ข้อดีและข้อเสียของการเป็น "ร่างเทพและร่างปีศาจ"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 26 มกราคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ขอเขียนตามประสบการณ์นะครับ ไม่มีตำราอ้างอิง
    อาจไม่สมบูรณ์นัก เพราะอยู่ระหว่างการศึกษาครับ

    ซึ่งจะค่อยๆ กล่าวต่อไปเพื่อเป็นวิทยาทานครับ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ก่อนอื่น ต้องเข้าใจเรื่อง "จิตเดิมแท้" และจิตวิญญาณในกายมนุษย์


    เมื่อมนุษย์เกิดมาจะมี "จิตวิญญาณดวงเดียวเท่านั้น" นี่คือ "จิตเดิมแท้" ตอนเกิด
    (มีจิตเดิมแท้ก่อนเกิดอีก แต่ขอละไว้ก่อนนะครับ) จากนั้น เมื่อเติบโตขึ้นจะเปลี่ยน
    แปลงไป อุปมาเหมือน "งูลอกคราบ" จะเติบโตได้ต้องเปลี่ยนแปลง เอาคราบเก่า
    ออกไปก่อน จึงจะโตได้ จิตวิญญาณที่เดิมเป็นเด็ก จะโตเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ จะ
    เปลี่ยนแปลง ช่วงนี้เอง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของมนุษย์คือ
    จิตวิญญาณมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งจำนวนและรูปแบบ เพื่อก้าวไปสู่จิตใจที่
    เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จิตวิญญาณของมนุษย์ที่สะสมพลังบริสุทธิ์มายาวนาน ก็จะสลาย
    แล้วเกิดใหม่เป็นจิตวิญญาณดวงใหม่ หากไม่มีปัญหาใดๆ เลย จะสมบูรณ์มีหนึ่งดวง
    เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว ไม่สมบูรณ์เช่นนั้น จิตวิญญาณมักแบ่งออกเป็นสองดวงใน
    ช่วงนี้เองและ "จิตวิญญาณดวงหนึ่ง" มักจรจากร่างไป ทำให้ร่างกายที่เคยรองรับกับ
    ปริมาณปราณเท่าเดิมได้ กลับต้องรองรับปริมาณปราณที่ลดลงไปเพราะจิตวิญญาณ
    ที่จรออกไป ตรงนี้เอง ทำให้ร่างสังขารมี "ที่ว่างพอ" จะรับ "จิตวิญญาณอื่นเข้ามา"


    ซึ่งจะได้อธิบายต่อไปครับ ว่ากระบวนการรับจิตวิญญาณอื่นเข้ามานั้น เป็นอย่างไร?
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    การสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปบางส่วน และการเปิดรับจิตวิญญาณใหม่


    ให้ท่านลองนึกทบทวนตัวเองนะครับ ในชีวิต เมื่อยังเป็นเด็กแล้วท่านก้าวสู่ความเป็น
    ผู้ใหญ่ได้อย่างไร? ทุกคนต้องผ่านประสบการณ์ชีวิต จึงจะโตเป็นผู้ใหญ่ จริงมั้ยครับ
    ทีนี้ ประสบการณ์ชีวิตที่เหมือนๆ กันคือ "ประสบการณ์ อวสานโลกสวย" กล่าวคือใน
    ตอนที่เรายังเด็ก เราไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก ไม่รู้เรื่องอะไร ก็คิดว่าโลกนี้ มีแต่สิ่งสวย
    งามและดีงามไปหมด เหมือนเรามี "โลกส่วนตัวที่สวยงามของเราเอง" โลกใบเล็กนี้
    มันจะถูกทำลายครับ เพื่อไม่ให้เราหลงอยู่ในโลกส่วนตัวที่เราสร้างขึ้นมา สวยโลกที่มี
    แต่จินตนาการแต่ไม่อยู่บนความเป็นจริง ผู้หญิงส่วนใหญ่จะผ่านประสบการณ์ "อวสาน
    โลกสวย" เมื่อมีกามหรือความรัก หลายคนเกิดขณะสูญเสียพรหมจรรย์ เคยคิดไปว่านี่
    น่าจะเป็นสิ่งดีงาม สวยงาม แต่พอเสียพรหจรรย์ครั้งแรก มันเจ็บมากเลย มันไม่ใช่เลย
    ฉันไม่น่าหลงมันเลย นี่แหละ "โลกแตก" ครับ อวสานโลกสวยไปเลย ตอนนี้เอง ที่มัก
    จะเกิด "การแบ่งแยกของจิตวิญญาณ" และตามมาด้วยการสูญเสียจิตวิญญาณดวงหนึ่ง
    ไปอยู่กับคนที่เรารักและเขาก็ทิ้งเราไป จิตวิญญาณดวงนั้นทิ้งเราไป และเป็นภูติอยู่กับ
    คนที่เรารัก ทำให้เรารู้สึก "ขาด" จากเดิมที่เป็นเด็กใสซื่อ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ไม่บกพร่อง
    ก็มารู้สึกขาด รู้สึกต้องการการเติมเต็มก็ตอนนี้ละครับ เมื่อจิตวิญญาณดวงหนึ่งถูกแบ่งไป
    แล้ว เราจึงร้องหาการเติมเต็ม และเรามักจะได้รับจิตวิญญาณดวงใหม่ที่ไม่ใช่ตัวตนของ
    เราจริงๆ แต่แรกเข้ามาแทนครับ ซึ่งอาจเป็นปีศาจหรือเทพก็ได้ เราก็จะมีเปลือกนอกอัน
    เข้มแข็งขึ้น (แต่ภายในอ่อนแอ) เราเหมือนคนใหม่ ที่เก่งขึ้น กร้านโลกมากขึ้น ทำงานดี
    ขึ้น ไม่ใช่เด็กผู้หญิงอ่อนแอ, อ่อนต่อโลก และมองโลกสวยงาม เหมือนก่อนอีกแล้วครับ


