ข้อสงสัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย parichatkreepat, 15 กันยายน 2014.

  1. parichatkreepat

    parichatkreepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +538
    wel lcome_pink

    วันนี้มีเรื่องอยากให้ทุกๆท่านช่วยแนะนำหน่อยค่ะ !

    อยากจะทราบว่า การที่เราจะนั่งสมาธิ การที่ฝึกกสิณ ฝึกอะไรต่างๆนาๆ

    เราจะรู้ได้ไงว่า แบบไหนเหมาะกับเราค่ะ ดูจากอะไร ??

    หรือว่าเราต้องฝึกไปเรื่อยๆ หลายๆอย่าง เราถึงจะเจอแบบที่เหมาะกับเรา !

    และคนที่ฝึกได้ จะเจอผี หรอ ? จำเป็นด้วยหรอที่ต้องเจอ ?

    เห็นมีคนเคยบอกว่า ถ้าไม่มีบุญ กรรม นำพาให้มาเจอ คงมาเจอกันไม่ได้ !

    ถ้าเป็น แบบนี้ คนที่เขาเจอผี บ่อยๆ ก็คือ บุญ กรรม นำพามาเจอกันหรอค่ะ ?

    ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกหมอผี หรือคนที่ มีญาณ

    ก็มีบุญ นำ กรรม พา กันมาเจอกับพวก ผี และ ผู้คนมากมายสิค่ะ

    อาจจะเป็นคำถามที่ ไม่ค่อยฉลาดนักนะค่ะ แต่คือ มันชวนให้คิด !



    ถ้าตอบได้ช่วยตอบด้วยนะค่ะ ขอแบบเข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ ไม่ปริศนานะค่ะ คือไม่ค่อยฉลาดค่ะ ตีโจทย์ไม่เก่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2014
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    การฝึกอะไรนั้น ก็ ต้อง รู้ ว่า ตัวเอง ต้องการอะไรก่อน เช่นต้องการแค่ความสงบนิ่ง ต้องการรู้ว่า การเจริญสติ คืออะไร?มีประโยชน์อย่างไร หรือ ต้องการรู้จริงจริงว่า พระพุทธเจ้าสอนแก่นแท้ของความดับทุกข์ใช่ใหม? ประมาณนี้แหละครับ.....................ส่วนเรื่องกรรมนำพามาเจอ อะไรนั้น ในความเห็นของผม เรามี อิสระ ที่จะ "ทํา" สิ่งที่ดี ดี ดี ต่อตนเองและผู้อื่นได้เสมอ ไม่เลือกเวลา และสถานที่(อยู่ที่การใคร่ครวญและสติปัญญาของเราเอง) ไม่ว่า เราจะพบเจออะไร นะครับ...สิ่งนี้สำคัญและ มีความหมายมากกว่า ครับ...เช่นมี คนชวนเรา ไปเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า....เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกกระทำได้เสมอ ว่าจะเลือกกระทำแบบใหนต่อ สถานะการณ์นั้นนั้น ก็เหมือน เรามีเพื่อน พ่อ แม่ คนร่วมงาน เรามีสิทธิ์เลือกปฎิบัติต่อคนต่อสถานะการณ์ ให้ดี ที่สุดเสมอได้ ครับในความเห็นของ ผม:cool:
     
  3. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนนะครับว่า ในเรื่องของอารมณ์ปกติของคนเรานั้น จะตั้งอยู่ในอารมณ์ ๖ ประการเป็นสำคัญ คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต สัทธาจริต และพุทธจริต ซึ่งบางท่านก็มีอารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนี้ครบถ้วน บางท่านก็มีไม่ครบ แต่จะเน้นหนักไปในอารมณ์ด้านใดด้านหนึ่งเป็นสำคัญ

    สำหรับลักษณะของแต่ละจริตนั้นจะเป็นยังไง ก็หาอ่านจากตำราทั่วไปได้นะครับ ผมขอยกไว้ไม่กล่าวถึง ทีนี้ หน้าที่ของผู้ที่ต้องการเจริญกรรมฐาน ในขั้นต้น คือต้องพยายามสำรวจ ตรวจตราตัวเองก่อนว่า ตัวเรานั้น มีความโน้มเอียงไปทางลักษณะอารมณ์ใดหรือจริตใดๆ เป็นสำคัญ ซึ่งถ้าพบว่าตัวของเรามีความโน้มเอียงไปที่จริตใดมากๆ ก็ควรจะต้องพยายามมองหาข้อกรรมฐานที่ตรงกับจริตของเรา เมื่อทำได้ดังนี้ การฝึกกรรมฐานก็จะมีโอกาสก้าวหน้าได้ต่อไปนะครับ

    ที่นี้มาดูกันว่าในบรรดากรรมฐานทั้งหมดที่มีอยู่ทั้ง ๔๐ กองนั้น กองใดมีความเหมาะสมกับลักษณะอารมณ์หรือจริตอย่างไร มีดังนี้ครับ

    ๑.ราคจริต กรรมฐานที่เหมาะสมคือ อสุภกรรมฐาน ๑๐ กับกายคตานุสสติ ๑

    ๒.โทสจริต กรรมฐานที่เหมาะสมคือ พรหมวิหาร ๔ และ กสิณสีขาว สีแดง สีเหลือง สีเขียว รวมเป็น ๔

    ๓. โมหะจริต และวิตกจริต กรรมฐานที่เหมาะสมคือ อานาปานุสสติกรรมฐาน

    ๔.สัทธาจริต กรรมฐานที่เหมาะสมคือ พุทธานุสสติกรรมฐาน ธัมมานุสสติกรรมฐาน สังฆานุสสติกรรมฐาน สีลานุสสติกรรมฐาน จาคานุสสติกรรมฐาน และ เทวตานุสสติกรรมฐาน

    ๕.พุทธิจริต กรรมฐานที่เหมาะสมคือ มรณานุสสติกรรมฐาน อุปสมานุสสติกรรมฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน

    ทั้งหมดรวมเป็นกรรมฐาน ๓๐ กอง ในส่วนที่เหลืออีก ๑๐ กอง นั้น จัดว่าเป็นกรรมฐานกลางๆ ที่ใช้ฝึกได้กับผู้ฝึกทุกจริตเลยครับ ซึ่งได้แก่ อรูป ๔ และกสิณดิน กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ กสิณแสงสว่างและกสิณอากาศ รวมทั้งหมดก็ครบข้อกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองพอดีนะครับ


