของฉันอย่างช้าๆและอย่างระมัดระวัง
    เพื่อที่พวกคุณจะได้สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร และมันทำงานอย่างไร และก่อนหน้าที่การประชุมในค่ำคืนนี้จะสิ้นสุดลง
    พวกคุณก็จะได้เข้าใจว่าพวกคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร

    มันเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดามากๆสำหรับการสอนของครายออน ที่พวกเรามักจะเริ่มต้นด้วยอะไรที่ใหญ่ๆก่อน
    แล้วจากนั้นจึงค่อยๆเจาะลึกลงไปสู่ส่วนที่เล็กกว่าเป็นลำดับต่อไป เพื่อที่พวกคุณจะได้เข้าใจภาพรวมของมันได้
    และจะได้เข้าใจว่ามันส่งผลกระทบต่อหัวใจของมนุษย์โลกอย่างไรบ้าง

    ที่รักทั้งหลาย “โครงผลึกของเอกภพ” ที่ว่านี้ คือหน่วยมูลฐานร่วม (common denominator)
    ของแหล่งพลังงานรวมของจักรวาลแห่งนี้ ซึ่งคำว่า “หน่วยมูลฐานร่วม” หรือ common denominator นี้
    ก็มีความหมายว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนประกอบขึ้นมาจากโครงผลึกเอกภพนี้ด้วยกันหมดทั้งสิ้นนั่นเอง
    มันเป็นการยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจได้ในคราวเดียว ดังนั้นในคืนนี้พวกเราจึงจะค่อยๆบอกคุณสมบัติต่างๆของมัน
    ให้พวกคุณรู้อย่างช้าๆ

    โครงผลึกของเอกภพที่ว่านี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณสามารถมองเห็นได้
    และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณไม่สามารถมองเห็นได้
    ล้วนแล้วแต่มีโครงผลึกของเอกภพอยู่ภายในด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    นับตั้งแต่อนุภาคที่มีขนาดเล็กมากที่สุดในวิชาฟิสิกส์ของพวกคุณ
    และนับตั้งแต่กลุ่มหมอกของอิเล็กตรอน (electron haze) เป็นต้นไป
    ล้วนแล้วแต่มีโครงผลึกของเอกภพอยู่ข้างในด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    ซึ่งถ้าพวกคุณคนใดที่อยู่ในวงการฟิสิกส์แล้วหละก็ ก็อาจจะเริ่มเข้าใจและยอมรับในหลักการณ์นี้ได้
    และก็อาจจะเริ่มมองเห็นความสมเหตุสมผลแล้วเมื่อรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วโครงผลึกของเอกภพนี้คืออะไร

    ...............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 1

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1997
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice PI

    ตอนที่: 3

    ขนาดของโครงผลึกเอกภพ


    พวกเราขอเริ่มต้นที่เรื่องขนาดของมันก่อน เพราะว่ามันจะเป็นการเหมาะสมกว่า
    แม้ว่าพวกเราจะยังไม่ได้พูดถึงวิธีการทำงานของมันและก็ยังไม่ได้บอกว่ามันคืออะไรเลยก็ตาม
    โครงผลึกของเอกภพนี้ก็คือ “พลังงานที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่พวกคุณเคยรู้จักมา”
    เพราะว่ามันแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้และจักรวาลอื่นๆด้วย มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
    ไม่มีที่ไหนเลยที่พวกคุณจะไม่พบมัน ไม่ว่าจะเป็นในมิติไหนก็ตามแต่

    โครงผลึกของเอกภพนี้ บางทีก็อาจจะคือสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า
    “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพระผู้เป็นเจ้า” (the Consciousness of God) ก็ได้
    แต่ว่ามันก็คือฟิสิกส์ และมันก็คือพลังงาน และมันก็มีสติสัมปชัญญะแห่งความรักอยู่อีกด้วย
    เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราจึงกำลังบอกกับพวกคุณว่ามันแพร่กระจายอยู่ในทุกที่
    และครอบคลุมไปทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้ ซึ่งหมายรวมถึงมันอยู่ในทุกๆมิติอีกด้วย


    พวกคุณสามารถที่จะมองเห็นอะไรบางอย่างที่ใหญ่โตมากๆได้ใช่ไหม๊?
    ไม่ว่าพวกคุณจะสามารถมองเห็นได้ไกลสุดเท่าไหร่ก็ตามบนท้องฟ้า
    ไม่ว่านักดาราศาสตร์ของพวกคุณจะสามารถรวมแสงสว่างของพวกเรา
    เอามาไว้บนแผ่นรวมแสงของกล้องถ่ายรูปได้ไกลมากที่สุดเท่าไหร่ก็ตาม
    โครงผลึกของเอกภพก็จะอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว

    แต่ว่าเจ้าโครงผลึกของเอกภพที่ว่านี้
    มันก็จะมีความตระหนักรู้/จิตสำนึกเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ตลอดเวลา
    และก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ตลอดเวลาเสมอด้วย
    ดังนั้น ระยะทางจึงไม่มีผลกระทบอะไรต่อเจ้าโครงผลึกของเอกภพนี้เลย
    และตรงจุดนี้แหละคู่หูเอ๋ย คือจุดที่ยากที่จะอธิบายหละ


    สมมุติว่าถ้ามือของพวกคุณมีขนาดใหญ่กว่าขนาดของจักรวาลแห่งนี้ ดังนั้นเมื่อใดที่พวกคุณแบมือออกมา
    สสารทั้งหมดที่มีอยู่-เป็นอยู่ ที่พวกคุณรู้จัก ก็จะสามารถมาอยู่ในอุ้งมือของพวกคุณได้พอดี
    เหมือนกับลูกบอลเล็กๆลูกหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแล้วตัวตนของพวกคุณก็จะต้องมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมากๆด้วยใช่ไหม!!
    และพวกคุณก็จะมีมิติต่างๆของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในกำมือทั้งหมดด้วยใช่ไหม๊! และภายในลูกบอลลูกนั้น
    ที่พวกคุณถือเอาไว้ในมือนั้น มันก็จะมีดวงดาวนับพันๆล้านดวงเลยทีเดียว และภายในลูกบอลลูกนั้น
    มันก็จะมีระยะห่างระหว่างสิ่งต่างๆอยู่มากมาย ซึ่งก็จะดูเหมือนว่ามันห่างไกลซะเหลือเกิน
    จนเกินกว่าที่รูปธรรมชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในนั้นจะสามารถไปถึงได้ และภายในลูกบอลลูกนั้น ซึ่งก็คือจักรวาลแห่งนี้นั่นเอง
    มันก็จะดูเหมือนว่า รูปธรรมชีวิตใดๆก็ตามจะต้องใช้เวลาจนตราบชั่วนิรันดร์เลยทีเดียว
    เพื่อที่จะเดินทางจากขอบด้านหนึ่งไปยังขอบอีกด้านหนึ่งของมัน แต่ว่าลูกบอลลูกนั้น
    ก็สามารถมาอยู่ในมือเพียงข้างเดียวของพวกคุณได้อย่างง่ายๆสบายๆ!

    โครงผลึกของเอกภพนี้ ก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน เพราะว่าอันที่จริงแล้วมันไม่มีระยะทางที่ไกลจนเกินเอื้อม
    อยู่ระหว่างหัวแม่มือกับนิ้วมือของพวกคุณเองเลย และจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมือข้างนั้นของพวกคุณเอง
    ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมดเสียด้วย เพราะว่าโครงสร้างระดับเซลของมันเป็นโครงสร้างเดียวกัน
    ที่มีจิตสำนึก/ความตระหนักรู้สอดแทรกอยู่ ซึ่งจะตอบสนองอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ตลอดเวลา
    และถึงแม้ว่าภายในลูกบอลที่พวกคุณกำลังถืออยู่ในมือลูกนั้น ซึ่งอาจจะเรียกมันว่าจักรวาลก็ได้
    มันจะดูเหมือนว่า มีระยะทางที่จะต้องเดินทาง นานนับหลายพันล้านปีแสงอยู่ก็ตาม
    และดูเหมือนว่ามันจะมีช่องว่างและกาลเวลาที่จะต้องเอาชนะให้ได้อยู่ก็ตาม แต่เมื่อพวกคุณถือมันเอาไว้ในมือเช่นนั้นแล้ว
    พวกคุณก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น เช่น ดวงดาวนับพันๆล้านดวงเป็นต้น
    ก็จะอยู่ใน “ปัจจุบันขณะนี้” ของพวกคุณทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ตอนนี้พวกคุณก็พอจะรู้แล้วนะว่าขนาดของพลังงานอันนี้มันเป็นอย่างไร แต่ว่าพวกคุณก็ได้รู้ไปแล้วด้วยว่า
    โครงผลึกของเอกภพนี้มันมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ทั้งหมด ดังนั้น ส่วนที่อยู่ห่างไกลที่สุดของโครงผลึกนี้
    ก็จะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่โครงผลึกส่วนที่อยู่ที่นี่ ในห้องนี้ กำลังทำอยู่ได้ด้วย และโครงผลึกของเอกภพ
    ส่วนที่อยู่ระหว่างเซลในร่างกายของพวกคุณ ซึ่งพวกเราเรียกมันว่าความรักนั้น ก็สามารถที่จะรับรู้ได้ด้วยว่า
    กำลังเกิดอะไรขึ้นกับส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไป 11 พันล้านปีแสงโน้น!
    เพราะว่าโครงผลึกของเอกภพนี้มันไม่มีกาลเวลา ซึ่งเดี๋ยวอีกสักครู่พวกเราจะมาพูดถึงประเด็นนี้กัน

    ………………………..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 1

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1997
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice PI

    ตอนที่: 4

    รูปร่างรูปทรง – การจัดระเบียบ – ความสว่างของโครงผลึกเอกภพ


    คุณสมบัติแรกที่พวกเราได้พูดถึงกันไปแล้วก็คือขนาดของมัน ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมากๆ
    มันคือพลังงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยรู้จักมา มันคือพลังงานที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่มีอยู่
    คราวนี้พวกเราจะมาพูดถึงรูปร่างรูปทรงของมันกัน ซึ่งตรงนี้หละคู่หูเอ๋ย มันก็จะยากมากขึ้นไปอีก
    เพราะว่ามันไม่ใช่ “ตาข่าย หรือ โครงข่าย” (grid)
    แต่ว่าโครงผลึกของเอกภพนี้ มันจะมีสมมาตรอยู่ในตัวเองด้วย
    แต่ว่ามันไม่ใช่ตาข่ายหรือโครงข่าย และถ้ารูปร่างรูปทรงของมันสามารถเปิดเผยให้พวกคุณรับรู้ได้หละก็
    มันก็จะทำให้พวกคุณประหลาดใจ เพราะว่ามันจะไปหักล้างกับอะไรบางอย่างของพวกคุณ
    และมันก็จะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “กาลเวลา” ด้วย ซึ่งหลักฐานการมีอยู่
    ของเจ้าโครงผลึกเอกภพนี้ก็มีอยู่แล้วเรียบร้อย ซึ่งเดี๋ยวพวกเราก็จะบอกให้พวกคุณรู้ว่า จะสามารถมองหามันได้ที่ไหน

    เมื่อนักดาราศาสตร์ของพวกคุณมองออกมาจากดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ ด้วยวิธีการที่ประมาณว่าปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้นั้น
    พวกเขาจึงยังไม่เคยมองเห็นภาพวิวสามมิติของสิ่งที่อยู่รอบๆดาวเคราะห์โลกของพวกคุณได้อย่างชัดเจนจริงๆเลย
    เพราะว่าพวกเขามองออกมาจากโลกด้วยตาเพียงข้างเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้การรับรู้ของพวกเขาขาดมิติด้านความลึก
    ของสิ่งที่อยู่รอบๆดาวเคราะห์โลกของพวกคุณไป เพราะฉะนั้นแล้ว พวกคุณจึงยังไม่สามารถที่จะมองเห็น “เส้นสายของความมืด”
    (the Strings of Darkness) ได้เลย นี่แหละคือคุณสมบัติอย่างหนึ่งของโครงผลึกของเอกภพหละ
    ซึ่งมันอยู่ที่นั่นและก็กำลังรอคอยให้พวกคุณมองเห็นมันอยู่แล้วตลอดเวลา และคำว่า “ความมืด” (darkness) ในที่นี้
    ที่คู่หูของฉันแปลออกมานี้ ก็หมายถึง “การไร้ซึ่งแสงสว่าง” (lack of light) นั่นเอง
    ซึ่งจะตรงข้ามกับความหมายที่ใช้กันในด้านจิตวิญญาณ

    มันจะประมาณว่าเมื่อพวกคุณมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในค่ำคืน
    ที่เต็มไปด้วยดวงดาวแล้ว พวกคุณก็จะเห็นกลุ่มดาวต่างๆมากมาย
    ที่มีเส้นทางหลวงแคบๆเชื่อมต่อระหว่างพวกมันอยู่
    และถึงแม้ว่าพวกคุณจะไม่สามารถมองเห็นมันได้จริงๆ
    แต่มันก็เป็นแพทเทิร์นที่ชัดเจนมาก

    เมื่อหลายปีก่อนพวกเราได้เคยบอกพวกคุณไปแล้วว่า
    ปรากฎการณ์ “บิ๊กแบงก์” ของพวกคุณนั้น มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    พวกเราเคยบอกพวกคุณไปแล้วว่า มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จักรวาลหนึ่งๆ
    จะระเบิดออกมาจากจุดศูนย์กลางแห่งการสร้างสรรค์เพียงจุดเดียว
    โดยมีการกระจายตัวขององค์ประกอบในจักรวาลแบบไม่สม่ำเสมอแบบนี้ได้
    และพวกเราก็เคยบอกพวกคุณ ให้มองหาปรากฎการณ์ “การกระจุกตัวกัน” ของพวกมันแล้วด้วย
    ซึ่งมันคือหลักฐานที่จะชี้บ่งว่ามันไม่เคยมีจุดกำเนิดของการระเบิดที่ว่านั้นเกิดขึ้นจริงๆเลย


    แต่ตอนนี้ มันยังมีอะไรที่มากกว่านั้นอีก เพราะว่าตอนนี้พวกเราจะบอกพวกคุณว่ามันคืออะไร
    เพราะว่ามันจะต้องมีสักวันหนึ่งที่พวกคุณจะสามารถนำเอาตาทั้งสองข้างของตัวเอง
    และนำเอากล้องโทรทัศน์ของตัวเองออกไปอยู่ในสถานที่ๆแตกต่างออกไปและห่างไกลออกไปอย่างมากได้
    ซึ่งสถานที่ๆว่านั้นก็อาจจะไปเป็นบนดาวเคราะห์ดวงอื่นก็ได้ แล้วทั้งดวงตาทั้งสองข้างของพวกคุณ
    และกล้องโทรทัศน์ของพวกคุณ เมื่อพวกมันมองออกไปยังจักรวาลด้วยกันในแบบสามมิติแล้ว
    เช่นเดียวกันกับที่ดวงตาทั้งสองข้างของพวกคุณมองออกไปสู่โลกภายนอกแล้ว
    พวกมันก็จะมองเห็นภาพสามมิติที่อยู่ตรงหน้าพวกมันได้ในที่สุด และสิ่งที่พวกมันจะมองเห็นก็คือ
    เส้นทางที่เชื่อมต่ออยู่ระหว่างกระจุกดาวต่างๆซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสีดำ ซึ่งเส้นตรงสีดำเหล่านี้
    จะปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัด, และจะเป็นตัวกำหนดทิศทางให้กับจักรวาล และจะทำให้จักรวาลมีสมมาตร
    และจะทำให้ความลึกลับของสิ่งที่ควรจะเป็นไปก่อเกิดขึ้น มันจะเหมือนกับเส้นทางที่ไม่อาจมองเห็นได้
    ที่เชื่อมต่ออยู่ระหว่างกระจุกของดวงดาวต่างๆเหล่านี้ จงคอยดูให้ดี เพราะว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

    โครงผลึกของเอกภพจะไม่มีแสงที่สามารถมองเห็นได้
    ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแก่นแท้ของแสงสว่างเองก็ตาม
    เพราะว่าพลังงานของโครงผลึกนี้
    จะอยู่ในสภาวะสมดุลของความว่างหรือความสูญ/ศูนย์ (NULL balance) อยู่ตลอดเวลา

    ซึ่งพวกเราก็กำลังจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เดี๋ยวนี้แหละว่า
    เพราะว่าพลังงานของมันจะอยู่ในสภาวะสมดุลที่เรียกว่า
    “ดุลยภาพ ณ.จุดศูนย์/สูญ” (null balance) อยู่ตลอดเวลา
    ซึ่งเป็นสภาวะที่ความเป็นขั้วของคุณสมบัติอันทรงพลังอำนาจมากที่สุดของมัน
    จะหักล้างกันเองจนมีค่าเท่ากับศูนย์ (zero) พอดี
    และพลังงาน ณ.จุดสูญ/ศูนย์ที่ว่านี้ ก็จะมีพลังอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อซะด้วย


    แต่ว่ามันก็ไม่ใช่สภาวะพัก (resting state) ทั่วๆไปหรอกนะ
    เพราะว่ามันจะคล้ายๆกับว่าเป็นความว่างเปล่า
    อันเกิดจากการเข้าสู่สมดุล ณ.จุดศูนย์มากกว่า
    และเมื่อใดที่พวกคุณสามารถทำให้
    ความสมดุลของความเป็นขั้วอันนี้สูญเสียไปได้แล้วโน่นแหละ
    “พลังงาน” (power) ของมันก็ถึงจะถูกปลดปล่อยออกมา พวกคุณรู้ไหม?