    ต่อไป ผมจะอธิบายแยกแยะว่าจิตวิญญาณที่รับเข้ามาเป็นเทพ เป็นปีศาจต่างกันยังไง?
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    จิตวิญญาณที่รับเข้ามาที่เป็นปีศาจ, เป็นเทพ


    เทพที่มีบุญดีอยู่ จะมีวิมานอยู่บนสวรรค์จะไม่มีทางทิ้งสวรรค์ลงมาอยู่ในร่างมนุษย์
    แน่นอน แต่เทพที่หมดบุญแล้ว หนีสวรรค์ลงมาแล้ว ถูกทัณฑ์สวรรค์แล้ว หลงอยู่ที่
    โลกมนุษย์กลับคืนสวรรค์ไม่ได้แล้ว ฯลฯ เหล่านี้ "ก็มีอยู่ครับ" และเมื่อมีอยู่อย่างนี้
    จึงจำต้อง "หาวิธีดำรงอยู่ต่อไป" ซึ่งวิธีนั้นก็คือ "การบำเพ็ญธรรมร่วมในร่างมนุษย์"
    เทพจะประสานร่างมนุษย์เมื่อเขาเริ่มเสื่อมลงไปครับ เทวสภาวะอ่อนกำลัง, ปราณ
    เทพอ่อนลง ก็จะประสานร่างของมนุษย์ได้ในที่สุด ข้อดีคือ มีพลังเทพเหลืออยู่ จึง
    ทำอะไรได้เก่งมากๆ เช่น ทำงานเป็นหัวหน้าคนได้อย่างกับผู้ชาย ทั้งที่เป็นผู้หญิง
    เป็นต้น ข้อเสียคือ "อ่อนแอต่อโลก" เพราะเคยเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ พอต้องมาที่
    โลก ซึ่งมันแย่กว่าเดิมมาก การปรับตัวจึงไม่ดีนัก ทำให้ร่างนั้นอ่อนแอลงไปได้ครับ

    ส่วน "ปีศาจ" นั้น ปกติจะไม่อาจออกมาเพ่นพ่านอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ เพราะจะถูก
    จำกัดอาณาเขตเอาไว้ครับ บ้างถูกกักขังไว้ ไม่อาจออกมาได้ แต่จะออกมาได้เมื่่อ
    ได้รับการปลดปล่อย เช่น ในช่วงที่พระพุทธเจ้าเปิดสามภพ มิติต่างๆ ก็จะเปิดออก
    พวกเขาก็จะออกมาได้ มาเพื่อรับธรรม รอรับการโปรด รอรับการชำระบาป ฯลฯ ถ้า
    ไม่ออกมาตอนนี้จะออกมาตอนไหนละครับ? จึงต้องออกมาตอนที่มี "ผู้มีบารมีธรรม
    มาก" มาเกิดในโลก เช่น พระพุทธเจ้า ก็ดี, พระโพธิสัตว์ใหญ่ๆ ก็ดี ฯลฯ ข้อดี คือ
    ปีศาจจะมีพลังธาตุแข็งแกร่ง ทำให้ร่างปีศาจนั้น แข็งแรง, ตายยาก และทนทานต่อ
    โรคภัยไข้เจ็บ ข้อเสียคือ ปีศาจมักทำสิ่งที่ไม่ดี และไม่ชอบมนุษย์ ปีศาจมักกินพลัง
    ชีพมนุษย์ ทำให้มนุษย์คนอื่นๆ อ่อนแอและตายลงครับ (ในขณะที่ร่างปีศาจแข็งแรง
    ขึ้น) มนุษย์ที่เป็นร่างปีศาจ จะมีพฤติกรรมการดำรงชีพที่ไม่ปกติ ต่างไปจากคนอื่นๆ


    ไม่ว่าร่างเทพหรือร่างปีศาจ ล้วนต้องบำเพ็ญธรรมเพื่อให้หลุดพ้น ไม่ต่างกันเลยครับ
     
  5. แต้ม อิสระ

    แต้ม อิสระ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +86
    อธิบายได้ชัดเจนดี
     
  6. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    :cool:เราหนีมาจากที่ไหนหนอ...(k):cool:({)
     
  7. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    พวกปอบ กระสือ กระหัง เรียนวิชาแปลร่างเป็นสัตว์อย่างแปลงเป็นเสือ แปลงเป็นจระเข้นี้ถือเป็นร่างปีศาจใช่ไหม

    แล้วพวกที่ไปสักยันต์ ของขึ้นแสดงอาการเป็นสัตว์ต่างๆเช่น เป็นเสือ เป็นลิงลม
    เป็นงู นี้ถือเป็นร่างปีศาจด้วยหรือเปล่า
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746

    ปีศาจมีร่างแท้คล้ายสัตว์ แล้วแปลงร่างเป็นคน เมื่อคืนร่างจะกลับ
    เป็นสัตว์ชนิดนั้นๆ แต่ไม่สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ชนิดอื่นๆ ได้
    ยกเว้นว่ามี "วิชาแปลงกายเหมือนซุนหง๋อคง" แปลงไปได้หลาย
    ชนิด สำหรับผู้ที่มีวิชามโนมยิทธิก็สามารถแปลงกายทิพย์ได้ เช่น
    กัน กำหนดด้วยจิต ก็สำเร็จด้วยใจ ตามกำลังของมโนมยิทธิครับ