    เรื่องที่นำเสนอไว้นี้ ก็เป็นแนวทางคร่าวๆ ในเบื้องต้น สำหรับให้เจ้าของกระทู้นำมาใช้พิจารณาหาข้อกรรมฐานที่เหมาะสมสำหรับตัวเรา เพื่อลงมือปฏิบัติต่อไปครับ

    คำถามต่อมา คนฝึกกรรมฐาน จำเป็นต้องเจอผีไหม? ตอบว่าไม่จำเป็นครับ อันว่าคนเราจะได้เจอผีนั้น ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายๆอย่างที่สัมพันธ์กัน ที่สำคัญคือ “เครื่องรับ” (คือผู้เจอผี) ต้องมีความสอดคล้องตรงกันกับ “เครื่องส่ง” (คือผี) ด้วย ไม่เช่นนั้น ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันง่ายๆหรอกครับ ความสัมพันธ์ที่ว่าก็เช่น เรื่องของกรรม ที่มีความสอดคล้องทำให้ต้องมาเจอกันมีหรือไม่? แล้วก็เรื่องของคนที่จะเจอผีมีสัมผัสต่างๆ โน้มเอียงมาทางเรื่องนี้หรือไม่? เป็นต้น ซึ่งหากว่าลักษณะของเครื่องรับและเครื่องส่งไม่มีความสัมพันธ์กันเลย โอกาสได้เจอผีก็มีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย แต่สำหรับผู้ที่มีเครื่องรับพร้อมและเข้ากันได้กับเครื่องส่ง ก็จะพบว่ามีโอกาสเจอกับผีได้มากมายนะครับ

    ซึ่งในเรื่องของคนมีญาณ เรียกว่าปัจจัยเรื่องเครื่องรับและกรรมของเขามีพร้อมแล้ว จึงได้มีโอกาสสัมผัสกับเรื่องผีบ่อยๆ ส่วนหมอผีไม่ต้องพูดถึง อันนี้เขาศึกษา ร่ำเรียนมาโดยตรงและถือว่าการเจอผีเป็นวิชาชีพของเขา ดังนั้นเรื่องการเจอผีของคนสองประเภทนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญครับ

    ดังนั้น สำหรับเจ้าของกระทู้เอง เรื่องผีกับการฝึกกรรมฐาน อย่าไปกลัวที่จะเจอครับ เพราะอย่างที่บอก คนเราใช่ว่าจะมีโอกาสเจอผีได้ง่ายๆ เพราะต้องอาศัยปัจจัยประกอบเยอะแยะมากมาย แต่หากว่ามีความกลัวอย่างมากจริงๆ ทำยังไงก็ไม่หาย ในทางปฏิบัติก่อนการเริ่มฝึกกรรมฐาน ให้กราบอาราธนาคุณพระรัตนตรัยให้คุ้มครองขณะฝึกปฏิบัติ ก็จะเป็นการเสริมสร้างกำลังใจ ไม่ให้กลัวผีได้มากขึ้นนะครับ

    อย่างไรก็ตาม การฝึกกรรมฐานเป็นของดีครับ เพราะยังประโยชน์ให้กับตัวเอง ทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า อย่าให้เรื่องความกลัวผี มาเป็นข้อขัดข้องในการเจริญกรรมฐานเลยครับ เนื่องจากว่า ผู้ฝึกกรรมฐานย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครอง ดังนั้น ผีเขาจะมาหลอก มาหลอนเราไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ ยิ่งถ้าไปเจอผีที่รู้จักเรื่องบาปบุญคุณโทษด้วยแล้วล่ะก็ เขาก็จะพากันอนุโมทนาในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของเจ้าของกระทู้ให้อีกด้วยนะครับ
     
  4. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    แบบไหนที่ฝึกแล้วรู้สึกสงบ อดรนทนฝึกอยู่ได้ ก็นั่นแหละ แบบนั้น ถูกจริต

    ส่วนคนที่มีญาณ เป็นคนที่มีภาระหน้าที่ จะบอกว่ามีกรรมก็ไม่ผิด ต้องมาช่วยเหลือคนรอบๆตัว
    ลำพังชีวิตตัวเองก็หนักอยู่ เมื่อแบกชีวิตคนอื่นเข้าไปอีก ยิ่งหนักหนายิ่งนัก
    คนมีญาณก็ดี ร่างทรง องค์แฝงทั้งหลาย มีชีวิตไม่น่าสนุก แต่มักแสดงออกให้เห็นเหมือนสนุก
    เมื่อช่วยคนอื่นมากมาย ตัวเองตายไป ลืมช่วยตัวเองเฉย ทั้งชีวิตอุทิศให้คนอื่นจนเพลิน ประเภทนี้ก็มีมาก
    คนทำนาย กับคนเข้าหา มีวาระสัมพันธ์ต่อกันมาอย่างแน่นอน ชดใช้กันไป
    ชีวิตที่มีแต่เรื่องเข้าหา คือชีวิตของคนมีกรรมมาก


    ปฏิบัติแล้วจะเห็นผีได้จริงไหม มันก็ขึ้นกับว่าฝึกอะไร ถ้าฝึกเจริญสติ เดินจงกรม สติปัฏฐาน วิปัสสนา เถือกนี้ มันก็ได้ความสงบเย็นใจหากปฏิบัติถูกต้อง
    และจะฟุ้งซ่าน หงุดหงิด และละทิ้งความพยายามไปเลยก็มี หากขาดความอดทนและปฏิบัติผิดวิธี
    แต่ถ้าจะมีโอกาสเห็นผี ต้องสมถะวิธี คือ ฝึกสมาธิ กรรมฐาน 40 แบบใดๆก็นำพาสมาธิเกิด สมาธิเกิดจิตมันมีพลัง จิตมันนิ่ง พอสงบ พอหยุดฟุ้งซ่าน ก็มองเห็นชัดขึ้น หากเราดำน้ำลงทะเลไปเพื่อดำน้ำดูปะการัง แม้จะไม่ปรารถนาจะดูปลา แต่มันก็ต้องเห็นปลาบ้าง ไม่อยากเห็นผี แต่มันก็มีโอกาสได้เห็น หลีกเลี่ยงไม่ได้
     
  5. parichatkreepat

    parichatkreepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +538
    อึ๋ย !! ชอบทุกคำตอบเลยค่ะ ! ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เยี่ยมมากๆเลยค่ะ :cool:

    อยากจะฝึกเพื่อให้เป็นคน ใจเย็น ค่ะ ทำอะไรมีสติ จะคิดจะพูดควรไต่ตรอง ประมาณนี้ค่ะ

    ถ้าให้พูดถึงนิสัยของตัวเองนะค่ะ ด้านลบนี่เยอะค่ะ 555

    คือ ใจร้อน ปากไวกับคนใกล้ชิด (เฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้น) เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห ถือทิฐิกับแฟน จะไม่ยอมแฟนเท่าไหร่นัก กลัวผีมาก(เป็นบางครั้ง)

    ด้านบวก (ตามความคิดตัวเองนะ ^^)

    คือ เมตตา ชอบช่วยผู้อื่น เห็นใจคนง่าย ชอบทำบุญ(แต่ก็ไม่ค่อยมีเงินทำ)

    ชอบไปวัด(แต่ก็ไม่ค่อยได้ไป) ชอบความเป็นส่วนตัว

    ชอบอะไรที่เงียบ สงบ สบาย ผ่อนคลาย ชอบมากๆ

    ปล.ที่บอกว่าชอบไปวัด คือ ไม่ใช่ไปทุกวัด ชอบวัดที่มี สิ่งน่าสนใจ ชอบที่ร่มรื่น เย็น สบาย ไม่ชอบที่ผู้คนพลุกพล่านมาก ชอบที่เป็นลานกว้าง จะเล็กจะเเคบไม่ว่าขอแค่มีสิ่งน่าสนใจ ไม่ใช่ทำบุญ กลับบ้าน แบบนี้ไม่ชอบ ^^

    อาจจะดูเลือกการเข้าวัดนะค่ะ แต่ถ้าทำบุญ กลับบ้านไม่มีอะไร มันก็ยังไง ๆ อยู่นะค่ะ

    สนใจกรรมฐาน 40 กอง นั่น มากๆเลยค่ะ ดูเข้าใจง่าย ดูเลือกง่ายดี ไม่ยุ่งยากค่ะ !!

    มีแนะนำเพิ่มเติมเชิญได้เลยนะค่ะ เพราะเชื่อว่าคงมีใครหลายๆคน คิดคำถามแบบนี้เช่นกัน

    เท่าที่ดูคงจะสนใจ โทสจริต กับ พุทธิจริต ค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2014
  6. parichatkreepat

    parichatkreepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +538
    กลัวค่ะ เรื่องผี คือจริงๆไม่กลัวขนาดนี้นะค่ะ แต่อยู่ๆ พักหลังนี้กลัวมาก ไม่รู้ทำไม อาจจะเป็นเพราะ อ่านกระทู้เจอผีเยอะไป เห็นเขาพูดถึงการนั่งกรรมฐาน ทำสมาธิ นู้นนี่นั่น และเจอต่างๆนาๆ เราเลยกลัว ไม่ค่อยกล้านั่งค่ะ ได้ยินเสียงนิดๆก็เป็นกระต่ายตื่นตูมเสียเเล้ว ได้เเต่สวดมนต์ ตามที่คุณ ตั้งฉากบอกเรยค่ะ คิดไปก่อน คิดไปเอง อิอิ กลัวไปเรื่อย แต่ชอบ 555 บ้ารึเปล่าไม่รู้ จะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ จะเลิกคิด เลิกลัว ไม่สนใจ
     
  7. patiphat2499

    patiphat2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +183
    เป็นสิ่งผู้ศึกษาและปฏิบัติพึ่งเห็นได้ด้วยตนเอง ศึกษาสังโยชน์สิคับ ปฏิบัติเพื่อตัดสังโยชน์ คับ
     
  8. patiphat2499

    patiphat2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +183
    กรรมฐานกองไหนที่ ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆก็ได้อย่างนั้นคับ ฝึกอย่างไร ได้อย่างนั้นคับ
     
  9. patiphat2499

    patiphat2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +183
    เจริญมรณานุตสติ หากกลัวผี
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ของเก่า หรือกรรมฐานเก่า


    ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๖)
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ…?
    กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ ถ้าเราจะตั้งก็ได้ แต่เป๋ ถ้าดูวัตถุยังไม่ค่อยจำ นี่เล่นมโนภาพ ระวังกสิณโทษจะ เกิด อย่างเราเจริญปฐวีกสิณ จะต้องเอาจิตจับไว้เฉพาะปฐวีกสิณอย่างเดียว ถ้าภาพอื่นข้ามาแทรกต้องตัดทิ้งทันที นั่นเขาถือว่าเป็นกสิณโทษ จนกว่ากสิณกองนั้นเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็คล่องตัว จึงจะย้ายไปเป็นกสิณกองอื่นต่อไป