    นักดาราศาสตร์ของพวกคุณได้พากันเฝ้ามองดูจักรวาลและเอกภพมานานแล้ว
    และพวกเขาก็มีวิธีการคำนวณค่าพลังงานของพวกเขาเอง
    และพวกเขาก็มองดูท้องฟ้าแล้วก็คำนวณค่าพลังงานทั้งหมดของมันออกมา
    และสิ่งที่พวกเขาได้พากันบันทึกเอาไว้ด้วยความฉงนสนเท่ห์ก็คือ
    พวกเขาพบว่ามันมีสสารและแสงอยู่น้อยกว่าค่าพลังงานที่วัดออกมาได้จริงๆอย่างมาก!
    ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณต่างรู้กันดี ลองไปถามนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณดูสิ
    ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น แล้วพวกเขาก็จะตั้งสมมุติฐานขึ้นมามากมาย ถึงสาเหตุที่จะเป็นไปได้ทั้งหมด
    ซึ่งก็จะรวมถึงเรื่องการมีอยู่ของ “สสารมืด” (dark matter) ด้วย

    ที่รักทั้งหลาย สิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่นั้นก็คือ “พลังงานจากความว่างเปล่า” (void energy) เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาไปวัดค่ามันอยู่นั้น
    ก็คือโครงผลึกของเอกภพนั่นเอง ซึ่งโครงผลึกของเอกภพที่ว่านี้ก็มีอยู่ทุกที่ซะด้วย และเมื่อใดที่ฉันสื่อสารข้อความชุดนี้จบลงแล้ว
    พวกคุณก็จะรู้ว่าอะไรคือตัวกระตุ้นของมัน และพวกคุณก็จะรู้ว่าจะสามารถใช้งานมันได้อย่างไรด้วย
    พวกคุณจะได้รู้ว่ามันทำปฏิกิริยากับพลังงานชนิดอื่นๆอย่างไร และพวกคุณก็จะได้รู้ว่าทำไมมันถึงมีอยู่ด้วย

    ก็อย่างที่พูดไปแล้วนั่นแหละว่า ในสภาวะที่ว่างสูญหรือศูนย์นี้ พลังงานที่กำลังแอคทีฟอยู่อย่างเหลือเชื่ออันนี้
    ก็จะทำให้พวกคุณวัดค่ามันออกมาได้เท่ากับศูนย์พอดี แม้ว่าอันที่จริงแล้วในทุกๆจุดและทุกๆพื้นที่ของโครงผลึกอันนี้
    มันจะเต็มไปด้วยพลังทั้งสิ้นก็ตาม พวกเราเคยพูดถึงมันในส่วนที่อยู่ภายในอนุภาคขนาดเล็กมากๆอย่างเช่นอะตอมมาแล้ว
    ซึ่งในตอนที่พวกเราพูดถึงระยะทางระหว่างนิวเคลียสของอะตอมกับกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนที่อยู่รอบๆนั้น
    นั่นแหละคือตอนที่พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องโครงผลึกของเอกภพอยู่หละ
    และในตอนที่พวกเรามอบสูตรการคำนวณเพื่อหาระยะทางระหว่างกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนกับนิวเคลียสของอะตอมให้แก่พวกคุณนั้น
    พวกเราก็กำลังพูดถึงอันตกิริยาของพลังงานจากโครงผลึกของเอกภพอยู่หละ
    และในตอนที่พวกเราพูดถึงรังสีแกรมม่าที่อยู่ห่างไกลออกไป 11 พันล้านปีแสงนั้น
    พวกเราก็กำลังพูดถึงโครงผลึกของเอกภพอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน

    พลังงานชนิดนี้มันมีอยู่อย่างมากมายจนเหลือคณานับ จากสิ่งที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด ไปจนถึงสิ่งที่มีขนาดเล็กมากที่สุด
    แต่มันจะอยู่อย่างเงียบๆ และจะปลดปล่อยพลังงานออกมาให้ใช้ได้ ก็ต่อเมื่อมันถูกเรียกออกมาใช้งาน
    และถูกรบกวนเสถียรภาพด้วยวิธีการที่พิเศษบางอย่างเท่านั้น มันคือหน่วยมูลฐานร่วม (common denominator)
    และมันก็คือ stabilizer ของพลังงานและสสารทุกๆชนิด ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง นั่นแหละคือโครงผลึกของเอกภพหละ

    ซึ่งเมื่อใดที่ฟิสิกส์เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันของมนุษย์โลกแล้ว
    ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเปิดออกมาสู่พวกคุณ
    ซึ่งก็จะไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการติดต่อสื่อสารเท่านั้น
    แต่ยังจะรวมถึงเรื่องของพลังงานที่จะมีให้ใช้ได้อย่างไม่มีจำกัด
    ซึ่งอยู่ในทุกหนทุกแห่งอีกด้วย พลังงานที่จะไม่มีวันหมดเลยทีเดียวนะ!


    ....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 1

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1997
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice PI

    ตอนที่: 5

    คุณสมบัติด้านกาลเวลา และความเร็วของโครงผลึกเอกภพ


    ฉันอยากจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับพลังงานของโครงผลึกนี้ซักหน่อย ว่ามันตอบสนองต่อกาลเวลา
    ซึ่งนี่แหละคืออีกสิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณจะต้องมองดูกันหละ เมื่อใดที่พวกคุณพบเห็นเหตุการณ์ใดก็ตามในจักรวาล
    ที่พวกคุณรู้ว่ามันมีศักยภาพที่จะทำให้กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปได้แล้วหละก็
    จงสังเกตการณ์ดูสิ่งที่แสดงออกมาทางกายภาพของพลังงานของมันให้ดี ว่ามันมีการโค้งงอไปอย่างไรบ้าง

    ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะกำลังหมุนรอบแกนของตัวเองอยู่ (spin) ใช่ไหม๊?
    ซึ่งตามกฎทางฟิสิกส์แล้วพลังงานที่จะปลดปล่อยออกมาจากอนุภาคบางชนิด
    ก็ควรที่จะถูกเหวี่ยงออกมาในมุมเดียวกันกับทิศทางการ spin ของอนุภาคชนิดนั้นๆใช่ไหม๊
    หรือไม่ก็จะถูกเหวี่ยงออกมาในมุมตั้งฉากกับทิศทางการ spin ของอนุภาคชนิดนั้นๆไปเลยใช่ไหม๊

    นั่นแหละคือฟิสิกส์ทั่วไปหละ แต่ว่า..จงระวังให้ดี
    เพราะว่ามันจะมีปรากฎการณ์บางชนิดที่จะไม่เป็นไปตามกฎข้อไหนเลย
    ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ! เพราะว่าพลังงานที่จะถูกปลดปล่อยออกมานั้น
    มันจะเรียงตัวไปตามแนวสมมาตรของโครงผลึกของเอกภพแทน
    คือพวกมันจะ “ชี้” ไปตามแพทเทิ้นของพลังงานของโครงผลึกของเอกภพแทน
    พวกเรากำลังพูดถึงปรากฎการณ์อะไรบางอย่างอยู่
    เช่นหลุมดำที่กำลังพ่นเอาพลังงานออกมาอยู่ เป็นต้น

    (หมายเหตุ: ณ.ใจกลางของแต่ละกาแล็กซี่จะมีหลุมดำอยู่อย่างน้อยสองหลุมเสมอ คือหลุมที่ดูดเอาพลังงานเข้าไป
    กับหลุมที่พ่นเอาพลังงานออกมา ซึ่งโดยปกติแล้วมนุษย์เราจะสามารถมองเห็นได้เฉพาะหลุมแรกเท่านั้น
    ส่วนหลุมที่สองนั้น เพราะว่ามันอยู่ด้านหลังของหลุมแรก เราจึงยังมองไม่เห็นมัน – ผู้แปล)


    และพวกเราก็ยังหมายรวมถึงปรากฎการณ์อื่นๆในจักรวาลที่มีลักษณะคล้ายๆกันนี้อีกด้วย
    ซึ่งมีการปลดปล่อยกระแสพลังงานปริมาณมหาศาลออกมาอยู่

    จงมองหากระแสพลังงานที่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันให้ดี แต่ไม่จำเป็นว่าพวกมันจะต้องมีลักษณะการเรียงตัวเองทางกายภาพ
    สอดคล้องกับทิศทางการ spin ของสิ่งที่สร้างพวกมันขึ้นมาหรอกนะ (อย่างที่พวกคุณอาจจะคาดคิดกันเอาไว้)

    แล้วนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณก็อาจจะถามว่า “ทำไมมันถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้?” แล้วในที่สุดพวกเขาก็จะตั้งสมมุติฐานกันขึ้นมาว่า
    มันมีแรงอีกแรงหนึ่ง ที่อยู่ในทิศทางที่มีการ “ชี้” ไปของกระแสพลังงานเหล่านั้น คล้ายๆกับแม่เหล็กของเอกภพขนาดมหึมาอะไรทำนองนั้น
    แต่อันที่จริงแล้วพวกเขากำลังมองดูพลังงานที่กำลังชี้ไปตาม และกำลังโค้งไปตามความสมมาตรของโครงผลึกของเอกภพอยู่เท่านั้นเอง

    พวกคุณก็รู้กันดีแล้วว่ากาลเวลาคือสิ่งที่มีลักษณะเป็นเชิงสัมพัทธ์
    ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณก็ได้บอกพวกคุณไปแล้วเช่นนี้เหมือนกัน
    และพวกเราก็จะบอกกับพวกคุณอีกว่า ความเป็นจริงในข้อนี้กำลังจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
    ต่อการเรียนรู้เรื่องคุณสมบัติต่างๆของโครงผลึกของเอกภพด้วย

    ที่รักทั้งหลาย เรื่องราวด้านจิตวิญญาณทั้งหลายบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับโครงผลึกนี้ทั้งสิ้น
    และกรอบของกาลเวลาที่พวกคุณกำลังอาศัยกันอยู่ในขณะนี้นั้น ก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วย
    (อย่างที่พวกเราได้เคยบอกเอาไว้แล้วในการสื่อสารชุดก่อนๆ) แต่มันก็เกี่ยวข้องอยู่กับโครงผลึกของเอกภพที่ว่านี้ด้วยเหมือนกัน
    พวกเราได้เคยบอกพวกคุณไปแล้วว่าพลังงานของ “หน่วยมูลฐานร่วม” (common denominator) ของเอกภพอันนี้
    มันมีความเกี่ยวข้องกับกาลเวลาอยู่ และในตอนนี้พวกเราก็กำลังจะบอกพวกคุณอีกว่า
    กาลเวลาก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วสำหรับพวกคุณเช่นเดียวกัน พวกคุณคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไร?
    ฉันขอบอกพวกคุณว่า มันก็หมายความว่าโครงผลึกของเอกภพนี้
    กำลังตอบสนองต่อจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์อยู่หนะสิ!


    ในตอนที่คู่หูของฉันบอกพวกคุณไปว่า “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้สามารถเปลี่ยนแปลงฟิสิกส์ได้” นั้น
    (พูดในระหว่างที่มีการสัมนา ก่อนที่จะมีการสื่อสารชุดนี้) นั่นเป็นคำพูดที่ยังไม่ค่อยเต็มที่สักเท่าไหร่นัก
    เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว “ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ทั้งหมด
    ด้วยเจตจำนงของมนุษย์ที่อยู่บนดาวเคราะหืโลกดวงนี้”
    เพราะว่าพวกคุณสามารถควบคุมโครงผลึกซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่งอันนี้ได้จริงๆ
    และอีกครั้งหนึ่ง พวกเราอยากจะบอกพวกคุณว่า โครงผลึกที่ว่านี้มันรู้ด้วยนะว่า
    ณ.อีกฟากฝั่งหนึ่งของจักรวาลนั้น พวกคุณแต่ละคนมีชื่อว่าอะไร!


    พวกเราบอกพวกคุณมาโดยตลอดว่า จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ
    ได้ช่วยยกระดับความสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    ให้สูงขึ้นไปสู่ระดับความสั่นสะเทือนใหม่แล้ว


    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ได้ไป “ดึง” เอาโครงผลึกของเอกภพขึ้นมาจริงๆ จนทำให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ของพวกคุณ
    สามารถที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงกรอบหรือเส้นกาลเวลาของมันไปได้จริงๆแล้ว ซึ่งสำหรับพวกคุณแล้ว
    มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบสัมพัทธ์ แต่สำหรับผู้อื่นแล้ว (ที่อยู่นอกโลก) การเปลี่ยนแปลงของเส้นกาลเวลานี้
    มันจะสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

    ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกคุณอาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆเลยก็ได้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว
    เมื่อพวกคุณมองดูคุณสมบัติบางอย่างของเอกภพแล้ว พวกคุณก็จะรู้สึกว่ามันเชื่องช้าลงกว่าเดิม
    ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่บ่งบอกว่าพวกคุณกำลังเคลื่อนที่อยู่ (หรือสั่นสะเทือนอยู่) ในกรอบของกาลเวลาอื่นแล้วหละ
    พวกเราเคยบอกพวกคุณไปแล้วก่อนหน้านี้เกี่ยวกับฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลังของมัน
    และในตอนนี้พวกเราก็จะบอกกลไกที่แท้จริงซึ่งเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของมันให้พวกคุณได้รู้กันอีก
    ซึ่งภายในกลไกที่ว่านี้ มันก็จะมีการทำงานของโครงผลึกของเอกภพอยู่ด้วย
    เพราะฉะนั้นแล้ว จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณนี้เอง
    ที่เป็นสิ่งที่ทำให้ฟิสิกส์ของโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเปลี่ยนแปลงไป


    .....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 1

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1997
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice PI

    ตอนที่: 6

    คุณสมบัติด้านกาลเวลา และความเร็วของโครงผลึกเอกภพ (ต่อ)

    โอ..ที่รักทั้งหลาย จงฟังให้ดีนะ พวกคุณหลายคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่า การติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์โลกด้วยกัน
    ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วซะยิ่งกว่าความเร็วของสิ่งใดๆที่มนุษย์รู้จักซะอีก เช่น ฝาแฝดแท้ (identical twin)
    หรือ คู่แท้ (twin flame) หรือ soul mate เป็นต้น ที่เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถูกแยกให้ไปอยู่ ณ.อีกฟากหนึ่งของโลกแล้ว
    เราก็มักจะพบว่าพวกเขายังสามารถติดต่อสื่อสารกันได้แทบจะในทันทีทันใดเลยทีเดียว
    ซึ่งเรื่องนี้ก็มีทั้งพยานและหลักฐานบันทึกเอาไว้มากมาย เช่น ในกรณีที่ฝาแฝดคนหนึ่งอาจจะกำลังรู้สึกวิตกกังวลอยู่
    แล้วฝาแฝดอีกคนหนึ่งก็จะรู้สึกถึงความวิตกกังวลนั้นได้ในทันทีทันใด เป็นต้น แล้วพวกเขาก็อาจจะโทรศัพท์หากัน
    แล้วพูดว่า “เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?” แล้วพวกเขาก็จะรู้ว่า อ๋อ..เมื่อสักครู่นี้พวกเขาทั้งคู่รู้สึกถึงความรู้สึกเดียวกัน และในเวลาเดียวกันอยู่

    ประเด็นตรงนี้มันเกี่ยวข้องกับกาลเวลาของโลกทางกายภาพของพวกคุณอย่างไรบ้าง?
    มันบ่งบอกอะไรบ้าง เกี่ยวกับพลังอำนาจของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์ ที่สามารถก้าวล่วงทั้งระยะทางและกาลเวลาได้?
    ฉันจะบอกพวกคุณว่าอะไรทำให้มันเป็นเช่นนั้นได้ มันคือกลไกการทำงานของโครงผลึกเอกภพ
    เพราะว่าพวกคุณกำลังใช้งานโครงผลึกของเอกภพเพื่อเชื่อมต่อซึ่งกันและกันอย่างทันทีทันใดอยู่
    เพราะว่ามันคือแหล่งกำเนิดพลังงานด้านจิตวิญญาณของพวกคุณ และมันก็ใช้กฎทางฟิสิกส์ด้วย

    สมมุติว่าถ้าในตอนนี้ พวกเราสามารถใช้ปาฏิหาริย์เพื่อพามนุษย์โลกคนหนึ่ง ไปอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของจักรวาลได้
    ซึ่งเป็นที่ๆไกลมากๆจนเกินกว่าที่พวกคุณจะจินตนาการได้แล้ว พวกเราก็สามารถบอกได้เลยว่าโครงผลึกของเอกภพอันนี้
    ก็ยังจะยินยอมให้การสื่อสารแบบทั่วไปที่ว่านั้น เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้อย่างทันทีทันใดอยู่เหมือนเดิม
    ไม่ว่าเขาคนนั้นจะอยู่ห่างไกลซักแค่ไหนก็ตาม!

    ซึ่งหลังจากการสื่อสารชุดนี้จบลงแล้วนานพอสมควร พวกคุณบางคนก็จะสามารถปะติดปะต่อชิ้นและส่วนของข้อมูลชุดนี้เข้าด้วยกันได้
    แล้วพวกคุณก็จะได้ประจักษ์ว่าทำไมบางสิ่งบางอย่างในวิชาฟิสิกส์ มันถึงได้เป็นไปแบบนั้นได้

    ที่หน่วยมูลฐานร่วมของพลังงานของโครงผลึกเอกภพนี้ มันไม่มีแสงสว่างอยู่
    ก็เพราะว่ามันอยู่ในกาลเวลาที่เป็นศูนย์นั่นเอง (Null Time) มันคือพลังงานที่เป็นศูนย์ และก็อยู่ในกาลเวลาที่เป็นศูนย์ด้วย

    พวกเราพูดถึงกาลเวลาใน “ปัจจุบันขณะ” (now time) มาโดยตลอด
    ว่ามันคือจุดหลากมิติจุดหนึ่งที่วิญญาณเบื้องบนทั้งหลายดำรงอยู่กัน
    และมันก็คือจุดตัดที่อดีตกาลและศักยภาพแห่งอนาคตมาบรรจบกันด้วย
    นั่นแหละคือกาลเวลาของ “ปัจจุบันขณะ” หละ

    แต่ว่าโครงผลึกของเอกภพที่ว่านี้ มันไม่ได้อยู่ในกาลเวลาของ “ปัจจุบันขณะ” นะ
    เพราะว่ามันอยู่ใน “กาลเวลาที่เป็นศูนย์” (null time)
    และที่รักทั้งหลาย ณ.กาลเวลาที่จุดศูนย์นี้เอง ก็คือกาลเวลาที่มีค่าเท่ากับศูนย์
    ซึ่งก็คือกาลเวลาที่ “ปัจจุบันขณะ” เคลื่อนที่เป็นวงกลมอยู่

    โครงผลึกของเอกภพนี้จะอยู่ในสภาวะที่มีความสมดุลอยู่ตลอดเวลา
    และเพราะว่ามันอยู่ในพลังงานที่มีความสมดุลแบบนั้น
    มันจึงมีศักยภาพที่จะรับเอา input เข้ามาอยู่ตลอดเวลา
    เพื่อกระตุ้นให้มันปลดปล่อยพลังงานออกไป
    และที่รักทั้งหลายเจ้า input ที่ว่านี้
    ก็มีอยู่แล้วในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์โลกทุกคนหละ

    มันจะ “มองเห็น” ทุกๆกาลเวลาว่ามีค่าเป็นศูนย์ คือไม่เคยเคลื่อนไหวไปไหนเลย แม้ว่าจะมีกรอบของกาลเวลาอยู่มากมาย
    ที่อยู่ภายในพลังงานของมันก็ตาม นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม ไม่ว่ากรอบของกาลเวลาที่โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณกำลังอยู่นี้
    จะเป็นกรอบของกาลเวลาไหนก็ตาม การติดต่อสื่อสารระหว่างรูปธรรมชีวิตทั้งหลาย ที่รู้จักโครงผลึกของเอกภพนี้
    ก็ยังจะเกิดขึ้นแบบฉับพลันทันทีเสมอ และนี่แหละคือแนวคิดที่ยากต่อการเข้าใจของพวกคุณหละ
    เพราะว่าพวกคุณยังไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่า มันมีกรอบของกาลเวลาอยู่อย่างมากมายก่ายกองจริงๆ
    เพราะว่าพวกคุณพากันมอง “ฟิสิกส์ที่เป็นไปไม่ได้” ที่กำลังแสดงให้พวกคุณเห็นอยู่ในเอกภพแห่งนี้
    ผ่านทางเครื่องไม้เครื่องมือของตัวเองเท่านั้น (อย่างที่ได้เคยกล่าวไปแล้วในการสื่อสารชุดก่อนๆ)