    สักยันต์ไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า จึงเรียกกันว่าเป็นเดรัจฉานวิชา
    เพราะเวลาแสดงอาการออกมา ก็ออกมาเป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนั้น
    ถือเป็นอสุรกาย, ปีศาจ ชนิดหนึ่ง ที่ผู้ใช้อาคมเรียกวิญญาณเข้ามา
    เชื่อมโยงกับยันต์ที่สักสำเร็จแล้วทำให้ขลัง มีฤทธิ์เดชขึ้นมาได้ครับ
     
  9. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    สำหรับผู้ที่มีวิชามโนมยิทธิก็สามารถแปลงกายทิพย์ได้ เช่น
    กัน กำหนดด้วยจิต ก็สำเร็จด้วยใจ ตามกำลังของมโนมยิทธิครับ



    ช่วยอธิบายตรงนี้เพิ่มซักนิดคะ คุณดอกไม้
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746

    ผู้สำเร็จมโนมยิทธิ สามารถเนรมิตกายทิพย์ได้ดังใจ
    เรียกว่า "สำเร็จด้วยใจ" (มโนมยิทธิ) ดังนั้น แม้มัน
    จะไม่ใช่กายทิพย์จริง มันเกิดจากอำนาจการเนรมิต
    เข้าข่ายเป็น "นิรมาณกาย" ไม่ใช่ธรรมกาย และยิ่ง
    ไม่ใช่กายทิพย์จริง แต่เราจะหลงได้ว่าเป็นของจริง

    เช่น ไปกำหนดจิตให้กายทิพย์เป็น "พระใสๆ" มัน
    ก็เป็นไปได้ตามอำนาจจิตของเรา บางคนสำเร็จได้
    ไม่รู้ตัว ฝึกธรรมกาย แต่เขาได้มโนมยิทธิด้วย เลย
    ไม่รู้ว่าไอ้กายแก้วใสๆ นั่น มันเกิดจากอำนาจจิตอัน
    เนรมิตให้เป็นไป (มโนมยิทธิ) ก็คิดว่าเป็นกายจริง

    นี่ ถึงต้องเรียนรู้ทั้ง "ตรีกาย" และ "มโนมยิทธิ" ด้วย
     
  11. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231

    ผมคิดว่ากายทิพย์ที่นรมิตมานั้น ยังไงก็ต้องอาศัยกายเนื้อเป็นฐาน
    ถ้ากายเนื้อที่เป็นร่างมนุษย์ถูกทำลาย กายทิพย์ที่เนรมิตมาทั้งหมด
    จะต้องหายไปด้วย
    มันเปรียบเหมือนการฉายภาพยนต์ ที่ต้องมีทั้งเครื่องฉาย และจอ
    เงาถึงจะไปปรากฏบนจอได้ แต่ถ้าตัวเครื่องฉายพัง เงาก็อยู่ไม่ได้
    กายทิพย์ที่ใช้มโนยิทธิเนรมิตขึ้นมาก็เหมือนกัน ถ้ากายเนื้อแตกทำลายลง
    กายทิพย์นั้นต้องหายไปแน่ มันไม่เหมือนกับกายทิพย์ของพวกเทพ
    หรือพรหมที่มีมาแต่กำเนิด
     
  12. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    สงสัยค่ะว่ากายทิพย์ สามารถเนรมิตเป็นอะไรก็ได้ทุกอย่างตามใจ หรือว่าแล้วแต่กำลังฤทธิ์ ของแต่ละคน แล้วสามารถเนรมิตทีละหลายแบบ หรือได้แค่ครั้งละหนึ่งแบบ และสามารถเนรมิตได้พร้อมๆกันหลายที่ได้มั้ยคะ

    แต่ที่เห็นด้วยค่ะ ว่ากายหยาบป่วย กายละเอียดก็ป่วยไปด้วย กายเนื้อแข็งแรง กายละเอียดก็แข็งแกร่ง

    แล้วเราสามารถแปลงกายทิพย์เป็นภพภูมิอื่น เช่น พญานาค หรือ ครุฑได้มั้ยคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2016
  13. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ในเมื่อใช้คำว่า เนรมิต ก็แสดงว่าเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น
    ดังนั้น การจะทำได้มากน้อยและพิศดารแค่ไหน จึงต้องขึ้นอยู่ที่เหตุ ปัจจัย
    นั่นคือ กำลังฤทธิ์และความชำนาญ(การสร้างมโนภาพ)ของคนๆนั้น
    ตัวอย่างเช่น ท่านพระจุฬบันถก มีความสามารถเนรมิตตนเองให้คนคนอื่นมอง
    เห็นได้นับพันๆกาย
    พญามาร สามารถเนรมิตตนเองเป็นพระพุทธเจ้า พร้อมพระภิกษุสงฆ์แวดล้อม
    ให้พระนาคเสนดูได้
    หลวงปู่แหวน แสดงกายทิพย์ของท่านลอยกลางอากาศให้นักบินเห็นได้

    อย่างไรก็ดี กายทิพย์ที่แสดงให้เห็นหลายๆกาย น่าจะเป็นเพียงภาพนิมิตมากกว่า
    แต่กายทิพย์ที่มีดวงจิตครอบครอง คือมีดวงจิตและความรู้สึกนึกคิดน่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว

    แปลงเป็นภพอื่นภูมอื่นได้ไหม ถ้ากำลังฤทธิ์มีถึงก็น่าจะได้
    ไม่งั้นเทวดาจะแปลงมาเป็นผีมาหลอกคนได้ยังไง(กรณีรุกเทวดา
    แปลงมาเป็นผีหลวงมาขู่หลวงปู่มั่น)
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    จิตวิญญาณดวงหนึ่ง คือ อะไร
    จิตเดิมแท้ คือ อะไร
    จิตเด็ก จิตผู้ใหญ่ คือ อะไร
    จิตดวงใหม่ คือ อะไร
    จิตวิญญาณแบ่งเป็นสองดวง คือ อะไร
    จิตวิญญาณจรไป คือ อะไร
    จิตวิญญาณอื่นจรมา คือ อะไร
    ร่างสังขารมีที่ว่างรองรับ คือ อะไร

    ????