    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง”
    ผู้ถาม:- “ต้องใช้ดูวัตถุ ใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ใช่ ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ ถ้าเราจะตั้งก็ได้ แต่เป๋ ถ้าดูวัตถุยังไม่ค่อยจำ นี่เล่นมโนภาพ ระวังกสิณโทษจะเกิด อย่างเราเจริญปฐวีกสิณ จะต้องเอาจิตจับไว้เฉพาะปฐวีกสิณอย่างเดียว ถ้าภาพอื่นข้ามาแทรกต้องตัดทิ้งทันที นั่นเขาถือว่าเป็นกสิณโทษ จนกว่ากสิณกองนั้นเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็คล่องตัว จึงจะย้ายไปเป็นกสิณกองอื่นต่อไป
    ถ้ากสิณกองต้นเราได้แล้ว ถ้าภาพอื่นเข้ามา เราตัดเลย เพราะว่าเราเจริญปฐวีกสิณ ดูดิน ถ้าบังเอิญกสิณอย่างอื่นเข้ามาแทน เช่น กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ มันแจ่มใสกว่า เราจะยึดเอาไม่ได้ ต้องตัดทิ้งทันที จนกว่ากสิณกองนั้นจะจบถึงฌาน ๔ ให้มันคล่องจริง ๆ ไม่ใช่แต่ทำได้นะ
    คำว่าคล่องจริง ๆ หมายความว่า ถ้าเรากำลังหลับอยู่ ถ้าเราตื่นขึ้นมา เราจะจับฌาน ๔ ถ้าคนกระตุกพั้บเราจับฌาน ๔ ได้ทันที กสิณกองนั้นจึงชื่อว่าคล่อง
    ถ้าเหน็ดเหนื่อยมาแต่ไหนก็ตาม ถ้าจะจับฌาน ๔ ต้องได้ทันทีทันใด เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที ใช้ไม่ได้ ถ้าคล่องแบบนี้ละก็กสิณอีก ๙ กอง เราจะได้ทั้งหมด ไม่เกิน ๑ เดือน เพราะว่าอารมณ์มันเหมือนกัน เปลี่ยนแต่รูปกสิณเท่านั้น
    ฉะนั้น การได้กสิณ กองใดกองหนึ่ง ก็ต้องถือว่าได้ทั้ง ๑๐ กอง เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ยาก ของเหมือนกัน แต่เพียงแค่เปลี่ยนสีสันวรรณะเท่านั้นเอง มันจะขลุกขลักแค่ครึ่งชั่วโมงแรก เดี๋ยวก็จับภาพได้ แล้วจิตก็เป็นฌาน ๔ นี่เราฝึกกันจริง ๆ นะ ถ้าฝึกเล่น ๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง”
    ผู้ถาม:- “การปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าเราจะไม่ใช้กสิณ แต่เราใช้กำหนด อัสสาสะ ปัสสาสะได้ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ได้ ถือว่าอัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าออก
    คือ จริตของคน พระพุทธเจ้าทรงจัดแยกไว้เป็น ๖ อย่าง คือ ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต และก็ พระพุทธเจ้าตรัสพระกรรมฐานไว้ ๔๐
    แต่ว่าเป็นกรรมฐานเฉพาะจริตเสีย ๓๐
    อย่างพวก ราคะจริต ถ้าใช้ อสุภ ๑๐ กับกายคตานุสสติ ๑ เป็น ๑๑
    และพวก โทสะจริต มีกรรมฐาน ๘ คือ มีพรหมวิหาร ๔ แล้วก็กสิณอีก ๔ สำหรับกสิณ ๔ คือ กสิณสีแดง กสิณสีเหลือง กสิณสีเขียว กสิณสีขาว
    สำหรับ วิตกจริตกับโมหะจริต ให้ใช้กรรมฐานอย่างเดียวคือ อานาปานุสสติ อย่างที่โยมว่า อัสสาสะ ปัสสาสะ
    แล้วก็ ศรัทธาจริต ใช้กรรมฐาน ๖ อย่าง คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ แล้วก็เทวตานุสสติ
    ต่อไปเป็น พุทธจริต พุทธจริตนี่ก็มีกรรมฐาน ๔ คือ มรณานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุตธาตุวัตถาน อุปสมานุสสติ
    รวมแล้วเป็น ๓๐ เหลืออีก ๑๐ เป็นกรรมฐานกลาง
    ฉะนั้นการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าหากเดินสายสุกขวิปัสสโก จะต้องใช้กรรมฐานให้ถูกกับจริต ถ้าไม่ถูกกับจริต กรรมฐานนั้นจะมีผลสูงไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังหักล้าง
    ทีนี้ถ้าหากว่านักเจริญกรรมฐานทั้งหมด ไม่ต้องการอย่างอื่น จะใช้อานาปานุสสติก็ได้ ถ้าคนทุกคนคล่องในอานาปานุสสติกรรมฐาน จะมีประโยชน์
    เมื่อป่วยไข่ไม่สบาย เมื่อทุกขเวทนามันเกิดขึ้น ถ้าใช้อานาปาเป็นฌาน ทุกขเวทนามันจะเบามาก จะไม่มีความรู้สึกเลย นี่อย่างหนึ่ง
    แล้วก็ประการที่สอง คนที่ชำนาญในอานาปาจะรู้เวลาตายของตัว แล้วก็จะรู้ว่าตายด้วยอาการอย่างไร
    แล้วก็ประการที่สาม อานาปานุสสติสามารถควบคุมกำลังฌาน สามารถเข้าฌานได้ทันทีทันใด ประโยชน์ใหญ่มาก”
    ผู้ถาม:- “เมื่อกำหนดลมหายใจด้วย ภาวนาด้วย สมาธิมันวอกแวก ๆ ครับ…”
    หลวงพ่อ:- “ก็ แสดงว่าจริตของคุณโยมหนักไปในด้านวิตกจริต กับ โมหะจริต ฉะนั้นคนที่มีวิตกจริงต้องใช้อัสสาสะ ปัสสาสะ ไม่ต้องภาวนา ขืนภาวนาแล้วยุ่ง พระพุทธเจ้าทรงจำกัดไว้เลยว่า เรามีจริตอะไรเป็นเครื่องนำ ต้องใช้เป็นกรรมฐานอย่างนั้นเฉพาะกิจ ถ้าใช้ผิดก็ไม่ได้ ผลมันไม่มี ที่โยมถามก็เหมาะสำหรับคุณโยม”
    <center>※ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๖๐-๖๒
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๖)


    </center>
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]

    คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง

    อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมันขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี คนที่มี บารมีต้น นี่นะ เขาเก่งแค่ทานกับศีลอย่างเก่ง ถ้าอุปบารมี ก็เก่งแค่ฌานสมาบัติ จิตใจพอใจมาก แต่พูดเรื่องนิพพานไม่เอาด้วย คนที่มีบารมีเข้าถึง ปรมัตถบารมีเท่านั้น จึงจะพอใจในนิพพาน

    แสดงกระทู้ - พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) • ลานธรรมจักร
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : การจับอานาปานุสติแล้วเกิดอุคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต (ไม่ชัด)
    ตอบ :
    คนที่เคยมีพื้นฐานเก่ามาก่อน จะสามารถเกิดนิมิตขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่ามาก่อนจะไม่มี

    ถาม : แล้วพื้นฐานเก่านี่รวมถึงกสิณด้วยหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ :
    อยู่ ที่ว่าเราฝึกกสิณมาหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ฝึกกสิณมาก่อน นิมิตก็ไม่แน่ว่าจะปรากฏ แต่ถ้าหากว่าเราฝึกกสิณอยู่ ถึงเวลาปฏิภาคนิมิตจะสามารถปรากฏขึ้นเองได้ ขยายให้ใหญ่ได้ ให้เล็กได้ ให้มาได้ ให้ไปได้ ถ้าหากว่าตรงกับกองกรรมฐานที่ทำอยู่ เราก็พิจารณากำหนดปฏิภาคนิมิตได้ ถ้าหากว่าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ต้องปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ อย่าไปสนใจ ในช่วงนั้นถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็กำหนดรู้ลมหายใจพร้อมกับนิมิต ถ้าไม่มีลมหายใจก็ให้จับนิมิตอย่างเดียว