    กาลเวลาก็เหมือนกับอากาศที่พวกคุณใช้หายใจนั่นแหละ พวกคุณลองดูที่พายุคะนองที่มีลมพัดมาจากหลายทิศทาง
    และด้วยหลากหลายความเร็วสิ แต่ว่าพวกคุณยังสามารถหายใจเอามันเข้าไปได้อย่างนุ่มนวลและเป็นปกติอยู่ใช่ไหม
    แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางพายุใหญ่ก็ตาม เพราะฉะนั้นแล้วอากาศที่พวกคุณหายใจเข้าไปแล้ว คืออากาศที่อยู่ในปอดของพวกคุณ
    ก็ยังเรียกได้ว่ามันเป็นปกติดีอยู่ใช่ไหม๊ แม้ว่าอากาศที่อยู่รอบๆตัวของพวกคุณจะปั่นป่วนซักแค่ไหนก็ตาม
    โครงผลึกของเอกภพเองก็เช่นเดียวกัน

    ที่รักทั้งหลาย โครงผลึกของเอกภพนี้คือสิ่งที่ทำให้มีกลไกในการสร้างสรรค์ร่วม,
    และคือสิ่งที่ทำให้มีกลไกในการเกิดปรากฎการณ์ synchronicity ขึ้น ของสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่าความรักนั่นเอง
    โครงผลึกของเอกภพนี้จะมีกลไกที่ทำหน้าที่ยินยอมให้ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นได้บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ
    มันตอบสนองต่อฟิสิกส์ มันตอบสนองต่อจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ และดังนั้น พวกเราจึงเริ่มที่จะเห็นการหลอมรวมกันเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
    ของสิ่งที่ได้ถูกจัดวางเอาไว้ให้กับพวกคุณแล้ว ในจักรวาลแห่งนี้

    โครงผลึกของเอกภพนี้ไม่ใช่พระเจ้า (God) อย่างที่พวกเราเคยบอกพวกคุณไปแล้วก่อนหน้านี้
    เพราะว่าพระเจ้า (หรือ Spirit) จะใช้ฟิสิกส์ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติเพื่อเป็นกลไกในการสร้างปาฏิหาริย์ต่างๆให้เกิดขึ้น
    แต่พวกคุณบางคนก็ชอบที่จะแบ่งแยกพระเจ้าออกจากฟิสิกส์อยู่ดี เพราะว่าพวกคุณจะพูดว่า
    “อย่าเอาวิทยาศาสตร์ไปปนกับพระเจ้าเลย อย่าเอาปาฏิหาริย์ออกไปเลย!” แล้วพวกเราก็จะพูดว่า
    “เวลาที่พวกคุณจะคิดแบบนี้หนะ กำลังจะหมดลงแล้ว เพราะว่าเมื่อใดที่พวกคุณสามารถค้นพบ
    กลไกทางฟิสิกส์บางอย่างของพระเจ้าเจอแล้ว พวกคุณก็จะพบว่ามันไม่ได้ไปทำให้ความดีเลิศของพระเจ้าลดน้อยลงไปเลย
    เพราะว่าพวกเราพร่ำบอกพวกคุณอยู่เสมอ ตลอดระยะเวลา 8 ปีมานี้ว่า ความเลิศเลอของพระเจ้านั้น
    มีอยู่แล้วในเซลทุกเซลของพวกคุณเองทุกๆคน!”
    และพระเจ้าก็จะใช้พลังงานที่อยู่ในรูปแบบของวัตถุธาตุทางกายภาพธรรมดาๆที่มีอยู่ทั่วไปในเอกภพนี่แหละ
    เป็นพลังอำนาจ..เช่นเดียวกันกับที่พวกคุณกำลังถูกเชื้อเชิญให้ทำเช่นเดียวกันนี้อยู่นี่แหละ

    ดังนั้น การมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของฟิสิกส์ของ Spirit จึงไม่ทำให้ความรักกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปแต่อย่างใดเลย!
    แต่กลับจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสวยงามอย่างมีสมมาตร และมีเหตุมีผลขึ้นมาซะอีก
    และสิ่งเหล่านี้แหละที่จะแจ่มกระจ่างมากขึ้นไปอีกสำหรับพวกคุณ เมื่อพวกคุณเคลื่อนเข้าไปสู่ระดับความสั่นสะเทือน
    ที่พวกคุณจะสามารถใช้พลังงานของโครงผลึกนี้ได้แล้ว

    เพราะฉะนั้นแล้ว โครงผลึกของเอกภพนี้ จึงไม่ใช่พระเจ้า
    แต่มันคือเครื่องมือที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดอย่างหนึ่ง
    ของพระเจ้า (หรือ Spirit) ที่มีอยู่ในวันนี้
    และมันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า
    “ปาฏิหาริย์ที่ไม่สามารถอธิบายได้” อยู่อย่างมากมายก่ายกอง
    แต่นั่นแหละคือวิธีการของพระเจ้าหละ


    มันทำให้พวกคุณช็อกไหม๊ที่ได้รู้ว่าพระเจ้าหรือ Spirit ก็ใช้ฟิสิกส์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองนี้แหละ เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเป็นไปด้วย?
    ก็เพราะว่าเมื่อสร้างเครื่องมือขึ้นมาใช้งานแล้ว จะไปทิ้งมันทำไมหละ? ไม่เลย
    ดังนั้น นี่จึงเป็นการเปิดเผยอีกเรื่องหนึ่งให้พวกคุณได้รู้กัน ว่าพระเจ้าหรือ Spirit มีวิธีการทำงานกับเอกภพนี้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราจึงกำลังบอกพวกคุณอยู่ว่ามันทำงานอย่างไร แต่ว่านั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ
    เพราะว่าตอนนี้โครงผลึกของเอกภพอันนี้ มันกำลังตอบสนองต่ออะไรบางอย่างบนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณอยู่
    อย่างที่มันไม่เคยทำมาก่อนเลย เพราะว่าบนดาวเคราะห์โลกในตอนนี้นั้น กำลังมีพลังงานถูกสร้างขึ้นมาอยู่เรื่อยๆอยู่
    และกาลเวลาก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ ซึ่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากเจตจำนงของมนุษย์โลกเองทั้งสิ้น
    เพราะว่ามันไม่มีพลังอำนาจใดอีกแล้วในจักรวาลแห่งนี้ ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังอำนาจของ “ความรัก”
    และ “เจตจำนงของมนุษย์โลก” (Human Intent) ซึ่งพวกเราก็ได้พร่ำบอกความจริงในข้อนี้
    ให้พวกคุณได้ทราบกันอยู่เสมอๆอยู่แล้ว นับตั้งแต่ที่ครายออนเริ่มมาถึงที่นี่ใหม่ๆ
    แต่ในคืนนี้เป็นค่ำคืนที่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเราก็จำเป็นจะต้องเชื่อมโยงและผูกสมการของมัน เข้าด้วยกันกับฟิสิกส์แห่งความรักซะที!

    โอ..ที่รักทั้งหลาย ตอนนี้พวกคุณเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า เมื่อใดที่พวกคุณส่งเจตนารมณ์ออกไปนั้น มันไม่ได้เป็นพลังงานลี้ลับอะไรเลย
    ที่ดูเหมือนว่าจะลอยไปในอากาศแล้วก็ไปเนรมิตเอาอะไรบางอย่างที่พวกคุณต้องการหรือปราถนาออกมา?
    ตอนนี้พวกคุณสามารถมองเห็นแล้วใช่ไหมว่า มันมีความสมมาตร และมีขนาด และมีเป้าประสงค์
    และมีจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมันเองอยู่? และตอนนี้พวกคุณก็รู้แล้วใช่ไหมว่ามันมีกลไกทางด้านฟิสิกส์และความรัก
    ที่เรียกว่า “เจตจำนงของมนุษย์โลก” มาเกี่ยวข้องกับมันอยู่ด้วย? ตอนนี้พวกคุณเริ่มที่จะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า
    ทำไม “ผู้ให้บริการ” ในพลังงานของ “ยุคพลังงานใหม่” (New Age Energy) ทั้งหลาย จึงสามารถทำอะไรได้มากมายเหลือเกิน!
    เพราะว่าพวกเขาสามารถ “เชื่อมต่อ” เข้าไปในโครงผลึกของเอกภพได้นั่นเอง มันไม่มีความลึกลับอะไรอีกแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้
    และในสักวันหนึ่งมันก็จะถูกแทนที่ด้วยวิทยาศาสตร์ที่ดีและเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ในระดับจักรวาล
    และเป็นวิทยาศาสตร์ที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานมาให้

    ฉันจะไม่ใช่ผู้ส่งสาส์นเพียงรายเดียวที่จะนำเอาเรื่องพื้นฐานนี้มาบอกกับพวกคุณ (เรื่องเกี่ยวกับโครงผลึกของเอกภพ – ผู้แปล)
    แต่มันจะเป็นที่รู้จักกันในอีกหลายๆชื่อ และมันก็จะเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่ยอดเยี่ยมและอลังการมากๆด้วย
    ซึ่งหมายถึงแหล่งกำเนิดพลังงานทางกายภาพจริงๆ (actual physical power)
    พลังงานที่พวกคุณจะสามารถใช้เพื่อการเดินทางและใช้เพื่อเป็นพลังงาน (energy) ได้ พลังงานที่พวกคุณจะสามารถใช้เพื่อยังชีพได้

    แหล่งพลังงานทั้งหลายที่อยู่บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ ที่พวกคุณกำลังนำมาใช้เพื่อผลิตพลังงานจนใกล้จะหมดอยู่แล้วนี้
    พวกมันล้วนมีอยู่อย่างจำกัด และก็ไม่มีพลังงานชนิดไหนอีกแล้วที่จะสะอาดไปมากกว่าพลังงานจากโครงผลึกของเอกภพนี้เลย
    นี่คือฟิสิกส์ และมันก็เป็นที่รู้จักกันดี แม้ในหมู่ของผู้ที่รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย ที่กำลังเดินทางท่องเที่ยวไปมาอยู่ในเอกภพแห่งนี้อยู่
    ..แต่อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่การเดินทางซะทีเดียวหรอก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะ “ล่องลอย” (ride)
    ไปบนเส้นสายของโครงผลึกของเอกภพซะมากกว่า

    ...................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 1

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1997
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice PI

    ตอนที่: 7

    "มนุษย์ต่างดาว (E.T.s)"

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    (หมายเหตุ: คำว่า “มนุษย์ต่างดาว” ในที่นี้ผมหมายถึงรูปธรรมชีวิตจากต่างดาว ที่มีกายเนื้อรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอยู่
    ที่เราสามารถมองเห็นพวกเขาได้ และอาจจะอยู่ในมิติเดียวกับเราด้วยซ้ำไป ส่วนคำว่า “รูปธรรมชีวิตจากต่างมิติ” ที่ผมชอบใช้อยู่เป็นประจำหนะ
    หมายถึง ผู้ที่อยู่ต่างมิติจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราอาจจะไม่สามารถมองเห็นพวกเขาเลยก็ได้
    ซึ่งคำๆหลังนี้ ผมจะหมายรวมถึงพวกทวยเทพทั้งหลายด้วย – ผู้แปล)

    ฉันอยากจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวบางกลุ่ม
    ที่เกี่ยวข้องกับ “โครงผลึกของเอกภพ” (the Cosmic Lattice) ซะหน่อย
    ว่า..มันมีมนุษย์ต่างดาวอยู่กลุ่มหนึ่งที่ตอนนี้ กำลังอยู่บน หรืออยู่ใกล้ๆ
    หรืออยู่รอบๆ ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ของพวกคุณอยู่


    (ข้อความนี้สื่อสารมาตั้งแต่ปี 1997 หนะนะครับ แต่ว่าตอนนี้ ตามคำบอกเล่าของต่างมิติหลายท่าน
    บอกว่า พวกนี้ถูกขับไล่ออกไปจากโลกหมดแล้ว ตั้งแต่ก่อนสิ้นปี 2012 โน่นแล้ว – ผู้แปล)


    ซึ่งมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้ มีความกระหายใคร่รู้ เรื่องราวเกี่ยวกับพวกคุณอย่างเหลือล้น พวกเขาสะกิดพวกคุณ และแหย่พวกคุณ
    และก็ลักพาตัวพวกคุณไป เพราะว่าเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลเพียงหนึ่งเดียว ที่ทำให้พวกเขาเกิดความอยากรู้อยากเห็น
    เกี่ยวกับพวกคุณเป็นนักเป็นหนา ก็คือ..พวกคุณ..ที่รักทั้งหลาย..เพราะว่าพวกคุณมีชิ้นสิ่วนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า
    อยู่ภายในตัวของพวกคุณเองทุกๆคน (หมายถึงตัวตนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นทวิภาวะนี้)
    ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถที่จะสื่อสารกับ “โครงผลึกของเอกภพ” ได้ และผู้มาเยือนเหล่านี้
    ก็สามารถมองเห็นการสื่อสารที่ว่านี้ของพวกคุณได้อย่างชัดเจนซะด้วย เพราะว่าโครงผลึกของเอกภพที่ว่านี้
    ก็คือแหล่งกำเนิดพลังงานของพวกเขาเองด้วย!

    ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการที่จะรู้ว่า “สิ่งมีชีวิตที่กำลังอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงเล็กๆดวงนี้
    และก็มีอยู่เฉพาะบนดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้นด้วยนั้น คือสิ่งมีชีวิตชนิดไหนกันแน่
    ทำไมถึงได้มีพลังอำนาจชนิดนี้ได้ !!” ซึ่งตอนนี้พวกคุณก็อาจจะเข้าใจมากขึ้นแล้วก็ได้
    ที่รักทั้งหลาย และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไม มนุษย์ต่างดาวพวกนั้น จึงไม่เข้ามายังโลกของพวกคุณ
    แล้วก็เอายานลงมาจอดแบบสบายๆ แล้วก็ไปพบกับพวกคุณ
    แล้วก็ไปถามพวกคุณแบบตรงๆเกี่ยวกับพลังอำนาจอันน่าทึ่งนี้ของพวกคุณไปเลย

    นั่นก็เพราะว่า พวกเขารู้ว่าพวกคุณยังไม่เข้าใจพลังอำนาจที่ตัวเองมีอยู่ซะด้วยซ้ำไปหนะสิ
    แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะว่า “เจตจำนง” (intent) ของพวกคุณมีพลังอำนาจอย่างมากจนเหลือเชื่อ
    มากจนกระทั่งว่า แค่อาศัยพวกคุณเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
    ก็สามารถที่จะสลายพวกเขาให้กลายเป็นไอไปได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว!
    (ถ้าพวกคุณรู้ว่าจะต้องทำยังไง) นั่นแหละคือพลังอำนาจที่พวกคุณมีหละ!

    และเพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงจับตัวพวกคุณไปในขณะที่พวกคุณกำลังหวาดกลัวอยู่ ทีละคนๆ
    เพราะว่าพวกเขายอมรับในพลังอำนาจของพวกคุณ ซึ่งเป็นพลังอำนาจที่พวกเขาอยากจะมีบ้างนั่นเอง
    และพวกเขาก็สงสัยเหลือเกิน ว่าพวกคุณสามารถเชื่อมต่อกับพลังอำนาจที่ว่านี้ได้อย่างไร?

    และเพราะว่า “ความกลัว” จะเป็นตัวทำให้ “ความเบิกบาน” และ “ความคิดสร้างสรรค์” ของพวกคุณหมดไป
    และเพราะว่าความคิดสร้างสรรค์ และ ความเบิกบานนั้น มีความเชื่อมต่ออยู่กับ “เจตจำนง” ของพวกคุณด้วย
    ดังนั้น การกำจัดความคิดสร้างสรรค์ และ ความเบิกบานของพวกคุณให้หมดไป (โดยการทำให้เกิดความกลัว - ผู้แปล)
    จึงทำให้พวกเขาสามารถลักพาตัวพวกคุณไปได้

    พวกเราเคยบอกพวกคุณไปก่อนหน้านี้แล้วว่า
    พวกคุณไม่จำเป็นจะต้องไปกลัวสิ่งมีชีวิตพวกนี้เลย!
    เพราะว่าถ้าพวกเขาเข้ามาหละก็ ทั้งหมดที่พวกคุณจะต้องทำก็คือ
    แค่มองไปที่พวกเขา แล้วก็พูดว่า “ฉันไม่อนุญาตให้พวกคุณมาอยู่ที่นี่” เท่านั้นเอง!
    แล้ว..ที่รักทั้งหลาย พวกคุณเชื่อไหม๊ว่า พวกเขาก็จะรีบเผ่นหนีไปจนแทบไม่ทันเลยทีเดียวหละ
    เพราะว่าพวกคุณมีพลังอำนาจแห่ง “เจตจำนง” อยู่
    ซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับต้นกำเนิดพลังงานของจักรวาล
    ที่เรียกว่า “โครงผลึกของเอกภพ” (the Cosmic Lattice) ยังไงหละ
    ซึ่งพวกเขารู้ดี..แต่ที่น่าขำก็คือ พวกคุณกลับไม่รู้

    ………………………………..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • alien-3.jpeg
      alien-3.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      28.7 KB
      เปิดดู:
      1,763
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: http://www.kryon.com/k_29.html

    ตอนที่: 8

    …ครั้งที่แล้วพวกเราได้บอกพวกคุณไปหลายเรื่องแล้ว เกี่ยวกับโครงผลึกของเอกภพ
    พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วว่าโครงผลึกที่ว่านี้มันเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่ปกคลุมไปทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้
    และก็เป็นพลังงานที่คงเส้นคงวาอีกด้วย พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วว่าพลังงานชนิดนี้มันทะลุทะลวงอยู่ในวัตถุทุกๆชนิด
    และมันก็มีอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วว่ามันคือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในทางฟิสิกส์
    ที่เกี่ยวข้องกับวิถีความเป็นไปของสิ่งต่างๆที่สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้
    พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วว่า ถ้านำเอาความเร็วของแสงมาเปรียบเทียบกับความเร็วในการสื่อสารของโครงผลึกเอกภพนี้แล้วหละก็
    ความเร็วของแสงก็จะเชื่องช้าไปทันทีเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าโครงผลึกของเอกภพที่ว่านี้
    มันจะมีกลไกในการทำงานของมันอยู่อย่างหนึ่งก็ตาม (ซึ่งอีกซักครู่พวกเราจะมาพูดถึงมันกัน)
    แต่ว่าการสื่อสารทั่วทั้งโครงผลึกของมัน ก็ยังจะเกิดขึ้นแบบเกือบจะฉับพลันทันใดอยู่ดี
    พลังงานจะวิ่งจากขอบด้านหนึ่งของจักรวาลไปยังขอบอีกด้านหนึ่งได้ แทบจะในทันทีทันใดเลยทีเดียว (อันที่จริงแล้วจักรวาลนี้ไม่มีขอบ)