    พุทธศาสนา
    จิต เป็นธาตุรู้ ธาตุคิด
    วิญญาณ เป็นธาตุรับรู้ทางอายตนะ
    มโน คือ ใจ

    จัดเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ไม่อาจมองเห็นด้วยตาอย่างใดๆ ไม่ปรากฎรูปธรรมในระดับภพใดทั้งสิ้น อาจมีภพในอรูปภพซึ่งไม่ปรากฏรูปร่าง

    ศาสนาอื่น
    จิต หรือวิญญาณ เป็นรูปแบบที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่อาจสลายแม้ร่างกายแตกดับ อาจกลับไปสู่พระเจ้า ปรมาตมัน จิตเดิมแท้ แล้วแต่ความเชืื่่อทางศาสนา

    จัดเป็นนามธรรมในปรัชญาระดับสูง แต่ปรากฏมีการอธิบายเป็นรูปธรรม ในภพภูมิต่าง ๆ

    เวลาเกิด หรือเวลาจุติ เป็นอย่างไร มีจิตเดิมแท้อยู่หรือไม่ จิตเดิมแท้หน้าตาเป็นอย่างไร ?

    เทวดาเมื่อจะจุติลงมาเป็นมนุษย์ เป็นอย่างไร เทวดามีรูปร่างอันงามลักษณ์ มีรัศมีแห่งแสงสุริยา ไม่มีมลทิน เมื่อจะจุติ ไม่มีเทวดาองค์ใดเหาะลงมา นั้นคือ ไม่มีเทพเหาะลงมา ไม่มีวิญญาณเทพลงมา เทวดาเมื่อแตกดับก็ดับ ณ ที่นั้น (สวรรค์นั้นเอง) จิตที่ไม่หลุดพ้นนั้นเมื่อดับลง ก็ดับลงตรงนั้น แต่ก่อนดับจิตสุดท้าย จุติจิต จะส่งต่อไปยังปฏิสนธิจิต รับช่วงต่อ และเนื่องจากเป็นนามธรรม จึงไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีระยะทาง จุติจิตที่ดับลงในสวรรค์จึงส่งต่อวิบากกรรมไปยังปฏิสนธิจิตโดยไม่มีดวงจิตวิญญาณลอยไปมาแต่อย่างใด

    รูปร่างของจิต จึงไม่มี มีแต่รูปเทวดา รูปมนุษย์ ซึ่งไม่มีความเหมือนกันเลย เพราะเชื้อคือ จิตที่ไร้ตัวตน จิตเทวดาเป็นกุศลจิตระดับที่สูงกว่ากุศลจิตมนุษย์ ดังนั้น รูปร่างกายมนุษย์ รูปร่างเทวดา(ที่เรียกกันว่า กายทิพย์) จึงไม่มีอะไรเหมือนกัน คนแต่ละชาติหน้าตาจึงไม่เหมือนกัน เพราะจิตเป็นอนัตตา จิตที่แปรปรวนด้วยธาตุแห่งกิเลส กุศล อกุศล แตกต่างกัน ส่งผลให้รูปธรรมแตกต่างกัน

    ปัญหาที่ทุกคนเข้าใจว่า มีวิญญาณออกจากร่าง มันเกิดเพราะกระบวนการของตา ไม่ใช่ญาณปัญญาหยั่งรู้ มันคือ ตาของกายทิพย์ บุคคลที่ตายลงในภพมนุษย์ หลายคนไม่ทำกุศลหรือบาปอกุศลหนัก จิตยึดติดกับปัจจุบัน หรือสิ่งที่เคยชินเป็นประจำ เมื่อเค้าตายลง จิตกุศลหรืออกุศลยังไม่ให้ผล แต่จิตยังเหนี่ยวหรือยึดสภาพเดิมไว้ ยึดกุศลอกุศลในภพเดิม(ภพมนุษย์ไว้) เมื่อกายแตกดับยังไม่เรียบร้อยดี จิตยังอยู่ที่เดิมจึงสร้างร่างโอปปาติกะขึ้นทันที แล้วกล่าวเดินออกจากร่างกายมนุษย์ คนทั่วไปเข้าใจว่า นี่คือ วิญญาณ บางคนเรียก ผี แต่จริงๆ เป็นร่างโอปปาติกะที่เกิดขึ้นทันที ซึ่งจะรักษารูปร่างหน้าตาแบบมนุษย์ที่ตายไว้ ต่อเมื่อเค้าตายลงจริงๆ หรือกุศล อกุศลจิตให้ผล ร่างโอปปาติกะที่ประดุจดัง กายฝัน ประดุจดังกายทิพย์ที่ถอดออกจากร่างกายผู้มีอภิญญาหรือ เซียน ร่างนี้จะดับลง และปฏิสนธิจิตที่เกิดที่ภพใหม่จะไม่มีลักษณะลอยไปมา แต่ดับไปเลยและเกิดใหม่เลยเช่นเดียวกัน