    เมื่อสภาพจิตเราเริ่มทรงตัว นิมิตต่าง ๆ จะปรากฏขึ้น แล้วส่วนใหญ่จะไปเสียตรงนั้น พอถึงเวลาภาวนาเมื่อไรก็อยากเห็นนิมิตอีก ตัวอยากฟุ้งซ่านก็เลยไม่เห็น เลยทำให้เสียคนไปเลย จนกระทั่งมีนักปฏิบัติที่มาทางสายวิชาการหลายคนบอกว่า ใครทำแล้วได้นิมิต ครั้งต่อไปอย่าหวังเลยว่าจะได้เพราะเขามั่นใจว่า ไอ้นี่ต้องฟุ้งซ่านจนกระทั่งไม่มีทางได้เห็นอีก


    แต่ละคนที่เคยมีพื้นฐานเก่ามาก่อน จะสามารถเกิดนิมิตแบบนั้นได้ ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่ามาก่อนจะไม่มี แสดงว่าชาติก่อน ๆ คุณเคยฝึกมาแล้ว แต่เรื่องอย่างนี้ถ้าไปพูดกับสายวิชาการเขาไม่ยอมรับ เขายืนยันอย่างเดียวว่าไม่มี

    ให้กำหนดลมหายใจเป็นปกติ ตามดูตามรู้อย่างเดียว ถ้านิมิตเกิดขึ้นตรงกับกองกรรมฐานก็สามารถจับต่อได้ ถ้าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ทิ้งไปเลยถ้ายังรู้ลมอยู่ก็กำหนดรู้ลมไป ถ้าไม่รู้ลมแล้วก็จับนิมิตอย่างเดียว


    ส่วนใหญ่แล้ว แรก ๆ ประเภทศึกษามาน้อย มักจะจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ถ้าถึงตรงนั้นแล้วเดี๋ยวก็มั่วถูกไปเอง


    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี
    โหลดหน้านี้ใหม่ เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗


    ถาม: ถามเรื่องการอธิษฐาน (ไม่ชัด)
    ตอบ : อยู่ ที่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าตั้งใจสร้างพระก็ได้อานิสงส์เป็นพุทธบูชาอยู่แล้ว ตั้งใจอุทิศให้เขา ถ้าเขียนเฉย ๆ ไม่ได้อะไรหรอก สร้างพระได้บุญใหญ่อยู่แล้ว ผลบุญที่เราได้มา เราจะขอให้เป็นอะไรเป็นอย่างไร ก็อธิษฐานเอา ตั้งใจจะให้ประเทศชาติสุขสงบอย่างไรก็ว่าไป

    ถาม: ถามเรื่องการอธิษฐาน (ไม่ชัด)
    ตอบ : ถึงเวลาอาจจะมาไม่ตรงจังหวะที่เราต้องการ เราหิวข้าวตอนนี้กว่าจะมาอีก ๓ วันเราก็หน้ามืดสิ อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องของคนฉลาด เพราะ ว่าเรื่องของบุญ ของบาป เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เกิดผลแน่ ๆ คราวนี้อธิษฐานบารมีเป็นการกำหนดเจาะจงว่า จะให้เกิดผลเมื่อไร เกิดผลอย่างไร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า บุคคลที่ใช้อธิษฐานบารมีเป็น ต้องระดับอุปบารมีขั้นปลายขึ้นไป บางคนเข้าใจผิดว่าทำบุญแล้วยังโลภอีก ไปอธิษฐานโน่น อธิษฐานนี่ กลายเป็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ดีแท้ ๆ และเป็น ๑ในบารมี ๑๐ ที่ต้องสร้างให้เต็ม เขากลับไปเข้าใจผิด เข้าป่าเข้าดงไปเลย

    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี
    โหลดหน้านี้ใหม่ เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗


    พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนการฝึกทิพโสต อันดับแรก เมื่อใจนิ่งสงบพอแล้ว ให้ตั้งใจฟังเสียงที่อยู่รอบ ๆ ข้างของเรา จะเป็นเสียงดัง เสียงเบาอะไรก็ตาม ฟังจนรู้สึกว่าชัดเจนทุกเสียง แล้วค่อยขยายวงให้กว้างออกไป อย่างเช่นว่าเราฟังอยู่ในห้อง ให้ได้ยินทุกเสียงที่ต้องการ ไม่ว่าเสียงพัดลม เสียงยุงบิน เสียงจิ้งจกร้อง เป็นต้น แล้วขยายวงให้เสียงออกไปห้องอื่น ออกไปทั้งบ้าน ออกไปทั่วขอบรั้ว ออกไปนอกรั้ว ทีละน้อย ๆ จนเราได้ยินเสียงชัดเจนหมด แล้วขยายออกไปทีละน้อย จนกระทั่งสามารถกว้างออกไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด ค่อย ๆ ไล่ไปทีละขั้นตอนอย่าใจร้อน แต่ถ้าฝึกวิธีนี้ต่อไปจะรำคาญ ถึงเวลาใครบ่นก็ได้ยินหมด

    อย่า ลืมว่าขึ้นต้นด้วยการทบทวนศีลของเราทุก สิกขาบทให้บริสุทธิ์ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วทบทวนกรรมฐานเก่าทุกกองที่เรามั่นใจว่าได้แล้ว ถ้าทดลองอธิษฐานใช้ผลได้ยิ่งดี คือทันทีที่เรากำหนดเป็นแก้วใสได้ ให้กำหนดกสิณกองนั้น ๆ ให้ขยายใหญ่ได้ ให้เล็กลงได้ ให้มาได้ ให้หายไปได้ แล้วลองอธิษฐานใช้ผลดู ถ้าหากว่าใช้ได้คล่องตัวแล้ว ค่อยขยับไปกองใหม่ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับว่า เราจับแพะชนแกะไปเรื่อย ของเก่าก็ยังไม่ได้ ของใหม่ก็ยังไม่ดี กลายเป็นเหนื่อยเปล่า"

    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗


    พระอาจารย์กล่าวว่า "การฝึกกสิณต้องใช้ให้ได้ผลก่อน ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ยังไม่ถือว่าได้จริง อย่างถ้าเราใช้วาโยกสิณ เราอยู่ตรงนี้ตั้งใจว่าเราจะไปบ้าน กำหนดจิตเข้าสมาธิตั้งใจอธิษฐานว่าเราจะไปบ้าน คลายสมาธิออกมาอธิษฐานใหม่ แล้วตัวเราไปอยู่ที่บ้านเลย นั่นคือใช้วาโยกสิณได้ผล