    ดังนั้น ปรากฎการณ์ทางพลังงานในเอกภพ ที่พวกคุณมองเห็นว่า มันเกิดขึ้นห่างไกลออกไป 12 พันล้านปีแสงนั้น
    มันจึงไม่ได้หมายความว่ามันเกิดขึ้นจริงๆเมื่อ 12 พันล้านปีที่แล้วแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่ามันมีคุณสมบัติอะไรบางอย่างด้านการสื่อสารที่เป็นตัวชี้บ่งว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้อยู่
    เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนเข้าสู่ปี 2000 ของพวกคุณ มันไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ 12 พันล้านปีที่แล้วเลย
    (ดูรายละเอียดในข้อความสื่อสารชุด "The Meaning of Life" ในหนังสือ Kryon เล่มที่ 7)

    ครั้งที่แล้ว พวกเราได้บอกข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับรูปร่างรูปทรงของโครงผลึกของเอกภพให้พวกคุณทราบไปแล้ว
    คราวนี้พวกเราก็จะมาเต็มเติมรอยโหว่ในข้อมูลนั้นกัน พวกเรากำลังจะบอกพวกคุณว่ารูปร่างรูปทรงที่แท้จริง
    ของโครงผลึกเอกภพนี้เป็นอย่างไร พวกเรากำลังจะบอกพวกคุณว่าโครงสร้างของมันเป็นอย่างไร
    พวกเราจะพยายามใช้คำที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ให้มากที่สุด เท่าที่คู่หูของฉันจะทำได้
    และพวกเราก็ยังจะบอกคุณสมบัติอื่นๆของโครงผลึกนี้ให้พวกคุณทราบอีกด้วย
    และพวกเราก็จะบอกพวกคุณว่าจะสามารถนำเอามันไปใช้งานได้อย่างไรด้วย
    แล้วจากนั้นพวกเราก็จะบอกพวกคุณเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ที่แท้จริงให้พวกคุณได้รู้
    แต่ว่าก่อนอื่นพวกเราก็จะต้องบอกข้อมูลทางด้านฟิสิกส์ของมันให้พวกคุณรู้ซะก่อน

    ข้อมูลนี้จะไปผูกโยงศาสตร์สองแขนงของ “ผู้ให้บริการ” สองคนที่อยู่ในห้องนี้เข้าด้วยกัน
    (พูดถึงวิชาฟิสิกส์ของ ดร. Dr. Todd Ovokaitys และการบำบัดรักษาด้านพลังงาน
    ด้วยเทคนิกการทำให้สนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าสู่สมดุล (EMF Balancing Technique) ของ Peggy Dubro
    ซึ่งทั้งคู่กำลังอยู่ในการประชุมในครั้งนี้ด้วย) และสุดท้ายพวกคุณก็จะได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วโครงผลึกของเอกภพนี้
    ก็คือสารัตถะของพลังงานของการบำบัดรักษานั่นเอง

    อีกครั้งหนึ่ง พวกคุณคงจะไม่แปลกใจใช่ไหมถ้าพวกเราจะเริ่มต้นจากเรื่องที่ใหญ่ที่สุดก่อน
    แล้วจากนั้นจึงค่อยลงลึกไปถึงเรื่องที่เล็กที่สุดเป็นลำดับต่อไป เพื่อที่จะได้พูดถึงมนุษย์โลกต่อไป
    และเพราะฉะนั้นแล้ว ก่อนที่การสอนในครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้น พวกเราจึงอยากจะพูดว่า “เรามาเริ่มล้างเท้ากันเถอะ!”

    และในช่วงที่พวกเรากำลังพูดถึงฟิสิกส์อยู่นี้ พวกเราก็จะพูดถึงความรักด้วย ซึ่งพวกคุณหลายคนก็จะสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันของความรักได้
    และถึงแม้ว่าพวกคุณจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ใดๆได้เลยก็ตาม
    แต่พวกคุณก็ยังจะสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันของความรักได้อยู่ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับร่างกายของพวกคุณเอง
    ซึ่งพวกคุณบางคนก็อาจจะรู้สึกถึงการล้างเท้านั้นได้ หรือรู้สึกถึงแรงกดจากการถูกกอดได้ บางคนอาจจะรู้สึกได้ที่บริเวณศรีษะ
    แต่บางคนก็อาจจะรู้สึกได้ที่บริเวณไหล่ แต่พวกคุณบางคนก็อาจจะรู้สึกว่าอุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงไป
    และพวกคุณก็อาจจะสามารถรู้สึกถึงพลังงานนั้นได้ในห้องนี้ ในขณะที่ข้อมูลใหม่นี้กำลังถูกถ่ายทอดให้กับพวกคุณอยู่ด้วยความรัก
    และที่การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่าพวกคุณต้องการมัน และก็เพราะว่าพวกคุณสมควรที่จะได้รับมันแล้ว
    นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกคุณถึงได้มาอยู่ที่นี่ และมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้กัน

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    โครงผลึกของเอกภพนี้ไม่ใช่ตาข่าย (net) และมันก็ไม่ได้เป็นเอกฐานแบบนั้นด้วย เพราะว่ามันไม่ได้มีเพียงมิติเดียว
    และถ้ามันครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้อย่างที่พวกเราบอกไปแล้วจริงๆหละก็ มันก็จะต้องมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
    และจริงๆแล้วโครงผลึกของเอกภพนี้มันก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งจริงๆ พวกเราอยากจะเปิดเผยรูปร่างรูปทรงของมันให้พวกคุณได้รู้
    ว่า..รูปร่างรูปทรงที่แท้จริงของมันนั้น
    มีลักษณะเป็นช่องปิดขนาดเล็กจำนวนมากมาย
    คล้ายๆเซลในร่างกายของพวกคุณ
    ซึ่งเรื่องนี้มันคงไม่ทำให้พวกคุณช็อกหรือแปลกใจหรอกใช่ไหม
    เพราะว่ามันเลียนแบบร่างกายของพวกคุณมา!

    เอาหละตอนนี้ พวกเราจะขอเรียกเซลพวกนี้ว่า “เซลพลังงาน” (energy cells) ก็แล้วกัน
    พวกมันจะอยู่กันแบบคล้ายรวงผึ้ง ซึ่งเซลพลังงานเหล่านี้ แต่ละเซลก็จะมีด้านอยู่ 12 ด้าน
    และทุกๆเซลของมันที่กำลังอยู่รอบๆตัวของพวกคุณในขณะนี้ จะไม่สามารถมองเห็นได้
    แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วสักวันหนึ่งพวกคุณก็จะสามารถวัดค่าพลังงานของมันออกมาได้


    โครงผลึกของเอกภพนี้คือโครงสร้างอย่างหนึ่ง
    ที่แต่ละส่วนของมันจะไม่สัมผัสกัน
    นั่นก็คือเซลพลังงานแต่ละเซลที่มี 12 ด้าน
    และอยู่กันแบบคล้ายรวงผึ้งนี้ และมีอยู่ทุกหนทุกแห่งเหล่านี้
    พวกมันจะไม่สัมผัสกันเลย แต่ว่าพวกมัน
    จะอยู่ใกล้ชิดกันราวกับว่าพวกมันสัมผัสกันอยู่อย่างนั้นแหละ
    และพวกมันก็จะดูเหมือนว่าสัมผัสกันอยู่จริงๆซะด้วย
    แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะว่ามีอะไรบางอย่าง
    ที่ทำให้พวกมันต้องแยกออกจากกันอยู่

    ภายในนิวเคลียสของอะตอม มันจะมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งซึ่งเป็นคุณสมบัติทางกลศาสตร์ฟิสิกส์เกิดขึ้นอยู่
    และกฎทางกลศาสตร์อันเดียวกันนี้แหละที่เป็นตัวทำให้เซลพลังงานทั้งหลายของโครงผลึกอันนี้แยกออกจากกัน
    และมันก็คือคุณสมบัติที่ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆที่มีขั้วแตกต่างกันที่อยู่ภายในนิวเคลียสของอะตอม สามารถยึดเหนี่ยวกันอยู่ได้ ด้วย

    (หมายเหตุ: ภายในนิวเคลียสของอะตอมจะประกอบไปด้วยอนุภาคสองชนิด ซึ่งได้แก่โปรตอนและนิวตรอน
    นิวตรอนเป็นอนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้า ส่วนโปรตอนเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก
    ดังนั้นระหว่างอนุภาคโปรตอนทั้งหลายที่อยู่ภายในนิวเคลียสนั้น จึงมีแรงผลักทางไฟฟ้าเกิดขึ้นอยู่
    แต่ว่าการที่อนุภาคโปรตอนและนิวตรอนทั้งหลาย สามารถอยู่ร่วมกันภายในนิวเคลียสได้ ก็แสดงว่าจะต้องมีแรงอีกชนิดหนึ่ง
    ซึ่งมีแรงดึงดูดมากกว่าแรงผลักทางไฟฟ้าระหว่างอนุภาคโปรตอน คอยยึดเหนี่ยวพวกมันเอาไว้ด้วยกันอยู่
    ซึ่งแรงที่ว่านี้มีชื่อว่า “แรงนิวเคลียร์” (nuclear force) ซึ่งแรงนิวเคลียร์นี้ก็เป็นแรงที่จะกระทำระหว่างอนุภาค
    ที่อยู่ใกล้ชิดกันภายในนิวเคลียสเท่านั้น – ผู้แปล)


    ประเด็นสำคัญของมันก็คือ พวกคุณจะต้องเข้าใจเอาไว้ว่าเซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพเหล่านี้พวกมันไม่เคยสัมผัสกันเลย
    และมันก็มีเหตุผลของมันอยู่ว่าทำไมมันถึงไม่สัมผัสกัน มันคือองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในโครงผลึกของเอกภพนี้

    นอกจากนี้ วิธีการถ่ายเทพลังงานภายในโครงผลึกนี้ก็ยังจำลองแบบมาจากฟิสิกส์ในระดับที่เล็กที่สุดอีกด้วย
    เพราะว่าโครงสร้างภายในอะตอมก็จะไม่สัมผัสกันด้วยเช่นเดียวกัน และมันก็ยังเลียนแบบส่วนที่เลอเลิศที่สุดในร่างกายของพวกคุณ
    ซึ่งเป็นส่วนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคิด, การจำ, การระลึก และการกระทำของพวกคุณอีกด้วย และส่วนที่ว่านั้นก็คือสมองของพวกคุณนั่นเอง

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่เป็นจุดประสานประสาท (จุดเชื่อมต่อ) ที่อยู่ภายในสมองของพวกคุณ จะไม่สัมผัสซึ่งกันและกัน
    นี่แหละคือวิธีการถ่ายเท (หรือถ่ายทอด) พลังงานของสิ่งที่เป็นฟิสิกส์หละ มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย
    จงมองหามัน เพราะว่ามันมีอยู่ทุกที่ และมันก็เป็นโครงสร้างทั่วไปของโครงผลึกของเอกภพอีกด้วย

    ....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: http://www.kryon.com/k_29.html

    ตอนที่: 9


    คราวนี้ พวกเราจะบอกคุณสมบัติบางอย่างของเซลพลังงานเหล่านี้ให้พวกคุณได้รู้
    และพวกเราก็จะขอให้พวกคุณตามพวกเรามาเรื่อยๆก่อน เพราะว่าสำหรับพวกคุณบางคนที่ชอบวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว
    ก็อาจจะชอบข้อมูลนี้ แต่ว่าคนอื่นๆที่เหลือ ที่ไม่สนใจวิทยาศาสตร์เอาซะเลย ก็อาจจะแค่นั่งอยู่เฉยๆก็ได้
    เพราะว่าพวกเรากำลังจะล้างเท้าให้กับพวกคุณอยู่

    โครงผลึกของเอกภพจะอยู่ในความสมดุลอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะอยู่อย่างเงียบๆหรอกนะ เพราะว่าโครงผลึกนี้
    จะมีพลังงานล้นเหลือจนน่าตกใจ มันมีกระแสพลังงานอย่างหนึ่งไหลเวียนอยู่ ซึ่งฉันไม่สามารถอธิบายให้พวกคุณเข้าใจได้
    เพราะว่ากระบวนทัศน์หรือรูปแบบของมันยังไม่เป็นที่รู้จักสำหรับพวกคุณ เพราะฉะนั้นแล้ว พวกคุณจึงอาจจะไม่สามารถเข้าใจมันได้ง่ายๆ

    โครงผลึกของเอกภพนี้ จะมี “ช่องระบายพลังงาน” (vent) อยู่มากมาย
    เพื่อทำให้เกิดการไหลเวียนของพลังงานขึ้น
    นั่นแหละคือคำอธิบายที่ดีที่สุดของพวกเราหละ
    มันจะทำหน้าที่ปรับสมดุลของความเป็นขั้วที่เปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
    ให้กลับเข้าสู่สมดุลดังเดิม และช่องระบายพลังงานที่ว่านี้
    ก็จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกาลเวลาด้วย ซึ่งอีกสักครู่พวกเราจะมาพูดถึงมันมากกว่านี้กัน


    พวกคุณจะพบว่ามันมีช่องระบายพลังงานอยู่ด้วยกันสองช่องเสมอ ช่องแรกจะเป็นช่องหลักที่เด่นกว่า
    ส่วนอีกช่องหนึ่งจะเป็นช่องรอง พวกคุณอาจจะสามารถมองเห็นและถ่ายภาพช่องระบายพลังงานหลักของมันได้อย่างชัดเจน
    แต่ว่าพวกคุณจะต้องใช้ความพยายามในการมองหาอย่างมากจึงจะสามารถมองเห็นคู่ของมันได้ เพราะว่าพวกมันจะอยู่กันเป็นคู่เสมอ
    นี่คือสัจพจน์หรือกฎทางฟิสิกส์ของพลังงานของโครงผลึกเอกภพนี้ และของจักรวาลนี้

    โดยปกติแล้วช่องระบายพลังงานที่ว่านี้จะอยู่ที่ใจกลางของแต่ละกาแล็กซี่ (พูดถึงหลุมดำและหลุมขาว – ผู้แปล)
    และระยะห่างระหว่างช่องระบายพลังงานเหล่านี้ ก็จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการหมุนรอบแกนตัวเองของกาแล็กซี่
    และเป็นตัวกำหนดความเร็วของสสารที่จะหมุนรอบใจกลางของกาแล็กซี่นั้นด้วย พวกมันจะใช้วิธีการ “ผลักออกและดูดเข้า”
    แบบพื้นๆนี่แหละ และสสารต่างๆก็จะตอบสนองต่อพวกมัน

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    คราวนี้ก็จะมาถึงจุดที่พวกคุณจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยแล้วหละนะ ช่องระบายพลังงานเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
    ต่อความสมดุลด้านพลังงานของจักรวาลของพวกคุณ และช่องระบายเหล่านี้ก็ยังเป็นทางเข้าออกของพลังงานอีกด้วย
    (หรือคือท่อระบายสำหรับพวกคุณ) และพวกมันก็คือจุดที่ด้านหน้าและด้านหลังของโครงผลึกนี้สัมผัสกันอยู่พอดีด้วย
    ซึ่งด้านหลังของโครงผลึกนี้ก็จะมีจักรวาลๆหนึ่งอยู่ ซึ่งจักรวาลๆนี้ก็จะมีช่องระบายพลังงานที่อยู่ตรงข้ามกัน
    กับช่องระบายพลังงานของจักรวาลแรกพอดี..หมายเหตุ: แต่นี่ไม่ใช่จักรวาลอื่นหรอกนะ
    เพราะว่ามันก็คือจักรวาลของพวกคุณเองด้วยเช่นเดียวกัน และถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันอาจจะทำให้พวกคุณรู้สึกสับสน
    เพราะคำพูดที่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันเองแบบนี้ก็ตาม แต่ว่าในอนาคตพวกคุณหลายคน
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อ่านที่มีความรู้-ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ดีพอ ก็จะพากันค้นพบความรู้ด้านฟิสิกส์
    ที่จะเป็นบทพิสูจน์ของความถูกต้องของนัยยะที่มีอยู่ในข้อมูลชุดนี้ได้

    เพราะฉะนั้นแล้ว ณ.ใจกลางของกาแล็กซี่ของพวกคุณนั้น มันจึงมีช่องระบายพลังงานอยู่คู่หนึ่ง
    ซึ่งช่องหนึ่งคือช่องที่พวกคุณสามารถมองเห็นได้ชัด ถ้าพวกคุณต้องการ แต่อีกช่องหนึ่งจะซุกซ่อนอยู่
    แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ช่องระบายพลังงานที่ว่านี้ก็จะอยู่กันเป็นคู่เสมอ มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก มันทรงพลังอำนาจอย่างมาก
    และมันก็คือวิธีการปรับสมดุลให้กับตัวเองของโครงผลึกของเอกภพนี้

    …………………………….
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: http://www.kryon.com/k_29.html

    ตอนที่: 10

    พวกเรากำลังจะบอกคุณสมบัติอย่างหนึ่งของโครงผลึกเอกภพ และพลังงานที่อยู่ภายในมัน ให้พวกคุณได้รู้กัน
    ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากที่จะอธิบายมากๆ เพราะว่าพวกเรากำลังจะพูดถึงกลไกที่ทำให้เกิดความรวดเร็ว
    ในการถ่ายโอนพลังงานภายในโครงผลึกของเอกภพนี้กัน และพวกเราก็กำลังจะแสดงให้พวกคุณได้เห็นว่า
    ความเร็วที่ว่านี้ มันเร็วซะยิ่งกว่าความเร็วของแสงอย่างขาดรอยอย่างไร

    แต่การอธิบายเรื่องความเร็วดังกล่าวนี้ ก็จะต้องอาศัยการเปรียบเทียบด้วย ซึ่งก็จะเป็นการเปรียบเทียบถึงสิ่งที่มีอยู่แล้ว
    บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณนี่แหละ

    พวกคุณบางคนรู้ดีอยู่แล้วว่า ถ้านำเอาสิ่งของที่เป็นวัตถุธาตุทางกายภาพอะไรบางอย่างไปไว้ใต้มหาสมุทร
    แล้วใช้แรงผลักดันให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าใต้น้ำแล้ว มันก็จะวิ่งไปได้อย่างช้าๆ เพราะว่าน้ำมีความหนาแน่นค่อนข้างมาก
    และก็จะไปทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่จะต้องใช้พลังงานมากพอสมควร จึงจะสามารถผลักดันให้อะไรบางอย่างเคลื่อนที่ทะลุผ่านมันไปได้
    ลองคิดถึงสิ่งที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดใต้มหาสมุทรของพวกคุณดูสิ ซึ่งก็อาจจะเป็นปลาที่สามารถว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็วบางชนิด
    หรืออาจจะเป็นยานพาหนะอะไรบางอย่างของพวกคุณ (เรือดำน้ำ) ก็ได้ แต่ว่าเมื่อนำพวกมันและความเร็วของพวกมัน
    มาเปรียบเทียบกับความเร็วของคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรที่เกิดจากพลังงานของแผ่นดินไหวแล้วหละก็
    ความเร็วของพวกมันก็จะจิ๊บจ้อยไปเลยหละ