    ไม่มีจิตวิญญาณที่แบ่งส่วน หรือแบ่งแยก ไม่มีเทพหรือมารมาสิงร่างกายในส่วนที่จิตวิญญาณที่แยกออไปแต่อย่างใด เพราะกระบวนการจุติและปฏิสนธินั้น จุติจิตจะส่งต่อกรรมไปยังปฏิสนธิจิต เรียกว่า กลล ซึ่งวิบากกรรมจะสร้างขันธ์(กองแห่งชีวิต ได้แก่ รูปขันธ์ และหรือนามขันธ์) เฉพาะแก่ปฏิสนธิจิตเท่านั้น จิตอื่นจึงไม่อาจลงไปสิงร่างนั้นได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เราท่านก็สามารถไปสิงร่างมหาเทพได้ ไปสิงร่างนายกรัฐมนตรีได้ กฎแห่งกรรม ก็จะเป็นแค่เรื่องนิยายหรือการ์ตูน

    แล้วความเข้าใจเกี่ยวกับเทพ มาร มาได้ยังไง
    มีสี่แบบ

    แบบแรก จิตวิปลาส ขาดสติ ทำให้จิตใต้สำนึกทำงานเองโดยไปรับรู้และดึงบุคลิกภาพในอดีตชาติที่เคยเป็นเทพ เป็นมาร มาใช้อย่างสะเปะสะปะ อาจด้วยแรงอธิษฐานหรือตั้งจิตไว้เดิมบนพื้นฐานความยึดมั่นถือมั่นเดิม เหมือนคนที่ระลึกชาติแต่ไม่ยกจิตเข้าสู่การวิปัสสนา ทำให้หลงติดอดีต ดึงบุคลิกภาพในอดีตมาใช้ ในหลายกรณีการวิปลาสนี้ ปรากฎเป็นอาการทางจิตที่เป็นปัญหาในคนที่มีหลายบุคลิกภาพ ก็เลยพาลเข้าใจว่า มีหลายวิญญาณในร่างกายเดียว

    แบบที่สอง มโนเอาเอง อยู่บนพื้นฐานความคิดความเชื่อเลย การมโนเกี่ยวกับการเข้าทรงผีทรงเจ้าน่าจะมีเกือบ ๙๙ % เลยในสังคมไทย แบบมโนเอาเองต่างจากแบบที่หนึ่ง เพราะแบบที่หนึ่งเป็นผลจากวิบากกรรมเก่า แต่แบบที่สาม เป็นการที่จิตยังเห็นผิดเป็นชอบอยู่ ตัดสินใจโดยโน้มเอียงแบบผิดๆ

    แบบที่สาม ไม่มีจิตวิญญาณเทพ มารมาสิง แต่จิตของคนผู้นั้นมีกรรมสัมพันธ์กับเทพ มาร อสูร ยักษา เปรต โอปปาติกะต่างๆ แต่ผู้นั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ อุปมา เหมือนคนที่คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล เหมือนคนบางคนโชคดีโชคร้ายเพราะเพื่อน บางทีไม่รู้ตัวก็โดนเค้ายิงทิ้งตามเพื่อน บางคนตามเพื่อนไปมาได้งานการดีก็มี

    แบบที่สี่ ผู้เข้าฌาณในระดับที่ใช้งานได้ ไปพบเทพ มาร ยักษ์ อสูร โอปปาติกะ ได้เพราะเคยสัมพันธ์กัน อาจมาช่วยกันแบบเป็นกิจลักษณะ เช่น คนทรงเจ้าที่ปฏิบัติดี หรือแค่ไปมาหาสู่กันก็ได้ ระดับนี้ไม่เรียกว่าสิงสู่ ไม่เรียกว่าองค์ลง ไม่เรียกว่าคนทรง แต่ช่วยเหลือกันได้ เพราะมนุษย์มีกำลังจิต มีความเพียรมากแล้ว

    สรุปสั้น ๆ เวลากล่าวถึง จิตวิญญาณต้องพิจารณาว่าผู้กล่าว กล่าวถึงความหมายใด ถ้าหมายถึง โอปปาติกะ ย่อมไม่ใช่จิตวิญญาณตามความเข้าใจแบบพรามหณ์หรือไสยศาสตร์ โอปปาติกะ นี้ มีหลายประเภท เทพ มาร อสูร เปรต มนุษย์ในบางภพ(ภพเล็กภพน้อย สามพันแห่งห้าพันแห่งต่อ ๑ จักรวาล หรือหนึ่งระบบสุริยะ)
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    จิต ...


    มีดินเหนียวกองหนึ่ง เอาไปปั้นให้มีรูปอย่างวัว (รูป)
    แล้วเรียกว่า "วัว" (นาม) ต่อมา ปั้นใหม่ให้เป็นรูป
    อย่างหมา (รูป) แล้วเรียกว่า "หมา" (นาม) รูปนาม
    แรกดับไป (วัว) รูปนามใหม่เกิดขึ้น (หมา) แต่ดินเหนียว
    ก็ยังคงอยู่ เรียกว่า "ธาตุ"


    จิตนั้นเป็นปรมัตถธรรม หรือธรรมเนืิ้อแท้ มีอยู่จริง มิใช่ปรัชญา
    มิใช่นามธรรมเลื่อนลอย เช่น ความดี ความชั่ว สภาวะของจิต
    นั้นมีอยู่แท้จริง เรียกว่า "ธาตุ" หรือ มโนธาตุ สิ่งใดไม่มีธาตุก็
    เหมือนรูปนาม ที่คิดเอง อุปทานขึ้นมาเอง สิ่งใดมีธาตุ ก็เหมือน
    ดินเหนียว ที่ถูกปั้นเป็นวัวและหมา ฉะนั้น เหตุนี้ จะกล่าวว่าจิต
    นั้น ไม่มีจริง เป็นนามธรรม เป็นชื่อเรียกอะไรเหมือนความดีกับ
    ความชั่วนั้น ไม่ได้ ผิดหลัก "ปรมัตถธรรม" และ "หลักมโนธาตุ"