    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗


    ถาม : บุคคลพยายามที่จะเจริญภาวนาแล้วจิตสงบระดับหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ที่เคยได้ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ คือมีแล้วเสื่อม เกิดจากเหตุผลอะไรครับ ?
    ตอบ : เพราะว่าไปปล่อยให้กิเลสท่วมทับใจตนเอง เมื่อกิเลสท่วมทับใจตนเอง สมาธิก็เสื่อม พอสมาธิเสื่อมจะทำใหม่เพื่อให้ได้เหมือนเดิม ก็ไปเกิดความอยากว่า เราอยากให้เป็นอย่างนั้น ในเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา สภาพจิตฟุ้งซ่าน โอกาสที่จะสงบอย่างนั้นก็ไม่มี

    ถาม : ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่เจริญสมาธิแล้วจิตสงบได้ระดับหนึ่ง แล้วหยุดไม่เจริญต่อ อีกหลายปีขณะที่อยู่ว่าง ๆ จิตสบาย ๆ ปรากฏนิมิตขึ้นมาซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างนี้เป็นเพราะกรรมเก่า หรือเป็นเพราะเขาคิดไปเอง หรือว่าเพราะอะไรครับ ?
    ตอบ : เขาเรียกว่ากรรมนิมิต คือความดีความชั่วแสดงเหตุให้ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น กรรมนิมิตมักจะเกิดขึ้นขณะที่สภาพจิตสบาย ๆ อยู่ในลักษณะเหมือนอย่างกับอารมณ์ใจตอนนี้ของเรา ก็คือว่าไม่ตั้งใจมาก แต่ขณะเดียวกัน กำลังใจก็ทรงตัวกว่าปกตินิดหนึ่ง นิมิตเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นไปอยู่ตลอดเวลาหากว่าไปตรงร่องพอดี

    ถาม : แล้วในขณะที่พยายามนั่งสมาธิกลับไม่เกิด แต่ช่วงที่เฉย ๆ ว่าง ๆ ปล่อยจิตเบา ๆ กลับเกิด ?
    ตอบ : สมาธิสูงเกินอุปจารสมาธิก็ไม่เห็นอะไร ต่ำเกินไปก็ไม่เห็นอะไร ต้องพอดี ๆ ดังนั้น..เวลาเรานั่งสมาธิ ส่วนใหญ่กำลังเกินอุปจารสมาธิ เพราะอยู่กับองค์ภาวนา แต่ว่าขณะเดียวกัน ในอารมณ์ทั่ว ๆ ไปเราก็ปล่อยทิ้งเลย กลายเป็นต่ำกว่าอุปจารสมาธิ ต้องให้พอดี ๆ จึงจะเห็นได้ ซึ่งคนที่ทำตรงจุดนั้นแล้ว ต้องหัดสังเกตอารมณ์ใจ ถึงจะจำได้ว่าจุดพอดีของตัวเองคือตรงไหน ถ้าโดยทั่ว ๆ ไปก็ได้แต่บอกกันเฉย ๆ ว่า “ทำให้พอดี” แต่กว่าจะรู้ว่าพอดีอยู่ตรงไหน ก็ต้องคลำกันเป็นการใหญ่

    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗



    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    วันจันทร์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖

    พวกเรานั่งท่าที่สบาย หายใจเข้า หายใจออกยาว ๆ ทั้ง ๒ – ๓ ครั้ง เพื่อเป็นการระบายลมหยาบออกให้หมด ไม่อย่างนั้น บางคนพอเริ่มภาวนา จะรู้สึกอึดอัด รู้สึกแน่น ทำให้ตกใจ บางทีคนไม่กล้าทำต่อไปเลยก็มี นั่นเป็นอาการที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกมันหยาบไปนิดหนึ่ง
    หายใจเข้า หายใจออกยาว ๆ สัก ๒ – ๓ ครั้ง ระบายลมหยาบให้หมด แล้วค่อยปล่อยลมหายใจให้เป็นไปตามปกติ

    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    วันจันทร์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖

    ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นพื้นฐานใหญ่ของกรรมฐานทั้งปวง ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก สติจะไม่ตั้งมั่นทรงตัว สมาธิจะเกิดได้ยาก ดังนั้น การปฏิบัติในทุกวัน เราทิ้งลมหายใจเข้าออกไม่ได้ หายใจเข้ารู้อยู่ หายใจออกรู้อยู่

    จะทรงกสิณได้ ต้องไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออก

    ถาม : อานาปานสติเป็นพื้นฐานกรรมฐาน ถ้าเป็นกสิณจะต้องมีอานาปานสติหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วคุณจะทรงกสิณได้อย่างไร ? คำภาวนา "ปฐวีกสิณัง อาโปกสิณัง" ทุกอย่าง ต้องควบลมหายใจเข้าออกหมด ถ้าไม่ควบลมหายใจเข้าออก สมาธิจะไม่ทรงตัว ภาพกสิณก็ตั้งมั่นไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่ากรรมฐานอะไรก็ตาม ถ้าทิ้งลมหายใจเข้าออกอย่างเก่งก็ทรงตัวได้พักเดียว ถ้าไม่มีตัวสมาธิคอยช่วย การจะเข้าถึงที่สุดของกรรมฐานกองนั้นก็ไม่มี สมาธิจะเกิดได้ด้วยการดูลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก

    ถาม : ในอานาปานสติ ภายในคืออะไร ภายนอกคืออะไร ?

    ตอบ : ภายในคือลมหายใจของเราเอง ภายนอกก็คือร่างกายนี้ หรือถ้ามีปัญญามากพอก็ดูเกินร่างกายนี้ไปที่ร่างกายคนอื่นก็ได้ แต่การที่เราจะไปดูร่างกายคนอื่น ส่วนใหญ่เป็นการส่งจิตออกนอก แล้วฟุ้งซ่านได้ง่าย เขาก็เลยเน้นว่า กายในคือลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก แล้วกายภายนอกก็คือกายตัวเอง

    ถาม : เป็นกายอย่างอื่นไม่ได้ ?

    ตอบ :เป็นกายอย่างอื่นได้ แต่ส่งไกลไปเดี๋ยวคุมไม่อยู่

    ถาม : อิริยาบถภายในคืออะไร ภายนอกคืออะไร ?