    พวกคุณหลายคนรู้ดีว่าความเร็วของคลื่นในมหาสมุทรที่เกิดจากแผ่นดินไหวนั้น เกือบจะมีค่าเท่ากับความเร็วของเสียงเลยทีเดียว!
    นั่นแหละคือความเร็วของมันหละ ลองคิดดูสิว่ามันจะต้องใช้พลังงานมหาศาลสักแค่ไหน
    เพื่อที่จะขับเคลื่อนอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาลูกหนึ่ง ให้เคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเร็วของเสียง ในมหาสมุทร
    ซึ่งหลายคนก็อาจจะบอกว่าทำไม่ได้หรอก แต่ว่า..ดูเหมือนว่า คลื่นจะสามารถทำได้อย่างง่ายดายเลยนะ

    เหตุผลของมันก็คือ เพราะว่าคลื่นไม่ใช่การขนส่ง “สสาร” จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
    (เหมือนอย่างที่ปลา หรือเรือดำน้ำ หรือสสารที่อยู่ในภูเขาทำกัน) แต่คลื่นคือการขนส่งพลังงาน จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
    และก็อย่างที่พวกคุณรู้กันดีอยู่แล้วว่า โมเลกุลของน้ำจะชนกันต่อๆไปเป็นทอดๆโมเลกุลแล้วโมเลกุลเล่า
    และก็จะชนกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆด้วย ซึ่งความเร็วของการชนที่ถ่ายทอดต่อกันไปเรื่อยๆแบบนี้นั้น ก็จะเร็วมากๆซะด้วย

    และถึงแม้ว่าวิธีการเปรียบเทียบสิ่งของทั้งสองสิ่งนี้ของพวกเรา จะมีข้อจำกัดอยู่บ้างก็ตาม
    แต่ว่าโดยสาระสำคัญของมันแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในสเกลที่ใหญ่กว่านี้อย่างมาก ภายในโครงผลึกของเอกภพหละ

    แสงสว่างคือการขนย้ายสสารอย่างหนึ่งในอวกาศ ซึ่งสสารที่ว่านั้นก็คือโปรตอนนั่นเอง
    และถึงแม้ว่าแสงสว่างอาจจะมีลักษณะเหมือนกับว่ามันเป็นคลื่นด้วยก็ตาม แต่ว่าความเร็วของมันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี
    เพราะว่ามันมีมวล ดังนั้น ความเร็วของมันจึงค่อนข้างช้า และแสงสว่างก็เหมือนกับปลา หรือยานพาหนะใต้น้ำของพวกคุณนั่นแหละ
    ที่มันก็คือการขนย้ายสสารผ่านตัวกลางชนิดหนึ่งไป

    เมื่อใดที่เซลพลังงานของโครงผลึกของเอกภพชนกันแล้ว
    มันก็จะทำให้เกิดแพทเทิ้น (คลื่น) จากการกระแทกกันขึ้นมา
    ซึ่งจะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่สูงมากๆ
    ทะลุละลวงไปยังที่ๆอยู่ห่างไกลออกไป
    เป็นระยะทางนับพันๆล้านปีแสงได้ภายในระยะเวลาเกือบจะฉับพลันทันทีเลยทีเดียว


    และไม่เพียงแต่ความเร็วของแสงจะช้าเท่านั้นนะ แต่มันยังจะต้องทะลุผ่านเข้าไปในสสารชนิดอื่นๆอีกด้วย
    ไม่ใช่จะทะลุผ่านเฉพาะความว่างเปล่าของอวกาศเท่านั้น เพราะว่าในอวกาศนั้นมันมีทั้งฝุ่นละออง, แกส, และแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่อีกด้วย
    ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้ ล้วนแล้วแต่สามารถสกัดกั้นและเบี่ยงเบนทิศทางของแสงได้ทั้งนั้นเลย
    แต่ว่าการถ่ายโอนพลังงานจากโครงผลึกของเอกภพนี้ จะเป็นไปด้วยความสะดวกราบรื่น, รวดเร็ว
    และสามารถไปถึงทั่วทั้งความกว้างใหญ่ไพศาลของมันได้ภายในระยะเวลาที่เกือบจะฉับพลันทันทีเลยทีเดียว
    ซึ่งนั่นก็เพราะว่าสื่อนำพลังงานของมันมีคุณสมบัติเดียวกันทั้งหมด และระบบการถ่ายทอดพลังงานของมัน
    ก็เป็นระบบที่ง่ายต่อการจำแนกว่า สิ่งที่กำลังถูกส่งผ่านมันไปอยู่นี้คืออะไรด้วย (เช่นเดียวกันกับที่คลื่นทำกับโมเลกุลของน้ำ)
    พอมาถึงตรงนี้แล้ว พวกเราก็ได้บอกพวกคุณไปเรียบร้อยแล้วว่า กลไกในการถ่ายทอดพลังงานของจักรวาลจริงๆหนะเป็นอย่างไร

    …………………………….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: http://www.kryon.com/k_29.html

    ตอนที่: 11

    มันมีกฎทางฟิสิกส์อยู่ 3 ข้อสำหรับโครงผลึกของเอกภพนี้
    แต่ว่ามันก็ไม่มีกฎข้อไหนเลยที่ขานรับสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า
    “นิวโตเนี่ยนฟิสิกส์” (Newtonian physics)
    และ “ฟิสิกส์สัมพัทธภาพของไอสไตน์” เลย
    เพราะว่านิวโตเนี่ยนฟิสิกส์และฟิสิกส์สัมพัทธภาพนั้น
    ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของสสารเท่านั้น
    แต่ว่ากฎทางฟิสิกส์ที่ฉันกำลังจะบอกพวกคุณอยู่นี้
    มันจะเกี่ยวข้องกับพลังงาน ซึ่งมันต่างกันมาก
    และก็ต่างกันอย่างลิบลับซะด้วย


    1). ความเร็วของพลังงานที่จะเคลื่อนที่ผ่านโครงผลึกของเอกภพนี้
    จะมีค่าเท่าเดิมเสมอ มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย
    มันคือกฎตายตัวของฟิสิกส์พลังงาน
    มันคือความเร็วในการชนกันของเซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพ
    ซึ่งการชนกันนี้ก็จะไปทำให้เกิดคลื่นพลังงาน
    ที่มีความเร็วเท่าเดิมเสมอขึ้นด้วย นี่คือกฎข้อที่ 1

    2). อันนี้คือกฎข้อที่ 2 ของมัน ซึ่งค่อนข้างเข้าใจยาก:
    พลังงานจะใช้เวลาเท่าเดิมเสมอในการเดินทาง
    ข้ามระยะทางภายในของเซลพลังงานใดๆของโครงผลึกเอกภพ
    (เวลาที่พลังงานใช้ในการเดินทางจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
    ภายในเซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพจะมีค่าคงที่เสมอ)
    ช่วงระยะเวลาที่ใช้นี้จะมีค่าเท่าเดิมเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    3). กฎข้อที่ 3 ก็คือ: เซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพมีขนาดแตกต่างกัน
    หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในบางสถานที่ของจักรวาลแห่งนี้
    เซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพนี้ ก็จะมีขนาดใหญ่
    แต่ในบางสถานที่ก็จะมีขนาดเล็ก

    แต่พวกคุณก็อาจจะพูดว่า “เดี๋ยวก่อนนะครายออน ก็คุณเพิ่งบอกไปเมื่อกี้นี้เองว่า
    พลังงานจะใช้เวลาเท่าเดิมเสมอในการเดินทางข้ามพื้นที่ภายในเซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพยังไงหละ
    แล้วถ้าบางเซลของมันมีขนาดเล็กและบางเซลของมันมีขนาดใหญ่แบบนี้แล้วหละก็
    มันก็จะต้องใช้เวลาต่างกันไม่ใช่เหรอ? เพราะว่ายังไงๆระยะทางของมันก็จะต้องเปลี่ยนไปแนะๆ!”

    ไม่เลย..เวลาที่ใช้จะยังคงเท่าเดิมเสมอ

    แล้วพวกคุณก็อาจจะพูดอีกว่า “อ้าว..แล้วถ้ายังงั้น มันก็จะต้องมีอะไรที่มากกว่านี้อยู่อีกแน่เลย
    เพราะว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะใช้เวลาเดินทางในระยะทางสั้นๆกับเดินทางในระยะทางไกลๆเท่ากันเป๊ะๆได้
    ถ้าความเร็วก็จะต้องเท่าเดิมด้วย”

    พวกคุณพูดถูกแล้วหละ และตรงนี้แหละที่พวกเราขอท้าทายให้พวกคุณเข้าใจ
    ว่า..คำพูดที่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันเองนี้ก็คือ
    ธรรมชาติของกาลเวลา ตามที่วัดค่าได้ จะต้องเปลี่ยนไป!


    เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อใดที่พวกคุณย้ายเข้าไปอยู่ในอวกาศ บริเวณที่มีเซลพลังงานเล็กลงกว่าเดิมแล้ว
    พวกคุณก็จะวัดค่าของกาลเวลา ได้แตกต่างไปจากเมื่อตอนที่พวกคุณวัดได้จากบริเวณที่มีเซลขนาดใหญ่กว่า
    ซึ่งนี่แหละคือคำอธิบายของคำพูดที่พวกเราได้พูดไปแล้วว่า ทำไมนักดาราศาสตร์ของพวกคุณจึงกำลังมองเห็น
    “ฟิสิกส์ที่เป็นไปไม่ได้” (impossible physics) ผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ของพวกเขาอยู่หละ
    เพราะว่ามันคือฟิสิกส์ที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามกฎที่พวกเขาสมมุติกันขึ้นมาเอง
    เพราะว่าพวกเขากำลังมองดูฟิสิกส์ในกรอบของกาลเวลาอื่น
    ที่มีขนาดของเซลพลังงานใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าของพวกเขาเองอยู่

    เพราะฉะนั้นแล้ว กฎข้อที่ 3 จึงเป็นกฎเพียงข้อเดียวที่มีตัวแปรอยู่ ซึ่งตัวแปรที่ว่านั้นก็คือเวลานั่นเอง
    เพราะว่าขนาดของหน่วยของกาลเวลา จะเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของเซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพเสมอ

    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 12


    คราวนี้ พวกเราจะมาพูดถึงวิธีการใช้งานเจ้าโครงผลึกเอกภพนี้ในทางฟิสิกส์กัน (ไม่ใช่ในทางชีววิทยา)
    ที่รักทั้งหลาย พวกเราได้บอกพวกคุณไปก่อนหน้านี้แล้วว่าพลังงานของโครงผลึกเอกภพนี้จะอยู่ในสมดุล ณ.จุดศูนย์ตลอดเวลา
    พวกเราได้บอกพวกคุณไปแล้วว่าเซลพลังงานแต่ละเซลของมัน มีพลังงานอยู่อย่างมากมายมหาศาลมาก
    เพียงแต่ว่ามันอยู่ในความสมดุลเพราะว่ามีพลังงานชนิดอื่น ซึ่งมีขั้วตรงข้ามกับมัน อยู่กับมันด้วยเท่านั้นเอง
    จึงทำให้ศักย์ทางพลังงานที่ปรากฎออกมาของมัน ถูกหักล้างจนกลายเป็นศูนย์ไป
    ดังนั้น พวกมันทั้งหมดจึงไม่ปรากฎออกมาให้พวกคุณมองเห็นได้ เพราะฉะนั้นแล้ว พลังงานของมันจึงแสดงค่าออกมาเท่ากับศูนย์

    แต่เมื่อใดก็ตามที่โครงผลึกนี้ถูกทำให้เสียสมดุลด้วยความตั้งใจแล้วหละก็
    พวกคุณก็จะสามารถมองเห็นพลังงานของมันได้จริงๆ
    และถ้าเพียงแต่พวกคุณรู้ว่าจะสามารถจัดการกับ
    เจ้าสภาวะว่างสูญหรือศูนย์นี้ได้อย่างไรเท่านั้นเอง
    พวกคุณก็จะสามารถทำให้มันเสียความสมดุลได้
    และผลลัพธ์ของมันก็จะคือ “พลังงานฟรี” (free energy)
    ปริมาณมากมายมหาศาลเลยทีเดียว

    พวกเราอยากจะขอพูดอีกครั้งหนึ่งว่า หนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไม พวกคุณจึงน่าที่จะนำมันมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยก็เพราะว่า
    ไม่มีเซลพลังงานเซลไหนเลยของมันที่สัมผัสกันอยู่ ดังนั้น มันจึงไม่อาจที่จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นมาได้
    อย่างที่พวกคุณทำให้เกิดขึ้นในวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของพวกคุณ ดังนั้น เมื่อใดที่พวกคุณสามารถควบคุมพวกมันได้แล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถดักจับเอาพลังงานจากหนึ่ง หรือสอง หรือสาม หรือจากหลายๆเซลของมันมาใช้ได้ ตามที่พวกคุณต้องการ

    หลายคนเคยมีคำถามเกี่ยวกับสภาวะว่างสูญ (null) หรือ เกี่ยวกับความเป็นขั้วนี้ว่า
    พลังงานของมันที่อยู่ตรงนั้นเป็นพลังงานชนิดไหนกันแน่ พวกมันถึงได้สามารถหักล้างกันได้ดีขนาดนี้?
    และพวกเราก็อยากจะขอตอบคำถามของพวกคุณสักหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นคำตอบที่ยากต่อการเข้าใจของพวกคุณ ณ.ขณะนี้
    แต่ว่าเมื่อพวกคุณค้นหาและเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว พวกคุณก็จะสามารถเข้าใจมันได้

    ว่า..พลังงานที่ตรงข้ามกันที่มาหักล้างกันจนกลายเป็นความสูญหรือศูนย์ดังกล่าวนั้น
    ก็คือพลังงานที่มีขั้วสองชนิด พวกมันเกือบจะเป็นภาพสะท้อนในกระจกเงาซึ่งกันและกันเลยทีเดียว
    แต่ว่าเมื่อพวกมันมาอยู่ร่วมกันแล้ว พวกมันก็จะทำให้เกิดสภาวะเงียบ หรือว่างสูญจนมีค่าเท่ากับศูนย์ขึ้น
    นี่แหละคือส่วนหนึ่งของความสมดุลของจักรวาลหละ และมันก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย


    และเรื่องทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับแสงสว่างและสสารด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นความจริงด้วยเช่นเดียวกันที่ว่า
    “ภาพสะท้อนในกระจกเงา” ของพลังงาน ซึ่งหมายถึงแสงสว่างและสสารนั้น
    พวกมันไม่ได้หักล้างกันจนเกิดความสมดุลขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบซะทีเดียว เพราะว่าจักรวาลของพวกคุณนั้น
    มีความลำเอียงอยู่ (ซึ่งพวกคุณอาจจะเรียกมันว่าจักรวาลที่เป็น “บวก” ก็ได้นะ)
    เพราะว่า “พลังงานปฏิภาค” (anti-energy) หรือ ภาพสะท้อนในกระจกเงาของพลังงานที่เป็นบวก
    จะมีค่าน้อยกว่าตัวพลังงานที่เป็นบวกเองอยู่เล็กน้อย และก็เพราะความไม่สมดุลเล็กน้อยดังกล่าวนี้เอง
    จึงทำให้เกิด “ช่องระบายพลังงาน” (vent) อย่างที่พวกเราได้กล่าวถึงไปแล้วนั้นขึ้นมา
    เพราะว่าช่องระบายพลังงานเหล่านี้คือสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาความสมดุลของระบบให้คงอยู่ได้
    มิเช่นนั้นแล้ว สภาวะว่างสูญหรือศูนย์ (null) นี้ก็คงจะอยู่ไม่ได้นาน และโครงผลึกของเอกภพนี้ก็คงจะเสียสมดุลอยู่ตลอดเวลา
    เพราะฉะนั้นแล้ว ช่องระบายพลังงานเหล่านี้จึงทำหน้าที่ “ระบาย” พลังงานที่ไม่สมดุลเล็กน้อย อันเกิดจากความลำเอียงนี้ออกไป

    คุณสมบัติสุดท้ายด้านฟิสิกส์ของมัน คือคุณสมบัติที่พวกเราจะขอพูดถึงเพียงคร่าวๆเท่านั้น
    อันที่จริงแล้ว โครงผลึกของเอกภพนี้ คือค่าคงที่ของเอกภพที่นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณเฝ้ามองหากันมาช้านานแล้วนั่นเอง
    และพวกคุณบางคนก็ได้เคยถามว่า “กลไกที่แท้จริงในการเชื่อมต่อระหว่างโครงผลึกของเอกภพกับสสารคืออะไร?”
    ซึ่งพวกเราก็บอกได้แค่ว่า คุณลักษณะเฉพาะตัวของค่าคงที่ตัวนี้เอง ที่เป็นตัว “ปรับจูนเส้นสาย” ของดนตรีของสสารให้เข้าด้วยกัน
    มันคือตัวกำหนดค่าให้กับคลื่นความถี่ของส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร และคลื่นความถี่เหล่านี้ก็จะแปรผันไปตามที่ๆมันอยู่ในเอกภพแห่งนี้ด้วย

    .........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 13


    พวกเราอยากจะให้พวกคุณเข้าใจในท้ายที่สุดว่า
    จะสามารถบงการเจ้าโครงผลึกของเอกภพนี้ได้อย่างไร
    เพื่อที่จะได้สามารถดึงเอาพลังงานของมันมาใช้ได้ และพวกคุณจะต้องเข้าใจไว้ด้วยว่า
    พวกคุณสามารถที่จะดึงเอาพลังงานของมันออกมาใช้ได้
    ที่ไหน และ เมื่อไหร่ก็ได้บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ และในห้วงอวกาศนี้
    ซึ่งการดึงเอาพลังงานของมันมาใช้นั้น จะสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ และอย่างสิ้นเชิง
    โดยอาศัยพลังงานแม่เหล็ก ซึ่งหมายถึงแม่เหล็กที่กำลังแอ็คทิฟอยู่
    มันจะสัมฤทธิ์ผลได้ด้วยการสร้างสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมาหลายสนาม
    และจะต้องจัดวางรูปแบบของสนามแม่เหล็กเหล่านี้อย่างระมัดระวังด้วย
    และมันก็จะต้องเป็นสนามแม่เหล็กที่กำลังแอ็คทิฟอยู่ด้วย
    (หมายถึงเป็นสนามแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังงาน
    ไม่ใช่สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ)

    และเมื่อใดที่พวกคุณค้นพบแล้วว่ามันทำงานได้อย่างไร พวกคุณก็จะได้พบด้วยว่ากระบวนการดังกล่าวนี้
    มันไม่ใช่กระบวนการที่ใหม่ต่อโลกใบนี้แต่อย่างใดเลย เพราะว่าบรรดานักวิจัยของพวกคุณ ได้พากันทำมาแล้วก่อนหน้านี้

    ก่อนหน้านี้มีคนเคยทำได้มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าใจมันเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
    และกระบวนการของมันก็อยู่ห่างไกลความสามารถในการควบคุมของพวกคุณซะด้วย
    และพวกคุณก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าหลักการณ์พื้นฐานของมันคืออะไร? แต่ว่าพวกคุณก็สามารถทดลองทำมันขึ้นมาได้แล้ว