    เมื่อจิตเป็นธาตุ (มโนธาตุ) จะดับแท้ก็ต้องผ่าน "พระธาตุนิพพาน" เท่านั้น
    หากไม่ผ่านนิพพาน ก็เหมือนดินเหนียว (ธาตุ) ยังอยู่ ยังสามารถเอาไปใช้
    เป็นเชื้อ เป็นเหตุ ไปสู่รูปนามใหม่ๆ วัว, หมา ฯลฯ ได้ทั้งสิ้น คำว่า "จิตไม่มี
    จริง" เป็นแค่ความว่าง เป็นนามธรรม เป็นปรัชญาเลื่อนลอยเหมือนความดีกับ
    ความชั่ว จึงเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนึ่งที่ขัดกับหลัก "ปรมัตถธรรม 4" และ "ธาตุ"


    จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป และยังไม่ใช่นิพพาน จิตยังคงเป็นปรมัตถธรรม 1 ใน 4 นั้น
    แต่เราสามารถเห็นรูปของจิตได้ เหมือน เราเห็นรูปของนิพพาน ซึ่งสิ่งที่เราเห็นนี้ล้วนแต่
    เป็น "รูป" เท่านั้นเอง มิใช่จิต มิใช่นิพพาน เห็นจิต ย่อมไม่ใช่จิต แต่เป็น "รูป" อาศัย
    รูป นั้น พิจารณาธรรมในปรมัตถธรรม 4 เข้าไป รูปดับแล้ว จึงเข้าถึงจิตได้ หากไม่อาศัย
    สมมุติ (รูป) นำทางไป หลายคนก็ไม่อาจเข้าถึงจิตได้ จึงต้องอนุโลมตามควรแก่สัตว์ดังนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2016
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    วิญญาณ ...


    เป็นปรมัถธรรมหนึ่งในสี่เรียกว่า "รูป" คือ ธรรมอันรับรู้ผ่านอาตนะต่างๆ ได้
    เราสามารถเห็นวิญญาณได้ด้วยตาทิพย์ ก็ดี, จิตสัมผัส ก็ดี ฯลฯ อายตนะใด
    ก็ได้ การเห็นได้ หรือสัมผัสได้นี้ จึงจัดว่าวิญญาณเป็น "รูป" อย่างหนึ่ง และ
    เป็นหนึ่งในสี่ปรมัตถธรรมอีกด้วย จึงมิใช่ปรัชญาเลื่อนลอย เหมือนความดีแล
    ความชั่ว ที่ไม่มีอยู่จริง เป็นแค่อุปทานและการตีค่าไปตามแต่ละบุคคลจะยึดถือ


    วิญญาณมีแก่นแท้แห่งธรรม เรียกว่า "ธาตุ" หรือ "วิญญาณธาตุ" คำว่า "ธาตุ"
    นี้ ไม่ได้เกิดดับไปได้ด้วย "การตายของมนุษย์" วิญญาณจะดับสลายสิ้นไปได้
    แบบสนิทนั้น ก็ด้วย "นิพพาน" เรียกว่า "วิญญาณนิพพาน" หรือ "ขันธปรินิพพาน"
    นั่นเอง (ขันธ์ในที่นี้ก็คือ วิญญาณขันธ์) เมื่อนั้น วิญญาณจะไม่มีรูปนามอีก จะเห็น
    เพียง "จิต" หรือ "มโนธาตุ" เหลืออยู่เท่านั้น จิตหรือมโนธาตุนี้ เป็นธาตุชนิดหนึง
    ซึ่งจะดับสนิทไปได้ด้วย "นิพพาน" มิใช่ด้วยการตายของมนุษย์ เรียกว่า "พระธาตุ
    นิพพาน" ซึ่งปกติแล้ว ขันธปรินิพพาน นั้น นิพพานเฉพาะขันธ์ แต่จิตยังไม่นิพพาน
    จึงเป็นการนิพพานบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) และต้องผ่านอนุปาทิเสสนิพพาน
    อีกครั้ง จึงจะนิพพานสมบูรณ์ ซึ่งนิพพานอีกครั้งภายหลังนี้ ก็คือ "พระธาตุนิพพาน"
    หรือ การนิพพานของจิต หรือมโนธาตุ ที่ยังเหลืออยู่หลังจากขันธปรินิพพานแล้วนี่เอง


    วิญญาณนี้ มีนามเรียกหลายอย่าง หากพิจารณา "กายานุสติปัฏฐาน" จะนับเป็นกาย
    หนึ่งก็ได้ เรียกว่า "กายทิพย์" ก็ได้ เรียกว่า "กายในกาย" ก็ได้ ซึ่งมีได้หลายๆ กาย
    เพราะมีได้หลายๆ กาย ท่านจึงสอนให้มีสติ อย่าไปหลงกายใดกายหนึ่ง พิจารณากาย
    ในกายอยู่ เมื่อมีสติแล้วย่อมไม่หลงกายที่เห็น ย่อมทะลุทะลวงไปสู่กายในกายในระดับ
    ที่ลึกขึ้น ละเอียดขึ้นก็ได้ และเมื่อเกิดปัญญาแล้ว ย่อมแจ้งว่ากายบางกาย เป็นกายจร
    เป็นกายซ้อนกาย เป็นกายแทรก เป็นกายที่เข้าๆ ออกๆ ในสังขารของเราได้ ไม่ใช่เรา
    จริงๆ หากปัญญาแจ้งมากไปอีก ย่อมแยกแยะได้อีกว่ากายใดเป็นนิรมาณกาย กายใด
    เป็นธรรมกาย นั่นจึงเรียกว่า มีปัญญาแจ้งในกาย สำเร็จ "ธรรมกาย" (กายานุสติปัฏฐาน)