    ตอบ : อิริยาบถภายในก็คือตัวสติที่ควบคุม แล้วภายนอกก็คืออาการเคลื่อนไหวของร่างกาย

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖



    นั่งหลับตาเฉยๆ โดยไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย ถือว่าเป็นสมาธิ ??​


    ถาม : ถ้าเราทำสมาธิแล้วเราไม่กำหนดลมหายใจ ไม่กำหนดภาพ ไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย จะถือว่าทำสมาธิหรือเปล่า หรือเรียกว่านั่งหลับตาเฉยๆ ?

    ตอบ : คงจะนั่งหลับตาเฉยๆ ยกเว้นอย่างเดียวว่า มีความเคยชิน สามารถเข้าฌานระดับใดระดับหนึ่งได้คล่องมาก ถ้าอย่างนั้นเราสามารถจะดิ่งไปสู่ระดับนั้นได้เลย

    แต่ถ้าเราไม่มีการกำหนดใดๆ เลย ไม่มีทางที่จะทรงตัวเป็นสมาธิได้ เพราะจิตเราต้องคิดเป็นปกติ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

    ถาม : หรือจะย้อนมาปฏิบัติเหมือนเดิม จับลมหายใจเหมือนเดิม ?

    ตอบ : ลมหายใจเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกองเลย คุณจะทิ้งลมหายใจไม่ได้

    ถาม : แล้วถ้านั่งสมาธิไม่เคยเห็นแสงสี ไม่เคยเห็นภาพ ?

    ตอบ : ถือว่าโชคดีที่สุดในโลก ไม่อย่างนั้นคุณจะติดอีกเยอะ



    สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓


    ลมหายใจไม่มี

    ขณะทำสมาธิ จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน ให้สนใจลมหายใจอย่างเดียว

    ถาม : เวลาเราทำสมาธิ เกิดนิมิตอะไรขึ้น เราจะทราบได้อย่างไรว่า..?

    ตอบ : จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน ให้สนใจลมหายใจของเราอย่างเดียวก็พอ ถ้าลมหายใจไม่มีให้รู้ว่าไม่มี คำ ภาวนาไม่มีให้รู้ว่าไม่มี นิมิตต่าง ๆ ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เรายิ่งไม่สนใจภาพก็จะยิ่งชัด จะกวนให้เราสนใจให้ได้

    ถาม : แล้วเราจะวางกำลังใจอย่างไรคะ ?

    ตอบ : รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละ ยกเว้นว่า เป็นนิมิตที่ตรงกับกองกรรมฐาน เช่น เราใช้พุทธานุสติอยู่ จับภาพพระพุทธรูปเป็นนิมิต เมื่อภาพพระปรากฏก็จับภาพต่อไปเลย ถ้าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ไม่ต้องไปสนใจ



    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕


    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ - หน้า 3 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


    อาการตกใจเมื่อทำสมาธิ <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : เวลาจิตจะสงบต้องสะดุ้ง..?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาไม่ให้สนใจข้างนอก ให้ใจเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

    อาการ สะดุ้ง อาการตกใจ ก็คือการที่เราส่งจิตออกไปที่อื่น พอเกิดอะไรกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตจะรีบวิ่งกลับมาเพื่อที่จะรับรู้อาการนั้น อาการที่จิตวิ่งกลับมาเร็วเกินไป เป็นอาการที่เราเรียกว่า "ตกใจ"

    เพราะฉะนั้น ถ้าใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออกไม่ไปไหน ต่อให้ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่ตกใจหรอก แสดงว่าเราส่งใจออกไปโดยไม่รู้ตัว

    ส่วนอีกอย่างหนึ่งจะมีอาการหวิวเหมือนกับตกจากที่สูง อาการนั้นจิตเราเริ่มจะเป็นฌานอย่างหยาบแล้ว แต่เกาะไม่ติดพลัดหล่นลงมา เป็นอาการที่เรียกว่า "พลัดจากฌาน" จะวูบเหมือนตกจากที่สูง อันนั้นใกล้จะได้ดีแล้วตั้งหน้าทำใหม่อีกสักพักก็จะเป็นฌานไปเลย


    ถาม : ...
    ตอบ :ให้เรารับรู้อาการนั้นไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นอะไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้นก็พอ

    ถ้ายังมีลมหายใจเข้า-ออก ให้จับลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาให้จดจ่ออยู่กับคำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนาก็ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้อาการเป็นอย่างนั้น

    ถ้า เราไปสนใจมาก ๆ ก็จะไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าเรารับรู้ไว้เฉย ๆ แค่รู้ว่าเป็นอะไรก็รับรู้ไว้เท่านั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นและไม่อยากให้หายจากอาการอย่างนั้น เดี๋ยวก็จะก้าวหน้าไปเอง

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กรรมฐานสี่สิบกอง เปลี่ยนไปทุกวัน จะหาความก้าวหน้าได้อย่างไร ?




    กสิณถึงฌานสี่อธิษฐานใช้ผลได้ ถ้ายังใช้ผลไม่ได้เป็นจินตนาการไปแล้ว



    ทำอย่างไรให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาแต่ฟุ้งซ่านก็ไม่เอาไหน



    วิธีตรวจสอบ กรรมฐานในชาติก่อน

    [​IMG]

    วิธีตรวจสอบ กรรมฐานในชาติก่อน ให้ปฏิบัติตามนี้ ​

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อปานบอกว่า ตามธรรมดาคนที่เกิดมาแล้วนี่ จะไม่เคยมีบุญวาสนาบารมีนั้น ไม่มี ทุกคนต้องมีบุญวาสนาบารมีมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่พอใจในการเจริญพระกรรมฐาน ส่วนใหญ่ก็มักจะเคยเจริญกรรมฐานมาแล้วในชาติก่อน เคยได้มาแล้วคนละหลายๆกอง วิธีปฏิบัติให้ปฏิบัติตามนี้ อันดับแรก ให้วางหนังสือไว้ที่บูชาต่อหน้าพระพุทธรูป จุดดอกไม้ธูปเทียนเสร็จตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานด้วยความเคารพ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ากรรมฐานทั้ง ๔๐ กองนี้ มีกองใดบ้าง ที่เคยได้มาในชาติก่อน เมื่ออ่านไปแล้วขอให้ชอบกองนั้น ถ้าชอบกองไหน คั่นไว้ หรือขีดไว้ ทำสัญลักษณ์ไว้ หรือเขียนไว้ก็ได้ และต่อมา เมื่อชอบหลาย ๆ กองแล้ว กลับมาทีหลัง ก็มาดูใหม่ บูชาใหม่ว่า กรรมฐานที่ชอบหลาย ๆ กองนี้ กองไหนถ้าทำแล้วจะได้ง่ายที่สุด ให้ทำกองที่มีความรู้สึกว่าชอบใจมาก และง่ายที่สุด ก็บูชาพระแล้วก็ตั้งใจอธิษฐาน กลับมาย้อนดูใหม่ ดูกรรมฐานที่ชอบ ที่มา: หลวงพ่อธุดงค์ ตอนไปเที่ยวสุวรรณวิหาร