    แต่ว่าในตอนนี้พวกคุณมีความสามารถที่จะควบคุมการทดลองนี้ได้แล้ว และเพราะฉะนั้น
    พวกคุณจึงสามารถที่จะผลิตกระแสพลังงานที่ยั่งยืนและอยู่ในโอวาทของพวกคุณขึ้นมาใช้งานได้แล้ว
    ประหนึ่งว่ามันมาจากความว่างเปล่า (จากจุดศูนย์/สูญ) อย่างนั้นแหละ
    แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เหมือนกับกระบวนการทางฟิสิกส์อื่นๆอีกนั่นแหละ ที่มันจะต้องใช้พลังงานปริมาณมหาศาล
    เพื่อที่จะทำให้เซลพลังงานของโครงผลึกเอกภพนี้แม้เพียงเซลเดียว เสียสมดุลขึ้นมาได้
    ดังนั้น พวกคุณจึงจำเป็นจะต้องปั๊มพลังงานปริมาณมหาศาลเข้าไปในการทดลองนี้ เพื่อที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของมัน

    และเมื่อใดที่พวกคุณเข้าใจวิธีการแหย่
    หรือกระตุ้นสภาวะศูนย์ของมันให้เสียสมดุลไปเองได้แล้ว
    รางวัลที่พวกคุณจะได้รับก็คือกระแสพลังงานที่จะหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
    ซึ่งห่างไกลจากปริมาณพลังงานที่พวกคุณใส่เข้าไปให้กับมันในตอนแรก
    อย่างเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว


    และที่มันสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าพวกคุณได้สร้าง “ช่องระบายพลังงาน” ขนาดจิ๋วขึ้นมาเอง
    เพราะว่าเซลพลังงานที่เสียความสมดุลไปเซลนั้น จะไปทำให้เซลอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวมัน
    พยายามที่จะ “ป้อน” พลังงานเข้ามาให้กับมัน เพื่อที่จะทำให้มันกลับเข้าสู่สภาวะสมดุลดังเดิมให้ได้
    มันคือการสร้าง “ก๊อกน้ำ” ขึ้นมา ซึ่งมันก็จะไปดึงเอาพลังงานจากโครงผลึกของเอกภพออกมา อย่างไร้ขีดจำกัด
    และนานเท่านาน ตราบเท่าที่สิ่งประดิษฐ์ของพวกคุณยังคงมีคุณสมบัติตรงตามที่โครงผลึกของเอกภพคาดหวังที่จะได้เห็นอยู่
    ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันฟังดูเหมือนว่าเป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ไปซักหน่อย แต่ในท้ายที่สุดแล้วมัน
    ก็จะสามารถกลายมาเป็นแหล่งพลังงานของดาวเคราะห์โลกของพวกคุณได้

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต – Zero Point Energy)

    ต่อจากนี้ไปคือวิธีการทำงานของมัน: สนามแม่เหล็กสองสนาม ที่ถูกจัดวางเอาไว้ด้วยกัน ในรูปแบบที่ถูกต้อง
    ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีความเป็นสามมิติตามกระบวนการความคิดของพวกคุณนี่เองแหละ
    จะไปสร้าง “สนามแม่เหล็กเป้าหมาย” สนามหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีความพิเศษมากๆ
    มันคือสนามแม่เหล็กที่พวกคุณยังไม่เคยเห็นมาก่อน และมันก็ไม่มีอยู่ในธรรมชาติซะด้วย

    ให้พวกคุณเริ่มต้นจากการทดลองกับสนามแม่เหล็กหลายๆสนามดู
    โดยลองจัดวางพวกมันให้อยู่ในลักษณะที่ประชิดหรือปะทะกัน
    และให้พวกมันมีแรงแม่เหล็กและมีรูปแบบของสนามแม่เหล็กไม่เหมือนกัน
    และให้พวกมันทำมุมกันอย่างถูกต้องด้วย แต่อย่าไปตั้งสมมุติฐานอะไรไว้ก่อนล่วงหน้า
    ให้คิดอย่างเป็นอิสระ ซึ่งถ้าทำได้อย่างถูกต้องแล้ว สนามแม่เหล็กสองสนามนี้
    ก็จะร่วมกันสร้างสนามแม่เหล็กสนามที่สามใหม่ขึ้นมา
    ซึ่งมีความพิเศษเฉพาะไม่เหมือนใคร
    และก็เป็นผลลัพธ์ของสนามแม่เหล็กตั้งต้นทั้งสองสนามนั้นด้วย

    สนามแม่เหล็กสนามที่ 3 ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นี้
    คือสนามแม่เหล็กที่พวกคุณต้องการจะทำงานด้วยนั่นเอง
    และมันก็เป็นสนามแม่เหล็กที่มีศักยภาพ
    ในการควบคุมหรือบงการโครงผลึกของเอกภพได้
    และเมื่อใดที่พวกคุณสร้างมันขึ้นมาได้แล้ว พวกคุณก็จะรู้ได้ในทันที
    จากคุณสมบัติพิเศษบางอย่างของมัน
    ที่สามารถเปลี่ยนแปลงฟิสิกส์ที่อยู่รอบๆตัวของมันได้อย่างน่าทึ่ง
    และเชื่อฉันเถอะว่า การเปิดตัวของมันจะไม่ใช่อะไรที่เป็นแบบเบาๆเลย
    ซึ่งพวกคุณจะสามารถรู้ได้ในทันที เมื่อพวกคุณสร้างมันขึ้นมาได้แล้ว

    ………………………………
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2014
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 14


    และต่อไปนี้คือคำเตือน: ให้ทำการทดลองนี้ห่างจากร่างกายของพวกคุณ!
    ให้ทำการทดลองนี้ ภายใต้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ และให้ค่อยๆทำอย่างช้าๆ
    และให้ทำความเข้าใจในสิ่งที่เห็นก่อนๆที่จะไปสู่ขั้นตอนถัดไป,
    ระวังอย่าให้ร่างกายสัมผัสกับสนามแม่เหล็กใดๆทั้งสิ้น,
    ให้ควบคุมการทดลองเกี่ยวกับพลังงานทุกๆชนิดจากระยะไกล
    และจงจำไว้ว่าสนามแม่เหล็กก็คือสิ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างหนึ่งในร่างกายเนื้อของพวกคุณเองด้วย

    แล้วก็..นี่คืออีกคำเตือนหนึ่ง: จงเข้าใจไว้ด้วยว่าถ้าพวกคุณทำให้โครงผลึกของเอกภพนี้เสียสมดุลมากจนเกินไปแล้วหละก็
    พวกคุณก็ทำให้กาลเวลาเคลื่อนตำแหน่งไปด้วย (time displacement)
    เพราะว่ากระบวนการของมันมีความเกี่ยวข้องอยู่กับคุณสมบัติของกาลเวลาด้วย
    พวกเราไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะต้องรอคอยมันหรอกนะ แต่พวกเราหมายความว่า
    หนึ่งในผู้แสดงตัวจริงของมิติทางกายภาพ ที่อยู่ในกระบวนการสร้างสรรค์เพื่อทำให้โครงผลึกของเอกภพนี้เสียสมดุลก็คือ
    การควบคุมกรอบของกาลเวลาของสสาร (ซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของอนุภาคของสสารทุกๆชนิดในจักรวาลนี้ ที่มีคนรู้จักกันน้อยมาก)
    แต่นี่ก็ไม่ใช่การท่องกาลเวลา (time travel) หรอกนะ
    แต่มันคือการเคลื่อนย้ายของกาลเวลา (time displacement) ต่างหาก

    มันคือการที่พวกคุณไปค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของอนุภาคเล็กๆของสสารจริงๆ
    แล้วก็ไปเปลี่ยนแปลงกรอบของกาลเวลาที่มันกำลังอยู่นั้นเสีย ดังนั้น เมื่อกรอบของกาลเวลาที่แตกต่างกันมาเจอกัน
    (หรือเมื่อสสารที่อยู่ในกรอบกาลเวลาต่างกันมาอยู่ด้วยกัน) ผลลัพธ์ของมันก็คือการเคลื่อนย้ายของระยะทาง
    (displacement of distance) และถึงแม้ว่าปรากฎการณ์การเคลื่อนย้ายของกาลเวลานี้
    มันจะไม่ทำให้โลกที่อยู่ในบริเวณนั้นได้รับอันตรายร้ายแรงก็ตาม แต่มันก็สามารถที่จะส่งผลกระทบ
    และก็จะส่งผลกระทบต่อสถานะดั้งเดิมของสิ่งที่อยู่ในการทดลองนั้นได้

    หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ มันสามารถที่จะทำให้สสารเกิดการบิดเบี้ยวหรือผิดรูปร่างไปได้
    ดังนั้นการทดลองนั้นจึงจะถูกทำให้ยุติลงโดยสิ้นเชิง และชิ้นส่วนต่างๆของสิ่งที่อยู่ภายในการทดลองนั้น
    ก็จะเกิดการเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปจริงๆ

    ในตอนนี้พวกเราจะไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้ให้ไปมากกว่านี้ แต่ว่าสำหรับนักวิทยาศาสตร์ผู้ชาญฉลาดแล้ว
    เมื่อได้อ่านข้อความนี้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถคิดถึงขั้นตอนถัดไปของมันได้เอง
    และคำตอบก็คือ “ใช่แล้ว” โครงผลึกของเอกภพนี้
    ยังเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเคลื่อนย้ายวัตถุขนาดใหญ่
    ให้ไปอยู่ในที่อื่นๆอย่างรวดเร็วอีกด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงระยะทางที่สั้นมากๆเท่านั้นก็ตาม


    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2014
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 15


    คราวนี้ ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องมาพูดถึงเรื่องปาฏิหาริย์กันบ้างแล้วหละ เพื่อเปิดเผยว่าทำไมพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่
    เพราะว่าพวกคุณบางคน แม้ว่าจะนั่งฟังคำอธิบายในแง่วิทยาศาสตร์ของมันมาโดยตลอดแล้วก็ตาม
    พร้อมๆกับที่พวกเรากำลังล้างเท้าให้กับพวกคุณอยู่นี้ แต่จนป่านนี้ก็ยังคงนึกสงสัยอยู่เลยว่า
    มันจะเกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของพวกคุณอย่างไร? ฟิสิกส์เหรอ? วิทยาศาสตร์เหรอ?
    แล้ว Light worker ธรรมดาๆคนหนึ่งจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับมันเล่า?

    ดังนั้น นี่จึงเป็นส่วนที่จะทำให้บรรดาผู้ที่กำลังทำงานอยู่กับโครงผลึกของเอกภพทั้งหลาย ที่อยู่ในห้องนี้
    สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้มากยิ่งขึ้นไปอีก ว่าร่างกายของมนุษย์ จะมีการตอบสนองต่อสิ่งที่มนุษย์กำลังทำอยู่อย่างไร
    เพราะว่าโครงผลึกของเอกภพนี้มีพร้อมอยู่แล้วสำหรับทุกผู้ทุกนามที่อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้จริงๆ
    และคู่หูของฉันก็จะต้องระมัดระวังข้อความต่อไปนี้ให้ดีด้วย เพราะว่ามันจะต้องอาศัยความถูกต้องอย่างมาก

    [หยุด]

    โครงผลึกของเอกภพจะสื่อสารกับร่างกายเนื้อของมนุษย์ โดยอาศัยคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนของแม่เหล็กชุดหนึ่ง
    ซึ่งวางอยู่บนโครงสร้างคริสตัลไลน์ที่มีอยู่ด้วยกัน 12 ส่วนย่อย พวกเราไม่เคยพูดถึงคำว่า “โครงสร้างคริสตัลไลน์”
    (Crystalline Structure) ในข้อความสื่อสารสำหรับการถอดความแบบนี้มาก่อนเลย พวกเราไม่เคยเปิดเผยข้อมูลนี้มาก่อน
    แต่ว่าตอนนี้พวกเราจะทำมันแล้ว เพราะว่าความรู้อันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับพวกคุณ และพลังงานของที่นี่ ในตอนนี้
    ก็เอื้ออำนวยให้พวกเราสามารถบอกพวกคุณได้แล้ว (หมายเหตุ: ข้อความนี้สื่อสารมาตั้งแต่ปี 1998 – ผู้แปล)

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต – DNA 12 สายเกลียว)

    พวกเรากำลังจะเปิดเผยเรื่องโครงสร้างคริสตัลไลน์ในที่สุด ซึ่งเป็นโครงสร้างที่อยู่รอบๆโครงสร้างอะไรบางอย่างที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้
    ที่พวกคุณเรียกกันว่า DNA แต่ก็อย่าลืมว่าพวกเราให้คำจำกัดความของคำว่า DNA แตกต่างจากพวกคุณนะ
    เพราะว่าคำว่า DNA ของพวกคุณนั้น จริงๆแล้วมันได้ชื่อนี้มาจากสายเกลียวคู่ซึ่งเป็นสารเคมีของมัน
    ที่พวกคุณสามารถมองเห็นได้ทางกายภาพ
    แต่คำจำกัดความของคำว่า DNA ของพวกเรานั้น
    พวกเราหมายถึงสายเกลียว 12 สายที่บรรจุรหัสสำหรับร่างกายเนื้อของมนุษย์เอาไว้
    และในจำนวนนี้ก็มีเพียง 2 สายเท่านั้นที่เป็นสารเคมี

    ดังนั้น DNA นี้ ซึ่งหมายรวมถึงทุกๆสายเกลียวของมัน คือเครื่องมืออย่างหนึ่งที่มีรหัสบรรจุอยู่
    สายเกลียวแต่ละสายของมันคือชุดคำสั่งชุดหนึ่ง ซึ่งพวกเราได้เคยบอกพวกคุณไปแล้วว่า
    บางส่วนของชุดคำสั่งเหล่านี้ก็เป็นแม่เหล็กซะด้วย

    แต่บางส่วนของพวกมันก็เป็นสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “ด้านจิตวิญญาณ” (spiritual) ด้วย แต่สำหรับพวกเราแล้ว
    พวกมันก็ยังมีคุณสมบัติทางกายภาพอยู่ด้วย สายเกลียวเหล่านี้จะบรรจุรหัสทั้งหมดของชีวิตทั้งชีวิตของพวกคุณเอาไว้
    แม้แต่รหัสที่ถูกส่งต่อมาจากภพชาติก่อนหน้านี้ก็ด้วย แต่ว่ามันยังมีอะไรที่มากกว่านั้นอีกนะ
    เพราะว่าส่วนที่เก็บความทรงจำของ “ระบบชีวิต” ของพวกคุณเอาไว้จะอยู่แยกต่างหากจากรหัสดังกล่าวนี้
    เพราะมันคือ “ต้นตอ” (stem) ของชุดรหัสเหล่านี้ และโครงสร้างของมันก็เป็นแบบคริสตัลไลน์ด้วย

    (หมายเหตุ: ที่เขาใช้คำว่าระบบชีวิตก็เพราะว่า ชีวิตเราไม่ได้มีแค่ภพชาติเดียว
    แต่มีหลายภพชาติและเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างเป็นระบบ – ผู้แปล)


    แล้วหลายคนอาจจะถามว่า “ทำไมถึงเรียกมันว่าคริสตัลไลน์หละ? มันมีอะไรที่เป็นคริสตัลที่พวกเราจะไปพบในนั้นยังงั้นหรือ?”

    ชื่อนี้ของมันเป็นชื่อเชิงเปรียบเทียบ แต่ว่ามันก็มีฟิสิกส์ที่มีลักษณะคล้ายกับคริสตัลเกี่ยวข้องอยู่ด้วยจริงๆ
    ซึ่งในงานที่เกี่ยวของกับคริสตัลของพวกคุณ แม้ในระดับพื้นฐานทั่วไปก็ตาม
    พวกคุณก็จะรู้ว่าคริสตัลมีอะไรบางอย่างที่พิเศษอยู่ พวกคุณจำได้ไหมว่ามันคืออะไร?
    พวกมันเก็บพลังงานได้ใช่ไหม๊ เพราะฉะนั้นแล้ว
    พวกมันจึงสามารถเก็บความทรงจำที่อยู่ในรูปแบบของพลังงานเอาไว้ได้


    พอมาถึงตรงนี้แล้ว พวกคุณก็จะเริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์ซึ่งเปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
    สามารถทำงานได้อย่างไร นั่นก็เพราะว่า “โครงสร้างคริสตัลไลน์” ซึ่งพวกเราจะเรียกมันว่า “ปลอก” (sheath)
    ที่หุ้มอยู่รอบๆ DNA ที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้แล้วนั้น ก็คือหน่วยความจำของพลังชีวิตของพวกคุณนั่นเอง
    มันคือหน่วยความจำของทุกๆภพชาติที่พวกคุณเคยเกิดมาแล้ว มันคือ “บันทึกแห่งฟ้า” (Akashic record) สำหรับพวกคุณ
    มันคือบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวกับพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณทั้งในอดีตและปัจจุบันของพวกคุณ
    มันมีข้อมูลเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกทุกอย่างที่พวกคุณเคยผ่านมาแล้วจนกระทั่งถึงบัดนี้

    เพราะฉะนั้นแล้ว โครงสร้างคริสตัลไลน์นี้ จึงมีข้อมูลข่าวสารด้านจิตวิญญาณอยู่ด้วย
    มันคือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณเป็น ทั้งความทรงจำและสติปัญญา
    แต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็ไม่ได้มีข้อมูลอยู่เพียงชุดเดียว คือเฉพาะชุดที่อยู่ภายในโครงสร้างคริสตัลไลน์นี้หรอกนะ
    เพราะว่ามันยังมีชุดข้อมูลที่อยู่ภายใน DNA ทั้ง 12 สายอีก และข้อมูลข่าวสารของโครงสร้างคริสตัลไลน์ที่ว่านี้
    ก็จะห่อหุ้มอยู่รอบๆหีบห่อของ DNA ในฐานะที่มันเป็นหน่วยความจำหลัก หรือเป็นต้นตอของข้อมูล
    ที่พร้อมจะส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นออกไปสู่ชุดข้อมูลที่อยู่ในแต่ละสายเกลียวของ DNA ได้ทุกเมื่อ
    และโครงสร้างคริสตัลไลน์นี้ ก็ยังมีพิมพ์เขียวที่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ อยู่ในหน่วยความจำของมันอีกด้วย

    คราวนี้ ก็อย่างที่พวกคุณอาจจะรู้แล้วนั่นแหละว่า
    มันมีการติดต่อสื่อสารกันระหว่าง DNA ทั้ง 12 สาย
    กับหน่วยความจำที่อยู่ภายในส่วนย่อยทั้ง 12 ส่วน
    ของโครงสร้างคริสตัลไลน์อยู่ตลอดเวลา

    แต่ว่าในตอนนี้การติดต่อสื่อสารดังกล่าวนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควร
    เพราะว่าในขณะนี้ บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    การติดต่อสื่อสารระหว่างส่วนที่มีความสำคัญยิ่งยวด
    ที่อยู่ภายในร่างกายเนื้อของพวกคุณเหล่านี้
    มีประสิทธิภาพไม่ถึง 15% เท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้นแล้ว จึงทำให้ร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    “ไม่เฉลียวฉลาด” เท่าที่ควรจะเป็นในบางเรื่อง