    จริงอยู่ว่า ปรมัตถธรรมก็ไม่เที่ยง อนัตตา แต่ก็ไม่ใช่ความว่างเปล่า หรือความไม่มี ก็หาไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2016
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    การพิจารณาจิตเกิดดับ ไม่มีอยู่จริงนั้น
    เป็นการพิจารณาจิตสังขาร ซึ่งไม่มีใน
    หลักคำสอนเดิม แต่พระอรรถกถาจารย์
    ท่านรจนาขึ้นใหม่ ไว้ในวิสุทธิมรรคนั่นเอง


    แต่นั่นมิใช่ "จิตประภัสสร" ในฐานะธาตุๆ หนึ่ง
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    จุติจิต, ปฏิสนธิจิต ...


    จุติจิต มาจากคำว่า "จุติ" แปลว่า เคลื่อน และคำว่า "จิต" หมายถึง จิตเคลื่อน
    มีการมา มีการไป คือ ไปจากภพเก่า มาสู่ภพใหม่, เคลื่อนจากภพเก่า มาสู่ภพ
    ใหม่ นี่จึงเรียกว่า "จุติจิต" เพราะมีการเคลื่อน นั่นเอง จะกล่าวว่าไม่มีการมาและ
    ไม่มีการไปนั้น ไม่ได้ เพราะจิตไม่ใช่นิพพาน (นิพพานไม่มีการมา ไม่มีการไป)
    จิตจะจุติได้ เมื่อคนตายลง ขันธ์ห้าแตกดับลง มิใช่นิพพาน เพราะเป็นแค่การตาย
    มิใช่การนิพพาน ดังนั้น จึงไม่ได้ดับสนิท เป็นการดับแบบอนิจจัง มิใช่ดับนิพพาน
    คือ ดับแล้วเกิดใหม่ ดับจากมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ในภพภูมิใหม่ ไม่มีสิ่งใดดับสนิท


    ปฏิสนธิจิต จะเกิดขึ้นทันทีหลังจุติจิต (จุติจิตนับเป็น 1 ขณะจิต) เนื่องจาก วิญญาณ
    ไม่ได้นิพพาน การตายของมนุษย์เป็นอนิจจัง มิใช่เป็นนิพพาน เมื่อตายแล้วจึงเกิดอีก
    จึงไม่ดับสนิทแบบนิพพาน วิญญาณขันธ์ดับลงก็เกิดใหม่อีก ช่วงที่ยังเกิดใหม่ไม่ทันก็
    เรียกว่าช่วง "จุติจิต" ช่วงนี้เป็นช่วงขณะที่วิญญาณขันธ์ดับลง จิตจุติออกมาจากร่างได้
    จากนั้น ขณะจิตต่อไปจะเป็น "ปฏิสนธิจิต" ทันที คือ จิตปฏิสนธิกับวิญญาณธาตุ ก่อมี
    รูปนามใหม่ในภพภูมิใหม่ กลายเป็น "จิตวิญญาณ" อีกครั้ง เพราะไม่ได้นิพพาน จึงเกิด
    ใหม่ หลังดับลงจากความเป็นมนุษย์ วิญญาณที่ดับไป ก็เกิดใหม่เป็นวิญญาณใหม่อีกที
    โดยปฏิสนธิเข้ากับจิตที่เคลื่อนออกมาจากกายเก่านั้น (จุติจิต) จิตขณะนี้คือ ปฏิสนธิจิต


    หลังปฏิสนธิจิตแล้ว จะเข้าสู่ภพภูมิใหม่ ผ่านกระบวนการนำพาไปโดยยมทูตหรือเทวทูต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2016
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    การอธิบายว่า จิต คือ ดินเหนียว ขึ้นรูปหมา รูปวััว ผู้อ่านก็จะเข้าใจว่า จิต เป็นธาตุเป็นตัวแท้ เป็นกำเนิด มนุษย์ เทพ อสูร ทั้งที่ จิตเป็นเพียงธาตุที่เกิดดับ มีธาตุอื่นประชุมด้วย และมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดให้ดับ ผู้อ่านอาจเข้าใจว่าจิต เป็น อัตตา ไป และการอธิบายไม่ต่างจาก คำสอนของพระกฤษณะที่กล่าวว่า ปรมาตมันแสดงประกฤติเป็นมายา ชีวาตมันหรืออาตมันที่หลุดจากปรมาตมันไปสถิตในมายา (เมื่อถือว่าจิต สร้างสรรพสิ่งที่เป็นมายา เท่ากับเป็นนัยยะว่า ปรมาตมัน สร้างสรรพสิ่ง)

    การกล่าวว่า จิตจะดับแท้ จะต้องผ่านพระธาตุนิพพาน เป็นการกล่าวเกินกว่าที่ปรากฎอธิบายความหมาย นิพพาน เหมือนท่านกล่าวว่า นิพพานเป็นที่สูญหายของจิต แต่คำอธิบายเกี่ยวกับ นิพพาน ทั้งสองฝ่ายที่แตกกันก็ชัดเจนอยู่ว่า ดับทุกข์อย่างแน่นอน แต่ไม่มีกล่าวว่า จิตดับแท้ มีแต่กล่่าวว่า นิพพาน เป็น อัตตา หรือ อนัตตา เท่านั้น ทั้งนี้ หลักอนัตตาเป็นการกล่าวถึงสภาวะธรรมที่เรียกว่า ไตรลักษณ์