    https://www.facebook.com/pages/หลวงพ่อฤาษีลิงดำ-วัดท่าซุง-จอุทัยธานี/143272349109938
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ลองใช้กรรมฐานแบบกำหนดรู้ลมหายใจไปพลาง ๆ ก่อน
    ฝึกสติดู รู้ทันความคิดความฟุ้งซ่านบ่อย ๆ (คงเป็นคนที่คิดเยอะ)

    พอเริ่มรู้ทันความคิดได้มากขึ้น ก็เข้าไปเดินในป่าช้าเลย (สำหรับคนชอบความท้าทายต้องลอง)
    ดูความกลัว ทดสอบความกล้า อย่ามีเงื่อนไข อย่าหลอกตัวเอง ที่สำคัญ...
    ไม่เอาแต่คิด สติรู้จิตไปเลยตรง ๆ กลัวก็รู้ว่ากลัว รู้อารมณ์ใจตามความเป็นจริงแทน
    ทำให้ได้ แล้วของเก่าที่เคยฝึกจะกลับมาให้รู้เอง :cool:
     
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    กรรมฐานที่เหมาะแก่ตนเอง คือ เป็นกรรมฐานที่ถนัดนั่นแหละ
    เมื่อเวลาทำกรรมฐานเราเอาบทไหนก่อน อันนั้นแหละที่เหมาะสำหรับตนเอง
    เหมือนเราถนัดมือไหนก็ใช้มือนั้น ถ้าเอาอีกมือที่ไม่ถนัดมันจะฝืนๆ

    กรรมฐานมี ๔๐ มัวเลือกอยู่นั่นแหละตายซะก่อนมั้งกว่าจะเจอบทที่ถนัดที่เหมาะ
    กรรมฐานทั้ง ๔๐ บทนั้นใช้จริงๆมีบทเดียว
     
  16. sak_sup

    sak_sup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    อยากทราบความแตกต่างระหว่าง"นิมิต" กับการสร้าง"มโนภาพ" เพราะโดยส่วนตัวไม่แน่ใจว่าสภาพจิตของเรา ณ ตอนนั้น "ใช่?หรือไม่ใช่?นิมิต" จากการอ่านมาหลาย Post ยังไม่สามารถแยกแยะได้เด่นชัด สับสนในคำอธิบาย บางครั้งก็เหมือนกัน คล้าย ๆ กัน บางครั้งก็ไม่ใช่ เราต้องดูอารมณ์เช่นใด ขอผู้รู้ได้เล่าแจ้งแถลงไขด้วย เป็นวิทยาทาน ครับ ตัวอย่าง :

    ***ผู้ถาม:- “หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง”
    ผู้ถาม:- “ต้องใช้ดูวัตถุ ใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ใช่ ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ........ฯลฯ

    ในความเห็นส่วนตัว การดูวัตถุแล้วจำภาพไว้ในสมอง แล้วนึกภาพขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่มโนภาพหรือ? ผมสงสัยเกี่ยวความหมายของภาษา"นิมิต และมโนภาพ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2014
  17. parichatkreepat

    parichatkreepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +538
    ความคิดเห็นของดิฉันนะค่ะ ในเรื่องนี้ นิมิต

    น่าจะเป็นสิ่งที่เห็นชัด เห็นตรงๆ รู้ว่าเป็นแบบนี้ มันจะไม่เป๋

    หรือไขว้เข้วในการเปลี่ยนลักษณะ

    ส่วน มโนภาพ คือ คิดไปเอง สร้างภาพคิดมาเองโดยไม่มีอะไร จดจ่อ

    ลักษณะภาพไม่มีจริง เปลี่ยนไปเรื่อย ไหลไปเรื่อย เสริมไปเรื่อย

    ประมาณนี้นะ

    ความเห็นส่วนตัวนะ ถ้าให้ชัดกว่านี้ รอท่านอื่นๆมาตอบจะดีกว่า ^^
     
  18. parichatkreepat

    parichatkreepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +538
    เลือกแล้วค่ะ พหรมวิหาร๔ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา

    อันนี้สำหรับดิฉัน ดีที่สุดแล้วละในตอนนี้ ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าทำตรงนี้ได้ อย่างอื่นก็ไม่ยาก

    แค่ พหรมวิหาร๔ ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้แน่ๆ สำหรับตัวดิฉัน เน้นๆคือ ฝึก อารมณ์ร้อนที่มีในตัว ให้เย็นลง


    ขอบคุณทุกความเห็นนะค่ะ ดิฉันนำทุกความเห็นมาไตร่ตรองแล้ว พิจารณาแล้ว

    ทุกความเห้นล้วนสำคัญและดีๆทั้งนั้น ขอบพระคุณมากๆค่ะ ที่คอยชี้แนะ

    เพราะความคิดเห็นเหล่านี้ ทำให้ดิฉันเลือกที่จะทำอย่างเอาจริงเอาจัง ซะที !

    มัวแต่กลัวก็คงไม่มีประโยชน์อะไร (แต่ก้ยังกลัวอยู่นะ อิอิ)

    มัวแต่เลือกก็คงไม่มีวันที่จะทำสำเร็จ

    มัวเเต่อ่านแต่ไม่ลงมือ คงไม่เกิดผล

    สู้เต็มที่จ้า (เหมือนจะไปทำสงครามเลยเรา)
    :boo:
     
  19. parichatkreepat

    parichatkreepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +538

    อันนี้โดนใจสุดๆค่ะ เพราะ ดิฉัน ขี้ตกใจ ขั้นรุนแรงเลยทีเดียว !

    ตกใจที ใจแทบจะหลุดออกจากอก ใจเต้นเเรงมากๆๆๆ กระต่ายตื่นตูมเลยละค่ะ :cool:
     
  20. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    นิมิตเกิดขึ้นเอง มโนภาพต้องสร้างขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...