    เพราะว่า..ถ้าเจ้าปลอกคริสตัลไลน์อันนี้
    ไม่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารให้กับ DNA ของพวกคุณได้
    จนทำให้มันสามารถ “จดจำได้” มากเพียงพอแล้วหละก็
    คุณสมบัติในการบำบัดรักษาตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมของมัน
    และคุณสมบัติในการทำให้มีอายุขัยยืนยาวของมัน
    ที่มีอยู่แล้วภายในเซลของร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    ก็จะไม่มีวันแสดงตัวตนของมันออกมาได้เลย

    และที่รักทั้งหลาย ที่การติดต่อสื่อสารระหว่างความเป็นขั้วของกลไกที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้
    กับโครงสร้างคริสตัลไลน์ซึ่งเป็นแกนหลักในการจดจำให้ได้นี้ ยังไม่ดีพอนั้น ก็เพราะว่ามันคือข้อจำกัดอย่างหนึ่ง
    ที่ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบ เพื่อให้มันมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นทวิภาวะของพวกคุณ
    และมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว และมันก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกคุณเกือบจะจำอะไรไม่ได้เลย เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า:

    1).พวกคุณเป็นใคร
    2).ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่ (บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ – ผู้แปล)
    3).ความเป็นจริงที่ว่า พวกคุณมีชีวิตนิรันดร์
    4).การทดลองด้านจิตวิญญาณที่พวกคุณกำลังร่วมอยู่ในขณะนี้ และ..
    5).ครอบครัวที่แท้จริงของพวกคุณคือใคร

    แต่ว่านี่ยังไม่หมดนะ เพราะว่านอกเหนือจากเรื่องทางด้านจิตวิญญาณทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น
    มันก็ยังมีเรื่องของร่างกายเนื้อที่ไม่เอื้ออำนวยอยู่อีกด้วย! อันเนื่องมาจากการสื่อสารที่ไร้ประสิทธิภาพ
    ที่พวกคุณเป็นคนจัดวางเอาไว้ให้กับตัวเองอย่างระมัดระวังนี้ จนทำให้:

    1).ร่างกายเนื้อของพวกคุณ จดจำไม่ได้ว่าจะสามารถสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร

    2).ร่างกายเนื้อของพวกคุณเปิดกว้างให้แก่การจู่โจมของเชื้อโรคทั่วๆไปที่อยู่บนโลกใบนี้
    เพราะว่าส่วนหนึ่งของมันจดจำไม่ได้ว่า จะสามารถทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้อย่างไร

    3).ร่างกายเนื้อของพวกคุณ มีอายุขัยที่สั้น เพราะว่าหลายส่วนของมัน ถึงแม้ว่าจะมีอยู่แล้วตลอดเวลา
    แต่กลับหยุดการทำงานไปในระหว่างที่พวกคุณยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ก็ถูกขัดขวางการทำงานโดยสารเคมีบางชนิด

    พวกคุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่จะไป “พูดคุย” กับหน่วยความจำของโครงสร้างคริสตัลไลน์?
    พวกคุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ช่วยทำให้เกิดความสมดุลของความเป็นทวิภาวะขึ้น
    ที่ได้ทำให้สิ่งต่างๆมันไร้ประสิทธิภาพอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น? ซึ่งคำตอบก็คือ “โครงข่ายแม่เหล็กโลก”

    พวกเราคงไม่มาอยู่ที่นี่ เพื่อมาปรับปรุงโครงข่ายแม่เหล็กโลกให้พวกคุณหรอก
    ถ้าพวกคุณไม่ได้ร้องขอไป และถ้าในการวัดค่าพลังงานเมื่อปี ค.ศ. 1987 นั้น
    มันไม่ได้แสดงให้เห็นว่า มันมีศักยภาพที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นได้อยู่
    ที่รักทั้งหลาย ครอบครัวทั้งหลาย ฉันกำลังหมายถึงพวกคุณอยู่!


    (หมายเหตุ: ในปี ค.ศ.1987 นั้น ได้เกิดปรากฎการณ์การเรียงตัวกันของดวงดาวหลายดวงที่เรียกกันว่า
    ปรากฎการณ์ Harmonic Convergence ขึ้น และครายออนพร้อมทั้งทีมงาน
    ก็เริ่มเข้ามาปรับปรุงโครงข่ายแม่เหล็กโลกในปี ค.ศ. 1989 - ผู้แปล)


    การติดต่อสื่อสารระหว่างธาตุทั้งสองชนิดนี้ในร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    (หมายถึง DNA กับ โครงสร้างคริสตัลไลน์ – ผู้แปล)
    คือหัวใจสำคัญที่จะชี้บ่งว่าพวกคุณสามารถเข้าไปใกล้
    ตัวตนที่สูงส่งกว่า (Higher Self) ของตัวเองได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว
    ซึ่งถ้าร่างกายเนื้อของพวกคุณสามารถจดจำรหัสได้ทั้ง 100% แล้วหละก็
    มันก็จะทำให้เกิด “การเลื่อนระดับขึ้น” (ascension) อย่างฉับพลันเลยทีเดียว
    แล้วพวกคุณก็จะเดินไปไหนมาไหนพร้อมกับมีศักยภาพเต็มพิกัดของตัวเองอยู่
    ซึ่งจะเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก

    มีหลายคนที่กำลังอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ พร้อมด้วยศักยภาพเกือบจะเต็มพิกัดของพวกเขาเอง
    พวกคุณเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนไหม? พวกเขาจำเป็นจะต้องมาอยู่ที่นี่
    เพื่อมาทำให้ระดับจิตวิญญาณบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้อยู่ในความสมดุล
    (อย่างที่พวกเราได้เคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้) ซึ่งพวกเขาบางคนพวกคุณก็รู้จักกันดี
    เพราะว่าพวกเรากำลังพูดถึงพลังงานของ “ผู้อวตาร” (the Avatar) อยู่
    ซึ่งจะมีอยู่ในมนุษย์ที่มีความพิเศษมากๆ ที่กำลังมีชีวิตอยู่บนโลกในขณะนี้ เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

    การติดต่อสื่อสารอย่างเต็มรูปแบบขององค์ประกอบหลักต่างๆที่พวกเราได้กล่าวถึงไปแล้วนั้นจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น!
    เช่น การเนรมิตวัตถุสิ่งของขึ้นมากลางอากาศ เพราะรู้ว่าฟิสิกส์ทำงานอย่างไร เพราะรู้ว่าความรักทำงานอย่างไร เป็นต้น
    มันคือการผสมผสานที่ยิ่งใหญ่มาก พวกคุณรู้ไหม? เพราะว่าถ้าพวกคุณรู้จักผสมผสานพวกมันเข้าด้วยกันแล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถเนรมิตอะไรขึ้นมาก็ได้, พวกคุณก็จะมีพลังอำนาจอย่างเต็มที่อยู่เหนือฟิสิกส์,
    พวกคุณก็จะมีพลังอำนาจอย่างเต็มที่อยู่เหนืออายุขัย, และพวกคุณก็จะมีพลังอำนาจอย่างเต็มที่อยู่เหนือร่างกายเนื้อของตัวเองด้วย!
    ลองมองดูสิ่งที่ผู้อวตารทั้งหลายสามารถทำได้กันสิ นั่นแหละคือสิ่งที่พวกคุณทุกๆคนก็สามารถทำได้หละ!

    ..................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2014
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2

    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 16


    มนุษย์โลกทุกๆคนที่กำลังอยู่ในห้องนี้ และที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่
    ล้วนมีศักยภาพที่จะมีความรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
    เพราะว่ามันนอนเนื่องอยู่ในคริสตัลไลน์ ซึ่งก็คือโครงสร้างคริสตัลไลน์ที่มีส่วนย่อย 12 ส่วน
    ที่พันตัวเองเอาไว้รอบๆ DNA ที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้แล้วอยู่แล้ว
    เพียงแต่ว่ารหัสเหล่านั้นมันกำลังรอคอยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่านี้ก่อนเท่านั้นเอง


    พวกเราเคยบอกพวกคุณไปหลายครั้งแล้ว
    ในช่วงที่มีการสื่อสารข้อความชุดที่ชื่อว่า “ครอบครัว” (Family)
    ว่า..พวกคุณทุกๆคนล้วนถูกสร้างขึ้นมาให้มีความเท่าเทียมกันทั้งหมด
    และมีความสมบูรณ์แบบ และมีชีวิตนิรันดร์เสมอเหมือนกันหมด
    มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สกัดกั้นพวกคุณเอาไว้จากสิ่งเหล่านี้
    ซึ่งนั่นก็คือ “ความเป็นทวิภาวะ” (duality)
    และความไร้ประสิทธภาพของร่างกายเนื้อของพวกคุณเองเท่านั้นเอง
    แต่ว่าทั้งหมดนี้ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
    ด้วยการทำให้การสื่อสารระหว่างโครงสร้างคริสตัลไลน์ และ DNA ของพวกคุณ
    มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่านี้ ซึ่งเมื่อใดที่การถ่ายทอดข้อมูล
    จากหน่วยความจำของโครงสร้างคริสตัลไลน์
    ไปสู่ชุดของรหัสข้อมูลที่อยู่ภายใน DNA ของพวกคุณ
    มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่านี้แล้ว ร่างกายของพวกคุณก็จะตอบสนองตามไปด้วย

    ซึ่งคำว่าร่างกายในที่นี้ พวกเราหมายรวมถึง ความเป็นมนุษย์ทั้งมนุษย์นี้เลยทีเดียวนะ

    พวกเราอยากจะบอกพวกคุณว่า ทำไมการติดต่อสื่อสารดังกล่าวนั้น
    จึงกำลังจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
    นั่นก็เพราะว่ามันเป็นผลพวงจากการปรับปรุงตำแหน่งใหม่
    ของระบบโครงข่ายแม่เหล็กโลกหนะสิ นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม
    พวกเราถึงได้กำลังย้ายมันอยู่ในขณะนี้
    และทำไมกลุ่มของพวกเราถึงได้เข้ามาที่นี่ในปี 1989 ตอนนี้พวกคุณเข้าใจแล้วใช่ไหม๊

    (ข้อความสื่อสารนี้สื่อสารมาตั้งแต่ปี 1998 แต่ครายออนและทีมงานได้ทำการย้ายโครงข่ายแม่เหล็กโลก
    เสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ปี 2002 แล้วหลังจากนั้น ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะครับ จากข้อความของท่านเมตาตรอน
    ก็ได้คอยบอกเอาไว้อีกว่า “โครงข่ายแม่เหล็กโลก” นี้ ได้ถูก upgrade ขึ้นไปอีก
    ให้กลายไปเป็น “โครงข่ายคริสตัลไลน์” และเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2012
    เหลือก็แต่เพียงการรอให้มันมีศักยภาพกลับคืนมาทั้ง 100% และมี “เส้นขอบฟ้า” (the Firmament) ทั้งสองเส้น
    กลับมาเหมือนเดิมในปี 2038 เท่านั้นเอง – ผู้แปล)

    ยังจำได้ไหมว่าพวกเราเคยบอกพวกคุณไปว่า ไม่มีมนุษย์โลกคนใดเลยที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นอกโครงข่ายแม่เหล็กโลกนี้
    เพราะว่าโครงข่ายแม่เหล็กโลกนี้คือสิ่งที่ทำให้การติดต่อสื่อสารดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้
    และก็คือสิ่งที่ทำให้ความเป็นทวิภาวะของพวกคุณมีอยู่ และก็คือสิ่งที่จะทำให้การรู้แจ้งของพวกคุณเกิดขึ้นได้
    เพราะว่าถ้าปราศจากโครงข่ายแม่เหล็กโลกอันนี้แล้ว มันก็จะไม่มีการติดต่อสื่อสารที่ว่านั้นเกิดขึ้น
    ซึ่งสักวันหนึ่งการทดลองในอวกาศของพวกคุณก็จะแสดงให้พวกคุณเห็นถึงเรื่องนี้
    เพราะว่ามนุษย์โลกจะต้องอาศัยอะไรบางอย่าง
    ที่มีองค์ประกอบเป็นแม่เหล็กเพื่อดำรงชีวิตอยู่ในนั้น
    ซึ่งถ้าหากปราศจากมันแล้ว ภายในระยะเวลาไม่นาน
    ซึ่งอาจจะเป็นหลายเดือนหรือหลายปีก็ตาม มนุษย์โลกคนนั้นก็จะตาย


    พวกคุณรู้ไหมว่า ธาตุต่างๆบนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ ที่พวกมันมาอยู่ด้วยกันก็เพื่อที่จะก่อให้เกิดชีวิต?
    ลองดูที่ดาวเคราะห์โลกของพวกคุณเองสิ พวกคุณคิดว่าพวกคุณก็แค่สามารถเดินอยู่บนโลกได้, อาศัยอยู่บนโลกได้
    และก็หวังแค่ว่าโลกจะอยู่ของมันไปตามประสา ในขณะที่พวกคุณกำลังอยู่ที่นี่ยังงั้นเหรอ?
    มันรู้นะว่าพวกคุณเป็นใคร เหมือนอย่างที่ฉันรู้นี่แหละ และก็อย่างที่โครงข่ายแม่เหล็กโลกรู้นี่แหละ
    เพราะว่าดาวเคราะห์โลกก็มีภูมิปัญญาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ดาวเคราะห์โลกจึงมีความเกี่ยวข้องกับ
    “การรู้แจ้ง” (enlightenment) ของพวกคุณเองด้วย ลองถามชนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อนพวกคุณดูสิ
    เพราะว่าในแก่นแท้ของความเชื่อด้านจิตวิญญาณของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะให้ความเคารพต่อ “ดิน” บนพื้นโลกอย่างมาก
    เพราะว่าพวกเขารู้เรื่องนี้

    มันยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของโครงข่ายแม่เหล็กโลกอยู่อีกมากมาย
    ซึ่งมันก็จะไปโยงใยเกี่ยวข้องกับโครงสร้างคริสตัลไลน์อีกชุดหนึ่งด้วย ซึ่งพวกเราจะขอพูดถึงมันทีหลังในการสื่อสารชุดอื่น

    (หมายเหตุ: ข้อมูลเกี่ยวกับการสื่อสารของโครงข่ายแม่เหล็กโลกที่ครายออนกล่าวถึงนี้ ผมได้แปลและโพสต์เอาไว้แล้ว
    ในชื่อชุด “ข้อความจากต่างมิติ-ระบบบันทึกแห่งฟ้า-akashic-system-โดยครายออน” ซึ่งอยู่ในลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ – ผู้แปล)


    http://palungjit.org/threads/ข้อความจากต่างมิติ-ระบบบันทึกแห่งฟ้า-akashic-system-โดยครายออน.284651/

    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2


    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 17


    DNA ของพวกคุณ (ทั้ง 12 เกลียว) จะมีชุดรหัสคำสั่งอยู่ในนั้น
    เพื่อให้ร่างกายเนื้อของพวกคุณมีอายุขัยอยู่ได้นานถึง 905 ปี
    แต่ในขณะนี้ รหัสเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ทำงาน
    และที่รหัสเหล่านี้ไม่ทำงานก็เพราะว่า มันไม่มีข้อมูลข่าวสาร
    จากหน่วยความจำหลัก (โครงสร้างคริสตัลไลน์) มาสั่งการให้มันทำงาน
    ซึ่งภายในหน่วยความจำหลักดังกล่าวนี้ จะมีข้อมูลข่าวสาร
    ที่จะช่วยให้สารเคมีใน DNA ของพวกคุณ “จำได้” ว่า
    ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องทำงานอย่างไรอยู่

    ในตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณในที่สุดแล้วพวกเขาก็เริ่มที่จะสามารถกระตุ้นหรือแหย่ร่างกายเนื้อของพวกคุณได้แล้ว
    และพวกเขาก็เริ่มที่จะสามารถสร้างสภาวะเทียมเพื่อกระตุ้น DNA ของพวกคุณได้แล้ว พวกเขาใช้พลังงานแม่เหล็ก!
    ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้ในแง่ของสุขภาพแล้ว มันคือการหวนกลับมาอย่างแท้จริงของกระบวนการที่เคยถูกใช้ใน
    “วิหารแห่งการกลับคืนสู่ความอ่อนเยาว์” (Temple of Rejuvenation) ซึ่งพวกเราเคยบอกพวกคุณไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง

    (หมายเหตุ: อ่านรายละเอียดของ “วิหารแห่งการกลับคืนสู่ความอ่อนเยาว์” (Temple of Rejuvenation) ได้
    ในลิงค์ข่างล่างนี้นะครับ – ผู้แปล)


    “ข้อความจากต่างมิติ-วิหารแห่งการกลับคืนสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว-temper-rejuvenatio “

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...มเป็นหนุ่มเป็นสาว-temper-rejuvenation.335958/

    พลังงานแม่เหล็กและพลังงานของโครงผลึกของเอกภพนี้
    คือสิ่งที่ช่วยทำให้เกิดความเป็นทวิภาวะขึ้น
    และก็คือสิ่งที่ช่วยในเรื่องของการรู้แจ้งของพวกคุณด้วย
    และมันก็ยังคือสิ่งที่ช่วยทำให้หน่วยความจำคริสตัลไลน์ของพวกคุณ
    อยู่ในสภาวะสมดุลอยู่เสมออีกด้วย
    ซึ่งในตอนนี้มันกำลังอยู่ในโหมดไร้ประสิทธิภาพอยู่
    ตามที่พวกคุณได้ออกแบบมันเอาไว้ให้กับตัวเอง
    เพื่อใช้เป็นบททดสอบบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    แต่ว่าในตอนนี้..หลายสิ่งหลายอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว

    มีบางคนที่กำลังอยู่ในห้องนี้ (พูดถึง ดร. Todd Ovokaitys และ Peggy Dubro) ที่กำลังค่อยๆค้นพบแล้วว่า
    โครงผลึกของเอกภพนี้ มีความเชื่อมโยงกับเซลในร่างกายเนื้อของมนุษย์อยู่ คนหนึ่งกำลังค้นพบมันผ่านทางวิชาฟิสิกส์
    ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังค้นพบมันผ่านทางพลังอำนาจของความรู้และความตั้งใจของมนุษย์อยู่
    แต่ว่าทั้งสองคนนี้ก็กำลังทำงานอยู่กับพลังงานแม่เหล็กระดับใดระดับหนึ่งด้วยกันทั้งคู่!