    ขออนุญาตแสดงความเห็นเรื่อง ธรรมกาย หรือ กายทิพย์ ที่ท่านกล่าวในกระทู้ตอบเรื่อง วิญญาณ
    คือ ท่านจัด วิญญาณ เป็นรูป อย่างหนึ่ง ผมถึงต้องถามว่า วิญญาณ จะให้ความหมายตามภาษาชาวบ้าน หรือตามอภิธรรม ถ้า วิญญาณ ตามภาษาชาวบ้าน ก็ไม่ว่ากัน แต่ว่า กระทู้ว่า จิต ที่ท่านกล่าวว่า สามารถเห็นจิต เป็นรูป กล่าวไปถึงในทำนองว่า เห็นนิพพาน เป็น รูป เหมือนกล่าวว่า คนเราจะเห็นจิต มโน วิญญาณ เป็นรูป ไม่อาจเห็นเป็นอย่างอื่น เพราะจำว่า ผมแย้งว่า จิต มโน วิญญาณ ตามอภิธรรม เป็นฝ่ายนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม แต่ผมไม่ได้กล่าวตรงไหนเลยว่า เราจะเห็นมันไม่ได้ แต่เพราะท่านจำว่า ผมพูดถึง ดวงตา จักษุ และตาทิพย์ หรือจิตที่เห็นรูป เหมือนรูปเข้ามาทางตา วิญญาณทางตาส่งรูปเข้าสมอง แปรเป็นสัญญาณที่ไม่ใช่รูป สมองรับรู้รูป เหมือนเดอะ เมทริก ไม่จำต้องมีภาพจานและอาหารในจาน เดอะ เมทริก ก็สามารถสร้างสัญญาณไฟฟ้าในสมอง สมองก็แปรเป็นภาพที่เห็น ภาพมายา แต่คุณสมบัติของการเห็นของจิต ไม่ได้จำกัดแค่ รูป แม้อรูป ก็เห็นได้ ถ้าจิตไม่อาจเห็น อรูป ได้ คัมภีร์ที่กล่าวถึง อรูปพรหม ก็เป็นสิ่งโกหก หากอรูปพรหม ยังเห็นเป็นรูปพรหม ก็เป็นการเห็นไม่ตรงความจริง เพราะคนจะแยกไม่ได้ว่า อะไร รูป อะไร อรูป อะไร จริง อะไร เท็จ ท่านกำลังเห็นจิต หรือเห็นอะไร

    การที่คนเห็น แดนนิพพาน เห็นกายต่างๆ อย่างธรรมกาย (ที่ท่านเรียกว่าวิญญาณ) ลองพิจารณาว่า ถ้ากล่าวว่า วิญญาณ คือ เช่น เทพ มาร เค้าสามารถรับรู้ด้วย กายทิพย์ของเค้า แล้วการเห็น ธรรมกาย กายต่างๆ นั้น ท่านแค่เห็น หรือ เป็น ถ้าเป็นแบบวิญญาณ(ภาษาชาวบ้าน) ท่านก็ทำตามหลักฟิสิคส์กายภาพของวิญญาณได้ เหาะไปไหนก็ได้ แล้วจริงคนฝึกธรรมกาย ทำได้แค่ไหน ระหว่างเห็นกาย ที่เป็นแค่ภาพ ภาพที่จิตสร้างขึ้น(ต้องให้นึกก่อน กล่าวให้นึกคิดก่อน ทำไม ถ้ามันมีจริงของมัน มันก็ย่อมเห็นเองได้ ทำไมต้องนึกก่อน มันคือความจริง หรือเป็นแค่อุบายของจิต) กับเป็นกาย ที่เป็นเราสามารถไปสวรรค์ นรกได้ แล้วเป็นลักษณะไหนระหว่าง เป็นกายเรา ประดุจมองแขนขาตัว หรือประเภทคอนโทรลหุ่นยนต์หรือกายนิมิต ที่มองแบบตาที่ีสามเห็นกายนั้นทั้งกาย หรือแบบมองเห็นในห้วงจิตอีกที เป็น 360 องศา
    กับคนที่เอาร่างกายมนุษย์นี้ไปสวรรค์เลย มันต่างกันหรือไม่
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    เพราะเหตุที่การเกิดดับ เป็นเหตุปัจจัยหนุนเนื่องกันไป จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า มีอะไร กลายเป็น อะไร มีแต่สืบเนื่องกันไป กลายเป็น มีได้แก่เฉพาะการยึดถือเอาตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว ไม่ใช่ปรมัตธรรม เป็นมายา

    ยมฑูตหรือเทวฑูต จะต้องมาด้วยเหรอครับ พระเทวฑัตตกอเวจีมหานรก ยมฑูตใดกันจะฝ่าไฟนรกลงไป อาฬารดาบสบรรลุอรูปพรหม เทวฑุตองค์ใดจะพาไปได้

    ปล. ผมจะไม่อ่านหรือตอบกระทู้นี้ล่ะครับ ท่านจะลบก็ไม่ว่ากัน เพราะอ่านไปแล้วผมจะสับสนเพราะท่านแสดงต่างกับพระไตรปิฎกกับการประสบการณ์ทางจิตของผมและหลายท่านที่ผมพบเจอมา หลายจุดมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...