    และในทั้งสองกรณีนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ตอนนี้ DNA กำลังเริ่มที่จะจดจำได้แล้ว!
    ประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารของมันกำลังค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
    และเพราะเหตุนี้เอง ชิ้นและส่วนต่างๆที่ซุกซ่อนอยู่ของ DNA ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับด้านจิตวิญญาณและด้านชีววิทยา
    จึงกำลังค่อยๆตื่นขึ้นมาแล้ว พวกคุณจำได้ไหมว่าคำว่า “ตื่นขึ้น” ในที่นี้หมายถึงอะไร?
    มันก็หมายความว่าความรู้ทั้งหมดทั้งมวล มันมีอยู่ในนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันแค่หลับไหลอยู่เท่านั้นเอง
    กลไกต่างๆของมันก็มีอยู่ในนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันกำลังรอคอยคำสั่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง


    ฉันขอยกตัวอย่างอะไรให้ฟังสักหน่อยว่า:
    เซลทุกเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถวินิจฉัยตัวเองได้ทั้งสิ้น
    เซลทุกเซลในร่างกายของพวกคุณ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถรู้ได้ด้วยตัวมันเองว่า
    มันกำลังอยู่ในความสมดุลกับส่วนรวมทั้งหมดดีอยู่แล้วหรือไม่
    เซลทุกเซลในร่างกายของพวกคุณมันสมควรที่จะรู้เรื่องนี้ได้เอง
    แต่ว่า..กลับมีข้อมูลข่าวสารหลายอย่างที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ไม่ให้มันรู้อยู่ มันจึงไม่รู้

    ดังนั้น โรคชนิดหนึ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “โรคมะเร็ง” นั้น มันจึงสามารถหลอกลวงเซลในร่างกายของพวกคุณได้อย่างง่ายดาย
    โดยเฉพาะเซลในร่างกายส่วนที่กำลังทำงานได้แย่ๆอยู่ ซึ่งถ้าเซลในร่างกายส่วนนี้ของพวกคุณ
    สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสมดีแล้วหละก็ โรคมะเร็งก็จะไม่เกิดขึ้น

    องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของการตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งที่ว่านี้ก็คือ “การแต่งงานกัน”
    ระหว่างหน่วยความจำหลักของโครงสร้างคริสตัลไลน์ กับส่วนที่เป็นชุดรหัสข้อมูลใน DNA ของพวกคุณ
    โดยอาศัยอำนาจแม่เหล็กเป็นสื่อ และเมื่อใดที่เซลในร่างกายของพวกคุณสามารถรับรู้ข้อมูลส่วนที่เหลือได้ทั้งหมดแล้ว
    มันก็จะไปทำให้เซลเหล่านั้นมีภูมิปัญญาและมีความรู้อย่างเต็มพิกัด จนมันสามารถวินิจฉัยตัวมันเองได้
    แล้วมันก็จะรู้ตัวเองว่ามันกำลังเสียสมดุลอยู่ แล้วมันก็จะไม่แบ่งเซลอีกต่อไป
    ดังนั้น จึงจะมีเพียงเซลที่มีสุขภาพดีที่อยู่รอบๆมันเท่านั้น ที่จะแบ่งเซลต่อไปได้
    และนอกจากนี้ เซลที่กำลังเสียสมดุลอยู่นั้น มันก็อาจจะฆ่าตัวตายไปเองเลยก็ได้!
    นั่นแหละคือสิ่งที่ถูกออกแบบมาทั้งหมดหละ จงมองหามัน เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นคุณสมบัติทางชีววิทยาที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว
    ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ลองคิดถึงมันในแง่ของการมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมากดูสิ
    แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของคุณลักษณะทั้งหมดที่มีอยู่ในพิมพ์เขียวของ “มนุษย์ทั้งคน” เท่านั้นเองนะ

    ...............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2


    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 18


    พวกคุณบางคนที่กำลังฟังและกำลังอ่านข้อความนี้อยู่ อาจจะคิดว่าพวกเรากำลังพูดถึงเรื่องวิทยาศาสตร์ล้วนๆอยู่
    แต่ว่ามันไม่ใช่เลย เพราะว่าอันที่จริงแล้ว พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องการเยียวยารักษาตัวเองของร่างกายเนื้อของพวกคุณอยู่
    พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องการมีอายุขัยที่ยืนยาวอยู่ และพวกเราก็กำลังพูดถึงเรื่องกระบวนทัศน์ด้านชีววิทยาของมนุษย์โลก
    ที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่เอี่ยมอย่างสิ้นเชิงอยู่!

    เพราะว่า..ไม่ว่าจะโดยอาศัยเจตจำนงของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์โลกเองก็ตาม
    หรือว่าโดยอาศัยการกระตุ้น หรือช่วยเหลือทางกายภาพ เช่น โดยใช้สารเคมี หรือใช้กลไกทางฟิสิกส์ก็ตาม
    ตอนนี้ DNA ของพวกคุณก็ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงได้แล้ว และที่รักทั้งหลาย นั่นแหละคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรหัส 11:11 หละ!
    เพราะว่ามันคือคำตอบว่า “Yes” ของพวกคุณ สำหรับเรื่องที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่นี้

    จงเฉลิมฉลองให้กับมัน! และจงฟังให้ดีนะว่า เมื่อใดที่การติดต่อสื่อสารระหว่างโครงสร้างคริสตัลไลน์ กับ DNA ของพวกคุณ
    เป็นไปอย่างใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว พวกคุณก็จะสามารถสร้างกระดูกขึ้นมาเองได้ จากเดิมที่มันไม่มีมาก่อน
    (เช่น ในกรณีที่ขาขาด แขนขาด เป็นต้น ก็จะสามารถงอกแขน งอกขาขึ้นมาใหม่ได้ – ผู้แปล)
    เพราะว่าพวกคุณจะสามารถสร้างสสารขึ้นมาเองได้, พวกคุณจะสามารถทำให้โรคภัยไข้เจ็บหายไปจากร่างกายเนื้อของตัวเองได้!
    และเซลในร่างกายของพวกคุณก็จะมีภูมิปัญญามากขึ้นด้วย และเมื่อใดที่พวกคุณสามารถทำให้ร่างกายเนื้อของตัวเอง
    ยกระดับขึ้นได้ขนาดนี้แล้ว ปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นจากภายใน!

    นักบำบัดทั้งหลาย พวกคุณกำลังฟังอยู่ไหม๊? ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณกำลังทำอยู่ในงานของตัวเองนั้น
    ล้วนเป็นไปเพื่อช่วยให้คุณสมบัติทางชีวภาพทั้งสองส่วนนี้มาเจอกัน ภายในเซลร่างกายของผู้ที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าพวกคุณ
    เพื่อขอให้พวกคุณรักษาให้อยู่ แล้วทำไมบางคนถึงหายป่วย แต่ว่าบางคนถึงไม่หายหละ?

    คำตอบมันซับซ้อนมาก แต่ว่าหนึ่งในตัวกระตุ้นหลักของการหายป่วยแบบปาฏิหาริย์ก็คือ “เจตจำนงบริสุทธิ์” (pure intent)
    ดังนั้น ครั้งต่อไปถ้าพวกคุณจะทำการรักษาโรคให้ใครอีก ต้องแน่ใจซะก่อนว่าคนๆนั้นมีเจตจำนงที่จะหายป่วยจริงๆหรือไม่
    ต้องแน่ใจซะก่อนว่า พวกเขามีความเข้าใจจริงๆว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
    เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขายอมให้พวกคุณรักษาพวกเขาได้อย่างแท้จริงๆแล้ว
    และเมื่อพวกเขามีความตั้งใจที่จะหายป่วยจริงๆแล้ว การหายป่วยก็จะเกิดขึ้น

    (หมายเหตุ: คำว่า “ความตั้งใจที่จะหายป่วยจริงๆ”ในที่นี้ หมายรวมถึง ความตั้งใจในระดับจิตวิญญาณด้วย
    เพราะว่าตามนัยยะของข้อความจากต่างมิติทั้งหลายแล้ว พวกเขาพูดตรงกันว่า ในหลายๆกรณีมันก็จะเกี่ยวข้องอยู่กับ
    “พันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ” ของคนๆนั้นด้วย เช่น ชาวโลกบางคน ก็อาจจะเขียนบทละครชีวิตของตัวเองเอาไว้
    ตั้งแต่ก่อนลงมาเกิดว่า จะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บชนิดนั้นชนิดนี้ ส่วนบางคนก็อาจจะเขียนบทละครชีวิตของตัวเองเอาไว้ว่า
    จะป่วยด้วยโรคร้ายบางชนิด เพื่อที่จะใช้มันเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของตัวเอง
    เพื่อสนองตอบต่อวิวัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของตัวเอง และบางคนก็อาจจะเขียนบทละครเอาไว้ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย
    เพราะโรคอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะให้ตัวเองเป็นแรงกระตุ้นวิวัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของผู้คนรอบข้าง เป็นต้น – ผู้แปล)

    บางส่วนของการบำบัดรักษาที่มีความสวยสดงดงามมากที่สุด บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณในขณะนี้ก็คือ
    การบำบัดรักษาระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอง ในแบบที่ไม่มีใครสัมผัสแตะต้องใครเลย มันลึกล้ำมาก
    มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก และมันก็คือการเชื่อมต่อกับโครงผลึกของเอกภพด้วย
    เพราะฉะนั้นแล้ว นี่จึงคือคำอธิบายว่า พลังงานแห่งการบำบัดรักษาอันนั้นมาจากไหน
    เพราะว่าผู้ที่ส่งพลังงานแม่เหล็กทั้งหมดนี้ไปให้กับผู้ป่วยจริงๆก็คือ
    โครงผลึกของเอกภพนั่นเอง และเมื่อพวกคุณเข้าใจแล้วว่าสนามแม่เหล็กทั้งหลายมาจากไหน

    พวกคุณก็จะรู้ว่าฉันกำลังพูดถึงอะไรอยู่ เพราะว่าสนามแม่เหล็กเหล่านี้คือคุณสมบัติอย่างหนึ่งของสสารและของโครงผลึกเอกภพนั่นเอง

    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
    เรื่อง: โครงผลึกของเอกภพ (The Cosmic Lattice) – Part 2


    วันที่สื่อสาร: เดือนพฤศจิกายน 1998
    ผู้รับสาส์น: Lee Carroll

    ที่มา: KRYON - Cosmic Lattice Part II

    ตอนที่: 19 (จบครับ)


    พวกคุณบางคนอาจจะยังจำเรื่องราวของ Michael Thomas และรวมถึงข้อความสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องนี้
    ในชื่อตอนที่ว่า “The Journey Home (Kryon Book 5) ได้อยู่ พวกคุณอาจจะยังจำได้อยู่ว่า Micheal เคยบอกว่า
    เขาจะต้องไปพบกับเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสูงส่งที่สุดในบรรดาเทพทั้งหมด ซึ่งอยู่ในบ้านหลังสุดท้ายของการเดินทางของเขา
    แล้วเขาก็ได้ไปพบจริงๆ และในบ้านหลังที่เจ็ดหลังนั้น เทพผู้ยิ่งใหญ่ก็ปรากฎขึ้น ซึ่งมีกายเป็นสีทองและมีใบหน้าเป็นหน้าของ Michael เอง!
    และในขณะที่ Michael Thomas กำลังนั่งอยู่กับเทพองค์นั้น เขาแทบจะหายใจไม่ออกเลย เพราะว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายรายล้อมเขาอยู่
    เขารู้ว่าร่างกายเนื้อของเขาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เข้ากัน เขาจึงนั่งคุกเข่าอยู่ด้วยความยากลำบาก แต่ว่าในตอนนั้น
    Micheal ก็ได้รับการประทานของทางกายภาพอย่างหนึ่งรอบๆตัวเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถอยู่ได้ในขณะที่มองดูเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์นั้น
    ซึ่งก็คือตัวตนที่สูงกว่าของเขาเอง

    (หมายเหตุ: ตรงนี้ผมอาจจะแปลไม่ถูกนะครับ เพราะว่าผมก็ไม่เคยอ่านเรื่องราวนี้มาก่อน
    แล้วพอเขาสรุปย่อๆแบบนี้ก็เลยไม่ค่อยเข้าใจ และก็เลยไม่รู้ว่าแปลถูกหรือไม่ – ผู้แปล)


    และเมื่อเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์สีทองเสร็จสิ้นจากการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ Michael Thomas แล้ว
    เทพองค์นั้นก็บอกกับ Michael Thomas ว่า มันจะไม่มีการเรียนการสอนใดๆอีกต่อไปแล้ว
    เพราะว่าพวกเขาได้มาถึงจุดที่พวกเรากำลังมาถึงแล้วเช่นกันในขณะนี้
    ดังนั้น มันจึงจะไม่มีการสอนใดๆอีกแล้วในข้อความชุดนี้ แต่ว่า..มันจะมีเพียงความรักเท่านั้นในเวลานี้

    เรื่องราวในข้อความชุด The Journey Home นั้น เทพผู้ยิ่งใหญ่สีทองได้ขอร้องให้ Michael Thomas หันหลังกลับ
    แล้วไปนั่งบนขั้นบันได้ ซึ่ง Michael Thomas ก็ทำตาม จากนั้นเทพองค์นั้นก็ลงมานั่งข้างล่าง
    แล้วพูดกับ Michael Thomas ว่า “Michael Thomas นี่ไม่ใช่การสอนนะ เพราะว่าการสอนจบสิ้นไปแล้ว
    แต่สิ่งที่ฉันกำลังจะทำต่อไปนี้ก็คือการรักเธอ” และก็อย่างที่พวกคุณอาจจะยังจำได้ว่า แล้วเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์นั้น
    ซึ่งเป็นสมาชิกของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง และก็เป็นตัวตนที่สูงกว่าของมนุษย์ด้วย
    ก็จับเท้าของ Michael Thomas มาทีละข้างๆแล้วก็ล้างเท้าให้กับเขา แล้ว Michael Thomas ก็ร้องไห้

    พวกคุณเห็นไหมว่า นี่คือมิตรภาพระหว่างมนุษย์กับครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของเขา
    นี่คือมิตรภาพระหว่างวิญญาณเบื้องบน (Spirit) กับมนุษย์โลก และนี่คือข้อความของครายออน

    เรื่องราวทางฟิสิกส์ทั้งหมดที่ได้พูดถึงไปแล้วในวันนี้ สามารถที่จะยกให้เป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ได้
    เพราะว่าความรักคือการสอนที่แท้จริง! สมาชิกในครอบครัวกำลังอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นครอบครัวที่รู้จักพวกคุณดี
    และที่ข้อความทั้งหลายเหล่านี้ถูกมอบให้ไป ก็เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของพวกคุณดีขึ้น
    และกระบวนการและขั้นตอนทั้งหลายที่ได้มอบให้ไปแล้วนี้ ทั่วทั้งดาวเคราะห์โลกดวงนี้
    ก็เพราะว่าพวกคุณกำลังที่จะต้องมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเดิมอย่างมาก เพื่อที่จะได้ทำภาระกิจของตัวเองให้เสร็จสิ้นได้
    และพวกคุณก็อาจจะถามว่า ภาระกิจอะไร? ภาระกิจนั้นก็คือ การเป็นที่สถิตย์อยู่ของแสงสว่างของตัวพวกคุณเองยังไงหละ!

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - เด็ก Indigo)

    ในขณะที่พวกเรากำลังล้างเท้าให้กับพวกคุณอยู่นี้ พวกคุณอยากรู้ความแตกต่างระหว่างพวกคุณในตอนนี้
    กับเด็กอินดิโก้ (Indigo children) ที่พวกเราพูดถึงอยู่บ่อยๆไหม?
    การติดต่อสื่อสารระหว่างโครงสร้างคริสตัลไลน์ของพวกเขา
    กับรหัสข้อมูลใน DNA ของพวกเขา ที่พวกเราเพิ่งพูดถึงจบไปแล้วนี้
    มีความใกล้ชิดกันมากกว่าของพวกคุณอยู่เล็กน้อย

    เด็กๆพวกนั้นมาจากฟากฝั่งโน้นของม่านพราง และพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขานั้นสูงส่ง
    เด็กๆเหล่านั้นมาพร้อมกับวิวัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณที่พวกคุณไม่มี
    และนั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงดูเหมือนว่าจะเข้ากันไม่ได้กับสังคมของพวกคุณสักเท่าไหร่
    พวกเขารู้ในสิ่งที่พวกคุณไม่รู้ และพวกเขาก็สามารถรู้สึกถึงมันได้ในระดับเซลของพวกเขา
    และบางส่วนของพวกเขาก็กำลังสร้างวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมาจริงๆอยู่ เพราะว่าพวกคุณไม่ยอมรับฟังพวกเขา
    พวกคุณไม่ยอมให้เครดิตพวกเขา ที่พวกเขามีวิวัฒนาการสูงกว่าพวกคุณ พวกคุณไม่ให้เกียรติพวกเขา
    แต่ที่พิลึกยิ่งกว่านั้นก็คือพวกคุณปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นเด็กยังงั้นแหละ!

    ตอนนี้มันถึงเวลาที่จะต้องล้างเท้าแล้วใช่ไหม๊? ซึ่งพวกคุณส่วนใหญ่ก็รู้ว่านี่คือช่วงเวลาแห่งการสิ้นสุดการสื่อสารชุดนี้แล้ว
    แต่ว่าพวกเราก็ยังคงล้างเท้าของพวกคุณต่อไปอยู่ พวกเราได้แผ่กระแสพลังงานออกมาสู่ห้องนี้
    และออกไปสู่ผู้ที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ด้วย มันคือพลังงานจากครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ติดตามทั้งหลาย
    ที่ติดตามพวกคุณมาจากฝากฝั่งโน้นของม่านพราง มันเป็นพลังงานที่ถูกส่งมาจากผู้อันเป็นที่รักของพวกคุณ
    ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างแถวที่นั่งและเก้าอี้เหล่านี้ หรือกำลังโอบกอดพวกคุณอยู่ หรือกำลังอยู่ที่เท้าของพวกคุณในขณะนี้

    และเมื่อใดที่พวกเราลุกขึ้น และนำเอากำละมังใส่น้ำตาของพวกเราเอง ที่หลั่งไหลออกมาด้วยความปิติสุข ขึ้นมาด้วยนั้น
    พวกเราก็จะจากสถานที่แห่งนี้ไป และถ้าพวกเราสามารถบรรยายถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ.ฟากฝั่งนี้ของม่านพรางได้หละก็
    พวกเราก็จะบอกว่ามันเป็นความรู้สึกโศกเศร้าที่พวกเราจะต้องจากไป เพราะว่าพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ที่ปราถนาที่จะอยู่ที่นี่!
    และถ้าพวกคุณอนุญาตหละก็ พวกเราก็จะขออยู่ที่นี่ในห้องๆนี้ หรืออยู่ ณ.ที่ๆพวกคุณนั่งอยู่นี้ ต่อไปอีกซักหลายๆวัน
    และนั่นแหละคือความรู้สึกของสมาชิกในครอบครัวที่มีต่อครอบครัวเดียวกัน

    จงทำให้ช่วงเวลาอันล้ำค่านี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งการชุมนุมกันครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
    ว่ามันคือช่วงเวลาที่มนุษย์และทวยเทพทั้งหลายได้มารวมกันอยู่ และมาจดจำตัวเองได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
    และมารักซึ่งกันและกัน มันจะมีสักวันหนึ่งที่ฉันจะได้พบพวกคุณใน “ห้องโถงแห่งเกียรติยศ”
    (ซึ่งอยู่ ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง หลังจากที่มนุษย์ได้ตายไปแล้ว – ผู้แปล) และเมื่อเวลานั้นมาถึง
    ฉันจะพูดถึงวันนี้ แล้วฉันก็จะพูดว่า “พวกคุณจำวันเวลาที่พวกเราไปอยู่ในสถานที่ๆพวกคุณเรียกว่านิวแฮมป์เชียร์ ได้ไหม?
    มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่ามากๆเลย”


    And so it is.

    Kryon

    ……………….....................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...